ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] B.A.P - Silk

    ลำดับตอนที่ #3 : Silk:: Smooth Silk [Special ep.]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 278
      2
      16 ม.ค. 58




    Special Ep: Smooth Silk
     

     

     

    สเปเชียลเอพซึ่งแทรกเอาไว้ก่อน จะได้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น ง่ายขึ้นมั้ย 555555
    แลว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นลองฟิคเสียแล้ว =v=

    เพลงนี้เป็นเพลงเก่าแต่โรแมนติกมากเลยนะ ลองไปฟังกันได้ค่ะ

     

    Couple :: BangChan

    BG :: Falling [Ant&Dec]

     

     

     

     

     

    “ไม่ไหวจริงๆ จะตายเอา”

     

    บังยงกุกรำพึงอย่างเหน็ดเหนื่อยก่อนจะทิ้งกุญแจรถไว้บนโต๊ะแล้วไถลตัวลงไปนอนบนโซฟาแบบหมดสภาพ ขับรถจากปูซานกลับมาอินชอนเป็นเวลากว่า 10 ชั่วโมงนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่เพราะคำบัญชาจากแม่เสือที่ส่งตรงมาตั้งแต่เมื่อวานทำให้เขาต้องเดินทางจากเหนือลงใต้อย่างเลี่ยงไม่ได้....ฮิมชานไม่คาดคั้นให้เขารีบมา ไม่ได้บังคับให้ขับรถ แค่ประโยคเดียวที่พูดออกมาว่า ‘มาหาหน่อย’ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจขับรถไปเรื่อยๆ จนถึงที่หมายและเจ้าของหัวใจที่เขาต้องการ...

     

     

    บอกไม่ถูกว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้....

    แค่อยากจะรับผิดชอบ????
     

     

    รับผิดชอบอะไร รับผิดชอบเรื่องราวของเขากับฮิมชานที่เลยเถิดไปตั้งแต่ห้าเดือนก่อนน่ะเหรอ?

     

     

    ไม่หรอก เขาไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษมากเกินความจำเป็น แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมถึงเผลอใจทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้ ก็แค่ห้ามใจไม่อยู่ เท่านั้นเอง...เท่านั้นจริงๆ

     

    .

     

     

    .

     

     

    เหตุการณ์เมื่อห้าเดือนก่อนเปลี่ยนชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง

     

    ยงกุกยังจำได้ดีว่าเขาเจอกับนักแสดงหนุ่มคนนี้ได้ยังไง ฮิมชานเป็นนักแสดงกึ่งไอดอลที่เข้าวงการมาตั้งแต่เด็กๆ จุดเด่นของเขาคือรอยยิ้มและผิวขาวๆชวนให้หลงใหล จากที่เคยผ่านตามาก็คงจะเป็นงานโฆษณาซะส่วนมาก แล้วก็มีงานแสดงอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่บทที่โดดเด่นอะไรมากนัก อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้สนใจเรื่องในวงการบันเทิงเท่าไหร่ การที่จำรายละเอียดของฮิมชานได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเยอะมากแล้ว

     

    ในวันนั้นเขาไปเยี่ยมเพื่อนที่โซลและขับรถกลับบ้านตามปกติ เพราะอยากจะถึงบ้านเร็วๆก็เลยใช้ทางลัดที่ค่อนข้างปลอดผู้คนและเปลี่ยวพอสมควร อาจจะลำบากไปหน่อยแต่ไม่มีปัญหาสำหรับคนชำนาญเส้นทางอย่างเขาอยู่แล้ว แต่ระหว่างขับไป ยงกุกก็เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง มันเป็นรถที่ค่อนข้างหรูมีราคา แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนแถวนี้แน่ รถคันนั้นจอดนิ่งและมีเงาหนึ่งยืนตะคุ่มๆท่ามกลางแสงอ่อนของพระอาทิตย์ในยามเย็น....

     

    น่าจะรถเสีย...ยงกุกคิด สัญชาตญาณช่างซ่อมและเจ้าของอู่ทำให้เขาขับรถเข้าจอดที่ริมถนน ก่อนจะลงไปถามเจ้าของรถที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น...

     

    “รถเสียเหรอครับ” เสียงทุ้มถามออกไป หน้าหวานที่หันกลับมามองถูกแสงอาทิตย์ส่อง...สวยจัง...ยงกุกคิดในใจ ใบหน้านั้นคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน

     

    “อือ” คนตรงหน้าตอบสั้นๆ “ขับเร็วไปหน่อย ดูเหมือนยางจะแบน...นายซ่อมได้เหรอ”

     

    “แค่เปลี่ยนยาง ใครก็ทำได้อยู่แล้วครับ” เขาหัวเราะเบาๆ จำได้แล้วว่านี่คือคิมฮิมชาน เพิ่งนั่งดูรายการวาไรตี้กับจุนฮงไปเมื่อวานเอง ฮิมชานเป็นแขกรับเชิญในตอนนั้นด้วย ก็ว่าทำไมถึงคุ้นตาจัง

     

    “ฉันไม่รู้หรอก ขับๆมาจอดตรงนี้ ลงมาเห็นยางแบนพอดีก็เลยปล่อยไว้อย่างงั้นแหละ จะเปลี่ยนยางให้ก็รีบๆเปลี่ยนสิ”

     

    นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่แฮะ...ยงกุกคิดขณะหยิบอุปกรณ์เปลี่ยนยางในรถแล้วลงมือซ่อม...นี่คือคำพูดขอความช่วยเหลือเหรอ ที่เค้าบอกกันว่าดาราไอดอลหลังกล้องมักจะมารยาทแย่ สงสัยจะเป็นเรื่องจริง

     

    “คุณมาทำอะไรแถวนี้ รู้ไหมว่ามันเปลี่ยว นานๆถึงจะมีคนขับผ่านมา ยิ่งยางแตก เปลี่ยนเองก็ไม่เป็น สัญญาณโทรศัพท์ยิ่งบอดเข้าไปอีก อย่าหวังเลยว่าจะโทรหาใครได้”

     

    “ไม่ได้อยากจะโทรอยู่แล้ว” ปลายเสียงสะบัดด้วยความหงุดหงิด “ฉันหายไปก็ไม่มีใครสนใจหรอก”

     

    เจอคนดราม่าเข้าแล้วไง นี่ซ้อมละครอยู่รึเปล่า อย่าบอกนะว่าทำแบบนี้เพราะประชดชีวิต

     

    “ขับมาเรื่อยๆก็ถึงตรงนี้เอง ไม่เห็นมีใครโทรตามฉันสักคน แบตหมดไปแล้วด้วย ช่างเหอะ ฉันตายไปก็ไม่มีใครสน” เอ้า...ก่อดราม่าเข้าไปอีก...ชายหนุ่มถอนหายใจ เมื่อกี้ก็เพิ่งบอกไปว่าแถวนี้ไม่มีสัญญาณ แล้วมันจะโทรติดได้ยังไงล่ะ....

     

     

    .

     

     

    .

     

     

    บังยงกุกไม่ได้ว่าอะไรอีกนอกจากก้มตาก้มตาซ่อมรถไป เวลาไหลผ่านเรื่อยๆจนแสงอาทิตย์เจือจาง จริงๆแค่เปลี่ยนยางใช้เวลาไม่นานหรอก แต่ความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นในใจทำให้เขาเลือกที่จะอยู่ตรงนั้นนานอีกหน่อย อย่างน้อยก็จะได้อยู่เป็นเพื่อนผู้ชายคนนี้ด้วย ร่างกายบอบบางที่ยืนพิงรถอยู่นั้นสั่นสะท้านเบาๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเจอเรื่องร้ายแรงอะไรมา

     

    “บ้าฉิบ” เสียงสบถดังแว่วมาอย่างขัดใจทำให้คนที่นั่งหมุนแม่แรงหันไปมองด้วยความสงสัย เมื่อกี้ยงกุกไม่ทันสังเกตว่าขอบตาของฮิมชานบวมช้ำนิดๆเหมือนผ่านความเศร้ามา เห็นได้ชัดว่าเขาน่าจะเจอเรื่องบางอย่าง เรื่องที่เจ็บช้ำขนาดหนีเตลิดออกมาจนไม่ดูทางขนาดนี้

     

    หลังจากเปลี่ยนยางเสร็จ เก็บเครื่องมือและเช็คความปลอดภัยของลมอีกครั้ง ยงกุกก็มั่นใจว่ารถหรูคันนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว...

     

     

     

    เจ้าของมันต่างหากที่ดูเหมือนจะมีปัญหา มีเยอะซะด้วยสิ....

     

     

     

    “มีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังไหม” เขาขยับเข้ามายืนข้างๆแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา ฮิมชานหันมาสบสายตาด้วยความรู้สึกที่พูดไม่ออก ยงกุกค่อยๆเห็นหยาดน้ำไหลหลงมาจากดวงตาเรียวเฉียบคมแต่ก็แสนจะมีเสน่ห์นั้น แล้วหัวใจของเขาอ่อนยวบลงไปทันที

     

    “นายว่าอะไรนะ” เขาพูดตะกุกตะกัก พยายามฝืนน้ำเสียงให้เป็นปกติ แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับทรยศด้วยการไหลลงมาเอง

     

    “ปัญหาบางอย่างยิ่งเก็บก็ยิ่งหยั่งรากลึก....ทำใจให้สบาย เล่าออกมาให้ผมฟังเถอะ ไว้ใจผมนะ” สุดท้ายก็สอดแขนเข้าไปแล้วโอบร่างโปร่งเข้ามาในอ้อมแขน ฮิมชานชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจปล่อยตัวไปกับสัมผัสที่อ่อนหวานนั้น เขาส่งเสียงสะอื้นขณะที่มือน้อยจิกเสื้อยืดของยงกุกเอาไว้แน่น เพิ่งจะรู้จักกับคนตรงหน้าได้ไม่กี่นาที แต่ความอบอุ่นที่ส่งผ่านออกมา โดยเฉพาะในเวลาที่เขาอ่อนแรงมากกว่าครั้งไหนๆอย่างตอนนี้ กลับโอบล้อมชวนให้พึ่งพิงได้อย่างน่าประหลาด

     

    “ฉันไม่อยากทำแล้ว” เขาระบายความในใจออกมา “ตั้งแต่เด็กก็มีคนคาดหวัง โตขึ้นมาก็มีแต่คนกดดัน ฉันอยากไปให้พ้นจากมัน ฉันทนไม่ไหวแล้ว”

     

     

    ร่างสูงลูบศีรษะคนในอ้อมกอดเบาๆ พอจะเข้าใจสาเหตุแล้วล่ะ....

     

     

    “แม่ให้ฉันทำงานตั้งแต่เด็ก ตอนแรกมันก็สนุกดีอยู่หรอก แต่นานๆไปมันเริ่มกลายเป็นภาระ ฉันจะใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาก็ไม่ได้ ถือตัวมากไปคนก็ว่าหยิ่งอีก บริษัทก็พยายามจะหางานบ้าบออะไรไม่รู้นอกเหนือจากละครมาให้ฉันทำ ไม่ทำก็โดนขู่ โดนด่าด้วย ฉันไม่อยากจะต้องมาทำตามความหวังของใคร ฉันไม่ใช่ตุ๊กตานะ ไม่เอาแล้ว ฉันไม่ไหวแล้ว”

     

    ยงกุกเพิ่งรู้ในวันนั้นเองว่าชีวิตจริงของไอดอลคนดังทั้งหลายในจอโทรทัศน์ไม่ได้มีความสุขอย่างที่เห็นเสมอไป เขาไม่ได้โลกสวยหรอก รู้ว่าทุกคนต้องผ่านความลำบากกันมาทั้งนั้น แต่คนตรงหน้าเขาดูเปราะบางเกินคาด เปราะจนเขาอยากจะโอบเอาไว้ไม่ให้ถูกสายลมแห่งความเจ็บปวดทำร้ายอีก ชายหนุ่มไม่ได้สนใจวงการบันเทิงแล้วก็จำหน้าคนไม่เก่งเท่าไหร่นัก....แต่ดูเหมือนดวงหน้าหวานที่เย่อหยิ่งนิดๆนี้จะฝังรากลึกในใจของเขามานานแล้ว ผู้ชายคนนี้เปราะบางและพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ เป็นไปได้ไหมที่เขาจะปกป้องหัวใจดวงน้อยๆนี้ไว้ แค่แป๊บเดียว แค่เสี้ยววินาทีก็ยังดี....

     

    “ฉันรู้ว่ามันงี่เง่าที่มาบ่นแบบนี้ บ่นกับนายซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ แต่ฉันลงไม่ได้ จะเดินต่อก็เหนื่อยแล้ว ไม่ว่านายจะเป็นใครก็ตาม ช่วยฟังฉันหน่อยนะ ฉันไม่รู้จะพูดกับใครจริงๆ”

     

    “มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ” ยงกุกใช้นิ้วเกลี่ยหยดน้ำใสออกจากตาแดงช้ำแล้วสบตากับฮิมชานตรงๆ ดวงตาเรียวเป็นประกายวาวใสจ้องมองเขาอย่างสับสน

     

    “ผมไม่รู้ว่าคุณเจอกับอะไรมาบ้าง แต่ถ้าคุณคิดว่าตัวเองทำดีที่สุด ก็ไม่ต้องสนใจออย่างอื่นแล้ว...”

     

    “คนเราเกิดมา ส่วนหนึ่งก็เพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง จุดที่คุณยืนอาจจะสูงและเต็มไปด้วยความกดดันจากคนรอบข้าง แต่อย่าเอาสิ่งนั้นมาทำลายกำลังใจของคุณ คิมฮิมชาน..คุณคือฮิมชานใช่ไหม ผมจำคุณได้” เมื่อหน้าหวานผงกศีรษะเบาๆเป็นเชิงตอบรับ ยงกุกก็พูดต่อ “คุณรักในสิ่งที่คุณทำรึเปล่า...ถ้ามั่นใจว่ารัก ก็เลือกทำในสิ่งนั้น รักในสิ่งที่คุณกำลังทำให้มากๆ หลังจากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่สำคัญเลย”

     

    “นายคิดแบบนั้นจริงๆเหรอ”  ฮิมชานกระซิบแผ่วๆอยู่กับอกกว้าง “ต่อให้คิดอย่างนั้น ในความเป็นจริงก็ทำไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ”

     

    “นั่นคือสิ่งที่ผมเลือกทำมาตลอดชีวิต” เขายกคางเกยผมนุ่มของคนในอ้อมกอดแล้วยิ้ม “สิ่งที่ผมพูดเป็นสิ่งที่ผมคิดจริงๆ ความทุกข์ทั้งหมดเกิดจากตัวเราเท่านั้น เชิดคอของเราให้ตั้งตรงเข้าไว้ อย่าสนใจใคร ขอแค่ทำในสิ่งที่เรารักและรับผิดชอบหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมาย เท่านั้นก็พอ อะไรที่คุณไม่อยากทำ คุณก็ปฏิเสธมันไป คุณมีสิทธิ์ ในเมื่อคุณมีพลังในตัวเองมากพอ ก็ต้องทำมันให้ได้”

     

    “อืม ฉันจะจำเอาไว้” เสียงแหบของฮิมชานยังเจือแรงสะอื้นอยู่นิดๆ “ขอบคุณมากนะ ค่อยโอเคขึ้นมาหน่อย นายอย่าคิดว่าฉันเป็นคนงี่เง่านะ” เขาผละออกมาจากอ้อมกอดแล้วเงยหน้ามองยงกุกเต็มๆตา ก่อนจะยิ้มกว้างให้อย่างจริงใจ

     

     

    วินาทีนั้นเองดูเหมือนทั้งโลกจะหยุดหมุน ยงกุกไม่อยากเชื่อว่ารอยยิ้มของคนๆหนึ่งจะสวยได้ถึงขนาดนี้.....สวยจนเขาอยากจะดับแสงต่างๆที่ส่องอยู่รอบกายแล้วครอบครองรอยยิ้มนั้นเพียงคนเดียว....ไม่ได้น้ำเน่านะ เขาคิดแบบนั้นจริงๆ

     

    .

     

     

    .

     

     

    And it doesn't matter how hard I try,
    I can't suppress this feeling, this feeling inside
    I think I'm falling

     

    .

     

    .

     

     

    “มองอะไร หน้าฉันมีอะไรเหรอ” ร่างเล็กเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าถูกจ้องมากเกินพอดี แก้มใสกลายเป็นสีชมพูขึ้นทีละนิด อาจจะเป็นเพราะลมและอากาศเย็นน่ะ เขาคิดว่างั้นนะ

     

    “คุณยังดูไม่โอเคเท่าไหร่” ยงกุกบอกอย่างเป็นห่วงและยังจ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ “ผมขับรถไปส่งดีกว่า บ้านคุณน่าจะอยู่ในโซลใช่มั้ย ขับออกมาไกลขนาดนี้คงไม่ได้ดูทางล่ะสิ เริ่มมืดแล้วด้วย แถวนี้ถ้าไม่ชำนาญทางก็อันตรายนะ เดี๋ยวผมฝากรถผมไว้ที่ร้านข้างหน้าก่อนแล้วค่อยขับไปส่งคุณละกัน”

     

     

    ฮิมชานนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจเอ่ยปาก....

    “ไม่ต้องส่งฉันที่บ้านหรอก” เขาว่า “ถ้านายรู้จักเมืองนี้ดีก็พาฉันเข้าเมืองหน่อย มีร้านอะไรแนะนำมั้ย ฉันอยากดื่ม....”

     

    ร่างสูงยังคงจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ส่วนหนึ่งของหัวใจหลงใหลร่างเล็กผิวซีดขาวที่สุดแสนจะเปราะบางคนนี้ไปแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ว่าคิมฮิมชานไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาๆ บางอย่างในตัวคนคนนี้คือความดื้อและเสน่ห์ที่ล้ำลึกเกินกว่าที่คนอย่างเขาจะรับมือไหว...

     

     

     

    จะถอยห่างหรือปล่อยทุกอย่างให้มันเป็นไป.....สองทางนี้ เขาเลือกมันได้รึเปล่านะ


     

     =========================================

     

     

     

    .

     

     

     

    .

     

     

    “ย...ยงกุก...ยง..กุก...อื๊อออ” เสียงหวานครางอย่างสุดกลั้นเมื่อสัมผัสของคนตรงหน้ารุกเร้าจนใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด หยาดเหงื่อที่พร่างพราวไปทั่วร่างบ่งบอกถึงความสุขอันแสนหวานที่ทั้งคู่ต่างมอบให้แก่กันและกันตลอดค่ำคืนอันยาวนานในห้องพักสุดหรูห้องหนึ่ง ปลายลิ้นของชายหนุ่มยังคงแตะแต้มไปทั่วร่างกายที่ซีดขาวแต่นุ่มนิ่มน่าหลงใหลนั้น คิมฮิมชานเป็นเหมือนยาเสพติด ใครได้สัมผัสก็ถอนตัวไม่ขึ้น คิมฮิมชานเป็นเหมือนเนื้อผ้าไหมชั้นดี นุ่มนวลและเรียบลื่นชวนให้หลงมัวเมา ใครจะไปรู้ว่าการพบกันแค่ชั่วคราวในตอนเย็นจะมาจบลงตรงนี้ได้ กว่ายงกุกจะรู้สึกตัว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เตลิดจนหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว.....

     

     

    .

     

     

     

    .

     

     

    “ผมขอโทษ”.....

     

    คำแรกที่ฮิมชานได้ยินหลังจบบทรักแสนอ่อนหวานเมื่อครู่ก็คือคำขอโทษจากปากของบังยงกุกคนนี้ ท่อนแขนแข็งแรงยังโอบกอดเขาอยู่อย่างหวงแหน นิ้วเรียวยาวกดลงที่กลุ่มผมนุ่มเพื่อให้ร่างบางๆแนบชิดกับอกกว้าง เขาซุกหน้าลงกับอกแกร่งนั้นอย่างอ่อนแรง ริมฝีปากสีสดที่ชอกช้ำเพราะฤทธิ์จูบของอีกฝ่ายทำเสียงหึออกมาเบาๆ ถึงจะออกปากว่าขอโทษ แต่ท่าทางแบบนี้ไม่เห็นเหมือนคนรู้สึกผิดเลยสักนิด

     

    “ขอโทษเรื่องอะไร....ที่เราทำกันเมื่อกี้น่ะเหรอ” จะเรียกว่าเมื่อกี้ได้หรือเปล่า ในเมื่อความเป็นจริงมันดำเนินมาอย่างต่อเนื่องกว่าสี่ห้าชั่วโมงแล้ว....เพิ่งจะมามีสติขอโทษเอาตอนนี้น่ะนะ

     

    “คุณไม่เคยทำเรื่องอย่างนี้มาก่อน...ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่า....”

     

    “เพราะฉันไม่เคย นายก็เลยรู้สึกผิด?” คิ้วบางเลิกขึ้นเป็นเชิงสงสัยก่อนจะกดจมูกโด่งเรียวลงที่หน้าอกของยงกุก ใช้ฟันขบเบาๆเพื่อย้ำว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ฝันไป....อืม....กัดที่อกคนอื่นนั่นแหละ

     

    “อยากรับผิดชอบฉันมั้ย” ฮิมชานผละออกจากอ้อมกอดแล้วชันข้อศอกขึ้นมองคนข้างๆ นิ้วเรียวเล็กไล้ไปตามอกกว้างของคนตรงหน้าเป็นเชิงยั่วเย้า มุมปากยกยิ้มขึ้นมาจนตาหยี บ่งบอกว่าตอนนี้แมวน้อยตัวนี้กำลังอารมณ์ดีสุดๆ

     

     

    .

     

     

    .

     

     

    “นายเป็นคนให้กำลังใจฉัน ให้คำแนะนำฉัน ปลอบฉัน ทำทุกอย่างให้ฉันรวมถึงตลอดคืนนี้ด้วย”

     

     

    .

     

     

    .

     

     

    “ถ้าอยากรับผิดชอบฉัน ก็มาเป็นทาสฉันสิ...”

     

     

    .

     

     

     

    .

     

     

    “บังยงกุก จากนี้ต่อไป นายต้องอยู่ข้างๆฉันนะ 
    แล้วฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นเองว่าฉันทำได้ทุกอย่างตามที่นายบอก”

     

    .

     

    .

     

    มันคือประโยคคำสั่ง ไม่ใช่ประโยคคำถามหรือขอร้อง...


    เขาเคยถามตัวเองเอาไว้ใช่ไหม ว่าจะถอยห่างหรือปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมันดี...
    ทางเลือกตรงหน้ามีแค่สองทาง แต่ผลลัพธ์กลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง

     

    .

     

    .


    เห็นได้ชัดว่าปล่อยไปไม่ได้ ความรู้สึกของเขาเตลิดไปกับคิมฮิมชานจนหยุดไม่อยู่
    ยงกุกไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มจากอะไร มีความรักอยู่ในนั้นหรือไม่ รู้แต่เพียงว่าเขาไม่สามารถปล่อยผู้ชายคนนี้ไปได้ อย่างน้อยก็ไม่ให้ไปทำแบบนี้กับใครที่ไหน ถ้าไม่ใช่เขาก็อย่าหวังเลยว่าจะไปทำกับคนอื่นได้อีก


    งั้นก็ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากแล้วสินะ....

     

    .

     

    .

     

    “แล้วทาสอย่างผมมีหน้าที่อะไรล่ะ ถ้าไม่มีผลตอบแทนที่ดี ทาสก็เลือกได้เหมือนกันนะ....”

     

    ฮิมชานหัวเราะอีกครั้ง แต่เสียงทุ้มนั้นก็ถูกกลืนกลับไปเพราะริมฝีปากของบังยงกุกที่ประกบแนบลงมา พร้อมกับร่างอันสมบูรณ์แบบแข็งแรงที่ทาบทับตามลงมาด้วย ประกายตาของชายหนุ่มลึกล้ำและมุ่งมั่นจนทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ

     

    “อยากได้อะไรล่ะ” ร่างโปร่งตอบอ้อมแอ้ม หากแขนขาวยกขึ้นโอบรอบคอว่าที่ทาสอีกครั้ง “ฉันให้อะไรนายไม่ได้มากหรอก อย่าขอเยอะนะ”

     

    “ไม่เยอะเลย” ยงกุกตอบกลับมาทันควัน

     

    .

     

    .


     

    “ผมอยากได้คุณนั่นแหละเหมียวน้อย”....


    ========================================


     

     

    “คิมฮิมชานได้รางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมอีกแล้วจากเรื่อง Crooked Arrow….อ้อ อันนี้ละครแอคชั่น เรทติ้งเริ่ดโคตร” เสียงเจื้อยแจ้วของจุนฮงดังเข้ามาในโสตประสาท หางตาของยงกุกกระตุกเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมามองรุ่นน้องที่นั่งอ่านข่าวในคอมพิวเตอร์อย่างตั้งอกตั้งใจ ไอ้หมอนี่ก็เป็นแฟนคลับของผู้ชายคนนั้นด้วยเหรอ....ดีจังเลยนะ เป็นกันทั้งประเทศเลย....

     

    หวงเป็นบ้า แต่จะให้ทำไง ลุกไปปิดจอคอมแล้วมัดมือมัดเท้าจุนฮง สั่งไม่ให้พูดถึงฮิมชานอีกอย่างงั้นเหรอ....ที่ผ่านมาเขากับคนๆนั้นไม่เคยประกาศสถานภาพของตัวเอง ซึ่งยงกุกก็พอใจจะให้เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นจะไม่มีใครรู้ก็ไม่แปลก คนรอบตัวเขาอย่างจุนฮงก็ไม่ได้สงสัยอะไร พฤติกรรมชอบออกจากบ้านไปตอนกลางคืนของยงกุกเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับรุ่นน้องไปแล้ว บางทีก็หายไปตั้งแต่ตอนเย็นๆ จุนฮงไม่สงสัยเท่าไหร่เพราะเขาก็ชอบขับรถกลับบ้านพ่อแม่โดยไม่บอกไม่กล่าวเป็นปกติ อีกอย่าง สภาพของเขาตอนนี้จะคลานลงจากโซฟายังยากเลย เมื่อวานขับรถไปหาดาราดังที่ปูซานแล้วยังต้องขับกลับมาอีก จะบ้าตาย เหนื่อยจนอยากจะสลายร่างแล้ว....

     

    เสียงสรรเสริญนักแสดงหนุ่มยังคงดังเข้าหูเขาอย่างต่อเนื่อง ยงกุกปิดเปลือกตาลงแล้วอดยิ้มเบาๆไม่ได้ ฮิมชานทำได้ตามที่พูดจริงๆ เขามุ่งมั่น มั่นใจในตัวเองและรู้วิธีสร้างเสน่ห์ในจอจนมีงานเข้ามาไม่ขาดสาย  ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าคนๆนั้นใช้วิธีไหน ที่แน่ๆคือเขามั่นใจว่าฮิมชานไม่ได้ทำอะไรสกปรกเช่นการไต่เต้าหรือเดินในทางที่ไม่ดี เหมียวน้อยของเขาหยิ่งในตัวเองมากพอ และหลังจากที่ดูผลงานต่างๆมาพอสมควรแล้ว ยงกุกก็รู้ว่าฮิมชานมีความสามารถจริงๆ ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอะไรแบบนั้นเลย น่าปลื้มใจที่คำแนะนำกึ่งให้กำลังใจของเขาในตอนนั้น ทำให้คิมฮิมชานกลายเป็นดาวดวงเด่นยิ่งกว่าใครๆในวันนี้

     

     

    .

     

     

     

    .

     

    อย่างเดียวที่คิดไม่ถึงก็คือ ผู้ชายคนนั้นนิสัยเลวร้ายกว่าที่คิด....
    แต่ก็ทนมาตั้งนานจนชินไปแล้วนี่นะ....

    สายตาเหลือบไปมองหน้าจอสมาร์ทโฟนที่เป็นแสงแว้บ ปรากฏข้อความสั้นๆขึ้นมา ไม่มีอะไรลึกซึ้งน่าสนใจนัก แต่ก็ประทับอยู่ในหัวใจคนอ่านอย่างเขาไปตลอดทั้งคืน

     

     

     

     

     

    “ขอบคุณมากนะ”......

     

     

    .

     

     

    .

     

     

    ยงกุกยิ้มกับข้อความนั้นอีกครั้ง พลิกตัวให้อยู่ในท่าที่สบาย ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมวันนี้เขานอนที่ห้องนั่งเล่น อากาศร้อนโคตรจะร้อน แอร์ในห้องนอนของเขายังไม่ได้ซ่อม กลับมาจากปูซานก็เหนื่อยจนไม่มีแรงจะทำอะไรแล้ว ช่างเถอะ หลับก่อนดีกว่า อากาศร้อนก็ช่างมัน

     

     

     

     

     

    อย่างน้อยนี่ก็น่าจะเป็นอีกคืนที่เขาหลับฝันดี........

     

     

     

    End 


     

    ช่วงนี้อาจจะอัพถี่บ้างเพราะมีที่เขียนเอาไว้อยู่แล้ว (ว่างงานช่วงปีใหม่ด้วยเย้ 555555)
    ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านมากค่ะ มีสองสามคนก็ดีใจแล้วนะ ฮี่ๆๆๆๆ

    ปล.อย่าลืมฟังเพลง เพราะจริงๆ

     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×