คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Symphony Sunshine [LJ]
Symphony Sunshine
บางคนอาจจะเห็นแสงแดดของวันใหม่ในทุกๆวันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น บางคนอาจจะชอบมัน บางคนอาจจะเฝ้ารอแสงตะวันของวันต่อๆไป เพราะแสงอาทิตย์ให้ความรู้สึกได้หลายอย่าง เวลาที่มันเจิดจ้า มันก็สว่างซะจนสร้างความสดใสให้กับคนหลายคน หรือเวลาที่มันอ่อนแสงลง มันก็มีความนุ่มนวลโรแมนติก
พระอาทิตย์อาจจะเป็นที่รักของคนหลายๆคน....แต่กับผม...มันไม่ใช่
ความจริงแล้วทุกๆวันของผมมันก็ไม่ได้น่าเบื่ออะไรมากมาย แต่คุณคงไม่รู้ว่าการที่จะต้องอยู่ในโรงพยาบาลเกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของชีวิต มันทั้งทั้งท้อแท้และสิ้นหวังขนาดไหน
ผมป่วยเป็นโรคเกร็ดเลือดไม่แข็งตัวตั้งแต่เกิด จะว่าไปตอนเด็กๆมันก็ไม่ได้สาหัสเท่าไหร่นักหรอก แต่อาการของเริ่มหนักขึ้นเมื่อตอนอยู่มัธยม แล้วมันก็แย่ลงเรื่อยๆจนในที่สุดผมก็ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลอย่างที่เห็น....
พระอาทิตย์ขึ้นเป็นครั้งที่สองพันห้าร้อยห้าสิบห้าแล้วนับตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลนี้ ไม่ว่าจะวันไหนๆแสงของมันก็ยังทอประกายแบบเดิม สีเหลืองสดใสที่คนเค้าชอบกัน ไม่รู้สิ ผมกลับเบื่อมันชะมัด.....แต่ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ อย่างน้อยการมีชีวิตอยู่เพื่อมองมันทุกๆวันก็เป็นเรื่องดี.....ผู้ชายคนหนึ่งบอกกับผมแบบนั้น
“สวัสดีจุนฮง” น้ำเสียงอ่อนโยนที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นหน้าห้องก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินเข้ามาทักทายเหมือนอย่างเคย
“พี่ยองแจ” ผมยิ้มให้เขา “พี่มาช้าอีกแล้วนะ พระอาทิตย์เพิ่งขึ้นไปเมื่อตะกี้เอง”
“ช่างมันเถอะ นายก็รู้ว่าฉันสู้แสงแดดไม่ค่อยได้” เสียงหัวเราะที่ตอบกลับมาทำให้ผมรู้ว่าวันนี้ก็เป็นวันดีอีกหนึ่งวัน ถึงจะต้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆนี้อย่างหงอยเหงา แต่การที่มีเขาอยู่เป็นเพื่อนก็ช่วยให้หายเหงาไปได้เยอะเลย
ผู้ชายคนนี้อยู่กับผมมาตลอดสี่ปี การที่เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่แถมยังไม่มีเพื่อนสนิทเลยนั้น ทำให้ชีวิตผมโดดเดี่ยวอย่างที่คุณเห็น ปีแรกๆของการเข้าโรงพยาบาลก็ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่ร้องไห้ ทุกวันผมมักจะตื่นมารับแสงอาทิตย์อย่างสิ้นหวังและมองพระอาทิตย์ตกดินไปอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ในวันแรกที่ผมได้เจอกับเขาที่นี่ ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไป พี่ยองแจเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ตั้งแต่อยู่กับเขามา ผมไม่เคยเห็นเขาโวยวายหรือบ่นเรื่องชีวิตของตัวเองเลย เขายังคงมีความสุขกับสิ่งต่างๆรอบตัวแถมยังเผื่อแผ่มาให้ผมด้วย....พูดก็พูดเถอะ.....ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ผมคงไม่มีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้หรอก คนอย่างผมอ่อนแอเกินไป คิดอะไรในแง่ร้ายเสมอ ต่างจากเขาที่มักจะมองโลกในแง่ดีอยู่เป็นประจำ....
พี่ยองแจเดินไปปิดม่านตรงหน้าต่างเพื่อไม่ให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามามากนัก ผิวของเขายังคงซีดเหมือนอย่างเคย ตั้งแต่วันแรกที่ผมเห็นเขา พี่ยองแจก็เป็นแบบนี้แล้ว ในความคิดของผม เขาดูเหมือนสโนไวท์ชะมัด หน้าตาที่สวยเหมือนผู้หญิงก็เป็นจุดสำคัญ แต่ผิวที่ขาวซีดนั่นแหละดูจะชัดเจนกว่าใครเพื่อน
“นายโชคดีออกจะตายที่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นทุกวัน” เขาเดินมานั่งข้างเตียงผมแล้วถอนหายใจเบาๆ “ยิ่งแดดแรงขนาดนี้ ถ้าฉันเดินออกไปกลางแจ้งละก็ตัวต้องไหม้แน่ๆ”
“สี่ปีแล้วนะ” ผมสวนกลับไป “ผิวพี่ยังปรับให้เข้ากับแสงอาทิตย์ไม่ได้อีกเหรอ”
“ถ้ามันง่ายอย่างงั้นก็ดีน่ะสิ” พี่ยองแจว่าพลางเท้าคางลงกับเตียงแล้วจ้องหน้าผม “นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนประเภทไหน แค่ออกจากโรงพยาบาลไปเดินตอนสายๆเย็นๆก็แสบจะแย่แล้ว นี่จะให้มานั่งจ้องพระอาทิตย์อีก ไม่เอาล่ะ”
“ทำไมพี่ถึงชอบให้ผมดูพระอาทิตย์ขึ้นนักนะ ในเมื่อพี่ก็ดูไม่ได้แล้วทำไมถึงต้องมายัดเยียดให้ผมดูด้วย” ผมบ่น แต่ก็บ่นไปงั้นเอง เพราะผมก็บ่นแบบนี้ทุกวันนั่นแหละ คำตอบของพี่ยองแจผมก็เดาได้ เขาจะต้อง....
ใช่ เขาหัวเราะเหมือนอย่างเคยก่อนจะตบหัวผมเบาๆ
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันอยากให้นายดูพระอาทิตย์ขึ้นเผื่อฉัน การที่มีชีวิตตื่นขึ้นมาดูพระอาทิตย์ทุกวันๆน่ะมันเป็นเรื่องดีรู้มั้ย ถ้าฉันเป็นแบบนาย ฉันจะเปิดม่านแล้วนั่งมองมันทั้งวันเลยจะบอกให้”
“โรคจิต บ้าพระอาทิตย์” ผมพึมพำ แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ เลยเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงแล้วพูดกับเขา
“จริงด้วย วันนี้ตอนเย็นๆเราลงไปเดินที่สวนข้างล่างกันนะ ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมาสองสามวันแล้ว อยู่แต่บนเตียง อภิมหาแสนจะเบื่อ พี่ลงไปเดินเล่นกับผมนะ”
“ดูสภาพอากาศก่อนแล้วกัน” เขาว่า “ถ้าแดดไม่แรงก็คงพอจะลงไปเดินได้บ้างหรอก” ทันทีที่พูดจบ เสียงประตูห้องก็เปิดออกอย่างช้าๆ ผมหันไปมองนางพยาบาลที่ดูแลฉันเป็นประจำแล้วยิ้มให้ เธอยิ้มตอบกลับมาแล้วทักทายฉันเหมือนอย่างเคย
“วันนี้อากาศดีจังนะจุนฮง” พี่ชินจีทักฉัน เธอเป็นนางพยาบาลที่....จะว่าไปแล้ว ผมว่าเธอสวยที่สุดในโรงพยาบาลนี้เลย ทั้งรูปงามนามเพราะ นิสัยก็เริ่ด แฟนก็หล่อ (ผมเคยเห็นเขามาหาพี่ชินจีตอนที่เดินเล่นอยู่ในสวนของโรงพยาบาล แฟนพี่ชินจีชื่อเดวิด ทั้งหล่อแล้วก็รวย เหมาะสมกันสุดๆ) บางทีผมก็อิจฉาคนรอบตัวที่มีความรัก สามารถออกไปไหนมาไหนกับคนที่ชอบได้ ไม่ต้องมานอนแหง็กที่โรงพยาบาลแบบนี้
แต่เอาเถอะนะ แค่มีพี่ยองแจอยู่เป็นเพื่อน ผมก็มีความสุขมากแล้ว อย่างน้อยเขาก็อยู่กับผมตอนกลางคืนได้เวลาที่ผมไม่มีใคร เวลาที่ผมเหงาแล้วจิตตก หรือไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม เหมือนเขารู้ใจผมเลย ทุกครั้งที่ผมเหงา พี่ยองแจก็จะมาอยู่ข้างผมเสมอ
พูดถึงพี่ยองแจ ผมก็หันไปมองอีกข้างของเตียง เพราะเมื่อกี้มัวแต่คุยกับพี่ชินจีเพลินเลยไม่ได้สนใจเขา พอหันกลับมาพี่เขาก็หายไปแล้ว ชอบแว้บมาแล้วก็แว้บไปแบบนี้ทุกที แต่เขาก็เป็นแบบนี้มาตลอดแหละ ผมชินแล้วก็เลยไม่สนใจอะไร พี่ยองแจไม่ชอบนั่งอยู่กับคนอื่นด้วย เขาชอบอยู่กับผมสองคนเท่านั้น ถ้ามีใครคนไหนโผล่เข้ามาล่ะก็ เขาจะหายตัวไปทันที
“อยากลงไปเดินเล่นตอนเย็นๆมั้ยจุนฮง” พี่ชินจีถามฉัน “อาการดีขึ้นแล้ว น่าจะลงไปสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง เดี๋ยวตอนเย็นพี่พาลงไปนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไปเองได้ เดินเองพอไหวแล้ว” ผมปฏิเสธเธออย่างสุภาพ “เดินลงไปง่ายนิดเดียวเอง เดี๋ยวผมหาเพื่อนไปด้วยก็ได้ พี่ชินจีจะได้ไม่ลำบาก”
พี่ชินจีมองผมแล้วพยักหน้าน้อยๆ....เธอไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้น เมื่อวัดความดันให้ผมเรียบร้อยแล้ว พี่ชินจีก็เดินออกจากห้องไป ผมได้แต่มองตามเธอออกไปด้วยความอิจฉา พี่ชินจีก็สดใสเหมือนพระอาทิตย์นั่นแหละ น่ารัก นิสัยดี ที่สำคัญ เธอกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา ไม่ต้องนอนเหี่ยวเฉาอยู่บนเตียงแบบผม แต่ก็อย่างว่า พี่ยองแจบอกผมเสมอว่าเราโทษใครไม่ได้นอกจากโชคชะตา ผมก็ว่าแบบนั้นแหละ ข้อดีของการนอนป่วยอยู่แบบนี้ก็คือทำให้ผมได้พบกับเขา นั่นน่าจะเป็นอย่างเดียวที่ดีจริงๆสำหรับผม นอกนั้นมันก็นรกดีๆนี่เอง......
“สุดท้ายแล้วก็ต้องมานั่งมองท้องฟ้าเวลานี้อีกตามเคย” ผมบ่นเบื่อๆขณะนั่งอยู่กับพี่ยองแจบนดาดฟ้าในตอนกลางคืน ดวงดาวที่เกลื่อนอยู่บนนั้นระยิบระยับน่ามองไม่น้อย แม้แต่วิวพวกนี้ผมก็ยังเห็นมันอยู่ทุกวัน เพราะพี่ยองแจแพ้แสงแดด ผมถึงลงไปเดินเล่นกับเขาตอนสายๆหรือเย็นๆไม่ค่อยได้ อย่างเดียวที่ทำได้ก็คือนั่งมองท้องฟ้าตอนกลางคืนเป็นเพื่อนเขาเท่านั้น
“ฉันไม่ได้ขอร้องให้นายมานั่งดูดาวเป็นเพื่อนซักหน่อย” เขาหันมามองผมแล้วพูดงอนๆ “นึกเหรอว่าฉันอยากจะนั่งมองดาวพวกนี้ ฉันน่ะอยากมองพระอาทิตย์จะแย่”
“มันจะต้องมีซักวันน่า” ผมให้กำลังใจเขา “ทุกวันนี้สภาพของพี่ก็ไม่ได้แย่ขนาดจะโดนแสงแดดไม่ได้นะ อย่ากลัวไปหน่อยเลย”
“นายพูดยังกะว่าฉันเป็นคนธรรมดางั้นแหละ” เขาทำปากยื่นนิดๆ “ฉันคงต้องเกิดใหม่ถึงจะออกไปเดินบนถนนกลางแดดได้เหมือนใครเขา”
“ก็เกิดใหม่ซะทีสิ” ผมอมยิ้ม “บ่นอยู่ทุกวัน ไม่เห็นจะทำอย่างที่บ่นซะที”
“บ้า มันทำกันได้ง่ายๆรึไง” พี่ยองแจพูดแล้วขยี้หัวฉันด้วยความหมั่นไส้ “นายนี่มันยุ่งจริงๆเลยน้า ไล่ฉันแบบนี้แสดงว่าไม่รักฉันแล้วงั้นสิ”
“เปล่านะ” ผมรีบค้าน “ก็ผมอยากให้พี่มีความสุขซะทีนี่นา เราเห็นกันมากี่ปีแล้ว พี่ไม่มีใครเลย แต่ผมยังดีที่มีพ่อแม่ดูแล ผมอยากให้พี่มีความสุขนะยองแจ”
เขาหัวเราะเมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น อ้อมแขนที่แสนอบอุ่นของเขาสอดเข้ามาโอบผมแล้วรั้งเข้าไปใกล้ๆ ก่อนที่เขาจะกระซิบข้างหูผมเบาๆ
“ไม่รู้หรือยังไงจุนฮง แค่อยู่กับนายตอนนี้ พี่ก็มีความสุขมากแล้ว”
-------------------------------------------------------
ผมรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของผมกับพี่ยองแจไม่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่าความเป็นเพื่อน จริงๆแล้วทั้งผมและเขาต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แต่เพราะเรามีอะไรที่คล้ายกันมากเกินไป ทำให้บางครั้งในความรู้สึกนั้นมันก็มีมากกว่าความเป็นเพื่อนไปบ้าง ยังไงก็ตาม ผมก็มีโลกของผม และเขาก็มีโลกของเขา การที่เราสองคนจะผูกติดกันอยู่ตลอดไปนั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้แน่......
ผมกำลังนอนหลับอย่างมีความสุขในตอนสายๆของวันหนึ่ง และคงจะหลับไปถึงบ่ายถ้าไม่มีเสียงยุกยิกอยู่ข้างๆหูมากวนใจจนทำให้ต้องตื่น.....ต้นเสียงก็เขาอีกนั่นแหละ พี่ยองแจมักจะบอกให้ผมพักผ่อนเยอะๆอยู่เสมอ แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเขาเองที่เอาแต่กวนผม ครั้งนี้ก็เหมือนกัน.....
“จู~~นง~~~” เสียงเย็นๆที่ดังผ่านเข้ามาในหูทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้น ไม่ใช่เพราะความกลัวหรอกนะ ไอ้เสียงแบบนี้ของเขาน่ะผมได้ยินบ่อยแล้ว มันไม่เห็นจะน่ากลัวเลยซักนิด ตรงกันข้าม มันน่ารำคาญมากกว่า
“เลิกใช้เสียงแบบนี้ซะที พี่ก็รู้ว่าผมไม่กลัว” ผมย่นจมูกใส่เขาก่อนจะบิดขี้เกียจเบาๆด้วยความเมื่อย
“ตื่นได้แล้ว วันนี้วันอะไรจำได้รึเปล่า” เขาถามผมแล้วหลิ่วตานิดๆอย่างมีความหมาย.....จะบ้าเหรอ วันนี้ก็วันพุธไง ทำไมผมจะ.......
“เฮ้ย!!!!!....วันนี้มัน.....” ผมตะโกนออกมาดังลั่นเมื่อจู่ๆก็นึกขึ้นได้
“เบ๊อะว่ะ....คนบ้าอะไรลืมวันเกิดตัวเอง” เขาบ่นอย่างหมดอารมณ์ก่อนจะขยี้หัวผมแบบที่ชอบทำ “รู้งี้ไม่เอาของขวัญมาให้ก็ดีหรอก”
“ไหน ของขวัญเหรอ? เอามาเร็วๆเลย” ผมอมยิ้มแล้วแบมือออกไปหาเขา แต่พี่ยองแจกลับตีมือเขาลงบนมือผม แม้มือของเขาจะเย็นกว่าคนปกติ แต่สำหรับผมแล้ว มันอบอุ่นมากๆเลย
“ใจคอจะไม่ล้างหน้าแปรงฟันเลยรึไง....เสร็จแล้วค่อยออกมาคุยกัน....เร็ว...จุนฮง...ลงจากเตียงไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้” เขาบ่นไปก็ฉุดผมให้ลุกจากเตียงไปด้วย ผมว่าตอนนี้เขาเริ่มจะกลายเป็นนางพยาบาลแทนพี่ชินจีซะแล้ว คนบ้าอะไรเอาแต่สั่งอยู่ได้
ผมลุกจากเตียงไปทำกิจกรรมตามที่พี่เขาสั่ง พอออกมาจากห้องน้ำก็เห็นพี่ชินจีเดินเข้ามาพอดีพร้อมกับรอยยิ้มที่สว่างกว่าปกติ จากเดิมที่สวยอยู่แล้วก็ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ มีเรื่องอะไรนะถึงทำให้พี่ชินจียิ้มได้ขนาดนี้
“ตื่นแล้วเหรอจุนฮง” เธอทักทาย “สุขสันต์วันเกิดจ้ะ เดี๋ยววันนี้ตอนบ่ายๆคุณพ่อคุณแม่เธอจะมาหานะ” เธอว่าพร้อมกับวัดความดันให้ผมตามปกติ พี่ชินจีไม่เคยลืมวันเกิดผมเลย นอกจากนี้เธอยังให้ของขวัญผมทุกๆปีด้วย น่าแปลกที่วันนี้เธอไม่ได้ถืออะไรติดมือมา ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพี่ชินจีมีแผนอะไรรึเปล่า เพราะรอยยิ้มของเธอมันสดใสซะจนผิดธรรมดา
“พี่ชินจีมีอะไรรึเปล่าครับ” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย “ทำไมวันนี้ยิ้มสวยผิดปกติ”
“พี่มีข่าวดีจะมาบอก เป็นของขวัญวันเกิดให้จุนฮงไงจ๊ะ” เธอยิ้ม “หมอมีทางรักษาเธอแล้วนะ ต่อไปนี้จุนฮงจะไม่ต้องนอนในโรงพยาบาลอีกแล้ว”
ผมเงียบไปพักหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น สารพัดความรู้สึกมันอัดแน่นอยู่ในอกของผม แว่บแรกที่ได้ยิน ผมดีใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าหมอมีวิธีรักษาโรคของผมจริง ผมก็จะไม่ต้องนอนอยู่ที่นี่อีกต่อไป แต่......
แล้วเขาล่ะ แล้วพี่ยองแจล่ะ??? ถ้าผมออกจากที่นี่ไป เขาจะอยู่กับใคร????
สายตาของผมมองไปทางมุมห้องโดยอัตโนมัติ เขายืนอยู่เงียบๆตรงนั้นนานแล้วตั้งแต่พี่ชินจีเดินเข้ามา และดูเหมือนจะเงียบเข้าไปอีกทันทีที่พี่ชินจีพูดประโยคเมื่อกี้จบ....
“พี่ชินจีครับ...ผม...” ผมอ้ำอึ้ง บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าดีใจรึเปล่า แต่สีหน้าของพี่ยองแจที่ผมเห็นเมื่อกี้มันแปลกไปกว่าที่เคยเห็น รวมไปถึงประกายในตาของเขาด้วยที่มันไม่สะท้อนอะไรออกมาเลย
“ช็อคไปเลยเหรอ” เธอหัวเราะ “หมอโทรบอกคุณพ่อคุณแม่เธอแล้วนะ พวกท่านดีใจมากเลยรู้มั้ย เดี๋ยวตอนเย็นๆก็จะเข้ามาคุยกับคุณหมอเรื่องขั้นตอนการรักษาด้วยล่ะ ไว้เดี๋ยวตอนนั้นคงจะรู้รายละเอียดนะ”
ผมเงียบไปเพราะพูดอะไรไม่ออก ยังคงมองพี่ยองแจที่ยืนเงียบๆอยู่ตรงมุมนั้น เขาเองก็มองกลับมาก่อนจะส่งยิ้มมาให้ผม นานเท่านานที่เราสองคนมองตากันอยู่แบบนั้น แม้จะไม่มีคำพูดอะไรออกมา แต่ผมก็รู้ว่าเราสองคนกำลังคิดเรื่องเดียวกัน...
“เดี๋ยวตอนเย็นๆพี่จะมาอีกทีนะ” พี่ชินจีทิ้งท้ายแล้วเดินออกไป ผมมัวแต่มองพี่ยองแจอยู่อย่างงั้นจนไม่ทันฟังที่เธอพูด ทันทีที่พีชินจีพ้นประตูไป ผมก็เรียกชื่อเขา....
“ยองแจ...” แต่ยังไม่ทันพูดจบ พี่เขาก็แหกปากหัวเราะออกมาดังลั่นชนิดที่ทำให้แก้วหูผมแทบระเบิด
“เลิกทำหน้าเหมือนคนอมโรคได้แล้ว” เขายิ้มล้อเลียน “นายกำลังจะหายแล้วนะจุนฮง ต้องทำหน้าดีใจสิถึงจะถูก”
“เค้าแค่บอกว่าผมจะหาย ไม่ใช่ว่าจะหายจริงสักหน่อย.....แต่ถ้าผมหาย.....ผมก็ไม่ได้อยู่ที่นี่น่ะสิ แล้วพี่ล่ะ พี่จะอยู่กับใคร” ผมท้วง
“กังวลไม่เข้าเรื่อง” เขาเบ้ปาก “ฉันก็มีที่ไปของฉันอยู่แล้วน่า...ไม่ต้องกังวลเรื่องของฉันหรอก ตอนนี้ต้องสนใจเรื่องของตัวเองถึงจะถูก ไม่อยากหายหรือไง”
“ไอ้อยากน่ะอยาก” ผมถอนหายใจ “แต่ผมชักไม่อยากจะออกจากโรงพยาบาลแล้วสิ”
“คิดอะไรแบบนั้นนะ” พี่ยองแจส่ายหน้าเบาๆ “โรงพยาบาลเขามีไว้ให้คนป่วยกับพวก...ไร้ญาติ...อย่างฉันอยู่ ถ้านายหายดีแล้วจะมาอยู่ในนี้ทำไม...ไม่เอาน่า อย่าคิดมาก วันนี้มันวันเกิดนายนะ ทำตัวให้รื่นเริงหน่อย”
“ใจร้าย” ผมโวยวาย “ผมอุตส่าห์คิดถึงพี่นะ พูดงี้เหมือนพี่ไม่คิดถึงผมเลย”
“ใครบอกล่ะ” เขาพูดหน้าตาเฉย “ฉันกำลังจะให้ของขวัญนายอยู่นี่ไง ยิ่งได้ข่าวดีแบบเมื่อกี้แล้ว ของขวัญวันเกิดปีนี้ก็ต้องพิเศษกว่าปีอื่นๆ”
“งั้นเอามาเลย อยากได้จะแย่อยู่แล้ว” ผมรีบแบมือออกไปขอของขวัญจากพี่ยองแจทันที แต่ที่ได้รับกลับมาก็คือ....
ริมฝีปากของเขาที่ประทับลงมาที่ปากผมเบาๆ แม้มันจะแผ่วเบามากจนแทบไม่รู้สึกอะไร แต่ผมก็ยังรับรู้ได้ถึงทุกๆอย่างที่เขามีให้กับผม และมันก็เป็นแบบนั้นตลอดมา.....
.
.
.
คืนนี้ก็เหมือนกับกลางคืนทั่วๆไป แม้ว่าดาวจะเกลื่อนอยู่เต็มฟ้าเหมือนทุกๆคืนที่ผมแอบหนีออกจากห้องนอนมานั่งดูดาวกับเขาอยู่ทุกวัน ทั้งที่คืนนี้ควรจะเป็นคืนที่ผมมีความสุข แต่ก็ไม่ใช่ มันกลับเงียบเหงาแล้วก็อ้างว้างอย่างประหลาด....
“นายจะทำหน้าแบบนั้นไปถึงเมื่อไหร่ งานกร่อยนะเนี่ย มัวแต่ทำหน้าแบบเนี้ย” เขาทำหน้าบูดเมื่อเห็นผมนั่งเหม่อมองท้องฟ้าและไม่คุยกับเขาเหมือนอย่างเคย “พรุ่งนี้ก็จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว เลิกทำหน้าแบบนี้ซะทีดิ้”
“เหงาอ่ะ” ผมถอนหายใจ “พอผมกลับไปพักฟื้นที่บ้านก็คงจะไม่ได้มาที่นี่อีกแล้ว....ยองแจ...” ผมหยุดพูดอยู่แค่นั้นแล้วหันไปมองเขา “พี่จะยังอยู่ที่นี่อีกรึเปล่า ไม่มีผมแล้ว พี่จะยังอยู่ที่นี่อีกมั้ย”
“ไม่รู้สิ” เขายักไหล่ “นายหายแล้ว ฉันก็หมดห่วงแล้ว อาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่อีกก็ได้”
“ผมเคยคิดนะว่าอยากจะออกไปจากที่นี่ แต่ยิ่งอยู่ ผมก็ยิ่งกลัวโลกข้างนอก ผมไม่อยากอยู่คนเดียวโดยไม่มีใคร ผมกลัวพระอาทิตย์ ผมไม่อยากให้มีวันพรุ่งนี้ มัน....ไม่จำเป็นสำหรับผมเลย”
“ไม่จริงหรอก โลกข้างนอกไม่มีวันทำให้นายเหงาหรอกนะ นอกจากนายจะทำตัวนายเอง” พี่ยองแจโอบไหล่ผมเบาๆ “นายไม่จำเป็นต้องมีฉันอยู่ด้วยตลอดเวลาซะหน่อย ก็รู้นี่นาว่าเราอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ได้”
“ก็เพราะรู้น่ะสิ ผมถึงอยากอยู่กับพี่นานๆไง” ผมตัดพ้อเขา น้ำตาเริ่มปริ่มขึ้นมาที่ขอบตา “พี่อาจจะไม่เห็นว่าผมสำคัญ แต่สำหรับผมน่ะ พี่สำคัญเสมอนะรู้มั้ย”
“ทำไมฉันจะไม่รู้” เขาใช้มือเช็ดน้ำตาให้ผมเบาๆ ถึงจะรู้ว่ามืออันเย็นเยียบของเขาไม่สามารถจะหยุดน้ำตาของผมได้ แต่เขาก็ยังทำ “แต่ในเมื่อนายมีวันใหม่ๆมาให้เริ่มต้น นายก็ควรจะใช้มันให้คุ้มค่า อย่ามาเสียดายคนอย่างฉัน หรือยึดติดกับคนอย่างฉัน คนที่ไม่สามารถจะมีวันใหม่ได้อีกแล้ว ไม่มีอนาคตได้อีกแล้ว”
“ยองแจ ผมอยากให้พี่อยู่กับผมนะ” ผมสะอื้น “ผมรู้ว่ามันบ้ามากเลยที่บอกกับพี่แบบนี้ แต่ผมไม่รู้สึกอย่างอื่นแล้วจริงๆ ตลอดสี่ปีที่พี่อยู่กับผม พี่เป็นทุกอย่างของผม ผมไม่มีใครอีกแล้ว ถ้าไม่มีพี่ผมจะอยู่ได้ยังไง ยองแจ ผมไม่มีพี่ไม่ได้นะ”
“บ้า” เขาพูดได้แค่นั้นแล้วกอดผมเอาไว้ ตัวของเขาเย็นเฉียบเหมือนที่เคยเป็น แต่ผมไม่สนอะไรทั้งนั้น ขอแค่เขากอดผม ผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว.....ทุกๆอย่างตลอดสี่ปีของผม มันก็คือเขา.....ผมไม่รู้จะบอกยังไง แต่ผมขาดเขาไม่ได้จริงๆ
“มัวแต่คิดแบบนี้แล้วนายออกไปสู้กับโลกภายนอกได้ยังไง ทำให้ได้สิ ทำเพื่อฉัน ถือซะว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน ใช้ชีวิตเผื่อฉัน ทำทุกๆอย่างเผื่อฉันนะ ถ้านายรักฉันเหมือนกับที่ฉันรักนาย นายก็ต้องทำได้ รับปากฉันได้ไหมจุนฮง” พี่ยองแจพูดแล้วก้มลงจูบหน้าผากผมเบาๆ ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าตอบเขาทั้งน้ำตา แล้วเราสองคนก็กอดกันราวกับว่าเวลาจะหยุดอยู่แค่ตรงนั้น......
.
.
.
บางคนอาจจะเห็นแสงแดดของวันใหม่ในทุกๆวันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น บางคนอาจจะชอบมัน บางคนอาจจะเฝ้ารอแสงตะวันของวันต่อๆไป เพราะแสงอาทิตย์ให้ความรู้สึกได้หลายอย่าง เวลาที่มันเจิดจ้า มันก็สว่างซะจนสร้างความสดใสให้กับคนหลายคน หรือเวลาที่มันอ่อนแสงลง มันก็มีความนุ่มนวลโรแมนติก
พระอาทิตย์อาจจะเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเริ่มเข้าสู่วันใหม่สำหรับใครหลายๆคน
แต่กับผม...มันไม่ใช่...
ห้าปีผ่านมาแล้วที่ผมใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีเขา ผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้กับการที่จะใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีเขา แต่ถ้าย้อนกลับไปถึงวันแรกที่เราเจอกันนั้น มันยิ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ใหญ่....
วันแรกที่ผมพบกับพี่ยองแจคือวันที่ผมนอนร้องไห้อยู่คนเดียวบนเตียงพยาบาล ผมเกลียดแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้าตาของผม เพราะมันทำให้ผมสิ้นหวัง มันทำให้ผมไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่แล้วผมก็ได้เจอกับเขา.....
ผู้ชายคนนั้น....เจ้าของเตียงที่ผมนอน....เจ้าของเตียงที่เต็มไปด้วยความหวังและความฝัน....ผู้ชายคนนั้นที่หวังเอาไว้ตลอดชีวิตว่าเขาจะสามารถสู้กับโรคร้ายของเขาได้.....เขาหวังมาตลอด แต่ก็ทำไม่ได้...
วันที่ผมเข้ามานอนในห้องนั้นก็คือวันครบรอบ 1 ปีที่เขาตาย ห้องของเขา เตียงของเขา เตียงที่เขานอนรอความหวังมาตลอดหลายปีแต่ก็ไม่สามารถต่อสู้กับโรคของตัวเองได้ยังคงอยู่ในสภาพเดิม ผมเอาแต่ร้องไห้แล้วก็เกลียดโลกใบนี้โดยที่ไม่รู้เลยว่าถูกเขาเฝ้ามองมาตลอด และเพราะผมเป็นคนแบบเดียวกับเขา ผมเคยท้อแท้และสิ้นหวังเหมือนที่เขาเคยเป็น พี่ยองแจจึงทิ้งผมไปไม่ได้ เขายอมอยู่ที่โรงพยาบาลต่อเพื่อจะดูแลผม ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยแม้กระทั่งโลกที่เราอยู่ มีเพียงโชคชะตาเท่านั้นที่ทำให้เราได้พบกัน......
.
.
.
“ไม่มีฉันแล้วนายก็ต้องอยู่ได้ นายต้องมีชีวิตใหม่ให้ได้ แล้วซักวันเราจะได้พบกันอีกนะจุนฮง”
ผมนึกไปถึงคำพูดสุดท้ายที่เขาบอกผมก่อนที่เราจะจากกันขณะมองขึ้นไปยังดวงอาทิตย์อีกครั้ง ชั่วขณะนึงที่เหมือนแสงอาทิตย์นั่นจะหรี่ลงนิดๆแล้วกลับมาสว่างจ้าเหมือนเดิม นั่นทำให้ผมหัวเราะออกมาเพราะผมรู้ว่าพี่ยองแจกำลังยิ้มให้ผมอีกแล้ว
แม้วันใหม่ของผมจะไม่มีเขาอยู่ข้างๆเหมือนอย่างเคย แต่ผมก็รู้ว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งผมไปไหนอย่างแน่นอน.....
End
--------------------------------------------------------------------------
นี่ก็เป็นฟิคประยุกต์เช่นเดียวกัน 555555 ตอนนั้นจำได้ว่าอยากจะลองแต่งอะไรแนวนี้ดู ไม่ถึงกับแฮปปี้เอนดิ้งแต่ก็ฟีลกู๊ด (ซึ่งไม่รู้ว่ากู๊ดมั้ย) แบบพอกลางๆก็ไหวอยู่ค่ะ 55555 คนที่มาอ่านก็ขอบคุณมากนะค้า =3=<
ความคิดเห็น