คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ทฤษฎีการพัฒนาเพื่อตนเองของเกษตรกร
ทฤษฎีการพัฒนาเพื่อพึ่งตนเองของเกษตรกร
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (Self Reliance Theory)
แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาชนบทที่สำคัญ คือ การที่ทรงมุ่งช่วยเหลือพัฒนา
ให้เกิดการพึ่งตนเองได้ของคนใน ชนบทเป็นหลัก กิจกรรมและโครงการตามแนว
พระราชดำริที่ดำเนินการอยู่หลายพื้นที่ทั่วประเทศในปัจจุบันนั้นล้วนแล้วแต่มีเป้าหมาย
สุดท้ายอยู่ที่การ พึ่งตนเองได้ ของราษฎรทั้งสิ้น โดยการพัฒนาทั้งด้านอาชีพและส่งเสริม
การเกษตร ให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างมั่นคงเป็นปึกแผ่น ทรงดำเนินการ
แนะนำสาธิตให้ประชาชน ดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาทเป็นไปตามหลักการพัฒนา
สังคมชุมชนอย่างแท้จริง โดยทรงมีหลักอยู่ว่า
- ทรงไม่ใช้วิธีการสั่งการให้เกษตรกรปฎิบัติ
- ทรงเน้นให้พึ่งตนเองและช่วยเหลือตนเองเป็นสำคัญ
- ทรงใช้หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน
- ทรงใช้หลักประชาธิปไตยในการดำเนินการ หากเจ้าหน้าที่ทักท้วงสิ่งใดทางวิชาการ
จะทรงรับฟังข้อสรุปอย่างเป็น กลาง หากสิ่งใดที่เจ้าหน้าที่กราบบังคมทูลว่า
ปฎิบัติได้ แต่ผลลัพธ์อาจไม่คุ้มค่ากับเงินที่ลงไป ก็ทรงให้เปลี่ยนแปลงโครงการ
ได้เสมอ - ทรงยึดสภาพของท้องถิ่นเป็นหลักในการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจาก
พระราชดำริ ทั้งด้านสภาพแวดล้อม ทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียม
ประเพณีของแต่ละท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาคของประเทศ - การสร้างความแข็งแรงให้ชุมชน ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลักที่จำเป็นต่อ
การผลิตอันเป็นรากฐานนำไปสู่การ พึ่งตนเองได้ในระยะยาว ซึ่งเป็นการพัฒนา
ในลักษณะการเตรียมชุมชนให้พร้อมต่อการติดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอก
ทรงเรียกว่า "การระเบิดจากข้างใน" และทรงชี้แนะว่าควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป - ทรงสนับสนุนให้มีการส่งเสริมความรู้ด้านต่างๆ ด้วยทรงตระหนักว่า ชาวชนบท
ควรจะมีความรู้ในเรื่องของการทำ มาหากิน การทำการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยี
ที่เหมาะสม โดยทรงเน้นถึงความจำเป็นที่จะต้องมี "ตัวอย่างแห่งความสำเร็จ"
ที่ชาวบ้านสามารถรับและนำไปปฎิบัติได้ผลจริง - ทรงปฏิรูประบบราชการให้เกิดเอกภาพทางการบริหาร (Single Management
or Unity Administration) อันเป็นลักษณะ พิเศษของศูนย์ศึกษาการพัฒนา
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ คือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
มีเอกภาพทางการบริหาร โดยได้ทำหน้าที่บริหารทั้งสองทางในเวลา เดียวกัน คือ
บริหารงานองค์กรของระบบราชการและบริการประชาชนพร้อมกันไปด้วย ดังนี้คือ
- ก. ทำหน้าที่รวบรวมประชาชนที่เดือดร้อนให้รวมตัวกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
และส่วนราชการก็จะเข้าร่วมแก้ไขปัญหา ตามหลักทางวิชาการ
- ข. ทำหน้าที่รวบรวมความต้องการพื้นฐานอันแท้จริงของประชาชน และนำกลับมา
หาวิธีการพัฒนาเพื่อ ให้บรรลุถึง เป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในลักษณะ
แผนงานและโครงการ - ค. ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างรัฐและประชาชน เป็นการลดช่องว่าง
แห่งความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันให้ลดน้อยลง - ง. ทำหน้าที่เป็นแหล่งเสริมสร้างการเรียนรู้ของประชาชนและราชการ คือ
ประชาชนสามารถเข้ามาศึกษาเรียนรู้เพื่อ พัฒนาอาชีพและราย ได้ให้มั่นคง
ในทำนองเดียวกันเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถเรียนรู้การแก้ไขปัญหาของ
แต่ละท้องถิ่น นำไปเป็นแบบฉบับการพัฒนาแก่พื้นที่อื่นๆ ต่อไป
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : มรรควิธีที่ช่วยเหลือให้เกษตรกร
ได้บรรลุผลในการ พึ่งตนเอง
- ความหมายและแนวพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมุ่งหวัง
ที่จะพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรให้สามารถช่วยเหลือพึ่งตนเองได้
วิธีการ หนึ่งที่ทรงเล็งเห็น คือการได้เรียนรู้และพบเห็นด้วยประสบการณ์ของตนเอง
ด้วยเหตุนี้จึงพระราชทานพระราช ดำริให้มีศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจาก
พระราชดำริ โดยทำหน้าที่เสมือน "พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต"
เพื่อเป็นศูนย์รวมของการศึกษาค้นคว้า ทดลอง วิจัย และแสวงหาแนวทาง
และวิธีการพัฒนาด้านต่าง ๆที่เหมาะ สมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและ
การประกอบอาชีพของราษฎรที่อยู่ในภูมิ ประเทศนั้น ๆ และเมื่อค้นพบพิสูจน์
ได้ผลแล้ว ก็จะนำผลที่ได้ไปพัฒนาสู่ราษฎรในหมู่บ้านใกล้เคียงจนกระทั่งขยายผล
กระจายวงกว้าง ออกไปเรื่อย ๆ - แนวทางและวัตถุประสงค์ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ที่สำคัญมีดังนี้- 2.1 การแก้ไขปัญหาตามสภาพความเป็นจริงที่แตกต่างกัน
- 2.2 การแลกเปลี่ยนสื่อสารระหว่างนักวิชาการ นักปฏิบัติและประชาชน
- 2.3 การพัฒนาแบบผสมผสาน
- 2.4 การประสานงานระหว่างหน่วยราชการ
- 2.5 เป็นศูนย์รวมในการให้บริการแก่ประชาชน นับเป็นการปฏิรูปมิติใหม่
ของระบบบริหารราชการแผ่นดิน โดยมี ลักษณะเป็น One Stop Service
หรือ "การบริการแบบเบ็ดเสร็จ" นั่นเอง
- ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในปัจจุบันมี 6 ศูนย์
อยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ คือ- 3.1 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา - 3.2 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี - 3.3 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ตำบลสนามไชย อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี - 3.4 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านนานกเค้า
ตำบลห้วยยาง อำเภอ เมือง จังหวัดสกลนคร - 3.5 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ - 3.6 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ตำบลกะลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส
- 3.1 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกฝังแนวพระราชดำริให้ประชาชนยอมรับ
และนำไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยให้วงจรการพัฒนาดำเนินไปตามครรลองธรรมชาติ
กล่าวคือ
- ทรงสร้างความตระหนักแก่ประชาชนให้รับรู้ ในทุกคราเมื่อเสด็จฯไปทรงเยี่ยม
ประชาชนในภูมิภาคต่าง ๆ จะทรงมีพระราชปฏิสันถารให้ประชาชนได้รับทราบ
ถึงสิ่งที่ควรรับรู้ เช่น การปลูกหญ้าแฝกจะช่วยป้องกันดิน พังทลาย
และใช้ปุ๋ยธรรมชาติจะช่วยประหยัดและบำรุงดิน การแก้ไขดินเปรี้ยวในภาคใต้
สามารถกระทำได้ การตัด ไม้ทำลายป่าจะทำให้ฝนแล้ง เป็นต้น - ทรงสร้างความสนใจแก่ประชาชน โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น
มักจะมีนามเรียกขานแปลกหู น่าสน ใจติดตามอยู่เสมอ เช่น โครงการแก้มลิง
โครงการแกล้งดิน โครงการเส้นทางเกลือ โครงการน้ำดีไล่น้ำเสีย หรือ
โครงการน้ำสามรส ฯลฯ เหล่านี้ เป็นต้น ซึ่งพระองค์จะมีพระราชาธิบาย
แต่ละโครงการอย่างละเอียดเป็นที่เข้าใจง่ายแก่ ประชาชนด้วย - ทรงให้เวลาในการประเมินค่าหรือประเมินผล ด้วยการศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ
ว่าโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริเป็นเช่นไร สามารถนำไปปฏิบัติได้หรือไม่
ซึ่งยังคงยึดแนวทางที่ให้ประชาชนเลือกการพัฒนาด้วยตนเอง - ขั้นทดลอง เพื่อทดสอบว่างานในพระราชดำริที่ทรงแนะนำนั้นจะได้ผลหรือไม่
ซึ่งในบางกรณีหากการทดลองไม่แน่ชัดก็ทรงจะมิให้เผยแพร่แก่ประชาชน
- ขั้นยอมรับ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้นเมื่อผ่านกระบวนการมาหลาย
ขั้นตอน มีการทดลองเป็นเวลา นาน โดยเฉพาะในศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่อง
มาจากพระราชดำริที่ประชาชนสามารถเข้าไปดูและศึกษาถึงตัวอย่าง
แห่งความสำเร็จได้
ดังนั้น แนวพระราชดำริจึงเป็นสิ่งที่ราษฎรสามารถพิสูจน์ได้เองว่าจะเป็นผลดีต่อชีวิต
และความ เป็นอยู่ของตนอย่างไร แนวพระราชดำริทั้งหลายนี้ แสดงถึง
พระวิริยะอุตสาหะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุ่มเทพระสติปัญญา
ตรากตรำพระวรกายเพื่อค้นคว้าหาแนวทางการพัฒนาให้พสกนิกรทั้งหลายได้มีความ
ร่มเย็นเป็นสุข นับเป็นพระมหา กรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงที่ได้พระราชทานแก่ปวงไทย
ตลอดเวลา 50 ปี จึงกล่าวได้ว่าพระราชกรณียกิจของพระองค์ นั้นสมควรอย่างยิ่ง
ที่ทวยราษฎรจักได้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทตามที่ทรงแนะนำสั่งสอน
และวางแนว ทางไว้เพื่อให้เกิดการอยู่ดีมีสุขโดยถ้วนทั่วกัน
+
+
ความคิดเห็น