คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Mister Right #02 [BC] *END*
Mister Right #02
สองอาทิตย์ผ่านไปพร้อมกับความสดใสของคิมฮิมชานที่ดูเหมือนจะปลิวไปอย่างไม่รู้ตัวด้วย เขายังคงลงมานั่งทำงานในร้านกาแฟของยูยองวอนเหมือนอย่างเคย เป็นหนูทดลองช่วยชิมขนมรสใหม่ๆให้เหมือนเคย แต่สิ่งที่ต่างไปจากเดิมน่าจะเป็นแรงเต้นของหัวใจที่มันไม่ถี่รัวอย่างเมื่อก่อนแล้ว
ความหนักอึ้งราวกับหินที่กดทับยังคงทำให้เขาหน่วงหัวใจแปลกๆ กลายเป็นว่าคืนที่พี่ยองวอนสารภาพรักกับเขา กลับเป็นช่วงที่ตอกย้ำให้เขาแน่ใจในสิ่งที่ไม่อยากจะยอมรับมาตลอด...
.
.
“ฮิมชาน” เสียงเรียกแสนอบอุ่นของพี่ยองวอนก็ยังชวนให้ปลาบปลื้มเหมือนเคย แต่ในตอนนี้ นักเขียนหนุ่มกลับรู้สึกว่ามันอบอุ่นสู้ใครอีกคนไม่ได้ซะอย่างนั้น คนที่มีเสียงทุ้มต่ำจนเขาค่อนแคะอยู่บ่อยๆว่าเหมือนตุ่นในรู แต่ก็เป็นเสียงนั้นอีกนั่นแหละที่คอยให้คำแนะนำหรือแม้กระทั่งปลอบโยนในเวลาที่เขาทุกข์ใจ....
ยงกุกเป็นไอ้เฉื่อยก็จริง แต่ถึงสมองจะช้าก็ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนโง่...ผู้ชายคนนั้นมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง คนที่ทำให้หัวใจของเขาทั้งอบอุ่นและเต็มตื้นไปพร้อมๆกันในบางเวลา..
.
.
เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่คิมฮิมชานคิดถึงบังยงกุกมากขนาดนี้....
อาจเป็นเพราะตลอดสองปีที่ผ่านมา พวกเขาสองคนแทบไม่เคยห่างจากกันไปไหนนานๆ หรือถ้าห่างก็แค่เป็นเรื่องทั่วๆไปอย่างเช่นการกลับไปเยี่ยมบ้าน เที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน หรืออะไรอีกหลายๆอย่างที่ไม่ถ่วงหัวใจเขาอย่างที่เป็นอยู่...
.
.
“ชาน” เสียงเรียกของพี่ยองวอนดังขึ้นอีกครั้งจนใบหน้าหวานต้องเงยขึ้นไปมอง รอยยิ้มน้อยๆแสดงความใจดีไม่เปลี่ยน “เป็นอะไรรึเปล่า เหม่ออีกแล้ว คิดงานไม่ออกเหรอ”
“เปล่า...อ...เอ่อ...อ่า...ใช่ครับ” ฮิมชานยิ้มแหยๆเมื่อรู้ว่าถูกจับผิด “พล็อตมันติดน่ะ เขียนต่อไม่ออก”
“ไอ้ที่ติดในสมองนั่นพล็อตหรือเรื่องของเขา”
“หา?”
“พี่ไม่ได้ตาบอดขนาดมองไม่รู้หรอกนะว่านายเป็นอะไร” รุ่นพี่หนุ่มยิ้มให้เขาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกัน “หลายวันมานี่ฮิมชานไม่ร่าเริงเหมือนเดิมเลย มานั่งทำงานในร้านพี่ก็เอาแต่เหม่อ ตั้งแต่วันที่นายบอกพี่ว่ายงกุกจะไปค้างข้างนอก พี่ก็ไม่เห็นนายยิ้มแย้มอีกเลยนะ คิดถึงเขาก็อย่าฝืนเลย”
“ผมไม่ได้คิดถึงนะ” ฮิมชานส่ายหน้าเบาๆ “ไม่คิดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว ไอ้คนใจร้ายพรรค์นั้น พอหายหัวไปก็ไม่ติดต่ออะไรกลับมาเลย โทรไปหาก็ถามคำตอบคำ กวนประสาทกันแบบนี้มันน่าให้คิดถึงที่ไหน”
“แต่ก็คิดไปแล้ว ใช่ไหมล่ะ” ยูยองวอนพูดยิ้มๆ ทำไมเขาจะเดาปฏิกิริยาของรุ่นน้องตรงหน้าไม่ออก ทุกครั้งที่ลอบมองฮิมชานตอนอยู่กับยงกุก เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่สองคนนั้นไม่รู้ ฮิมชานจะเอาแต่พูดแจ้วๆ ในขณะที่ยงกุกกลับไม่พูดอะไรสักคำ แต่สายตาที่มองอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยประกายลึกล้ำอย่างบอกไม่ถูก หรือแม้แต่ตอนที่เขาเจอทั้งคู่เดินไปซื้อของด้วยกันโดยบังเอิญ ท่าทางที่เป็นธรรมชาติยามที่อยู่ด้วยกันนั้นช่างสดใสเหมือนว่าใครก็เข้าไปแทรกกลางไม่ได้...
.
.
.
เขารู้นานแล้วว่าสองคนนี้รู้สึกยังไงต่อกัน รู้ทั้งที่ฮิมชานไม่รู้นั่นแหละ แล้วก็อยากจะหวังอีกสักหน่อยว่าหัวใจของฮิมชานอาจจะยังมีที่เผื่อเขาอยู่ แต่ไม่ใช่เลย ท่าทีของฮิมชานในวันนั้นทำให้ยูยองวอนเข้าใจโดยไม่ต้องถามอะไรให้มากมายด้วยซ้ำ...
คนอกหักเลยต้องกลายมาเป็นพ่อสื่อซะเองนี่ไง...
“รู้ไหมชาน” ชายหนุ่มหัวเราะแล้วกุมมือนุ่มของรุ่นน้องเบาๆ “ตอนนี้พี่รู้สึกดีมากเลยนะ ดีกว่าตอนที่พี่ขอนายคบซะอีก”
“หมายความว่ายังไงครับ?”
“พี่เคยคิดว่าถ้าขยับความสัมพันธ์ไปเป็นอีกแบบ พวกเราน่าจะสนิทใจและมีความสุขมากกว่านี้” ดวงตาอบอุ่นจ้องมองฮิมชานตรงๆ “แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย การที่นายบอกว่าปลื้มพี่แบบพี่ชาย อยากให้เราเป็นพี่น้องกัน กลับทำให้ความสัมพันธ์ชัดเจนขึ้นและพูดคุยกันได้ง่ายกว่าเดิม พี่เองก็พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้นะ เพราะพี่อยากให้นายมีความสุข แล้วก็อยากให้ยงกุกมีความสุขด้วย ความสัมพันธ์ที่ชัดเจนจะยิ่งช่วยให้เราปฏิบัติตัวกับอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น อย่างเช่นพี่กับนายในตอนนี้ไง”
“พี่ยองวอน พี่รู้ว่าผมคิดยังไงกับยงกุกเหรอ”
“ใช่ แล้วพี่ก็มั่นใจว่ายงกุกเองก็รู้สึกไม่ต่างกับนาย” ชายหนุ่มยืนยัน “ลองไปคุยกับเขาดีๆเถอะ ยงกุกไม่ใช่คนโง่ นายก็รู้นี่นา อาจจะทำตัวเชื่องช้าไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องสักหน่อย”
“แล้วถ้าเขาปฏิเสธผมล่ะ” ดวงตาดำขลับแสดงความทุกข์ใจออกมา “ที่ผ่านมายงกุกไม่เคยแสดงออกเลยว่าเขาคิดกับผมมากกว่าเพื่อน”
“ขนาดพี่ยังมองออก แล้วมันจะเป็นอื่นไปได้ยังไง” ยองวอนยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวทุยนั้นอย่างเอ็นดู “พี่อยากให้นายสดใสเหมือนเดิมนะ ขึ้นอยู่กับนายแล้วว่าจะลองเสี่ยงหรือจะปล่อยให้มันอึดอัดใจอยู่แบบนี้ การหมางเมินต่อกันมันไม่มีความสุขเลยถูกไหม”
ในที่สุดยูยองวอนก็ได้เห็นรอยยิ้มนั้นอีกครั้ง ริมฝีปากแดงๆยกขึ้นจนเห็นฟันกระต่ายน้อยๆแสนน่ารักพร้อมกับตาหยีๆ กลายเป็นคิมฮิมชานที่แสนร่าเริงคนเดิม
.
.
.
“ถ้าอย่างงั้นพี่ต้องช่วยผมแล้วล่ะ”
---------------------------------------------------------------------------
บ่ายแก่ๆในวันนั้นเองที่คิมฮิมชานตัดสินใจเดินทางมาที่ศูนย์การวิจัยพิเศษซึ่งเป็นห้องแล็บที่บังยงกุกปฏิบัติงานอยู่เป็นประจำ มันคือศูนย์ที่แยกออกจากคณะในมหาวิทยาลัย มีระยะทางห่างกันไม่มากเท่าไหร่ ที่รู้ก็เพราะเขาเคยเอาของมาให้ยงกุกอยู่สองสามรอบ ไอ้เฉื่อยมันเชื่องช้าจนบางทีก็ลืมนู่นลืมนี่โดยไม่ได้ตั้งใจ...
ฮิมชานไม่รู้หรอกว่าการที่ยงกุกลืมของนั้นไม่ใช่เพราะเขากะป้ำกะเป๋อ แต่เป็นเพราะเอาแต่ดูแลใครบางคนที่เหมือนจะลุกลี้ลุกลนทุกครั้งเวลาส่งงานจนลืมของของตัวเองแทนต่างหาก ทุกครั้งที่ส่งงาน ฮิมชานจะต้องโวยวายและวิตกจริตว่าจะโดนสั่งแก้ เขียนใหม่ หรืออะไรก็แล้วแต่ และก็เป็นทุกครั้งที่ยงกุกจะจับมือเขาเบาๆ พาไปส่งออฟฟิศทั้งที่บางวันตัวเองก็มีเลคเชอร์หรือไม่ก็เทสต์แล็บ สุดท้ายก็ลืมของเสียเองจนฮิมชานต้องเอาไปให้หลังจากเสร็จธุระของตัวเองที่ออฟฟิศแล้ว
เขามีไอ้เฉื่อยอยู่ในชีวิตจนลืมไปแล้วว่ามันคือความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน คิมฮิมชานไม่รู้เองแหละว่าเขาควรชัดเจนกับใคร คนๆไหนที่เป็นมิสเตอร์ไรท์สำหรับเขา...
ด้วยเหตุนี้เองร่างโปร่งถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าแล็บของยงกุกพร้อมกับข้าวกล่องที่อีกฝ่ายชอบ และขนมมาการองแพสชั่นฟรุตสีเหลืองนวลหน้าตาน่ากิน นักเขียนหนุ่มใช้เวลาช่วงเช้าไปกับหลักสูตรการทำขนมแบบเร่งรัด ดีว่าเขาเก่งการครัวอยู่แล้ว และพี่ยองวอนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีถึงขั้นยอมให้สูตรมาการองแบบไม่มีกั๊กแถมยังสอนทำอย่างเต็มที่
ถึงจะเคยเอาของมาให้หลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ฮิมชานจะตื่นเต้นเท่านี้ ทั้งตื่นเต้น คาดหวัง แล้วก็ใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก เขาหวังเพียงว่ามาการองชิ้นน้อยๆนี้จะสื่อถึงความคิดถึงให้ยงกุกได้รู้บ้าง พูดถึงความตั้งใจ บอกได้เลยว่าเขาตั้งใจทำมากกว่าครั้งไหนๆ มาการองเป็นขนมที่ทำไม่ง่ายและก็ไม่ยาก แต่การจะทำออกมาให้ละมุนลิ้นนั้นต้องใช้ประสบการณ์และความทุ่มเทที่สูงมากกว่าปกติ ไอ้เฉื่อยไม่น่าจะเข้าใจลึกซึ้งถึงขนาดนั้นหรอก แต่ขอให้กินแล้วรับรู้ถึงความรู้สึกของเขาบ้างก็พอ...
คิดถึงจริงๆนะ...
นักเขียนหนุ่มเดินตรงเข้าไปในตัวอาคารหลังจากพูดคุยกับลุงยามที่หน้าตึกเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเพราะเขาเคยเอาของมาให้ยงกุกบ่อยๆ ลุงยามจึงจำได้ แต่นี่ก็เย็นแล้วคงอยู่ในตึกไม่ได้นาน...ฮิมชานกะว่าจะเอามาให้เฉยๆแล้วกลับ วันรุ่งขึ้นค่อยทำมาให้อีกแล้วรอยงกุกกลับบ้านด้วยกัน ไม่ว่าจะงอนขนาดไหน ยังไงเขาก็จะต้องหนีบไอ้เฉื่อยกลับไปนอนที่บ้านให้ได้...
ขายาวก้าวไปยังห้องที่ยงกุกทำวิจัยในนั้น แสงไฟจากห้องเดียวทั้งชั้นที่ส่องออกมาบ่งบอกถึงการมีอยู่ของคนในห้อง นี่เป็นการเซอร์ไพรส์แบบที่ใครๆก็ทำกัน คิมฮิมชานก็เหมือนคนที่ต้องการความโรแมนติกทั่วไปนั่นแหละ เขาไม่ได้โทรบอกยงกุกเพราะตั้งใจว่าจะมาหาแล้วปรับความเข้าใจกัน ตลอดสองปีที่อยู่ห้องเดียวกันมา ชายหนุ่มรู้ดีว่าไอ้เฉื่อยไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรยาก แค่สมองช้าไปหน่อยและต้องการให้อ้อนเยอะๆ แน่นอนว่าเขาตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว และมั่นใจว่าจะต้องสำเร็จด้วย
.
.
มือบางเคาะประตูก่อนจะผลักเข้าไปเบาๆ ในนั้นเหมือนจะมีคนอยู่มากกว่าหนึ่งและคุยกันอย่างเพลิดเพลินจนไม่รับรู้ว่ามีใครโผล่เข้ามาในห้อง เสียงหัวเราะใสๆที่ดังแทรกเข้ามาทำให้ฮิมชานรู้ว่าคนที่อยู่กับยงกุกนั้นเป็นผู้หญิง...
ร่างโปร่งหยุดอยู่กับที่แล้วฟังอย่างเงียบๆ ตัวเขาเองก็ก้าวขาไม่ออกด้วย ในโสตประสาทได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นหูแต่กลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก...
.
.
มันเป็นเสียงอันเหนื่อยล้าเหลือเกินยามที่ยงกุกกำลังพูดคุยเรื่องของเขา ให้ผู้หญิงอีกคนหนึ่งฟัง...
“พวกนายอยู่ด้วยกันมาตั้งสองปีไม่ใช่เหรอ เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเดายากเลยนี่นา” หญิงสาวคนนั้นเอ่ยระหว่างล้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไปด้วย เสียงก๊อกแก๊กปิดบังการเคลื่อนไหวของฮิมชานที่เลื่อนตัวเข้าไปข้างตู้เก็บอุปกรณ์เพื่อลอบฟังเงียบๆ
“ก็เดาไม่ยากไง ฉันถึงต้องมาเหนื่อยอยู่แบบนี้” เสียงยงกุกดังตามออกมา แผ่นหลังกว้างหันให้ประตู เขาจึงมองไม่เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาที่เฝ้าคิดถึงมานานหลายวัน
“ห้องฉันยังว่างนะ ถ้านายอยากมาอยู่ก็ไม่มีปัญหาหรอก” หญิงสาวเช็ดมือให้เรียบร้อยแล้วหันมาควงแขนอีกฝ่ายอย่างสนิทชิดเชื้อ “เสียค่าเช่าไปตั้งสองปีทั้งที่จะมาอยู่กับฉันก็ได้ เปลืองเงินเปล่าๆนะสุดหล่อ อายองรอนายอยู่ทุกวันเลย เป็นไง ทีนี้เหนื่อยแล้วล่ะสิ”
“อืม เหนื่อยแล้ว” ยงกุกยอมรับเบาๆ “เสร็จงานนี้ฉันจะคิดดูอีกที ย้ายมาอยู่กับเธอก็สบายดีด้วย ว่าแต่เธอจะยอมให้ฉันอยู่ด้วยจริงๆใช่ไหม จีอายอง”
“ชวนถึงขนาดนี้แล้ว ก็ต้องอยากให้อยู่ด้วยสิ” ร่างเล็กที่ฮิมชานได้ยินว่าชื่อจีอายองหัวเราะอย่างสดใสแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม
“อยู่ด้วยกันตั้งสองอาทิตย์ดีจะตาย ฉันหายเหงาไปเยอะเลย มาอยู่กับฉันเถอะยงกุก เหนื่อยแล้วก็มาอยู่ที่นี่เถอะนะ”
“ฮึก..ม..ไม่ให้เหนื่อยนะ ห้ามเหนื่อยเด็ดขาดเลย” มือน้อยที่ถือถุงข้าวกล่องสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ เสียงแหบใสเปล่งเบาๆในลำคอด้วยความเจ็บปวด ที่บอกว่าจะไปค้างกับเพื่อนก็คือคนนี้เองเหรอ จีอายองคนนี้เองเหรอ คนที่ยงกุกสามารถระบายความในใจได้ ในขณะที่เวลาอยู่กับเขาก็ได้แต่นั่งเงียบๆ ฟังเขาพูดเรื่องตัวเองโดยไม่สนใจอะไรเลยนี่น่ะเหรอ ตลอดมาไอ้เฉื่อยคงรำคาญเขามากจริงๆ ถึงได้ยอมรับกับผู้หญิงคนนั้นอย่างเต็มปากว่าเหนื่อยแล้ว...
ฮิมชานเพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าความเจ็บปวดมันเป็นยังไง อาการหน่วงในอกเมื่อเห็นพี่ยองวอนคุยกับลูกค้าคนอื่น หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาปฏิเสธความรักของอีกฝ่ายก็ยังไม่ขนาดนี้...รักเขาแต่เขาไม่รักมันเป็นแบบนี้เอง
.
.
ถุงข้าวกล่องถูกวางเอาไว้อย่างเงียบเชียบบนโต๊ะติดประตู ก่อนที่ร่างโปร่งจะกลับออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ....นานเท่านานจนข้าวเกือบจะเย็นชืดและมาการองเกือบจะหายนุ่มกรอบ ร่างเล็กของจีอายองก็เดินมาพบกับมันเข้าพอดี...
.
.
“ยงกุก นี่ถุงข้าวกล่องของใครน่ะ???”
.
.
------------------------------------------------------------------------------------------
เมฆสีหม่นที่ลอยเกลื่อนทั่วท้องฟ้ากับพายุฝนที่โหมกระหน่ำส่งสัญญาณของสภาพอากาศอันเลวร้าย ยงกุกเองก็รู้ดีว่าหลายวันนี้จะต้องมีฝนตกหนักตามพยากรณ์อากาศในกรุงโซล บ่อยครั้งที่เขาอยากจะวิ่งกลับมาดูแลคนขี้กลัวที่อยู่ตามลำพังในคอนโด แต่อีกใจหนึ่งก็บอกกับตัวเองว่าคิมฮิมชานมีผู้ชายที่แสนใจดีอย่างยูยองวอนอยู่ข้างๆแล้ว ตัวเขาก็คงจะไม่สำคัญอะไรอีก...
จนกระทั่งได้พบกับข้าวกล่องปริศนาเมื่อตอนเย็น...ในนั้นมีผัดเผ็ดหมูของโปรดเขาและมาการองสีเหลืองสวยน่ากิน ตามด้วยจดหมายฉบับน้อยๆที่กวาดตามองเพียงแว่บเดียวก็รู้ว่าใครเป็นคนเขียน
“เหงาจังเลย เฉื่อย เมื่อไหร่จะกลับมาเนี่ย ฉันรอนายอยู่ทุกวันเลยนะ ฝนตกตลอดอาทิตย์น่ากลัวมากเลยรู้ไหม ถ้านายไม่อยู่แล้วฉันจะกรี๊ดใส่ใครเวลาฟ้าร้องล่ะ บื้อจริงทิ้งให้ฮิมชานอยู่คนเดียวได้ยังไง สองอาทิตย์มันนานเกินไปแล้วนะ T^T
ปล. มาการองนั่นฉันทำเองกับมือเลย นายต้องชอบแน่ๆ ฉันทำไว้อีกเพียบนายต้องกลับมากินให้หมดรู้มั้ย....แล้วก็...ถ้าทำอะไรผิดไปฉันก็ขอโทษนะ กลับมาอยู่ด้วยกันเถอะยงกุก ฉันมีบางอย่างที่อยากจะบอกกับนายมากๆเลย
ปล.อีก ทำไมปล.มันยาวเท่าเนื้อความจริงๆเลยล่ะ?”
หลังอ่านจดหมายฉบับนั้น ยงกุกก็ผลุนผลันออกมาจากห้องแล็บทันที ยิ่งมั่นใจว่าคนที่มาหาคือฮิมชานแน่ๆเมื่อลุงยามบอกว่าเพื่อนคนสวยๆของเขาเป็นคนเอาข้าวกล่องมาให้ ยงกุกรีบจนลืมมือถือเอาไว้ในห้องแล็บ สุดท้ายก็มายืนหอบแฮ่กๆอยู่หน้าร้านเค้กท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตาตรงนี้เอง...
“อ้าวยงกุก...หลบฝนเหรอ เข้ามาข้างในก่อนมั้ย” น้ำเสียงอบอุ่นดังขึ้นข้างหลังพร้อมประตูที่เปิดออก เห็นร่างสูงหลบฝนอยู่ตรงหน้าก็อดจะชักชวนเข้ามาไม่ได้ ยูยองวอนมีบางอย่างที่อยากจะบอกกับยงกุกเหมือนกัน และคงได้พูดยาวกว่านี้ถ้าฟ้าไม่ผ่าเปรี้ยงลงมาเสียก่อน
.
.
ร่างโปร่งทั้งสองร่างสะดุ้งเกือบพร้อมกัน ต้นเหตุมาจากเสียงฟ้าร้องแต่คงเป็นความตกใจคนละแบบ หนุ่มหล่อจากร้านเบเกอรี่ถอนหายใจเบาๆในขณะที่บังยงกุกเงยหน้าขึ้นไปยังคอนโดสูงเสียดฟ้าอย่างเป็นกังวล ขายาวเตรียมก้าวออกไปตามที่ใจคิด...
“ยงกุก เดี๋ยว” ยองวอนคว้าแขนรุ่นน้องเอาไว้ แต่อีกฝ่ายกลับดึงมือนั้นออกด้วยท่าทีร้อนรน..ไม่ได้เฉื่อยเหมือนชื่อที่ฮิมชานตั้งให้เลย
“ไว้ทีหลังได้ไหมครับ ฟ้าร้องแบบนี้ฮิมชานคงตกใจแย่แล้ว”
“ก็เรื่องฮิมชานนั่นแหละที่พี่จะพูด” ยองวอนกล่าวเรียบๆจนยงกุกต้องหันมามองอย่างฉงนใจ จริงสินะ สภาพอากาศแบบนี้คือช่วงเวลาที่ฮิมชานจิตตกมากที่สุด ถ้าคบกันแล้วก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดี แต่ทำไมพี่ยองวอน...‘มิสเตอร์ไรท์’ ของเจ้ากระต่ายดื้อนั่นถึงไม่คอยอยู่เคียงข้างล่ะ...
“ฮิมชานทำไมครับ”
“เราไม่ได้คบกัน และฮิมชานก็ไม่ได้ชอบพี่อย่างที่นายคิด” ชายหนุ่มพยายามพูดรวบรัด “เมื่อก่อนเขาอาจจะคิดแบบนั้น แต่มันเปลี่ยนไปแล้ว พี่พูดแค่นี้ก็แล้วกันนะยงกุก ที่เหลือเป็นเรื่องของนายที่จะต้องหาคำตอบเอาเอง...แล้วก็” แววตาอบอุ่นหรี่ลงเหมือนจะตำหนิอยู่นิดๆ
“อย่าทำให้ฮิมชานต้องวิ่งร้องไห้กลับมาเหมือนอย่างวันนี้อีก”...
---------------------------------------------------------------------------------
แว่บแรกที่ยงกุกเปิดประตูห้องเข้าไปก็คือความมืด มืดแบบที่ไม่มีแสงจากเครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆส่องออกมาแม้กระทั่งจุดแดงเล็กๆก็ตาม ยังดีที่เป็นตอนเย็นถึงมีแสงรำไรของพระอาทิตย์สลับกับเมฆฝนส่องเข้ามาถึงตัวห้องได้บ้าง หัวใจดวงเล็กของเขาเริ่มบีบรัดเข้าหากันเมื่อคิดถึงคนที่อาจจะนั่งตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่มุมไหนสักมุมในห้องนี้...
.
.
“ชาน ชาน นายอยู่ไหน” เสียงทุ้มตะโกนถามอย่างร้อนใจขณะเดินหาตามมุมห้องต่างๆ รวมไปถึงซอกตู้และโต๊ะ..เวลาอยู่คนเดียวพร้อมกับความกลัว อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่ติดว่าฮิมชานจะอึดอัดตายเขาคงเปิดตู้เย็นดูแล้ว..
ขายาวก้าวเข้าไปในห้องนอนอันเป็นที่หมายสุดท้าย ในที่สุดก็พบกับก้อนกลมๆที่ตามหาอยู่จนได้ ฮิมชานนั่งขดอยู่บนเตียง หลับตาปี๋และกอดตุ๊กตาหมีโคอาล่าตัวใหญ่เอาไว้แน่น ทำเอาอีกฝ่ายที่เห็นภาพนั้นอดจะมองด้วยความเอ็นดูไม่ได้...ทั้งน่าเอ็นดูแล้วก็น่าสงสารในเวลาเดียวกัน...
“ชาน...” เสียงนุ่มอันแสนคุ้นเคยเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนที่มืออบอุ่นจะวาดไปโอบหลังคนตรงหน้ามาไว้กับตัวอย่างทะนุถนอม... “ทำไมมานั่งมืดๆคนเดียวอย่างงี้ กลัวมากเลยเหรอ”
ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมองยงกุกแล้วเบะปากด้วยความงอน ยังไม่ทันจะทำอะไร ร่างนุ่มนิ่มนั้นก็โผเข้าหาเขาแล้วรัดเอาไว้แน่นทันที ตุ๊กตาโคอาล่าหมดเวรหมดกรรมแล้ว ตอนนี้คนที่ถูกเกาะหนึบแทนโคอาล่าน้อยก็คือไอ้เฉื่อยคนนี้นี่เอง...
“ฮือ บัง....ฮ...ฮึก...ฉันกลัว กลัวมากเลย...” เสียงแหบหวานยังคงร้องไม่หยุดจนอีกฝ่ายนึกสงสารมากกว่าเดิม “ตะกี้ฟ้าผ่าเปรี้ยง..ล..แล้ว..ฮืออออ ไฟมันก็ดับ ดับหมดทั้งห้องเลย”
“รู้แล้วๆ คัทเอาท์มันคงตกน่ะ” ยงกุกลูบหัวฮิมชานอย่างปลอบโยน “มาขดอยู่มืดๆแบบนี้ก็ยิ่งน่ากลัวสิ รอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวฉันไปเอาคัทเอาท์ขึ้นก่อน” ว่าแล้วก็ตั้งท่าจะลุกจากเตียง แต่นักเขียนหนุ่มไม่ยอมให้ทำแบบนั้น มือน้อยยิ่งจิกเสื้อเอาไว้แน่นแล้วหลับหูหลับตาร้องไห้โดยไม่อายเพื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
“ยงกุก ฮืออออ อย่าไปนะ ไม่เอาแล้ว ไม่ให้ไปไหนแล้ว”
“ฉันแค่จะไปยกคัทเอาท์ขึ้นเท่านั้นเอง...ชาน”
“ไม่ต้องยก นั่งอยู่กับฉันแบบนี้ก็พอแล้ว” คิมฮิมชานสะอื้น “เดี๋ยวนายเดินออกไปแล้วก็จะหนีฉันไปอีกใช่ไหมล่ะ ไม่เอาแล้ว...ฉันไม่อยากให้นายไปไหนอีกแล้ว”
“ชาน...”
“เหนื่อยกับฉันมากเลยเหรอ ฮึก...ห้ามเหนื่อยนะ ไม่ให้เหนื่อยเด็ดขาดเลย..ห้ามนายทิ้งฉันไปอีกรู้มั้ยเฉื่อย จะมีแฟนก็ได้ จะรักกับจีอายองคนนั้นก็ได้ แต่อย่าทิ้งฉัน อย่าย้ายจากฉันไปอยู่กับจีอายองเลยนะ ฮ..ฮึก...ฉันขอโทษ ถึงนายจะไม่รักฉันก็ไม่เป็นไร แต่ช่วยอยู่ข้างๆฉันได้มั้ย สงสารฉันเถอะนะ ฉั...อื้อ....” ยังไม่ทันจบคำ ริมฝีปากสีชมพูสวยก็ถูกประทับจูบลงไปทันที...เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงได้ร้องไห้เป็นเผาเต่าขนาดนี้ คงได้ยินตอนที่เขาคุยกับอายองล่ะสิท่า...ทั้งที่ยอมมาหาถึงที่แถมยังทำข้าวกล่องมาง้อ แต่ดันมาได้ยินช่วงสำคัญแบบนั้นเข้าพอดีก็เลยหนีกลับมาร้องไห้จนตาปูด
ยงกุกเป็นไอ้เฉื่อยในสายตาของฮิมชานตลอดมา เขาคิดว่าตัวเองน่าจะลบภาพนั้นออกไปจากความคิดของเจ้ากระต่ายดื้อตัวนี้ได้แล้ว ก็อย่างที่ยองวอนพูดเอาไว้นั่นแหละ คำตอบบางคำตอบเขาต้องเป็นคนหาเองและก็ไม่ควรช้าเกินกว่าที่เป็นอยู่ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ตอนที่เขากำลังจูบฮิมชานด้วยความรู้สึกบางอย่างที่พอรับรู้แล้วก็อยากจะชกปากตัวเองให้เลือดทะลักคามือนัก..
ถ้ารู้ว่าหวานขนาดนี้คงไม่ปล่อยไว้ถึงสองปีหรอก...
“อายองไม่ใช่แฟนของฉัน” ยงกุกพูดยิ้มๆหลังจากถอนจูบออกมาแล้ว ยิ่งเห็นคนตรงหน้าอายจนก้มหน้าซุกกับอกเขาก็ยิ่งอยากจะจับฟัดเสียให้เร็วๆ ฟ้าร้องฟ้าผ่าอะไรก็คงไม่กลัวแล้วล่ะมั้งตอนนี้...
“จีอายองเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง ไม่ได้เรียนโทด้วยกันแต่อายองเพิ่งย้ายหน่วยกิตมาเมื่อไม่นานนี้ เราสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เล่นหัวกันเป็นประจำ แล้วอีกอย่าง...เขาก็มีแฟนแล้วด้วย”
“สองอาทิตย์ที่ผ่านมาฉันอยู่กับอายองก็จริง” ชายหนุ่มอธิบายต่อเมื่อเห็นฮิมชานตั้งใจฟังอย่างไม่อิดออด “แต่คุณป้าแท้ๆของฉัน..แม่ของอายองน่ะ กับคุณลุงก็อยู่ด้วย เราอยู่กันตั้งหลายคน ฉันไม่ได้อยู่กับอายองตามลำพังนะ...ฉันไม่เคยอยู่กับใครตามลำพังเหมือนที่อยู่กับนายหรอกชาน...แล้วก็ไม่คิดจะอยู่ด้วย รู้ไหมว่าทำไม?”
“งื่อ...ไม่รู้”
“เอาจริงๆฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ในวันแรกที่เจอนายก็คิดแค่ว่า อยากจะลองอยู่กับนายดู...ยิ่งได้อยู่ด้วยกัน ฉันก็ยิ่งอยากจะเห็นหน้านายทุกวัน อยากเห็นนายยิ้ม เห็นนายหัวเราะ ต่อให้นายพูดถึงพี่ยองวอน จะชื่นชมเขาเท่าไหร่ฉันก็ทนได้ ขอแค่ให้นายอยู่กับฉันทุกวันก็พอ แต่ฉันมันคนเชื่องช้า พูดอะไรไม่ทันใจนาย ที่ผ่านมาก็คงทำให้นายรำคาญไม่น้อย...”
“ไม่จริง ฉันไม่เคยรำคาญนายเลย” ฮิมชานสั่นศีรษะแรงๆ “ถึงจะเรียกนายว่าไอ้เฉื่อยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ชอบนายนะ...ไม่มีนายฉันอยู่ไม่ได้ ไม่มีใครแทนที่ไอ้เฉื่อยของฉันได้หรอก”
“นี่กำลังบอกรักฉันอยู่เหรอ”
“อื๋อ??”
“นายบอกรักฉันอยู่รึเปล่าชาน”
“ป..เปล่าซะหน่อย”
“ไอ้เฉื่อยของฉันเหรอ..หืม?” เสียงทุ้มกล่าวอย่างหยอกเย้ามากขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวของฮิมชานก็เริ่มส่งผลต่ออารมณ์ของเขามากขึ้นด้วย อารมณ์แบบว่า...อืม..
อยากฟัดกระต่าย...
“ก..ก็นายเป็นไอ้เฉื่อยของฉันนี่ หรือไม่จริง” สุดท้ายแพขนตานั้นก็หลุบต่ำลงด้วยความอาย ถึงจะยังดื้ออยู่บ้างแต่เรียวปากน้อยๆก็เริ่มจะอ่อยเสียงลงบ้างแล้ว “หรือว่ามีใครเรียกนายแบบนี้อีกนอกจากฉัน”
“ไม่มี แล้วก็ไม่ยอมให้ใครเรียกด้วย” ยงกุกอมยิ้ม “ให้คิมฮิมชานเรียกได้คนเดียว”
“จริงๆนะ” ฮิมชานคาดคั้นเขาในทันที “ห้ามไปอยู่กับคนอื่นแล้วด้วย นายต้องอยู่กับฉันเท่านั้น”
“แล้วมิสเตอร์ไรท์ของนายล่ะ”
“ไรท์บ้าไรท์บออะไรไม่เอาแล้ว จะเอายงกุก” เสียงที่ตวัดขึ้นอย่างเอาแต่ใจกับร่างน้อยที่โผเข้ากอดเขาทำให้ยงกุกอดยิ้มไม่ได้ ก็น่ารักแบบนี้แล้วจะให้ปล่อยไปเฉยๆได้ยังไง ขืนปล่อยไปก็กลายเป็นคนซื่อบื้ออย่างที่ฮิมชานว่าเข้าจริงๆน่ะสิ
“ไม่งอแงสิคนดี ฉันอยู่นี่แล้วไง” ริมฝีปากหยักกระซิบแผ่วที่ใบหูขาว ไรหนวดสั้นๆที่คนงานยุ่งไม่ยอมจัดการถูเข้ากับแก้มใสเบาๆจนฮิมชานร้องงื้อออกมาด้วยความจั๊กจี้
“เดี๋ยวนะ ไม่เจอกันแป๊บเดียวหนวดเฟิ้มขนาดนี้เลยเหรอ ออกไปเลย หนวดนายทิ่มฉันคันไปหมดแล้ว ไอ้เฉื่อยนี่” มือนิ่มผลักไสคนตรงหน้าด้วยความเขิน แต่ยงกุกก็ยังกระชับมันเอาไว้แน่น เขาต้องการคำตอบบางอย่างจากฮิมชานเพื่อให้แน่ใจมากกว่านี้
“ฟังนะชาน...ที่ฉันพูดกับอายองว่าเหนื่อยก็แปลว่าฉันเหนื่อยจริงๆ แต่ฉันเหนื่อยกับตัวเอง เหนื่อยที่ไม่เคยคว้าหัวใจของนายได้ทันเลย ผู้ชายทุกคนที่เข้ามาหานายทั้งแสนดี อบอุ่น ดูแลเทคแคร์นาย ทำให้นายยิ้มได้ตลอดเวลา แต่คนทื่อๆอย่างฉันช้าเกินกว่าจะแข่งอะไรกับใครทัน ฉันไม่เคยเหนื่อยจากนาย แต่ฉันแค่เหนื่อยกับตัวเองที่ยังพยายามได้ไม่ดีพอสักที ก็เท่านั้นเอง”
“นายห้ามไม่ให้ฉันเหนื่อยใช่ไหม ไม่อยากให้ฉันเหนื่อย งั้นฉันก็จะไม่เหนื่อย” ริมฝีปากหนาจูบลงบนกลุ่มผมนุ่มอย่างหวงแหน “ถึงฉันจะช้า แต่จากนี้ไปฉันจะตามนายไปเรื่อยๆ ฉันจะไม่เหนื่อย จะค่อยๆตามนายจนกว่าจะทัน ถ้าคิมฮิมชานอยากให้ทำแบบนั้น ฉันก็จะทำ”
ฮิมชานยิ้มกว้างให้กับคำพูดนั้นจนตาหยี บังยงกุกไม่จำเป็นต้องวิ่งตามเขาเลย จะต้องวิ่งตามทำไมในเมื่อหัวใจดวงน้อยๆนี้หยุดรอเขาตั้งนานแล้ว
“นายไม่ต้องวิ่งตามฉันแล้ว” ฟันกระต่ายยิ้มให้เขาอย่างน่ารัก “ฉันหยุดรอนายแล้วนี่ไงไม่เห็นเหรอ ทีนี้มีอะไรจะบอกก็รีบๆบอกมาซะที”
“แน่ะ มีบังคับด้วย” ยงกุกหัวเราะ
“จะบอกหรือไม่บอก ไม่บอกจะไม่รอแล้วนะ”
“บอกก็ได้”
“งื้อ”
“รักมากเลย”
“งื่อออออ”
ทุกคำบอกเปล่งออกมาพร้อมกับรอยจูบแสนหวานละมุนที่แตะเคลียบนริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา คำรักซ้ำๆที่ต่างฝ่ายต่างกระซิบเข้าหากันกลายเป็นไออุ่นที่ปกป้องพวกเขาจากความเหน็บหนาวและเสียงฟ้าร้องที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง...
เป็นอีกครั้งที่ตุ๊กตาโคอาล่าแสนนุ่มนิ่มต้องระเห็จมาอยู่ที่พื้นเพราะเจ้าของไม่ให้ความสนใจ และคัทเอาท์ที่ตกลงมาเป็นเวลานานก็ยังคงไม่มีใครไปสับมันขึ้น...
.
.
.
“อื้อ..ยงกุก...” เสียงครางหวานๆที่ดังติดต่อกันมานานหลายชั่วโมงเริ่มแหบพร่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังน่าหลงใหลเหลือเกินในความคิดของเจ้าของชื่อที่ถูกฮิมชานครวญหาอยู่ไม่ขาด หยาดเหงื่อพร่างพรมไปทั่วร่างทั้งสองท่ามกลางสัมผัสอันน่าอัศจรรย์ใจ ยงกุกเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าร่างกายของคนเราช่างเข้ากันได้อย่างพอเหมาะพอเจาะขนาดนี้...
“ยง...กุก..พอแล้ว..เหนื่อยแล้ว” ร่างโปร่งบิดเร่าไปมาอย่างเต็มตื้นเมื่อสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้โหมกระหน่ำชวนให้ร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้ง เรือนร่างอันสมบูรณ์แบบทาบทับมาบนร่างขาวนุ่มนิ่มที่โยกคลอนไปตามจังหวะแห่งความรักเพื่อโจนจ้วงเข้าสู่จังหวะอันแสนหวานเที่ยวสุดท้าย...
.
.
“ทำแบบนี้กับฉัน นายแน่ใจแล้วจริงๆเหรอ” ยงกุกหอบหายใจเสียงแผ่วขณะส่งแรงลงไปอีกครั้ง ร่างน้อยผวาเฮือกเพื่อรับสัมผัสนั้นก่อนจะกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นแล้วพูดเสียงหวาน
“ก็เรียบร้อยไปแล้วเนี่ย จะถามอีกทำไม” แก้มบางซับสีชมพูระเรื่อมากขึ้น “จริงๆฉันน่าจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ ขอโทษนะยงกุก ขอโทษที่ไม่เคยเข้าใจสายตาของนายเลย”
“เป็นฉัน ดีแน่แล้วใช่มั้ย” แม้จะส่งผ่านความสุขให้กันตลอดคืน แลกเปลี่ยนทุกสัมผัสและคำรักให้แก่กันอย่างต่อเนื่องไม่หยุดก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นต่อไปจากนี้ก็ยังทำให้เขาไม่มั่นใจอยู่ดี
“ทำไมถามแบบนี้ นายไม่รักฉันเหรอ” ฮิมชานอ้อน ไอ้เฉื่อยเพิ่งจะรู้ตอนนี้นี่แหละว่าคนในอ้อมกอดของเขาเสียงหวานน่ารักขนาดไหน ไม่ใช่ไม่เคยได้ยิน แต่ประมวลผลไม่ทันมากกว่าว่าเสียงงุ้งงิ้งแบบนี้มันโคตรน่ารักสุดๆ
“ก็ฉันไม่ใช่มิสเตอร์ไรท์ของนายนี่ชาน...”
“ฉันไม่ต้องการมิสเตอร์ไรท์แล้ว” มือบางที่เต็มไปด้วยรอยจูบลูบแก้มของเขาช้าๆ
.
.
“ฉันต้องการมิสเตอร์ไรท์นาว คนที่ใกล้ ในเวลานี้ เดี๋ยวนี้” ฟันกระต่ายขบริมฝีปากบางน้อยๆอย่างเขินอาย “นายเป็นทั้งมิสเตอร์ไรท์ทั้งมิสเตอร์ไรท์นาวของฉันนั่นแหละบังยงกุก ต่อไปนี้ถ้านายไม่กอดฉันเอาไว้แน่นๆแบบนี้ ฉันจะโกรธนายจริงๆด้วย เข้าใจมั้ย เฉื่อย”
“ไม่เฉื่อยซะหน่อย” ยงกุกยิ้มเจ้าเล่ห์ นี่เป็นครั้งแรกที่ฮิมชานได้เห็นมันเหมือนกัน ใบหน้าเรียบนิ่งภายใต้แว่น หรือแม้แต่การแสดงออกทางใบหน้าไม่ว่าแบบไหนก็ตาม เขาเคยเห็นมันมาหมด จะมีก็แต่รอยยิ้มแบบนี้ที่ไม่เคยเห็นเลยจริงๆ
“เมื่อกี้ก็ทำให้เห็นแล้วไงว่าไม่เฉื่อย ถ้าเป็นเรื่องนายฉันจะไม่ช้าอีกแล้ว คิมฮิมชานก็เป็นมิสเตอร์ไรท์ของบังยงกุกเหมือนกัน...รักมากนะ” หมดคำพูดนั้น ยงกุกก็ก้มลงจูบกลีบปากบางแสนหวานของคนใต้ร่าง และทำในสิ่งที่เขาตั้งใจว่าจะทำต่อไป ฮิมชานได้แต่ร้องครางกับสัมผัสอันเต็มตื้นที่ย้ำลงไปในตัวเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างยอมจำนน...
.
.
.
“งื้อ...ยงกุก...ฉ..ฉัน.....อ๊า........”
.
.
ไอ้เฉื่อยของเขาไม่เฉื่อยอย่างที่คิดเลยจริงๆ.......
End
-------------------------------------------------------------
ขอโทษจากตอนที่แล้วที่บอกว่าอีกไม่กี่วันจะอัพ คือผ่านมาเป็นเดือน 555555 จริงๆแล้วฟิคนี้แต่งขึ้นมาแบบไม่มีอะไรในหัวเลย แค่แต่งเพราะคิดถึงเขา พล็อตและเส้นเรื่องก็เลยไม่มีอะไรจริงๆ เดาได้ง่ายมาก ก็อยากให้เดาได้นั่นแหละ 5555 ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณมากเลย มีอะไรเมนชั่นบอกกันได้เลยค่า
ปล. นี่อิมเมจของพี่เฉื่อยกับน้องชานเอง =v=
ความคิดเห็น