ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] B.A.P - Silk

    ลำดับตอนที่ #9 : Silk:: 08

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.พ. 58






    Silk:: 08

     

    Couple :: BangChan // UpJae

    BG :: Lovesick [B.A.P]

     

     

    เช้าที่แสนสุขในสัปดาห์แรกของวันปีใหม่ดูเหมือนจะทำให้ทุกคนทำงานกันด้วยจิตใจที่แจ่มใสอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในอู่รถเล็กๆแห่งนี้ บรรยากาศก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ทำไมมันดูหวานแหววเหลือเกินในความรู้สึกของมุนจงออบ ดูสิ...ลูกพี่กับรุ่นน้องของเขานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันทั้งสองคนเลย บ้าไปแล้วหรือยังไง
     

    “นี่” ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ต้องโพล่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

    “เป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย ฉันเห็นสีชมพูลอยเต็มห้องไปหมดแล้ว ปิดปีใหม่ไปทำอะไรมาถึงได้หน้าบานกันขนาดนี้”

     

    “คนไม่มีความรักจะรู้อะไร” จุนฮงหันมาฉีกยิ้มให้เหมือนกำลังมีความสุขซะเต็มประดา...มีไปคนเดียวเถอะ ตอนนี้เขาอยากเอาขาสั้นๆฟาดเข้าไปที่คอมันมาก

     

    ยงกุกหัวเราะเบาๆเป็นเชิงสนับสนุนน้องเล็ก เขาไม่รู้หรอกว่าจุนฮงไปอารมณ์ดีมาจากไหน รู้แต่ว่าในคืนก่อนวันปีใหม่ และตลอดเช้าวันปีใหม่เมื่อหลายวันที่ผ่านมา คิมฮิมชานน่ารักกับเขาซะจนไม่อยากให้เวลาผ่านไปแม้แต่นาทีเดียว ช่วงหลังๆเหมียวน้อยลดอาการเหวี่ยงวีนลงไปอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมันก็ดีกับเจ้าตัวเอง ตอนนี้นอกจากงานเยอะขึ้น แฟนเยอะขึ้นแล้ว ยังมีคนพูดถึงในทางที่ดีขึ้นอีกด้วย....เขาอ่านมาจากในเน็ตน่ะ ก็เว็บซุบซิบที่จุนฮงหามาให้อ่านนั่นแหละ

     

     

    คนชอบเยอะขึ้น เขาต้องหวงมากขึ้นด้วยรึเปล่านะ???

     

     

    “แกนี่ก็แปลก อารมณ์ดีก็ทำงานได้ราบรื่น งานเดินเงินก็มา ไม่ดีเรอะ” พี่ใหญ่ว่าขณะเช็คเอกสารที่นัดกับลูกค้าทีละราย “ปีใหม่ต้องอารมณ์ดีสิ ตั้งใจทำงาน กิจการเราจะได้เฮงๆไปตลอดทั้งปีไง”

     

    ที่รุ่นพี่เขาพูดก็ถูก...จงออบคิด แต่ไอ้การมานั่งทำหน้าระรื่นทั้งวันนี่ก็ออกจะเกินไปหน่อย อย่างน้อยควรจะก็เกรงใจคนไม่มีคู่อย่างเขาบ้าง ยงกุกทำงานไปก็เช็คแอพพลิเคชั่นแชทเป็นระยะ ไอ้เด็กโย่งนั่นยิ่งหนัก เช็คนู่นเปิดนี่ในมือถือแล้วยังหัวเราะคิกคักอีกต่างหาก คิดอีกที..ถ้ามีความรักแล้วจะกลายเป็นคนบ้าแบบนี้ มุนจงออบขอไม่มีซะยังจะดีกว่า

     

    “เอาเหอะ พี่อยากจะทำอะไรก็ทำไป เดี๋ยวผมออกไปเช็คอะไหล่ข้างนอกก่อน” จงออบเบ้หน้าเมื่อเห็นสองคนตรงหน้ายังยิ้มเบิกบานนั่งทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน สงสัยจะไม่ได้ฟังที่เขาพูดด้วย ชายหนุ่มจึงใช้โอกาสนี้เดินออกมาตรวจความเรียบร้อยกับเช็คอะไหล่ข้างนอกแก้อาการขัดหูขัดตา แต่ดูเหมือนจะยิ่งอารมณ์บูดมากขึ้นไปอีก เมื่อเห็นพุ่มไม้ที่เยื้องกับอู่ของเขาสะบัดไหวๆอีกแล้ว

     

     

    เวลาเดิม...ที่เดิม...จุดเดิม....แล้วก็น่าจะเป็นคนเดิมด้วย...

     

     

    “นี่คุณ ว่างนักหรือไง มาทำอะไรตรงนี้อีกแล้ว” เสียงทุ้มลอดออกมาตามไรฟันเมื่อเห็นยองแจมานั่งซุ่มอย่างสบายอกสบายใจใต้ต้นไม้นี้อีก ครั้งแรกเขายังไม่ว่า แต่นี่มันครั้งที่สอง ถ้าไม่ให้เรียกว่าโรคจิตแล้วจะให้เรียกว่าอะไร

     

    “อ้าว นายเองเหรอ” ยองแจส่งยิ้มให้ ไม่สนใจสายตาที่มองมาเหมือนจะกลืนเขาเข้าไปทั้งตัว...แบบมนุษย์กินคนนะ ไม่ใช่อารมณ์โรแมนติกอะไรทั้งสิ้น...

     

    “ผมถามว่ามาทำอะไรตรงนี้อีก” จงออบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “จะมาซุ่มถ่ายใครอีกไม่ทราบ คุณฮิมชานเขาก็ไม่ได้มาที่นี่แล้ว อู่ของผมมันมีอะไรให้น่ามองนักเหรอ”

     

    “อย่าสนใจฉันเลย มันติดเป็นนิสัยน่ะ” ปากอิ่มอธิบายแจ้วๆประหนึ่งว่าพฤติกรรมของเขาเป็นเรื่องปกติ “หยุดยาวปีใหม่ก็เลยแวะมานั่งเล่น นายก็มองๆข้ามไปมั่งเหอะ วันไหนถ้าเห็นฉันนั่งแถวนี้แปลว่าฉันอยากมานั่งพักผ่อน จริงๆใต้ร่มไม้ตรงนี้ก็สบายเหมือนกันนะ ร่มดี เย็นดีด้วย เสียแต่ตอนนี้อากาศหนาวเลยนั่งได้ไม่นาน”

     

    เออ นั่งไปเลย วันหลังกุจะเอารังมดแดงมาปล่อย....จงออบคิดอย่างเคียดแค้น เขาบอกไม่ถูกหรอกว่าทำไมเห็นยองแจแล้วถึงหงุดหงิดนัก อาจเป็นเพราะท่าทางและนิสัยที่ประหลาดเกินจะทน รวมไปถึงการถือวิสาสะเข้ามานั่งในที่คนอื่นโดยที่ไม่ยอมบอกเจ้าของอีก และที่สำคัญ...

     

     

    ร่างนิ่มของคนตรงหน้าที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาในวันนั้นทำให้มุนจงออบลืมไม่ลงจริงๆ....นั่นแหละยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด หงุดหงิดที่สลัดคนโรคจิตแบบนี้ออกไปจากความคิดไม่ได้....

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    เขาไม่ได้คิดอะไรกับคนๆนี้จริงๆนะ มันคือความหงุดหงิดจริงๆ.....

     

     

    “อ้าว คุณยองแจ สวัสดีครับ” ยงกุกออกมาจากออฟฟิศ เมื่อเห็นจงออบยืนเอาเรื่องคนหน้าสวยอยู่ข้างๆอู่ของเขาก็เลยเดินตรงมาทักทาย ชายหนุ่มไม่รู้สึกรำคาญยองแจเท่าไหร่แล้วเพราะได้ยินเรื่องที่ฮิมชานเล่าให้ฟังบางส่วน ที่ตลกที่สุดก็คงจะเป็นนิสัยชอบแอบซุ่มของคนๆนี้นี่แหละ จากการทำงานเป็นช่างภาพมานานทำให้ยองแจชอบที่จะนั่งอยู่ตรงจุดใดจุดหนึ่งเงียบๆ เฝ้ารอบรรยากาศที่เหมาะสมและสวยงามของธรรมชาติแล้วก็ถ่ายรูปมันออกมา เมื่อทำไปนานๆเข้าก็เลยติดเป็นนิสัย บางวันก็นั่งอยู่ที่เดิมได้เป็นสิบชั่วโมง....ถ้าจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นความสามารถพิเศษ ยงกุกก็คิดว่ามันไม่ผิดซักเท่าไหร่

     

    “สวัสดีครับ” ยองแจยิ้มอย่างเบิกบานไปให้ เล่นเอาจงออบที่หน้าหุบอยู่แล้วยิ่งหุบเข้าไปใหญ่ กับคนอื่นล่ะยิ้มกว้างเชียว ทีกับเขาทำหน้ายังกับเห็นตัวประหลาด

     

    “มาเดินเล่นแถวนี้เหรอ มีวิวสวยๆให้ถ่ายรูปบ้างไหม” ร่างสูงทักทายตามประสาคนเข้ากับคนง่าย บวกกับวันนี้ที่เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษหลังจากได้ข้อความของใครบางคนเมื่อสักครู่

     

     

    ออกมาหาฉันหน่อย เจอกันตรงริมแม่น้ำที่เดิมนะ’

     

     

    แม้จะงงเล็กน้อยที่ฮิมชานมาหาเขาถึงที่นี่ แต่ด้วยอารมณ์ที่เบิกบานทำให้ยงกุกไม่ได้สนใจอะไรมาก ถึงจะเสียดายที่ได้อยู่ด้วยกันเพียงแป๊บเดียวในวันปีใหม่แต่เขาก็เข้าใจ ฮิมชานมีตารางงานหลังวันหยุดทันทีและต้องกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ เขาเองก็ต้องกลับมาหาพ่อแม่เหมือนกัน ต่างคนต่างยุ่งจึงไม่คิดว่าจะสละเวลามาหากันได้ในช่วงนี้...

     

    “ก็นั่งไปเรื่อยๆน่ะครับ แต่ที่ตรงนี้สบายจริงๆนะ” ร่างขาวพูดหน้าตาเฉย “ตั้งแต่มานั่งส่องคุณแล้วผมรู้เลยว่ามันสบายมาก แค่ขอนั่งหน่อยเดียว ใครบางคนก็เอาแต่ขัดจังหวะอยู่ได้”

     

    “ก็มันใช่ที่มั้ยเล่า” จงออบหันขวับมามองทันที “ผมไม่ชอบให้มีคนมานั่งด้อมๆมองๆอยู่ในที่ของผม มันน่ารำคาญ”

     

    “เจ้าของอู่จริงๆยังไม่เห็นว่าอะไรสักคำ แล้วนายจะมาบ่นฉันทำไม” คราวนี้ยองแจยื่นหน้าเข้าไปจนเกือบชิด วาจายียวนนั้นทำให้จงออบอยากจะหาอะไรสักอย่างมาปิดปากแดงๆนั้นให้รู้แล้วรู้รอด ชั่วขณะหนึ่งที่คิดอยากจะจูบขึ้นมา....แต่ไม่ดีมั้ง เขาไม่ได้คิดอะไรกับคนๆนี้ซะหน่อย

     

     

    จงออบไม่ได้คิดอะไรกับยูยองแจจริงๆนะ....

     

     

    “ถ้ายองแจอยากนั่งก็ปล่อยเขาเถอะจงออบ” ยงกุกหัวเราะ อันที่จริงเขาไม่เคยเห็นรุ่นน้องเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ก็จงออบวันๆนอกจากคุมช่างซ่อมในอู่แล้วแทบจะไม่ปริปากพูดอะไรซักคำ ขนาดพนักงานบางคนยังนึกว่าเขาเป็นใบ้ด้วยซ้ำ นี่มันวิปริตผิดแปลกสั่นสะเทือนเลือนลั่นมากๆเมื่อเห็นจงออบร่ายยาวใส่ยองแจเป็นชุดๆ คนบางคนนี่ก็ปากแข็งจริงๆน้า....

     

    “พี่” จงออบทำท่าจะคัดค้าน..

     

    “หยุดพูดได้แล้ว นายน่ะช่วยเฝ้าอู่ให้ด้วย เดี๋ยวฉันจะไปข้างนอกแป๊บนึง ฮิมชานมาหา” ชายหนุ่มว่าแล้วก้าวฉับๆออกจากอู่ไปทันที

     

    “อะไรนะ ฮิมชานมาเหรอ เด็ดเลย” ยองแจเลียริมฝีปากแล้วคว้ากล้องเตรียมไปปฏิบัติหน้าที่ แต่พอออกตัวปุ๊บ แขนยาวๆของจงออบก็สอดเข้ามาล็อคสะโพกเขาทันที

     

    “เฮ้ย จะทำอะไร ปล่อยฉันนะ” ร่างขาวโวยวาย รู้สึกแปลกๆเมื่อถูกกอดอีกครั้ง แต่หน้าที่ของเขาสำคัญกว่า ยองแจมีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับคำว่าฮิมชานเสมอ แม้จะจำได้ว่าฮิมชานเคยขอไม่ให้ถ่ายรูปของตนเองกับยงกุกก็ตาม...

     

    “คุณน่ะ มากับผมเลย” จงออบใช้โอกาสนี้สูดกลิ่นกายของคนในอ้อมกอดเบาๆ...เอ๊ะ หอมแฮะ... เอ้ย..ไม่ใช่สิ ไม่ใช่แล้ว... “ยุ่งกับคนอื่นนัก มานี่เดี๋ยวนี้เลย” แขนแข็งแรงรีบฉุดยองแจออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วก่อนจะพาเดินไปตามทาง วุ่นวายแบบนี้ต้องจัดการซะหน่อยแล้ว อู่นั่นให้จุนฮงเฝ้าไปละกัน...วันนี้เขาต้องสั่งสอนเด็กดื้อคนนี้สักหน่อยว่าไม่ควรทำความรำคาญให้กับคนอื่นอีก...

     

     

     

    จะทำยังไงน่ะเหรอ..จงออบมีวิธีของเขาก็แล้วกัน.....

     

    -----------------------------------------------------------

     

    “เหมียวน้อย” ยงกุกแทบจะถลาเข้าไปหาเมื่อเห็นร่างบางในชุดเฟอร์สุดล้ำยืนรออยู่ตรงนั้น ริมแม่น้ำใกล้กับอู่ซ่อมรถที่เขามาเดินเล่นกับฮิมชานเมื่อหลายวันก่อนตอนนี้มีเกล็ดน้ำแข็งจากหิมะปกคลุมไปทั่ว คนที่ยืนรอเขาก็เข้ากับหิมะตรงหน้าได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศแบบไหน ความสวยของฮิมชานก็ยังคงส่องประกายโดดเด่นกว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขาเสมอ...

     

    “มาช้าจัง” ปากสีชมพูสดซีดลงเล็กน้อยเพราะอากาศหนาว “ยืนรอตรงนี้หนาวแทบแย่”

    “คุณมาคนเดียวเหรอ” ยงกุกมองซ้ายมองขวาด้วยความสงสัย “แดฮยอนล่ะ ทำไมวันนี้ถึงไม่มาด้วย”

     

    “ฉันอยากให้แดฮยอนพักผ่อนบ้าง อีกอย่างวันนี้ก็มาไม่นานหรอก” ร่างเล็กซุกเข้ากับอกเขาด้วยความคิดถึง “แค่จะเอาของมาให้นายเท่านั้นเอง นี่ไง” ว่าแล้วก็หยิบกล่องเล็กๆที่เก็บเอาไว้ในโค้ทใต้เฟอร์ออกมา มันเป็นกล่องใสที่มองเห็นข้างใน ข้างกล่องสลักยี่ห้อแบรนด์หรูเอาไว้ด้วย ยงกุกก้มลงมองตามมือน้อยนั้นแล้วก็เห็นว่า ของที่ฮิมชานถืออยู่คือนาฬิกาพกเรือนสวยขนาดพอดีมือ ไม่มีลวดลายและเรียบง่ายเหมือนกับสร้อยคอรูปหัวใจที่เขาเคยให้คนตรงหน้าไปเช่นกัน

     

    “ของขวัญวันครบรอบจากฉัน ขอโทษนะยงกุกที่เอามาให้ช้าไปหน่อย” เขายิ้มจนตาเรียวสวยกลายเป็นเส้นโค้ง ชายหนุ่มรับนาฬิกาพกนั้นไปพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความดีใจที่ปิดไม่มิด

     

    “อุตส่าห์เอามาให้ผมถึงนี่เลยเหรอ ไม่เห็นต้องลำบากเลย” มือแกร่งไล้ไปตามแก้มบางที่เริ่มเย็นแล้วแนบริมฝีปากลงไปด้วยความคิดถึง “โทรมาก็ได้ เดี๋ยวผมขับรถไปหาเอง”

     

    “ไม่เอา” ดาราดังส่ายหัวให้เขาจนผมนุ่มนั้นพลิ้วไปตามแรงสั่น “ฉันอยากมาหานายที่นี่นี่นา แล้วก็จะมาบอกข่าวด้วย” ตากลมประสานกับดวงตาเขาก่อนจะพูดต่อ “อย่างที่บอกนั่นแหละ หนังของฉันขายต่างประเทศได้ ต้องเดินสายโปรโมทหลายอาทิตย์เลย หลังจากนั้นก็มีถ่ายละครที่ลิสบอน ค่ำนี้ก็ต้องบินแล้ว แดฮยอนไม่ได้มาด้วยเพราะช่วยเตรียมกระเป๋าให้ฉัน แล้วฉันก็อยากมาหานายก่อน เราจะไม่ได้เจอกันอีกสองสามเดือนเลยนะยงกุก ฉันบินยาวเลย” หมดคำพูดนั้น นิ้วโป้งเรียวของบังยงกุกก็ลดลงมาแตะแต้มไปตามเรียวปากสวยของเขา ปลายจมูกโด่งคมเชิดขึ้นด้วยความรั้นนิดๆ ทำเอาชายหนุ่มอดใจไม่อยู่ ต้องก้มลงไปจูบคนตรงหน้าอย่างดูดดื่มอีกครั้ง

     

    “ไม่เป็นไร ผมรอได้” เขาแนบหน้าผากเข้ากับหน้าผากมนอย่างทะนุถนอม “ใช่ว่าเราจะคุยกันไม่ได้เลยนี่นา”

     

    “แต่จะไม่บ่อยเท่าที่ผ่านมานะ” ฮิมชานถอนหายใจยาว  “ตอนทำงานฉันไม่รับโทรศัพท์แล้วก็ไม่ติดต่อกับใครด้วย ถ้ามีธุระจริงๆนายติดต่อผ่านแดฮยอนก็ได้ ขอโทษนะยงกุก เวลาทำงานฉันก็เป็นแบบนี้แหละ”

     

    “ถ้าอย่างงั้นผมไม่รบกวนคุณดีกว่า  ไว้ค่อยคุยกันตอนกลับมาก็ได้ แบบนี้แหละดีแล้ว จะได้ตั้งใจทำงาน เหมียวน้อยของผมเป็นมืออาชีพฝุดๆ” ยงกุกยกยิ้มซะกว้าง “แค่แป๊บเดียวเอง ผมรอได้อยู่แล้วล่ะ”

     

    “ต้องคิดถึงฉันให้มากๆนะ” ริมฝีปากแดงยู่ใส่เขาเป็นเชิงคาดคั้น แขนเรียวสอดเข้าไปหาอกกว้างแนบแน่นแล้วเงยหน้าประสานสายตากับร่างสูงอีกครั้งก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้

     

    “ไว้กลับมาแล้วฉันมีอะไรจะบอก รอฉันนะยงกุก กลับมาเมื่อไหร่ฉันจะบอกนายทันทีเลย”

    “หืม จะบอกอะไร”

     

    “ไว้ก่อน ให้ฉันเตรียมตัวก่อนแล้วค่อยบอก” ฮิมชานกัดริมฝีปากนิดๆอย่างเขินอายเมื่อคิดว่าเขาจะต้องบอกคำๆนั้นกับคนตรงหน้า

     

     

    ....ใช่ คำๆนั้น...คำว่ารัก เขาตั้งใจว่าจะต้องบอกกับบังยงกุกเสียที รออีกนิดเดียวเท่านั้น ให้เขาตั้งหลักแล้วก็วางแผนชีวิตให้ดีก่อน ผู้ชายอย่างเขา ถึงเวลาบอกรักมันก็ไม่ใช่จะพูดง่ายๆนะ ยิ่งเป็นฝ่ายพูดก่อนด้วย ร้อยวันพันปีฮิมชานไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาบอกรักใครก่อนเลย แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าบอกแล้วจะทำให้เขาหายอึดอัดใจ บอกไปก็น่าจะดีกว่า....

     

    .

      

    .

      

    .

     

    “ก็ได้ ผมก็มีอะไรจะบอกคุณเหมือนกัน...” ยงกุกยิ้มตอบก่อนจะจูบปากบางไปแรงๆอีกที “คุณก็ต้องคิดถึงผมด้วยนะ กลับมาแล้วเราค่อยไปเที่ยวด้วยกัน โอเคมั้ย”

     

    “อื้อ ฉันจะลาพักยาวๆเลย” สองแขนของฮิมชานยกขึ้นโอบรอบคอเขา เนื่องจากเป็นหน้าหนาวและไม่มีใครมายืนตรงแม่น้ำ ทำให้แม่เสือไม่ค่อยกลัวเรื่องที่จะมีคนมาเห็นมากนัก

     

    “นาฬิกาสวยจัง” บังยงกุกแกะกล่องออกแล้วหยิบนาฬิกาออกมาลูบเบาๆ “ผมพกติดตัวไว้ตลอดเลยได้ไหม”

     

    “แน่นอนสิ” ฮิมชานกุมมือเขาแล้วยกมืออีกข้างขึ้นดึงแก้มอุ่นนั้นก่อนจะยิ้มอย่างน่ารัก “นี่คือเวลาของเรานี่นา นายต้องเก็บเอาไว้ให้ดีนะ สร้อยของนายฉันก็ห้อยตลอดเลยเห็นมั้ย”

     

    “ชื่นใจ” ร่างสูงอมยิ้ม ริมฝีปากก้มลงแตะที่หูเขาขณะกระซิบแผ่วๆ “อยากให้รางวัลมากกว่านี้ แต่ผมต้องกลับไปทำงานแล้ว เสียดายจัง ไว้กลับมาจะจัดหนักให้เลยนะ”

     

    “เดี๋ยวเถอะ” มือขาวทุบอกเขาเบาๆก่อนจะบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย “ฉันไปก่อนนะ”

    “ให้ผมขับไปส่งไหม”

     

    “ไม่ต้องหรอก ลำบากนายเปล่าๆ ฉันจำทางได้ ไม่ขับมั่วแบบตอนนั้นแล้วนะ” ปากบางยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีจนเห็นฟันกระต่ายน้อยๆ “ไปล่ะ ไว้กลับมาแล้วจะบอกอีกที ห้ามคิดถึงคนอื่นนอกจากฉันด้วย”

     

    “เดินทางดีๆดูแลตัวเองด้วยนะ” ยงกุกกอดอีกฝ่ายแล้วส่งคนตรงหน้าขึ้นรถไป ไม่รู้เหมือนกันว่าฮิมชานจะบอกอะไรเขา อาจจะไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากมาย แต่สำหรับเขา หลังจากไตร่ตรองมาหลายวัน เขาก็คิดว่าจะต้องบอกความรู้สึกของตัวเองให้ฮิมชานรู้สักที บังยงกุกอาจจะใฝ่สูง...เป็นแค่คนธรรมดา ได้ใช้เวลาอยู่กับคิมฮิมชานแบบนี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว แต่เขาต้องการมากกว่านั้นและต้องทำให้ชัดเจนมากขึ้น ถ้าได้บอกออกไป ต่อให้ฮิมชานไม่สนใจเขาหรือจะให้เป็นทาสแบบนี้ต่อไปอย่างเดิมเขาก็ยอม...

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    ขอแค่มีเจ้าของนาฬิกาพกนี้อยู่ข้างๆเขาตลอดไปก็พอแล้ว....

     

    --------------------------------------------------------------

     

    “มานี่เลย วุ่นวายนัก” แขนยาวของจงออบยังคงลากกึ่งกระชากยองแจมาตามทาง อันที่จริงเขาก็ไม่ได้โหดหรอก แต่เหมือนคนที่ถูกดึงจะร้องโอดโอยแบบโอเวอร์ไปเองซะมากกว่า

     

    “ปล่อยนะ ทำไมนายชอบทำรุนแรงกับฉันจัง เป็นพวกซาดิสม์รึไงเนี่ย” ปากอิ่มสีชมพูโวยวายแล้วพยายามจะแกะมือของอีกคนออก อยู่ดีๆก็โดนลากมาซะไกลแบบนี้แถมยังไม่ปราณีกันเลย ไม่รู้ไปโกรธอะไรมาจากไหน เรื่องอะไรจะต้องมาลงกับเขาด้วย

     

    ในที่สุดจงออบก็ปล่อยแขนนั้นให้เป็นอิสระ เขากลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นว่าแขนของยองแจเป็นรอยแดงจริงๆ ขนาดล็อคผ่านเสื้อโค้ทลงไปเป็นรอยแดงแบบนี้ ออกแรงมากเกินไปจริงๆด้วยสินะ

     

    “ผมขอโทษ” เขาพูดออกมา ทั้งคู่เดินเข้ามาในคาเฟ่อบอุ่นแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก “เอ้า นั่งซะ จะดื่มอะไรเดี๋ยวไปสั่งให้”

     

    “นายถนัดบังคับคนอื่นตลอดเวลาเลยรึไง” ยองแจนวดแขนตัวเองเบาๆแล้วนั่งไขว่ห้างอย่างไม่สนใจคำพูดของอีกคนเท่าไหร่ “หัดพูดดีๆแบบคุณยงกุกมั่งสิ นิสัยดีน่ารักแบบนั้นนี่เอง มิน่าทำไมฮิมชานถึงชอบนักหนา”

     

    “ตกลงจะสั่งอะไร” เขาเริ่มคิ้วขมวดมากขึ้น “ไม่สั่งจะสั่งให้เองแล้วนะ หรือไม่ก็ไม่ต้องกิน”

    “เอ๊ะ ก็บอกให้พูดดีๆ” อีกฝ่ายถลึงตา “คาราเมลมัคคิอาโต้ เอาหวานๆ ฉันชอบ”

     

    “ก็แค่นี้” จงออบพูดห้วนๆแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสั่งกาแฟ มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะต้องพาผู้ชายน่ารำคาญคนนี้มานั่งดื่มกาแฟเลย สถานการณ์มันไปตามน้ำพอดี ถ้าไม่ลากตัวมาด้วยป่านนี้ไม่รู้จะกดชัตเตอร์รูปยงกุกกับฮิมชานได้เท่าไหร่แล้ว

     

    “ทำไมคุณจะต้องไปตามถ่ายคนอื่นเขาด้วย” ชายหนุ่มตรงเข้าประเด็นหลังจากนั่งมองอีกคนดูดกาแฟอยู่พักหนึ่ง “เป็นปาปารัซซี่มันดีตรงไหน”

     

    “ไม่ใช่ถ่ายคนอื่น แค่ฮิมชาน” ยองแจแก้ให้ด้วยเสียงเรียบๆ จะทำหน้าดุขนาดไหนเขาก็ไม่กลัวหรอก ไม่รู้จะวางท่าไปทำไม ซึนนักหรือไงนะ ประหลาดจริงๆเชียวไอ้หมอนี่

     

    “ฉันน่ะ จะว่าเป็นปาปารัซซี่ก็ไม่เชิงหรอกนะ เหมือนจะเป็นปาปารัซซี่กึ่งสตอล์คเกอร์” เดี๋ยว...นี่มันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ...จงออบอ้าปากหวอ...สตอล์คเกอร์ปุ๊บนี่โรคจิตเลยนะ จิตจริงๆด้วย หน้าตาดีแท้ๆไม่น่าเป็นแบบนี้เลย ตอนพูดก็ไม่อายด้วย ยูยองแจเป็นคนประหลาดกว่าที่เขาคิดซะอีก

     

    “เลิกมองหน้าฉันแบบนั้นซะที” ยองแจดีดนิ้วใส่อีกฝ่ายดังเป๊าะ “รู้หรอกนะว่านายเห็นฉันเป็นคนโรคจิต เจตนาฉันบริสุทธิ์กว่าที่นายคิดเป็นล้านเท่า รู้ไว้ซะด้วย” เขาเบ้ปากแล้วบอกเหตุผลอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ “ฉันรู้จักกับฮิมชานมาหลายปีแล้ว ถ้านายดูละครหรือติดตามพวกดาราหน่อยก็น่าจะรู้ว่าเจ้านั่นเป็นคนโดดเด่นแค่ไหน แต่เมื่อก่อนเขาไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ มีฉันคนเดียวเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเขาจะต้องมาได้ไกลขนาดนี้ ฮิมชานมีดีในตัวเอง ไม่เหมือนคนอื่นๆเลย”

     

    “ฉันเป็นช่างภาพ และการสะดุดตาเข้ากับสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ฮิมชานก็ทำให้ฉันประทับใจ ทั้งตอนถ่ายรูปและนิสัยของเขา มันเหมือนกับการค้นพบเพชรที่สวยงามน่ะ เพชรเม็ดเล็กๆที่ตอนนี้ส่องประกายสว่างกว่าคนอื่น ในเมื่อเราเป็นคนเจอมันด้วยตัวเอง แล้วเราจะไม่ภูมิใจเหรอ นายไม่คิดแบบนั้นเหรอ”

     

    “เรื่องนั้นมันก็ใช่” จงออบยอมรับ “แต่ก็ไม่เกี่ยวกับการที่คุณจะต้องไปตามถ่ายเขานี่นา”

     

    “ก็เจ้าบ้านั่นมันไม่ยอมให้ฉันถ่ายนี่” ...เออสิ เป็นใครก็ไม่ยอมให้ถ่ายหรอก...จงออบคิด ยองแจเลยพูดต่อเหมือนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ “แต่ก็ไม่ได้ห้ามหรอกนะ ฉันน่ะถึงจะตามถ่ายแต่ก็ไม่มีเจตนาร้ายกับเขา ฉันถ่ายเพราะฉันชอบถ่ายรูปฮิมชาน แต่กับปาปารัซซี่คนอื่นน่ะ...ระวังไว้ให้ดีเถอะ” พูดมาถึงตรงนี้ เสียงของยองแจก็เริ่มเครียดขึ้น เขาดูดกาแฟเข้าไปอีกอึกหนึ่งก่อนจะพูดต่อ

     

    “อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องมาสาธยายให้นายฟังเลยนะ แต่เห็นว่าสนิทกับยงกุกก็เลยบอกให้รู้ซะหน่อย ปาปารัซซี่ที่ตามถ่ายเฉพาะฮิมชานมีอยู่เป็นสิบๆคน บางคนก็ถูกจ้างมาให้ทำแต่ข่าวเสียๆโดยเฉพาะ ยังดีที่ฉันอยู่ในแวดวงช่างภาพก็เลยพอจะรู้เรื่องของวงการปาปารัซซี่ด้วย บางรูปหรือบางสถานการณ์ที่เตือนฮิมชานได้ ฉันก็เตือนเขา แต่ช่วงนี้ฉันเองก็มีงาน ตอนที่ยงกุกกับฮิมชานคบกันฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ พวกนายรอดจากข่าวเสียๆมาได้ถือว่าโชคดีมากแล้ว”

     

    “แต่ยิ่งมาหากันบ่อยๆแบบนี้มันยิ่งอันตราย คราวก่อนที่ยงกุกไปส่งฮิมชานที่โรงแรม ถ้าคนเห็นไม่ใช่เพื่อนฉันก็ไม่รู้ว่าข่าวมันจะกระฉ่อนไปมากเท่าไหร่  อย่าชะล่าใจไปนะ นิสัยฮิมชานน่ะไม่ค่อยมีใครเข้าใจหรอก นอกจากฉันกับแดฮยอนเขาก็ไม่คุยกับใครมาก ดาราหลายคนหมั่นไส้เขา จะขัดแข้งขากันเองก็มี ฉันอยากให้นายระวังตรงนี้ไว้ด้วย”

     

    “คุณจะบอกว่าที่มาตามฮิมชานนี่ส่วนนึงเป็นเพราะจะช่วยเขา อย่างงั้นเหรอ”

     

    “ก็ใช่ แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้นหรอก” ใบหน้าสวยหัวเราะ “ถ้าถ่ายรูปหลุดๆได้บางทีฉันก็เอาไปขายเหมือนกันแหละ”

     

    .

     

    .

     

    เวร...จงออบได้แต่กลอกตา...ไม่น่าหลงคิดไปวูบนึงว่าคนๆนี้เป็นคนดีเลยจริงๆ

     

    .

     

    .

     

    “ถึงอย่างงั้นก็เหอะ” ชายหนุ่มพูดต่อด้วยเสียงที่อ่อนลง  “ถ้าอยู่ที่อื่น คุณจะไปซุ่มที่ไหนก็ตามใจคุณ แต่ที่อู่ของผม มันเป็นบริเวณของผมซึ่งไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย อย่าไปนั่งตรงนั้นอีกรู้มั้ย ไม่มีอะไรให้ถ่ายสักหน่อย”

     

    “ก็มันติดเป็นนิสัยไปแล้วนี่” เมื่อเห็นอีกฝ่ายผ่อนคลายขึ้น คนสวยก็ยอมพูดดีด้วย “เวลาฉันตั้งกล้องถ่ายวิวก็ชอบนั่งนานๆแบบนั้นแหละ อีกอย่างก็ไม่รู้จะไปนั่งที่ไหน ไม่ได้ทำความลำบากให้พวกนายซะหน่อย ก็แค่ขอนั่งเล่นเงียบๆนิดเดียวเอง”

     

    ตาตี่ๆของคนตรงหน้าจ้องมองเขาอย่างครุ่นคิด ดูเหมือนจะลังเลอยู่สักพักแล้วก็ตัดสินใจพูดออกมา...

      

    .

     

    .

      

    .

     

    “วันหลังก็เข้ามานั่งในออฟฟิศกับผมสิ” จงออบพูดตะกุกตะกักอย่างลำบากใจ แก้มแดงไปถึงหูเลยแฮะ “อยากนั่งเล่นนอนเล่นนักก็มาอยู่ข้างในกับผม อยู่ข้างนอกให้ลมโกรกเล่นเดี๋ยวก็ไม่สบายไปหรอก งี่เง่าจริง”

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    เปล่านะ จงออบไม่ได้สนใจอะไรยองแจเลยนะ เขาแค่รำคาญคนๆนี้ แค่รำคาญก็เท่านั้นเอง

     

     

    End

     


    น้องมุนกลายเป็นผู้ชายซึนไปซะแล้ว แต่แบบนี้ก็ดีนะ เพราะไม่งั้นนางจะกลืนหายไปกับสายลม 55555 น่ารักดีข่ะ!


     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×