ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF] B.A.P - Four Seasons

    ลำดับตอนที่ #1 : Winter - Scarlet Snow

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 146
      0
      24 ต.ค. 59




    Winter – Scarlet Snow
     
     
    Couple :: BangxChan
    BG :: 알고있나요 (Duet Version) (feat.제아 of 브라운아이드걸즈) - Someday
     
     
     
    สีขาวของหิมะเป็นสีที่บริสุทธิ์....ผมมองมันแบบนั้นเสมอมา แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆแล้วหิมะนั้น ถึงมันจะมีสีขาว ก็ไม่ได้แปลว่ามันบริสุทธิ์.....
     
     
     
    นาฬิกาข้อมือของผมบอกเวลาเที่ยงตรงแล้ว นั่นหมายความว่าผมจำเป็นต้องหยุดทุกสิ่งทุกอย่างชั่วคราวเพื่อไปรับใครคนหนึ่งมากินข้าวกลางวันด้วยกันเหมือนที่ทำเป็นกิจวัตร แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงหน้าหนาว ผมจึงไม่จำเป็นต้องรีบมากเพราะดูเหมือนว่าเขาจะรักการอยู่กับหิมะมากกว่าอยู่กับผมซะอีก
     
     
     
    ผมชอบมองเวลาที่เขายืนอยู่ท่ามกลางหิมะสีขาวพวกนั้น มันเป็นภาพที่สวยจริงๆเพราะเขาเหมาะกับหิมะเอามากๆ ทั้งที่เขาและผมเกิดวันเดียวกัน.....ใช่ วันคริสต์มาส.....ในหน้าหนาว....วันที่หิมะดูสวยยิ่งกว่าวันไหนๆ......เขาบริสุทธิ์เหมือนกับหิมะในขณะที่ผมไม่มีอะไรที่บ่งบอกได้เลยว่าเป็นผู้ชายหน้าหนาว บางทีผมอาจจะดูแข็งแกร่งเกินไป ถึงได้ดูไม่เหมาะกับหิมะเอาซะเลย.....
     
     
     
    “นายไม่มีความอ่อนโยนเลยนะยงกุก” เขาเคยบอกกับผมว่าอย่างนั้น “หิมะตรงข้ามกับนายทุกอย่างเลย แต่แปลก ถึงยังไงนายก็ยังดูกลมกลืนกับหิมะอยู่ดี”
     
     
     
    “นั่นเป็นเพราะฉันเกิดวันเดียวกับนายไงล่ะ” ผมตอบเขา “แค่ออร่าจากตัวนายก็ทำให้ฉันหนาวไปทั้งปีแล้ว” ผมพูดและนั่นก็ทำให้เขาหัวเราะเบาๆด้วยความพอใจ แม้จะเกิดในฤดูหนาว แต่เขาก็ไม่ได้เย็นชา เขาไม่ได้แข็งเหมือนน้ำแข็ง ตรงกันข้าม เขาอ่อนโยนและนุ่มนวล ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะเห็นเขาโกรธ เขาไม่เคยโมโหใคร เขาไม่เคยว่าร้ายใคร ตลอดหลายปีที่ผมรู้จักกับเขา เขามักจะอ่อนโยนแบบนี้เสมอ....
     
     
     
    “ฮิมชาน ฉันพักเที่ยงแล้วนะ” ผมบอกเขาและเก็บเอกสารบนโต๊ะให้เป็นระเบียบเรียบร้อยไปด้วย ทันทีที่เขาบอกว่าพร้อม ผมก็จะไปรับเขาทันที
     
     
     
    “อีกครึ่งชั่วโมงมารับฉันได้ไหม หลังเที่ยงมีงานอีกรึเปล่า” เสียงนุ่มๆตอบกลับมาทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ เขาถามผมแบบนี้ทุกครั้ง และถ้าวันไหนผมไม่ว่าง เขาก็จะไม่เซ้าซี้ให้ผมไปรับเขา
     
     
     
    “นายคิดว่าฉันเป็นใครกัน ฉันประธานบังนะ” ผมโม้ “ถ้าฉันจะเบี้ยวซะอย่าง ใครก็ว่าฉันไม่ได้หรอก”
     
    “พ่อประธานใหญ่...” น้ำเสียงของฮิมชานดูเหมือนจะหมั่นไส้นิดๆ “ใช่สิ ฉันมันเจ้าของร้านดอกไม้ต๊อกต๋อยนี่นะ วันๆต้องเฝ้าร้าน ทิ้งงานไปไหนมาไหนไม่ได้อย่างนาย ยงกุก....ในเมื่อนายว่างมาก ทิ้งงานมาช่วยฉันขายดอกไม้เอาไหม” เขาพูดทีเล่นทีจริง
     
     
     
    “ก็ไม่แน่” ผมตอบอย่างไว้เชิง “แต่ถ้าเกิดฉันแพ้เกสรดอกไม้ของดอกอะไรซักอย่างในร้านนายแล้วเดี้ยงไปล่ะ จะทำยังไง กิจการฉันไม่พังหมดรึ”
     
     
     
    “นายแพ้ดอกทิวลิปแค่อย่างเดียว” เขาท้วง “และร้านฉันก็ไม่มีดอกทิวลิปด้วย”
     
     
     
    ฮิมชานก็ยังเป็นฮิมชาน...ผมคิด เขาใส่ใจรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผม อะไรที่ผมไม่ชอบ เขาก็จะทำเหมือนว่าของสิ่งนั้นไม่มีอยู่ในโลกนี้ อะไรที่ผมชอบ เขาก็จะหามันมาให้ผมเสมอๆ  มันเป็นแบบนี้ตลอดมา นี่เป็นข้อดีอีกข้อนึงของฮิมชานที่ทำให้ผมยอมรับในตัวเขา แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบพูดคุยกับใคร แต่เขาก็จำรายละเอียดทุกอย่างรอบตัวเขาได้หมดและยังเผื่อแผ่ไปถึงคนรอบข้างอีกด้วย
     
     
     
    ฮิมชานรู้ทุกอย่างว่าผมชอบอะไร ผมเองก็รู้ว่าเขาชอบอะไร.......
     
     
     
    ในชีวิตของเขาไม่เคยชอบอะไรมากไปกว่าหิมะ อย่างเดียวในชีวิตที่เขาชอบก็คงจะมีแต่หิมะเท่านั้น...ผมว่างั้นนะ...
     
     
     
    “เอาเป็นว่าอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันนะ” ผมตัดบท “เดี๋ยวฉันไปรับที่ร้าน แล้วเจอกัน”
     
     
     
     
     
    ผมก้าวลงมาจากตึกแล้วมองออกไปรอบๆตัว หน้าหนาวนี่อะไรๆก็ดีหมดยกเว้นเวลาที่หิมะตกมากๆ....น่ารำคาญตรงที่เราต้องคอยระวังไม่ให้ลื่นเวลาที่มันเริ่มละลาย หรือถ้ามันตกหนักๆ ทัศนียภาพตอนขับรถก็ไม่ดีเหมือนกัน ผมเคยบ่นให้ฮิมชานฟังอยู่บ่อยๆว่ารำคาญหิมะที่ตกหนักๆเพราะมันทำให้ผมต้องขับรถช้าลงกว่าเดิมเกือบเท่าตัว เขาไม่ว่าอะไรนอกจากกำหมัดแล้วชกเข้ามาที่แขนของผมเบาๆ
     
     
     
    “พูดแบบนี้ไม่สมกับที่เกิดวันคริสต์มาสเลย” เขาติ “นายน่าจะชอบมันให้มากๆนะ ฉันว่าหิมะเนี่ยทำให้เราเย็นลงได้เยอะเลย พอมองมันปุ๊บก็สงบปั๊บ ดูสิ สบายตาจะตาย”
     
     
     
    “ต้องเย็นลงแหงอยู่แล้ว ก็มันเป็นหิมะนี่” ผมกวนเขา “นายไม่ต้องขับรถบ่อยๆแบบฉัน นายก็ไม่รำคาญสิ”
     
     
     
    “ก็ฉันมีนายขับให้นี่นา” เขาหัวเราะลั่น “เรื่องอะไรฉันจะต้องลำบากขับเองล่ะ สายตาฉันไม่ค่อยดีนายก็รู้”
     
     
     
    ฮิมชานเป็นคนที่บอบบางและอ่อนแอ ตั้งแต่วันที่ผมรู้จักเขา เขาก็เป็นแบบนั้นเสมอ แม้เขาจะอ่อนโยนและนุ่มนวล แต่ผมก็รู้ว่าข้างในของเขาไม่ใช่แบบนั้น
     
     
     
    บ่อยครั้งที่ฮิมชานมักจะมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วถอนหายใจ เหมือนกับจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ปิดตายตัวเองและไม่เปิดรับอะไรอีก ผมรับรู้มาว่าเขามีปัญหากับทางครอบครัว แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ ฮิมชานจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่ผมไม่เคยรู้จัก.....เขาดูเงียบเหงา อ้างว้าง และเดียวดาย
     
     
     
    ผมขับรถมาจอดที่หน้าร้านของเขาก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน แต่อะไรบางอย่างบอกผมว่าวันนี้บรรยากาศในร้านแปลกไปจากที่เคย มันหม่นหมองและหดหู่อย่างประหลาด ผมสงสัยว่าอาจเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะเมื่อกี้ที่คุยกัน เสียงของฮิมชานยังสดใสอยู่เลย.....
     
     
     
    “มาแล้วเหรอ” เสียงนุ่มๆของฮิมชานทักทายผมทันทีที่ได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าร้าน เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปก็เห็นเขากำลังรออยู่ ฮิมชานไม่ได้อยู่คนเดียว ข้างๆเขามีผู้ชายอีกคนยืนอยู่ด้วย แต่ให้ตายเหอะ ผมไม่คิดว่าเขาจะไว้ใจได้หรอกนะ ผู้ชายคนนี้มีอะไรประหลาดๆที่ผมคาดเดาไม่ได้อีกเช่นกัน และนั่นก็คงจะเป็นเหตุผลว่าทำไมวันนี้ร้านดอกไม้ของเพื่อนผมถึงดูหดหู่นัก
     
     
     
    เหมือนฮิมชานจะดูออกว่าผมกำลังคิดอะไร เขาจึงแนะนำผู้ชายคนนั้นก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายถามด้วยตัวเอง
     
     
     
    “นี่พ่อเลี้ยงของฉันเอง.....พ่อครับ นี่เพื่อนผม ยงกุก...บังยงกุก...” เขาแนะนำผมให้ชายคนนั้นรู้จัก เสียงนุ่มๆของฮิมชานซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้เวลาที่เขาพูดกับตาแก่นั่น....ไม่หรอก ความจริงผู้ชายคนนี้ก็ไม่แก่มากเท่าไหร่ เขายังดูแข็งแรงและสุขภาพดี แต่นั่นไม่ช่วยทำให้ผมมองเขาในทางที่ดีขึ้นเลยเพราะเมื่อเห็นสายตาของฮิมชานที่มองเขา ผมก็รู้ทันทีว่าเพื่อนของผมก็คงไม่รู้สึกดีกับนายคนนี้เท่าไหร่นัก
     
     
     
    “สวัสดีครับคุณอา” ผมได้ยินเสียงตัวเองตอบออกไป “ผมเป็นเพื่อนสนิทของฮิมชานครับ”
     
     
     
    ตาแก่หน้าพิลึกนั่นมองผมด้วยสายตาแปลกๆ เขาไม่สนใจจะรับคำทักทายของผมเลย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังพูดอะไรออกมาชนิดที่ผมคิดไม่ถึงอีกด้วย
     
     
     
    “คนที่เท่าไหร่ของแกล่ะฮิมชาน คนนี้น่ะ” เขาถามเสียงเย็นๆ แต่คำที่พูดออกมามันเหมือนกับหมัดฮุคที่เปรี้ยงเข้าเต็มหน้าผมชัดๆ นั่นยังไม่เท่าไหร่เพราะฮิมชานยิ่งแย่กว่าผมร้อยเท่า ตอนนี้เขาหน้าซีดจนแทบไม่มีสีเลือดแล้ว
     
     
     
    “เขาเป็นเพื่อนผมครับ ยงกุกเป็น...เพื่อน...ของ...ผม ครับพ่อ” ฮิมชานย้ำช้าๆและชัดๆ ตอนนี้ในแววตาของเขาไม่มีความอบอุ่นนุ่มนวลอีกต่อไป ผมรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเวลาเห็นฮิมชานมองพ่อเลี้ยงเขาแบบนั้น ตลอดหลายปีที่ผมคบกับเขามา ฮิมชานไม่เคยเล่าเรื่องในครอบครัวของเขาให้ฟังเลย ทุกเรื่องที่ผมได้ยินเกี่ยวกับตัวเขาก็มักจะมาจากเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน แม้ฮิมชานจะรู้ว่ามีหลายคนนินทาเขาลับหลัง แต่เขาก็ยังไม่ยอมบอกอะไรผมอยู่ดี ผมเองก็ไม่ได้อยากรู้มากไปกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ตราบใดที่ฮิมชานยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อผม ผมก็ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรเลย
     
     
     
    “จะเพื่อนหรืออะไรก็ตามเถอะ แต่ฉันบอกไว้ก่อนนะว่าเรื่องที่ผ่านมา ฉันไม่ได้ต้องการให้แกลืม” เขาไม่ฟังเสียงของฮิมชานและสวนกลับไปอย่างห้วนๆเช่นเคย มือของเขายกขึ้นลูบแก้มบางนั้นเบาๆก่อนจะเลื่อนลงมาตบไหล่เขาอย่างมีความหมาย
     
     
     
    “เรื่องที่ฉันขอร้องแกนั่น หวังว่าคงจะทำให้ฉันได้นะ ถ้าไม่อยากให้ฉันมาเจอหน้าแกบ่อยๆล่ะก็ รีบๆทำมันให้ฉันซะที ถ้าฉันเหลืออด แกก็รู้ใช่ไหมว่ามันจะเป็นยังไง” ชายแก่ทิ้งท้ายแล้วเดินออกไปจากร้านแถมยังเดินชนผมเต็มแรงราวกับว่าผมไม่มีตัวตนอยู่ในสายตาเขาเลย......
     
     
     
    ไอ้ทุเรศ......
     
     
     
     
     
    ผมหันกลับไปมองหน้าของฮิมชานอีกครั้ง ทั้งที่หิมะกำลังตกอยู่แท้ๆ ฮิมชานไม่เคยทำหน้าเศร้าแบบนี้ซักครั้งเวลาที่เห็นหิมะตก ต่อให้เสียใจแค่ไหน เวลาที่เห็นหิมะ เขาก็ยังยิ้มให้มันได้อยู่ดี
     
     
     
    นั่นทำให้ผมรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่ และคราวนี้ผมก็คงปล่อยให้มันผ่านไปไม่ได้ถ้าไม่ถามเขาให้รู้แล้วรู้รอด
     
     
     
    “เขากำลังต้องการเงิน”ฮิมชานชิงบอกก่อนที่ผมจะถามเขา......ฮิมชานก็ยังเป็นฮิมชาน เขารู้ใจผมเสมอ แม้ว่าจะอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาก็ไม่แสดงท่าทีลำบากใจออกมาให้ผมเห็นเลยสักนิดเดียว
     
     
     
    “พ่อต้องการเงิน เลยบอกให้ฉันขายร้านนี้ซะแล้วกลับไปอยู่กับเขา” น้ำเสียงนั้นหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “แต่ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกยงกุก นายก็รู้ว่าฉันผูกพันกับที่นี่มากแค่ไหน ฉันเก็บเงินอยู่หลายปีกว่าจะมีร้านนี้ได้ เพราะงั้น ฉันขายมันไม่ได้หรอก”
     
     
     
    “เรื่องแค่นี้เอง ยืมฉันก็ได้” ผมหลุดหัวเราะออกมาเพราะนึกว่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แต่เมื่อเป็นแค่เรื่องเงินก็นับว่าไม่มีปัญหาสำหรับผมเลย
     
     
     
    “อย่าเลย” เขาปราม “อย่าให้พ่อรู้ว่านายเป็นประธานบริษัทใหญ่โต อย่าให้พ่อรู้ว่านายมีเงิน.....ถ้าเขารู้ เขาจะไม่เลิกเกาะติดนายแน่ๆ คนอย่างเขาไม่เคยพอหรอก” ฮิมชานพูดแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง “เขาไม่เคยพอ....ในอะไรเลย”
     
     
     
    “มีเรื่องอะไรรึเปล่าชาน” ผมมองหน้าเขา “บอกฉันได้นะ นายก็รู้ว่าฉันช่วยนายได้ทุกอย่าง”
     
     
     
    “บางเรื่องก็ไม่ได้หรอก อย่าลำบากเลย” เขายิ้ม “ไปกินข้าวกันดีกว่า” ว่าแล้วเขาก็คว้าข้อมือของผมก่อนจะลากออกมา ทันทีที่เดินออกมาจากร้าน ฮิมชานก็เงยหน้าขึ้นมองหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างมีความสุข ก่อนจะหลับตาแล้วพูดกับผมเบาๆ
     
     
     
    “สิ่งสำคัญในชีวิตฉันมีอยู่สามอย่าง นายรู้ไหมว่ามีอะไรบ้าง”
     
     
     
    “หิมะแน่นอน นั่นน่ะอย่างแรกเลย” ผมหัวเราะเสียงดัง “อย่างที่สองก็น่าจะเป็นร้านดอกไม้ของนาย แต่อย่างที่สามเนี่ย ฉันไม่รู้หรอก ถ้าให้เดาละก็ฉันจะตอบว่าอย่างที่สามก็คือตัวฉันเอง ฮ่าฮ่าฮ่า”
     
     
     
    “นายทายผิดไปนิดนึงนะ” เขาหันมามองหน้าผม แววตาที่อบอุ่นนั่นทำให้ผมนึกถึงวันแรกที่เจอเขา คิมฮิมชานเป็นผู้ชายที่น่าสงสาร แต่เพราะความแข็งแกร่งในความอ่อนโยนนี่เองที่ทำให้ผมไม่ลังเลใจเลยที่จะคบเขาเป็นเพื่อน
     
     
     
    “อย่างแรกที่สำคัญสำหรับฉันไม่ใช่หิมะ” เขาพูดยิ้มๆ
     
     
     
    .
     
     
     
    .
     
     
     
    .
     
     
     
    “แต่เป็นนาย”
     
     
     
    -------------------------------------------------------------------------
     
     
     
     
     
    หลังจากวันนั้นแล้วผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ฮิมชานยังคงเปิดร้านดอกไม้ของเขาตามปกติโดยที่ไม่มีเงาของตาแก่บ้านั่นมาตามรังควาน เท่าที่ผมเห็นในตอนนี้เขาดูมีความสุขมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่ฮิมชานนั่งอยู่บนเก้าอี้ท่ามกลางหิมะและทอดสายตามองออกไปโดยไม่มีจุดหมาย เขาอาจจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเหมือนเดิม ผมก็เลยไม่ค่อยได้สนใจท่าทางนั้นเท่าไหร่นัก......
     
     
     
    จนกระทั่งวันนี้.....
     
     
     
    “ฉันพักเที่ยงแล้ว ฮิมชาน” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์มือถือ คำพูดที่ผมพูดเป็นประจำทุกเที่ยงวันก็ยังคงเป็นแบบเดิมๆ การกินข้าวกับฮิมชานเป็นเรื่องปกติเพราะร้านดอกไม้ของเขาก็ไม่ไกลจากบริษัทผมเท่าไหร่ และอีกอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ผมมีความสุขจริงๆนะเวลาที่อยู่กับเขา
     
     
     
    มีเสียงแปลกๆมาจากปลายสาย บางทีฮิมชานอาจจะไม่ได้อยู่คนเดียว คงจะมีลูกค้าเข้าร้านช่วงก่อนเที่ยงแต่ก็ไม่เป็นไรเพราะผมก็ไปนั่งรอเขาบ่อยๆอยู่แล้ว ฮิมชานมีความสุขที่ได้ต้อนรับลูกค้า (โดยเฉพาะในวันที่หิมะตก) และผมก็มีความสุขที่ได้นั่งมองเขาต้อนรับลูกค้าอีกที
     
     
     
    “วันนี้คงไม่สะดวกแล้วล่ะยงกุก พอดีติดธุระนิดหน่อย” ฮิมชานตอบกลับมา “เว้นวันนึงก็แล้วกันนะ ฉันต้องจัดการธุระให้เสร็จก่อน” เขาพูดแค่นี้แล้วก็วางหูไป นั่นมันผิดวิสัยของฮิมชานเอามากๆ เพราะไม่ว่าจะยุ่งยังไงเขาก็รู้ว่าผมรอเขาได้ ไม่มีวันไหนเลยที่ฮิมชานจะไม่กินข้าวกลางวันกับผม ถึงจะเลทแค่ไหนหรือบ่ายกี่โมง ยังไงเราก็ต้องไปกินข้าวกลางวันด้วยกันอยู่ดี
     
     
     
    ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือเสียงของเขาที่ตอบกลับมา มันแปลกมากจนผมไม่คิดว่านั่นคือฮิมชานที่ผมเคยรู้จัก ชั่วขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ถึงความเยียบเย็นจากเสียงของเขา แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ เพราะหลังจากนั้นถัดมา เสียงของฮิมชานก็กลับมาอ่อนโยนเหมือนเดิม
     
     
     
    อะไรบางอย่างบอกผมว่าไม่ใช่เรื่องปกติ เขาต้องมีเรื่องที่ไม่อยากบอกผมแน่ๆ คนอย่างฮิมชาน ต่อให้เค้นคอถามจนตายยังไง ถ้าไม่อยากบอก เขาก็จะไม่มีวันบอก เพราะฉะนั้นผมจึงตัดสินใจไปหาเขาด้วยตัวเอง อาจมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับฮิมชานก็ได้
     
     
     
    หลายวันที่ผ่านมาผมสังเกตเห็นฮิมชานเหม่อลอยมากกว่าปกติ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะหลังจากเหม่อลอยแล้วเขาก็มักจะยิ้มด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขเสมอ เหมือนกับเรื่องที่เขาคิดอยู่นั้นเป็นเรื่องอะไรสักอย่างที่ดีมากๆ ผมชอบฮิมชานที่มีความสุข ผมชอบเขาที่เป็นแบบนั้น เพราะงั้นผมเลยไม่ติดใจสงสัยอะไรอีกจนกระทั่งได้ยินเสียงของเขาในวันนี้
     
     
     
    .
     
     
     
    .
     
     
     
    .
     
     
     
    “ฮิมชาน....ชาน ฉันมาหา” ผมตะโกนเสียงดังก่อนจะเดินเข้าไปในร้านอย่างถือวิสาสะ เพราะลุยหิมะมาจึงทำให้รองเท้าของผมเปียกไปด้วยน้ำ วันที่หิมะตกแรงขนาดนี้ไม่น่าจะมีลูกค้านี่นา แล้วมันเพราะอะไรกันถึงทำให้ฮิมชานไม่ยอมมากินข้าวกับผม ที่สำคัญยังทำเสียงแปลกๆแบบนั้นด้วย
     
     
     
    “ฮิมชาน” ผมตะโกนอีกครั้ง ชักจะเริ่มไม่สบายใจแล้ว ร้านของเขาเงียบมากและไม่มีใครอยู่เลย แล้วฮิมชานหายไปไหน เขาไปอยู่ที่ไหน?
     
     
     
    เสียงที่ดังอยู่ข้างหลังร้านปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ เสียงนั่นให้ตายยังไงผมก็ไม่มีวันลืมได้ มันเป็นเสียงอันน่าขยะแขยงของตาแก่นั่น....เขามาอีกแล้ว นี่ใช่ไหมธุระที่ฮิมชานพูดถึง เพราะพ่อเลี้ยงของเขามาวุ่นวายที่ร้านอีก ฮิมชานจึงไม่อยากให้ผมเข้ามายุ่งด้วย
     
     
     
    ผมขยับจะเดินไปตามเสียงนั้น แต่ประโยคต่อมากลับทำให้ผมตองหยุดชะงักด้วยความตกใจและคาดไม่ถึง
     
     
     
    “เลิกยุ่งกับฉันซะที ฉันเกลียดแก อย่ามาทำให้ชีวิตของฉันย่ำแย่ไปกว่านี้ ออกไปจากชีวิตฉัน แกมันไอ้ชั่ว สารเลว... ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!!!!!”
     
     
     
    มันไม่ใช่ประโยคที่แปลกถ้าเราจะด่าใครซักคน แต่ในกรณีนี้มันแปลกมาก แปลกจนทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก เพราะเจ้าของเสียงที่ผมได้ยินเต็มสองหู.....ก็คือฮิมชาน.....
     
     
     
    หากแต่ประโยคต่อมากลับทำให้ผมช็อคกว่า หลังจากฮิมชานตะโกนใส่เขาไปแบบนั้นแล้ว ไอ้พ่อเลี้ยงบ้านั่นก็สวนกลับมาด้วยความจริงที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน
     
     
     
    “แกจะทำอะไรฉันได้ ชาน.....คิดเรอะว่าแค่เปลี่ยนชื่อแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นมันจะทำให้แกพ้นจากฉันไปได้ ลองอวดเก่งกับฉันดูสิ ทีนี้คนทั้งโลกจะได้รู้แน่ๆว่าแกถูกฉันกระทำยังไงบ้าง จะเอาแบบนั้นใช่มั้ย”
     
     
     
    เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวทำให้ผมหายใจแทบไม่ออก เหตุผลที่ฮิมชานไม่เคยพูดถึงครอบครัวของเขาเลยเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง เหตุผลที่เขาเหม่อลอยในบางครั้งและดูเหมือนจะจมอยู่ในความทุกข์ที่ผมไม่เคยดูออก มันเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง......
     
     
     
    “ฉันไม่ทนแกอีกต่อไปแล้ว” น้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดของฮิมชานเรียกสติผมกลับคืนมา ผมรีบวิ่งไปหลังร้านทันทีก่อนที่จะเกิดอะไรร้ายแรงขึ้น
     
     
     
     
     
     
     
    แต่ก็ช้าไปแล้ว......
     
     
     
    เมื่อผมเปิดประตูหลังร้านออกไป ภาพที่เห็นคือร่างอันบอบบางของฮิมชานที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ ในมือของเขาถือกรรไกรตัดดอกไม้ เพียงแต่คราวนี้มันไม่ได้ใช้กับดอกไม้ และมันก็อาบไปด้วยเลือด....
     
     
     
    “ชาน นายทำอะไรลงไป นายทำอะไรลงไป” ผมพูดเสียงสั่นก่อนจะคว้ากรรไกรมาจากมือเขาอย่างรวดเร็ว สายตาของฮิมชานยังคงจับจ้องไปยังคนที่นอนอยู่กับพื้น เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและน่ากลัวอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
     
     
     
    “ฉันเกลียดมัน ยงกุก ฉันเกลียดมัน” เขาพูดออกมาเหมือนบังคับตัวเองไม่ได้ “มันทำลายชีวิตฉัน เพราะมันถึงทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้ ฉันเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไปมากพอแล้ว มันยังจะตามมาเอาจากฉันไปอีก ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันไม่ทนแล้ว” แม้จะพูดออกมาเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่เสียงของเขาก็ยังคงสงบนิ่ง ฮิมชานกลับมาเป็นฮิมชานคนเดิม.....ทั้งที่ในความเป็นจริง เขาไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว
     
     
     
    ตาแก่บ้านั่นนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บอยู่ที่พื้น  แผลที่อกของเขามีเลือดทะลักออกมาไม่หยุด ถึงอย่างงั้นก็เถอะ การแทงแค่ครั้งเดียว แม้จะใช้แรงมาก แต่ถ้าไม่ถูกเป้าหมาย มันก็ไม่มีประโยชน์.......
     
     
     
    “ช่วยฉันด้วย....ช่วย...ฉัน...ที” ตาแก่นั่นวิงวอนขอความช่วยเหลือจากผม ผมเงยหน้าขึ้นมามองฮิมชาน เขายังคงจ้องพ่อเลี้ยงอยู่โดยไม่ละสายตาไปไหน แม้จะไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากปากของเขาอีก แต่ผมก็รู้ว่าฮิมชานจะไม่หยุดแค่นี้ เขาจะไม่มีวันหยุดถ้าคนตรงหน้าเขายังไม่สิ้นลมหายใจ.....
     
     
     
     
     
    .
     
     
     
     
     
    .
     
     
     
     
     
    .
     
     
     
    ผมไม่เคยรู้เลยว่าหิมะไม่บริสุทธิ์ แม้ภายในสีขาวนั้นก็ใช่ว่าจะบริสุทธิ์อย่างที่เราเห็น
     
     
     
    เลือดสีแดงไหลออกมาจากร่างที่นอนอยู่กับพื้น มันค่อยๆไหลลงมาปนกับหิมะทีละน้อยจนบริเวณนั้นเต็มไปด้วยสีแดง แม้จะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น แต่ฮิมชานก็ดูสงบนิ่ง เขาสงบมากเกินกว่าที่ผมจะหยั่งลึกได้ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมเดาไม่ถูกจริงๆว่าเขาคิดจะทำอะไรต่อไป ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร แต่ผมก็รู้ว่า ผมจะไม่ปล่อยให้สีแดงที่น่าสยดสยองนั้นมาแปดเปื้อนเขาอีก
     
     
     
    นานเท่านานที่ผมกับฮิมชานยืนอยู่เงียบๆแบบนั้น เวลาทั้งหมดเหมือนจะหยุดนิ่งและเป็นใจให้ผมทำในสิ่งที่ต้องการ ผมแค่อยากปกป้องเขา ผมแค่อยากให้เขาเป็นหิมะสีขาวเหมือนเดิมต่อไป ผมไม่อยากให้เขาเปรอะเปื้อนอะไรทั้งนั้น เพราะฮิมชานอ่อนโยนและนุ่มนวลเหมือนกับหิมะ ตรงกันข้ามกับผม บังยงกุกที่ไม่เหมาะกับคำว่าหิมะเลยแม้แต่นิดเดียว.....
     
     
     
    ผมตัดสินใจใช้กรรไกรในมือปักลงที่อกตาแก่นั่นอย่างแรง ก่อนจะกดลงไปอีกทีเพื่อให้แน่ใจว่าร่างที่นอนอยู่นั้นจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้อีก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความทรงจำอันน่ารังเกียจนั้นจะไม่มีวันมาหลอกหลอนเพื่อนของผมอีก ต่อไปนี้ฮิมชานจะต้องมีความสุข เขาจะต้องมีความสุข เขาจะไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไป นี่คงเป็นอย่างเดียวที่ผมจะทำให้เขาได้ ผมจะทำให้เขาและผมก็เต็มใจจะทำ
     
     
     
    “ฉันจัดการทุกอย่างให้เอง” ผมค่อยๆพยุงฮิมชานมานั่งเก้าอี้ในร้าน ใบหน้าของเขาสงบก็จริง แต่มันซีดมากซะจนผมกลัว กลัวว่าเขาจะแตกสลายลงไปตรงหน้าของผม
     
     
     
    “สิ่งเดียวที่นายชอบก็คือหิมะ ฉันไม่อยากทำให้นายเกลียดหิมะเพราะเรื่องนี้....ฮิมชาน.....จำเอาไว้ว่านายยังคงบริสุทธิ์ นายยังคงอ่อนโยนเหมือนกับหิมะสีขาวนี่ ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น ฉันเป็นคนทำเอง.....คนอย่างยงกุกไม่คู่ควรกับหิมะสีขาวอยู่แล้ว เรื่องทั้งหมดนี้นายไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย อย่าคิดมากนะ นายไม่ได้ทำอะไร นายไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” ผมจูบหน้าผากก่อนจะกระซิบที่หูเขาเบาๆเพื่อย้ำให้ฮิมชานมั่นใจมากขึ้น เขาทอดสายตาออกไปมองหิมะที่อยู่หน้าร้านแล้วหันกลับมามองผมอีกครั้ง แววตานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเหมือนอย่างเคย เขายิ้มละไมก่อนจะบอกกับผมว่า
     
     
     
    “หิมะสีขาวสวยจังนะ” ฮิมชานว่าก่อนจะหลับตาลงกับไหล่ของผม “ฉันชอบหิมะมากเลยล่ะยงกุก มันบริสุทธิ์แล้วก็นุ่มนวลมาก หิมะเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกเลยนะ”
     
     
     
    “ใช่ มันบริสุทธิ์” ผมบอก “เหมือนกับนายไง ฮิมชานที่แสนจะอ่อนโยนนุ่มนวล นายเป็นเหมือนหิมะนะ นายเป็นหิมะที่สวยงาม” ผมกระซิบที่หูเขาอีกครั้งพร้อมกับมองคนในอ้อมแขนที่หลับตาลงอย่างเป็นสุข......
     
     
     
    .
     
     
     
    .
     
     
     
    .
     
     
     
    สีขาวของหิมะเป็นสีที่บริสุทธิ์....ผมมองมันแบบนั้นเสมอมา แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆแล้วหิมะนั้น ถึงมันจะมีสีขาว ก็ไม่ได้แปลว่ามันบริสุทธิ์.....





    End....
     
     
    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×