ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] B.A.P - Silk

    ลำดับตอนที่ #5 : Silk:: 04

    • อัปเดตล่าสุด 16 ม.ค. 58






    Silk:: 04

     

     

    Couple :: BangChan
    BG :: 오늘은 꼭 [B.A.P]

     

     

     

    “คัทครับ โอเค ซีนสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ทุกคนเต็มที่กันมาก ขอบคุณมากเลยนะครับ” เสียงคัทของผู้กำกับเอ่ยขึ้นพร้อมกับสัญญาณของการถ่ายทำฉากสุดท้ายที่จบลง ทีมงานทุกคนรวมถึงนักแสดงต่างก็จับมือกันเพื่อแสดงความยินดีที่การถ่ายทำผ่านไปได้อย่างราบรื่น...

     

    ร่างโปร่งของฮิมชานโค้งให้ทุกๆคน เขายิ้มนิดๆพอเป็นพิธีก่อนจะเดินลิ่วกลับมาที่รถ ตั้งใจจะโทรหายงกุกบอกว่างานเสร็จแล้วก็ชวนไปกินข้าวด้วยกันสักหน่อย ฉากวันนี้เป็นฉากของเขาคนเดียวซะเยอะเพราะค้างจากเมื่อวานที่มาถ่ายไม่ได้ ระดับคิมฮิมชานใช้เวลาครึ่งวันก็ถ่ายเสร็จแล้ว เมื่อไหร่ที่เข้าฉากคนเดียวก็ไม่มีปัญหาสำหรับเขาเลย เล่นคนเดียวง่ายกว่าเล่นกับดาราไร้ความสามารถบางคนซะอีก...ไม่อยากจะด่าหรอก แต่มันเป็นเรื่องจริง

     

    “คุณฮิมชาน ไปกินข้าวด้วยกันไหมคะ ฉลองปิดกล้อง” ดาราสาวคนหนึ่งเดินมาถาม ประกายพราวระยับในตาทำให้เขาแอบเบ้ปากเบาๆ...ต้องการอะไรจากกุ...ฮิมชานคิด

     

    “ไม่ล่ะครับ ขอโทษด้วย” เขาตอบอย่างนุ่มนวลแต่ก็แสดงความไม่ไยดีออกมาอย่างเห็นได้ชัด เล่นเอาเจ้าตัวหน้าเสียไปทันควัน “พอดีผมมีธุระต้องไปที่อื่นต่อ” ว่าแล้วก็หันไปทางแดฮยอนที่ยืนรอเงียบๆอยู่ตรงนั้น

     

    “แดฮยอนไปบอกผู้กำกับฮงหน่อยว่าฉันติดธุระ ฝากขอโทษไปด้วยนะ  บอกว่าฉันนัดกับเพื่อนแถวนี้ไว้แล้ว ไม่สะดวกอยู่ฉลองด้วยกัน....เซริน ขอตัวก่อนนะครับ” ฮิมชานเอ่ยลาดาราสาวอีกครั้ง ถ้าไม่ติดว่าเล่นด้วยกันก็คงจะลืมชื่อไปแล้ว...อีเซรินได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบให้แล้วเดินกลับไป ระหว่างรอแดฮยอน คิมฮิมชานคนดังก็ส่งข้อความหา ‘เพื่อนแถวนี้’ ของเขาทันที ป่านนี้น่าจะออกไปทำงานแล้ว แวะไปหาที่อู่จะสะดวกรึเปล่านะ....

     

    ‘ยงกุก เดี๋ยวฉันไปหานะ งานเสร็จแล้ว’ พิมพ์ข้อความไป มองอยู่สักพักก็เห็นว่ามันยังไม่ถูกเปิดอ่าน...คงกำลังทำงานอยู่ งั้นไปหาที่อู่เองเลยก็ได้...เขาคิด ไม่ได้อยากไปรบกวนอีกฝ่ายหรอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากเห็นกิจวัตรประจำวันของยงกุกเหมือนกัน ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าบังยงกุกกินอยู่ยังไง ใช้ชีวิตแบบไหน นอกจากการพบกันในยามค่ำคืนหรือนอกสถานที่ตามที่เขาต้องการแล้ว ฮิมชานก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายของเขาทำอะไรบ้าง...

     

     

    ผู้ชายของเขา ใช่สิ....ยงกุกเป็นผู้ชายของเขานี่นา....

     

     

    .

     

    .

     

    “บอกผู้กำกับฮงให้แล้ว” แดฮยอนเดินมาพร้อมกับมองแอพพลิเคชั่นแชทที่สว่างวาบอยู่ในมือของคนตรงหน้า “ธุระที่ว่าคือไปหายงกุกใช่ไหม”

     

    “อืม” ฮิมชานพยักหน้าแล้วหันมายิ้มสดใส “ไปหายงกุกที่อู่กันดีมั้ย ไม่ต้องลงจากรถก็ได้ แค่อยากเห็นเขาทำงานบ้างอะไรบ้าง”

     

    “เอาสิ” เห็นแบบนั้นแล้วแดฮยอนก็อดยิ้มตามไม่ได้ คนที่เห็นมุมนี้ของฮิมชานมีไม่เยอะหรอก หมายถึงรอยยิ้มที่ออกมาอย่างจริงใจแบบนี้น่ะนะ ต้องขอบคุณเขา...บังยงกุกเป็นผู้ชายที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

     

    “แต่ฉันไม่รู้ว่าอู่เขาอยู่ตรงไหน น่าจะใกล้ๆบ้าน แต่แถวไหนไม่รู้” อีกฝ่ายแสดงท่าลังเล “ชื่ออู่ก็ไม่รู้อีก จะตามไปที่ไหนดีล่ะ”

     

    “ฉันพอจะรู้” ผู้จัดการหนุ่มสตาร์ทรถแล้วเปิดระบบเนวิเกเตอร์เพื่อดูเส้นทาง “เมื่อวานเด็กนั่นพาเดินเล่นจนเกือบถึงอู่แน่ะ แต่เห็นว่าใกล้ค่ำก็เลยเดินกลับมาก่อน ถ้าจำทางได้ก็ไม่ยาก”

     

    “เด็กไหน” ฮิมชานถาม แต่ก็ไม่ใส่ใจอะไรมากนัก ตาจับจ้องที่เล็บของตัวเองซึ่งเริ่มจะยาวมากไปแล้ว เดี๋ยวต้องตะไบออกสักหน่อย เมื่อวานข่วนหลังยงกุกไปจนเลือดออกเลย แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ

     

    “จุนฮงไง ชเวจุนฮงน่ะ” เสียงเข้มตอบเรียบๆ สีเลือดขึ้นที่แก้มหนึ่งวูบแม้จะไม่มีใครมองเห็น ฮิมชานร้องอ๋อออกมาเมื่อได้ยินชื่อ ไม่ได้ลืมหน้าหรอก แต่จำชื่อไม่ได้เท่านั้นเอง

     

    “สนิทกันแล้วเหรอ” ดาราดังถามผู้จัดการหนุ่มคู่ใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นแก้มแดงๆนั้นหรอกนะ แดฮยอนนี่ก็มีมุมน่ารักเหมือนกันแฮะ “จุนฮงก็น่ารักดีออก ฉันบอกแล้วว่าเขาสนใจนาย”

     

    “เดี๋ยวเลี้ยวขวาถนนข้างหน้าก็คงจะถึงแล้วล่ะ” แดฮยอนเปลี่ยนเรื่อง “นายไม่คิดจะบอกยงกุกอีกรอบเหรอ”

     

    “ถึงแล้วโทรไปอีกทีก็ได้” หน้าขาวๆยื่นเข้าไปชิดกระจกก่อนจะมองวิวด้วยความสนใจ แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาจนต้องทำตาหยี ไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ดีเหมือนกัน ถ้าบอกให้ยงกุกโดดงานไปเที่ยวกับเขา คนเจ้าระเบียบจะยอมรึเปล่านะ...

     

    “นี่แดฮยอน” ฮิมชานพูดขณะที่ยังสนใจกับวิวนอกกระจก “ไม่ต้องเครียดให้มากหรอกนะ ไม่ต้องห่วงฉันด้วย เมื่อไหร่ที่นายเจอกับคนที่นายเปิดใจให้ได้ก็อย่าปิดกั้นโอกาสนั้นซะล่ะ”

     

    “ฉันรู้...ขอบใจมากนะ” หนุ่มผิวเข้มยิ้มน้อยๆขณะที่ตายังจ้องมองถนนอยู่อย่างนั้น “ตอนนี้แค่เห็นนายมีความสุขฉันก็โอเคแล้ว”

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    เป็นดาราดังอย่างฮิมชานน่ะใช้ชีวิตยากกว่าที่คนอื่นคิดนะ....

     

     

    --------------------------------------------------------

     

     

    รถของยงกุกแล่นเข้ามาจอดข้างๆอู่ขณะที่จงออบกำลังมองเป้าหมายตรงพุ่มต้นไม้เยื้องไปอีกนิด เขาเห็นคนด้อมๆมองๆมาตั้งแต่สองวันก่อน ตอนแรกก็คิดว่าเป็นลูกค้าสาวๆที่แอบชอบยงกุก จุนฮงหรือไม่ก็ตัวเขาเองเลยปล่อยให้มองไปเรื่อยๆ แต่หลังๆชักผิดสังเกต ทุกครั้งที่เขาทำท่าจะเดินเข้าไป เงาตะคุ่มนั้นจะหายแว้บไปทันที เป็นอย่างงี้จนจงออบชักจะรำคาญ สุดท้ายก็เลยต้องบอกรุ่นพี่ของเขาให้มาช่วยจัดการอีกแรง ถ้าเป็นโรคจิตจริงๆจะได้ส่งแม่งเข้าตะรางไปเลย

     

    “เห็นพุ่มต้นไม้ที่เยื้องๆกันนั่นมั้ย มันยืนอยู่ตรงนั้นแหละ” ร่างกำยำพยักเพยิดไปที่คนตรงพุ่มไม้ ยงกุกได้แต่ชำเลืองมองตามแต่ไม่อยากแสดงท่าทางมากเพราะกลัวเป้าหมายจะรู้ตัว

     

    “ปล่อยให้มองไปก่อน อาจจะเป็นสาวๆที่แอบชอบแกจริงๆก็ได้” ชายหนุ่มตัดสินใจ “ลองสังเกตซักสองสามชั่วโมง ระหว่างนี้ก็ทำงานไปตามปกติละกัน ถ้ายังไม่เลิกเดี๋ยวนายกับฉันค่อยเข้าไปจัดการ” เขาว่าแล้วแกล้งสะพายกระเป๋าเดินเข้าส่วนที่เป็นห้องทำงานไป จงออบลากตัวจุนฮงไปด้วย ทั้งหมดตัดสินใจเข้าไปนั่งในออฟฟิศเล็กๆของตัวเองและถือโอกาสสังเกตการณ์จนกว่าจะแน่ใจว่าเงาที่อยู่ตรงพุ่มไม้นั้นมีพิรุธจริงๆ

     

    .

     

     

    .

     

     

    สามชั่วโมงผ่านไป ได้เวลาที่สามร่างจะเกาะกระจกมองเป้าหมายที่สงสัยมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว แน่นอนว่าเงานั้นยังอยู่ที่เดิม มีเคลื่อนตัวไปมานิดหน่อยแต่ก็ยังสถิตอยู่ตรงนั้น ยงกุกชักจะไม่สบอารมณ์เพราะเขาไม่ชอบให้ใครมารุกล้ำเรื่องส่วนตัวหรือสร้างความรำคาญโดยไม่จำเป็นแบบนี้....ถึงเวลาจับคนโรคจิตแล้วสินะ

     

    “ออกไปจับมันได้แล้ว พวกนายตามฉันมา ค่อยๆเดินอย่าให้มีพิรุธนะ ทำเหมือนออกมาตรวจสภาพรถข้างนอกแล้วค่อยล้อมมันทีหลัง” เขาถูจมูกด้วยความหงุดหงิดก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเดินออกไป จงออบกับจุนฮงรีบเดินตามไปทันที ระหว่างนั้นเงาที่พุ่มไม้ก็ยังคงเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่องเหมือนไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง...

     

    จงออบกับจุนฮงแกล้งเดินไปทางหน้าอู่ก่อนแล้วค่อยอ้อมมาทางข้างหลังต้นไม้แบบเนียนๆ เมื่อยงกุกหันมาขยิบตาให้สัญญาณ สองลูกมือก็พุ่งเข้าชาร์ตเป้าหมายทันที เพราะกำลังเพลินกับการนั่งแทะปลาหมึกเส้น ผู้เคราะห์ร้ายเลยไม่ทันระวังตัว สุดท้ายก็โดนจงออบตะครุบเข้าที่แขนไปเต็มแรง

     

    “ออกมานี่เลยไอ้บ้า โรคจิตนักเหรอ เดี๋ยวก่อนเมิงเดี๋ยวพ่อจับส่งตำรวจ......อ...เอ๋.????” หลังจากกระชากแขนคนในพุ่มไม้เต็มแรงจนเซมาล้มอยู่ในอ้อมกอดเขา จงออบก็รู้สึกได้ถึงร่างนิ่มๆ สัมผัสที่ข้อมือก็นุ่มๆเนียนๆ ผิดไปจากคนโรคจิตเคยคิดเอาไว้ และยิ่งได้สบตากลมโตนั่นแล้ว ขอบอกเลยว่าผู้ชายตรงหน้าเขาห่างจากคำว่าโรคจิตไปหลายขุม....

     

    .

     

     

    .

     

    แต่ถึงจะน่ารักก็ไม่ทำให้หายโมโหได้หรอก หน้าตาดีแต่ดันเป็นพวกชอบสร้างความรำคาญซะงั้น สงสัยจงออบต้องกลับไปตีความใหม่แล้วว่าคนน่ารักก็เป็นโรคจิตได้...โอย....โลกนี้มันเป็นอะไรกันไปหมดนะ

    .

     

    .

     

    “คุณเป็นปาปารัซซี่เหรอ” ยงกุกถามเสียงห้วนหลังจากเห็นกล้องที่มีเลนส์อันเท่าบ้านในมือผู้ต้องสงสัย “ทำไมต้องมาถ่ายรูปอู่เราด้วย”

     

    “ไม่ใช่นะ ฉันไม่รู้เรื่อง” เขาละล่ำละลักตอบขณะพยายามสะบัดมือที่ถูกจงออบจับอยู่ออก ยิ่งดิ้นก็ยิ่งบีบ...ถึงจะไม่อยากทำก็เถอะ แต่ปล่อยให้หลุดหนีไปไม่ได้แน่ๆ

     

    “อย่ามาเถียง กล้องอันเท่าควายแถมมาซุ่มตรงนี้ตั้งสองสามวันแล้ว ไม่ได้มาถ่ายแล้วจะมาทำอะไร” จงออบเค้นเสียงออกมาตามไรฟัน “จะตอบดีๆหรือจะให้ผมจับส่งตำรวจ”

     

    “พี่ฮะ ผมว่าใจเย็นหน่อยก็ได้” จุนฮงแทรกขึ้น “หน้าตาเค้าก็น่ารักออก คงไม่ได้คิดร้ายกับเราหรอกเนอะ ใช่มั้ยฮะ”

     

    “เงียบปากไป” คนแก่กว่าหันไปส่งสายตาดุใส่...อันที่จริงต้องใช้คำว่าเงยหน้ามากกว่า...เอาเถอะ ไอ้หมอนี่ไม่ได้ถูกจ้องตลอดสามวันแบบเขานี่ ไม่มาเป็นเขาไม่รู้หรอกว่ามันน่าหงุดหงิดแค่ไหน

     

    “ว่าไง จะบอกหรือไม่บอก” ยงกุกพูดเสียงเรียบๆอีกครั้ง เริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว ส่วนจงออบที่ไม่รู้เรื่องเขากับฮิมชานก็ยังคงโมโหอยู่คนเดียว

     

    “ยอมแล้วๆ ฉันบอกก็ได้ แต่ปล่อยก่อนได้มั้ย เจ็บ” เขาถลึงตามอง จงออบจึงยอมคลายแรงกดตรงข้อมือ หลังจากเป็นอิสระ ปากอิ่มๆนั้นก็ยอมสารภาพความจริง

     

    “ถูกแล้ว ฉันเป็นปาปารัซซี่” เขาบอก “ได้ข่าวว่าคิมฮิมชานมีซัมติงกับผู้ชายที่เป็นเจ้าของอู่นี้ก็เลยมาแอบดู แต่เท่าที่ดูแล้ว....” เสียงใสหยุดพูดแล้วหันมามองจงออบอย่างเหยียดๆ ตลอดสามวันที่เขาเฝ้าก็เห็นแต่อีเตี้ยนี่แหละที่มาทำงาน คงจะเป็นเจ้าของอู่แน่ๆ หน้าตาดีก็จริงแต่แบบนี้ไม่ใช่สเปคคิมฮิมชานชัวร์ๆ ข่าวที่ได้มาท่าทางจะผิดแบบมหันต์เลย

     

    “เจ้าของอู่น่ะผมเอง” ยงกุกกอดอกมองคนตรงหน้า “มีคนบอกคุณว่าผมเป็นแฟนฮิมชานงั้นเหรอ”

     

    “..ก..ก็ได้ข่าวมา....นายเองเหรอที่เป็นเจ้าของที่นี่” เขาตอบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ “เอาเถอะ ยังไงข่าวก็คงจะผิดอยู่แล้ว ขอโทษที่มารบกวนละกัน ถ้าไม่มีอะไรฉันขอตัวกลับก่อน” ร่างเล็กพูดอย่างรวดเร็วแล้วรีบสะพายกล้องเดินพรวดพราดออกมาทันที ช้ากว่านั้นเกิดโดนจับส่งตำรวจจริงๆคงไม่เวิร์คเท่าไหร่ นอกจากการเป็นปาปารัซซี่แล้ว เขายังต้องใช้หน้าตาและประวัติที่สะอาดประกอบอาชีพอื่นอีกนะ

     

    แต่ทันทีที่ก้าวเท้าเตรียมจะข้ามถนน ร่างเล็กก็หันไปเห็นรถสปอร์ตหรูคันหนึ่งจอดอยู่ใกล้ๆพอดี สายตาประดุจเหยี่ยวมองไปที่ป้ายทะเบียน แน่นอนว่านี่เป็นเลขทะเบียนที่ปาปารัซซี่หนุ่มจำได้ขึ้นใจ ก็ตามถ่ายมาตั้งนานทำไมจะจำทะเบียนรถไม่ได้

     

    .

     

     

     

    .

     

     

    แจ็คพ็อต! นี่มันรถคิมฮิมชานชัดๆ

     

     

    ไวเกินความคิด เขาเดินกึ่งวิ่งตรงไปที่รถอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงเวลาที่ยงกุกเองก็หันไปเห็นรถฮิมชานพอดี วูบหนึ่งที่ชายหนุ่มกลัวว่าจะมีเรื่องอันตรายเกิดขึ้นกับแมวน้อยของเขา  ยงกุกจึงวิ่งตามไปที่รถอย่างรวดเร็ว เขาคงลืมไปว่าระดับสารเคมีอันตรายในตัวคิมฮิมชาน หรือที่เรียกง่ายๆว่าความน่ากลัวนั้นมีเยอะกว่าปาปารัซซี่ผิวขาวหน้าสวยที่วิ่งนำหน้าไปซะอีก

     

    ทั้งสองคนวิ่งไปถึงรถฮิมชานใกล้ๆกัน เป็นจังหวะที่คนในรถพยายามจะปรับกระจกขึ้น แต่ก็สายไปแล้ว สายตาสองคู่ปะทะกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยงกุกที่มาช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีก็เลยทันเห็นภาพที่เขาไม่คาดคิด...

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

    ปกติดาราต้องหลบหน้าปาปารัซซี่นี่นา

    แล้วทำไมเหมียวน้อยของเขาถึงไม่หลบหน้าผู้ชายคนนี้ แถมยังทำเหมือนรู้จักกันดีซะอีก???

     

     

    ร่างสูงยิ่งงงมากขึ้นเมื่อฮิมชานเบ้ปากแล้วถามออกไปด้วยอาการเซ็งอย่างเห็นได้ชัด

     

     

    .

     

     

    .

     

     

    “ยองแจ นายอีกแล้วเหรอ?”

     

    -------------------------------------------------------------------

     

     

    ยงกุกต้องสารภาพว่าเขาไม่เข้าใจวัฏจักรวงการบันเทิงเท่าไหร่ แค่ไม่มีความรู้รอบตัวก็แย่พออยู่แล้ว ยังจะต้องมาทำความเข้าใจในความสัมพันธ์แบบงงๆของดารากับปาปารัซซี่อีก นี่มันเป็นจินตนาการเกินบรรยายของเขาจริงๆ

     

    .

     

     

    .

     

    “อาชีพหลักของยูยองแจเป็นช่างภาพ แต่เพราะว่างจัดก็เลยชอบตามถ่ายรูปฉัน” ฮิมชานอธิบายเสียงเอื่อยๆ ถึงจะขี้เกียจสาธยายเพราะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ก็ต้องพูดซะหน่อยเพราะมันเกี่ยวพันถึงยงกุกซึ่งฮิมชานไม่อยากให้เขาต้องมาวุ่นวายไปด้วย

     

    “เรารู้จักกันเพราะยองแจเองก็รับเป็นนายแบบบางงานด้วย ตามถ่ายฉันในโซลก็ว่าเยอะแล้วนะ นี่มาถึงนี่เลยเหรอ มันจะมากไปหน่อยแล้วมั้ง”

     

    “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะตามนายหรอก บ้านฉันก็อยู่แถวนี้แหละ” ยองแจยักไหล่ ตอนนี้ทุกคนย้ายเข้ามานั่งในออฟฟิศของยงกุกกันหมดแล้วเพราะกลัวว่าจะมีคนนอกผ่านมาเห็น และเพื่อความเป็นส่วนตัวเข้าไปอีก ยงกุกจึงประกาศปิดอู่ครึ่งวัน ปล่อยให้ช่างซ่อมทุกคนกลับบ้านไปก่อนจะได้ไม่ต้องเห็นฮิมชานแล้วเอาไปลือกันผิดๆ

     

    “พอดีว่ากลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ได้ยินข่าวนี้เข้าก็เลยแวะมาซุ่มซะหน่อยเผื่อว่าจะเจอฮิมชาน แล้วก็เจอจริงๆแฮะ...” ปากอิ่มๆสีแดงขยับขึ้นลงแลดูน่ามองไม่น้อย แต่ดูเหมือนคนๆเดียวในห้องที่มองเขาจะมีแต่จงออบ เพราะยงกุกเอาแต่มองฮิมชาน ฮิมชานนั่งมองเล็บตัวเอง แดฮยอนมองฮิมชานและจุนฮงก็มองแดฮยอนอีกที....เหลือแต่จงออบที่ยืนพิงกำแพงกอดอกอยู่ตรงนั้น ไม่ได้มองเพราะเสน่หาอะไรหรอกนะ เขากำลังงงสุดๆต่างหาก หลังจากรู้เรื่องของยงกุกกับฮิมชานที่ชวนให้ช็อคพอสมควรแล้ว ยังต้องมานั่งฟังแผนภูมิความสัมพันธ์ของคนที่เขาเพิ่งจะรู้จักเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอีก นี่งงไปถึงชาติหน้าเลยขอบอก

     

    “เราต้องคุยเรื่องนี้กันหน่อยแล้ว” ฮิมชานพูดสั้นๆแล้วคว้ามือยองแจออกไปนอกห้องสำนักงาน หามุมเงียบๆแล้วถามเรื่องที่สงสัยออกไป

     

    “ข่าวฉันกับยงกุกหลุดไปได้ยังไง นายไปรู้มาจากไหน” เขาถามเสียงเครียด

     

    “ไม่ต้องห่วง มันไม่ขยายวงกว้างหรอก แค่เพื่อนช่างภาพของฉันที่ไปถ่ายรูปกองถ่ายหนังนาย เห็นคุณยงกุกขับรถไปส่งนายที่โรงแรมตอนกลางคืนน่ะ” ยองแจตอบ “สองวันก่อนได้มั้ง เขาเข้าไปส่งนายในโรงแรมแล้วก็ขับรถกลับ ทางที่เพื่อนฉันขับกลับเป็นทางเดียวกับที่คุณยงกุกขับไปพอดี เห็นเค้าเข้าไปในอู่แป๊บนึงแต่เพื่อนฉันไม่ใช่ปาปารัซซี่มันก็เลยไม่สนใจอะไร แล้วก็เอามาเล่าให้ฉันฟังนี่แหละ แต่ฉันกำชับมันไปแล้ว บอกว่าอย่าเพิ่งบอกใครจนกว่าฉันจะถ่ายรูปนายได้”

     

    ร่างโปร่งยืนคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง ดีที่คนเห็นเป็นเพื่อนของยองแจ และดีที่ยองแจรู้จักกับเขา ตลอดมาการพบกันระหว่างเขากับยงกุกไม่ใช่ท็อปซีเคร็ทที่จะต้องมานั่งปกปิดจากโลกภายนอก แต่เขาก็ลืมไปว่าถ้ามันเกิดเป็นข่าวขึ้นมาจริงๆ ยงกุกจะต้องลำบาก ต่อให้ทำเงียบๆหรือปฏิเสธความสัมพันธ์ไป เวลาส่วนตัวของเขากับยงกุกที่น้อยอยู่แล้วอาจจะยิ่งน้อยลงไปอีก ซึ่งเขาไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้นเลย....

     

    .

     

    .

     

     

    “ยองแจ อย่าเอาเรื่องของยงกุกไปเล่าให้ใครฟังนะ” ฮิมชานเขย่ามือคนตรงหน้าเบาๆ “ฉันขอร้อง....”

     

    “เฮ้ย มาแปลก” หนุ่มหน้าสวยจ้องอย่างอึ้งๆ “ขนาดฉันตามนายจนแทบจะเอาเลนส์ไปทิ่มหน้า นายยังไม่เคยขอร้องฉันแบบนี้เลย....ฮิมชาน นี่นาย....จริงจังกับเขาเหรอ”

     

    “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก” ดาราดังถอนหายใจ “ฉันไม่อยากให้เขาต้องมาวุ่นวายกับเรื่องแบบนี้ มันจะทำให้เขาลำบากเปล่าๆ”

     

     ยองแจกับฮิมชานรู้จักกันมาหลายปีเพราะทั้งคู่เคยถ่ายแบบด้วยกันในหนังสือเล่มหนึ่ง ตอนนั้นคนตรงหน้ายังไม่เป็นดาราดัง แต่นิสัยที่ชอบเก็บตัวและไม่สุงสิงกับใครก็เป็นบุคลิกที่น่าสนใจมาก ยิ่งมีโอกาสได้ถ่ายรูปฮิมชานด้วยตัวเองในงานถัดมา ยองแจก็กลายเป็นโรคฮิมชานมาเนียไปในทันที ทั้งตัวเขาและกล้องของเขาชอบฮิมชานมากจนกลายเป็นแฟนคลับที่แอบตามถ่ายดาราคนสวยมาตั้งแต่นั้น...

     

    ตั้งแต่รู้จักกันมา ฮิมชานไม่เคยขอร้องเขาสักครั้ง ถ้าครั้งนี้มันจะสำคัญถึงขนาดนั้นล่ะก็.....

     

    .

     

     

    .

     

    “วางใจเถอะ ฉันไม่บอกใครหรอก สัญญา” ริมฝีปากอิ่มยิ้มตอบกลับไป คนตรงหน้าจึงยิ้มบางๆตอบกลับมา ท่าทีที่ทั้งคู่คุยกันนั้นอยู่ในสายตาของบังยงกุกตลอด...เขาเหลือบมองผ่านทางหน้าต่างนานแล้ว พร้อมกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ...

     

     

    เขาอยากอยู่กับฮิมชานเงียบๆแค่สองคนโดยที่ลืมคิดไปว่า ถ้าวันหนึ่งมันกลายเป็นข่าวขึ้น คนที่ต้องรับเรื่องราวทั้งหมดก็คือตัวของฮิมชานเอง แม้มันเป็นจะแค่ความกังวลล่วงหน้า แต่ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ....เขาจะปกป้องเหมียวน้อยของเขาได้ไหม?.....

     

     

    .

     

     

     

     

    .

     

     

    ทั้งที่รู้ผลลัพธ์ของมันตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมถึงยังเลือกทางนี้อีกนะ....

     

     

    ------------------------------------------------------------------------

     

     

     

     

    “ยงกุก”

    “หือ”

    “ฉันบอกยองแจไปแล้วนะว่าให้ปิดเรื่องนี้ ไม่ต้องห่วงหรอก ยองแจไว้ใจได้ เพื่อนของเขาที่เห็นเราก็ไม่ได้เอะใจอะไร นายทำงานของนายไปตามปกติเถอะนะ”

     

    ยงกุกหันไปมองคนที่ยืนรับลมอยู่ข้างๆเขา ไหนๆก็ปิดอู่ไปครึ่งวันแล้ว ออกมาเดินเล่นกับฮิมชานซะหน่อยคงจะไม่เป็นไร แถวอู่เขาบรรยากาศค่อนข้างดี คนไม่พลุกพล่านแต่ก็ไม่ถึงกับเงียบจนร้าง ใกล้ๆกันมีแม่น้ำให้ลงไปเดินเล่นได้ด้วย ช่วงบ่ายอากาศไม่หนาว แต่ถึงอย่างนั้น คิมฮิมชานก็จำเป็นต้องใส่ผ้าปิดปากเพราะกลัวคนจะจำได้

     

    “ตรงนี้ไม่มีคนแล้ว เอาผ้าปิดปากออกเถอะ ผมฟังคุณพูดไม่รู้เรื่อง” ชายหนุ่มหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปดึงผ้าปิดปากลายแมวอ้าปากหาวออกให้ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปจูบแก้มบางแรงๆทีนึง “ผมไม่กังวลอะไรหรอก คุณนั่นแหละไม่ต้องเครียด ใครอยากถ่ายก็ถ่ายไป ช่างเขาเถอะ ถ้ารำคาญเดี๋ยวผมค่อยจัดการเอง”

     

    “ก็ได้ ต่อไปฉันไม่สนใจแล้วก็ได้” ริมฝีปากบางเหยียดออกอย่างแสนงอน คนอุตส่าห์เป็นห่วง ตอบแบบนี้เหมือนเขาคิดมากไปเองคนเดียวเลย บังยงกุกคนบ้า “ยังกะฉันอยากจะเข้าไปนักนี่ อู่นายน่ะ เก่าด้วยฝุ่นเยอะด้วย มีแต่กลิ่นน้ำมัน แค่เดินผ่านก็....”

     

    “เดี๋ยวผมทำประตูข้างหลังให้เอามั้ย”

     

    “หา?”

     

    “เดี๋ยวผมทำประตูหลังส่วนที่ติดกับออฟฟิศให้ คุณเดินอ้อมเข้าไปได้เลยไม่ต้องกลัวใครเห็น ไม่ต้องผ่านกองเหล็กกองอะไหล่กับเครื่องมือด้วย ถ้าอยากมาก็บอกผมได้ตลอด”

     

    “อ...อะไร...ฉันไม่ได้บอกซะหน่อยว่าอยากจะไปอู่ของนาย”

     

    “แต่ผมอยากให้คุณมา....” เสียงทุ้มตอบออกไปก่อนจะรั้งร่างบางเข้ามากอด ฮิมชานแอบยิ้มอยู่กับอกกว้างนั้น ตอบแบบนี้แล้วจะให้เขาพูดอะไรได้อีก บังยงกุกคนบ้า....

     

    “อู่ของผมมันไกล คุณเองก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยๆ แต่ถึงยังไง ผมก็อยากให้คุณมานะ” เขาจูบผมนุ่มที่ยุ่งนิดๆเพราะแรงลมริมน้ำ “รู้หรอกว่าเป็นห่วง ต่อไปนี้ผมจะระวังให้มากขึ้นนะเหมียวน้อย จะไม่ทำให้คุณลำบาก ถ้าอึดอัดใจเมื่อไหร่บอกผมได้เลยนะ ผมทำตามที่คุณบอกได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”

     

    ฮิมชานไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้างุดอยู่กับอกของเขา กริยาของคนตรงหน้าน่ารักซะจนยงกุกอดใจไม่ไหว ต้องใช้มือใหญ่ประคองใบหน้าของแม่เสือขึ้นมาแล้วแนบริมฝีปากลงไปเบาๆ ก่อนจะบดจูบให้หนักขึ้นอีก ปลายลิ้นสอดเข้าไปในปากบางจนฮิมชานเผลอจูบตอบเขาโดยไม่ทันคิด แต่สุดท้ายมือน้อยนั้นก็ต้องผลักอกกว้างออกจนได้...

     

    “อย่าทำกลางแจ้งสิ” เขาดุ แต่ริมฝีปากสวยกลับประดับไปด้วยรอยยิ้ม “เมื่อกี้เพิ่งบอกเองว่าจะระวัง ยังไม่ทันไรก็หาเรื่องให้ฉันแล้วเหรอ”

     

    “ก็บางคนดันน่ารักเกินไป” ยงกุกอมยิ้ม “ห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็คิดถึงจนต้องตามมาแอบมองผมที่ทำงานแล้ว อย่างงี้จะให้ทนได้ไง”

     

    “ไอ้บ้านี่ ไม่ได้คิดถึงนะ” ดาราดังทุบอกเขาดังอั้ก “ก็แค่อยากเจอ....แค่นั้นเอง” ปลายเสียงค่อยๆลดลงจนเกือบกระซิบ เจ้าของอ้อมกอดได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มจนเหงือกบาน ช่วงหลังๆนี่ชักจะน่ารักมากไปแล้ว ถ้าเขาสำลักความสุขตายไปจะทำยังไงล่ะ

     

    .

     

     

    .

     

     

    “ยงกุก”

    “หือ”

    “จูบอีกทีได้มั้ย”

     

    “แค่จูบนะ” ชายหนุ่มกระซิบ ริมฝีปากหนาไล้ไปตามเรียวปากสีสดนั้นอีกครั้ง  “ถึงจะอยากให้มากกว่านี้ก็เถอะ”

     

    “ฉันต้องกลับโซลแล้ว...” ฮิมชานบอกเขา "หลังจากนี้มีถ่ายโฆษณากับละครอีกเรื่องนึงติดกันเลย คงไม่มีเวลาว่างยาวๆมาที่นี่อีกหลายเดือน ไว้ค่อยโทรหานะ”....

     

    “ตามแต่จะบัญชาครับ” ยงกุกหยิกแก้มใสเบาๆด้วยความเอ็นดู “ผมเป็นทาสคุณแล้วนี่~”

     

    .

     

     

    .

     

    ฮิมชานสบายใจไปเปลาะหนึ่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับยงกุกที่ยังคงไม่มีใครรู้ แต่ชายหนุ่มไม่ทันคิดจริงๆว่าความลับไม่มีในโลก ต่อให้พวกเขาทำตัวเป็นปกติหรือพยายามปกปิดมันมากแค่ไหน ความลับนั้นก็ต้องมีคนรู้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ดี....

     

     

    .

     

     

    .

     

     

    อย่างเช่นสายตาของใครบางคนในตอนนี้ที่กำลังมองทั้งคู่อย่างครุ่นคิด พร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย ตามด้วยการวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ในใจ....

     

     

     

    End



    ตอนนี้ยาวไปหน่อย (หน่อยมั้ย) เราเป็นคนเขียนฟิคแบบแพล่ม 5555 เนื้อหาจะยาวอย่างงี้โดยปกตินะคะ ขอโทษถ้ายาวไปนะ ยังไงก็ต้องขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นมากค่ะ อยากติชมอะไรบอกได้เลยนะคะ^^


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×