คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Mister Right #01 [BC]
Mister Right #01
“นี่ เฉื่อย”...
เสียงนิ่งๆที่ทะลุขึ้นมาในความเงียบทำเอาดวงตาคมที่ซ่อนอยู่ใต้แว่นหันมามองเจ้าของเสียงอย่างสงสัย ปากหยักหนาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่ดูเหมือนว่าคนพูดจะจับปฏิกิริยานั้นได้โดยไม่ต้องหันไปมอง ผิวขาวสว่างในชุดเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงขาสั้นนอนแผ่อย่างสบายอยู่บนเตียงแล้วไถจอมือถือขณะเอ่ยปากแจ้วๆต่อไป
“นายคิดว่ามิสเตอร์ไรท์ (Mister Right) มีจริงมั้ย?”
“มิสเตอร์ไรท์?” อีกฝ่ายทวนคำ มือใหญ่ขยับแว่นเพื่อมองคนตรงหน้าให้ชัดขึ้นก่อนจะเลิกคิ้วอย่างสงสัย “ใคร พี่น้องไรท์ที่ประดิษฐ์เครื่องบินเหรอ? ก็ต้องมีจริงสิ”
“ไอ้เฉื่อยบ้า!” คนฟังปาหมอนใส่ทันที “เฉื่อยแล้วยังทึ่มอีก ฉันพูดถึงมิสเตอร์ไรท์...คนที่ใช่ในเวลาที่ถูกน่ะ นายไม่เคยได้ยินคำนี้เลยรึไง”
“ก็เคยได้ยินมาบ้าง”
“ฮื่อ นายว่าพี่ยองวอนเขาจะเป็นมิสเตอร์ไรท์ของฉันมั้ย” ร่างบางยังคงกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง โทรศัพท์ในมือปรากฏรูป ‘มิสเตอร์ไรท์’ อยู่นับไม่ถ้วน กางเกงขาสั้นถลกสูงขึ้นมาจนเกือบถึงขาอ่อน ท่าทีที่ไม่ระวังตัวนั้นส่งผลให้คนที่อยู่บนเตียงเดียวกันอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
“หมายถึงคนที่นายชอบเหรอ” เสียงทุ้มถามกลับ “เขานามสกุลไรท์เหรอ”
“นายนี่จริงๆเลยนะยงกุก” เขาบ่นอย่างเอือมระอา “ถ้าไม่รู้จักกันจริงๆฉันจะคิดว่านายกวนตีน กวนสุดๆเลยด้วย คนอะไรจมอยู่แต่กับหนังสือหนาเตอะ มีแต่เรื่องวิชาการทั้งนั้น หัดอ่านนิยายหรือวรรณกรรมบ้างสิ พวกที่ภาษาสวยๆน่ะ จะได้ดูเป็นคนขึ้นมาบ้างไม่ใช่หุ่นยนต์แบบนี้ สงสารฉันมั่งเหอะ อยู่กับนายมาสองปีแต่เหมือนอยู่ในห้องคนเดียว” พูดจบร่างโปร่งผิวขาวสวยนั้นก็เด้งจากที่นอนแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้อีกฝ่ายมองด้วยหน้านิ่งๆ ในสมองประมวลผลอะไรอยู่สักอย่างแล้วก็หันไปมองหน้าต่างบานใหญ่ที่กระทบกับแสงอาทิตย์ในยามสาย...มิสเตอร์ไรท์เหรอ....
..
.
.
อันที่จริงบังยงกุกก็ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดนั้น แต่บางครั้งเขาก็คิดช้าจนสมองประมวลผลไม่ทัน ยิ่งเป็นรูมเมทกับคิมฮิมชานคนปราดเปรียวที่มักจะคิดเร็วพูดเร็วทำเร็วด้วยแล้วก็เลยมีหลายครั้งที่เขาตอบโต้ออกไปไม่ทันใจนัก อย่างเช่นตอนนี้...กว่าชายหนุ่มจะเข้าใจเรื่องมิสเตอร์ไรท์ที่รูมเมทของตัวเองพูดก็อีกหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ใช่...ตอนที่ฮิมชานอาบน้ำแต่งตัวและหนีออกจากห้องไปเรียบร้อยแล้ว...
.
.
.
เขาช้าตลอดนั่นแหละ...ช้าจนคว้าหัวใจของใครไม่เคยทันเอาซะเลย...
.
.
“ซื่อบื้อ คนอะไรซื่อบื้อชิบเป๋ง” เสียงใสบ่นกระปอดกระแปดไปตลอดทางระหว่างเดินลงจากคอนโดมาที่ร้านกาแฟข้างๆเหมือนเคย คิมฮิมชานเป็นนักเขียนนิยายอิสระ ส่วนบังยงกุกก็คือนักศึกษาปริญญาโทสาขาวิทยาศาสตร์...สองปีที่แล้ว ทั้งคู่ติดต่อขอเช่าคอนโดห้องหนึ่งจากเจ้าของในวันเดียวกัน เวลาเดียวกันอย่างน่าบังเอิญ เพราะเป็นผู้ชายเหมือนกันและต่างฝ่ายต่างก็ไม่เรื่องมาก ยงกุกกับฮิมชานก็เลยตกลงทำสัญญาเช่าห้องด้วยกัน นอกจากช่วยประหยัดรายจ่ายแล้ว การมีเพื่อนอยู่ด้วยก็ไม่เลวเท่าไหร่ ยิ่งเป็นคนเรื่อยๆเฉื่อยๆอย่างยงกุกด้วยแล้วยิ่งทำให้ฮิมชานมั่นใจว่าเขาไม่มีพิษมีภัยอะไรทั้งสิ้น...
.
.
แต่ไอ้เรื่องบื้อจนไม่เข้าใจอะไรเลยนี่มันก็เหลือทนเหมือนกันนะ....
.
.
“สวัสดีชาน มานั่งทำงานอีกแล้วเหรอ” เสียงเข้มๆทักขึ้นเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปในร้านกาแฟ กระดิ่งกรุ๋งกริ๋งเหนือทางเข้ากระทบกับบานประตูดูน่ารัก ฮิมชานมักจะมานั่งทำงานที่นี่พร้อมกับมองดูพี่ชายเจ้าของร้านกาแฟของเขาบ่อยๆ...พี่ยองวอน..ทั้งใจดีแล้วก็อ่อนโยน รอยยิ้มหยีๆที่คอยต้อนรับลูกค้าโค้งขึ้นจนเป็นขีดยิ่งดูน่ามองมากเข้าไปใหญ่ พี่ชายคนดีเคยช่วยเขาตอนที่ถูกลุงแท็กซี่หาเรื่องเพราะเขาจับได้ว่าโกงมิเตอร์ค่าโดยสาร พี่ชายคนดีที่ขนหนังสือนิยายสนุกๆมาให้เขาอ่านเปิดสมองหาความรู้ พี่ชายคนดีที่ชอบเอาขนมอร่อยมาให้เขาชิม ยิ่งอยู่กับพี่ยองวอน ฮิมชานก็ยิ่งรู้สึกว่าโลกของเขาสดใสมากขึ้น เพราะอย่างงี้แหละก็เลยหนีไอ้เฉื่อยนั่นลงมาทำงานที่นี่แทบทุกวัน
.
.
อยู่กับไอ้เฉื่อยไม่เห็นสนุกซักนิด รับมุกเขาก็ไม่ได้ จะคุยอะไรสนุกๆก็ตามไม่เคยทัน ขนาดมิสเตอร์ไรท์ยังทำหน้ามึน แววตาแปลกๆที่มองมานั่นก็อีก ไม่เข้าใจเลยว่าเวลาพูดถึงเรื่องนี้ทีไร ยงกุกจะชอบมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นทุกครั้ง...
.
.
คนอะไรไม่รู้บ้าบอคอแตก!
“เอ้า นี่อเมริกาโน่ แล้วก็นี่มาการองแพสชั่นฟรุท สูตรใหม่นะ พี่คิดเองเลย ไม่รู้อร่อยมั้ยก็เลยลองเอามาให้นายชิมดูก่อน” แก้วกาแฟกับขนมสีสวยชิ้นเล็กๆสองชิ้นถูกวางบนโต๊ะ ฮิมชานเหลือบมองขนมนั้นแล้วก็อมยิ้มน้อยๆ เขาไม่ได้ชอบของหวานเท่าไหร่หรอก แต่เค้กในร้านพี่ยองวอนนี่อร่อยทุกอย่างจริงๆ บางทีก็ได้กินฟรี ทั้งอิ่มท้องทั้งได้มองคนหล่อไปด้วย ชีวิตนี้คงสุขไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
“มองอะไร ทำไมไม่กินล่ะ” เสียงเตือนอีกครั้งทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งก่อนจะยิ้มแห้งๆ เขาหยิบมาการองมากินคำหนึ่งแล้วทำหน้าย่นนิดๆ หนุ่มหล่อเจ้าของร้านกาแฟเลยหัวเราะออกมาดังลั่น
“เปรี้ยวใช่มั้ย” ยองวอนบอกก่อนจะใช้นิ้วเคาะจมูกคนตรงข้ามเบาๆ “สูตรของคนอื่นมันออกหวาน ใช้น้ำตาลผสมเนื้อแค่นิดเดียว ส่วนพี่เน้นเนื้อ มันเป็นของหวานที่ไม่หวานน่ะ เผื่อใครชอบเปรี้ยวๆ ชานชอบหวานมากกว่าใช่ไหม พี่จำได้”
เปล่าเลย...เขาไม่ได้ชอบของหวานเท่าไหร่เลย ที่ชอบน่ะคนทำของหวานต่างหาก...
ดวงตาเรียวก้มมองไปที่มาการองแพสชั่นฟรุทอีกทีแล้วนิ่งนึก ยงกุกก็ชอบกินขนมนี่นา ดูเหมือนจะชอบอะไรที่เป็นผลไม้เปรี้ยวๆอยู่ด้วย ช่วงนี้เข้าเรียนด้วยทำวิจัยไปด้วยคงจะเหนื่อยแย่ ซื้ออะไรที่ทำให้สมองสดชื่นไปฝากหน่อยละกัน
เพราะมัวแต่มองมาการองสีสวยนั่น ฮิมชานก็เลยไม่เห็นแววตาขี้เล่นของพี่ชายที่เขาปลื้ม และแววตาที่ยากจะอ่านของใครอีกคนด้วย
.
.
ไม่ได้อยากเห็นภาพนั้นเลยถ้ามันไม่ใช่ทางผ่านเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดิน แล้วก็ช่วยไม่ได้ที่เขาต้องผ่านร้านนี้ทุกวันพร้อมกับภาพของฮิมชานที่จ้องมองผู้ชายอีกคนอย่างมีความสุข...
.
.
มิสเตอร์ไรท์สินะ...
--------------------------------------------------------------
ร่างโปร่งวิ่งกางร่มฝ่าฝนลงมาที่ร้านสะดวกซื้อข้างล่างในช่วงหัวค่ำ หลังจากซื้อข้าวกับบะหมี่ซองจนพะรุงพะรังเต็มมือไปหมด ฮิมชานก็ก้าวฉับๆเตรียมจะขึ้นคอนโดเหมือนอย่างเคย อาหารที่เก็บไว้ในตู้เย็นไม่เหลือแล้ว กว่ายงกุกกับเขาจะว่างไปเดินมาร์ทเพื่อซื้อของสดด้วยกันก็สุดสัปดาห์โน่น ฮิมชานชอบทำอาหาร ยงกุกเองก็ชอบเป็นลูกมือให้..แม้จะซื่อบื้อจนทำผิดพลาดอยู่บ่อยๆ แต่ท่าทางงกๆเงิ่นๆของอีกฝ่ายมักทำให้เขายิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัวเสมอ ถ้าไม่นับอาการสมองช้า บังยงกุกรูมเมทของเขาก็ใช่ว่าจะไม่น่าสนใจ...เพียงแต่....ไม่รู้สิ...ก็เพราะบื้อเกินไปนั่นแหละ...
เหม่อคิดเรื่องของยงกุกอยู่เพลินๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นพี่ชายสุดหล่อยืนมองซ้ายมองขวาอยู่หน้าร้าน ฮิมชานไม่ค่อยได้เห็นหน้าตาแบบนี้ของพี่ยองวอนเท่าไหร่นัก ขายาวๆก้าวตรงไปยังหน้าร้านแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“อ้าว ชาน” ยองวอนหันมามองแล้วคลี่ยิ้มให้ “ลงมาซื้อของกินเหรอ”
“ครับ เอาไปตุนไว้ในห้องน่ะ ซื้อเผื่อยงกุกด้วย วันนี้เขามีแล็บคงกลับดึก” อีกฝ่ายตอบ “พี่มีอะไรรึเปล่า จะกลับบ้านเหรอ หรือว่าจะเข้าไปในร้าน”
“อยากจะทำทั้งสองอย่าง แต่ทำไม่ได้ซักอย่าง” ชายหนุ่มหัวเราะร่า “พี่ลืมกุญแจบ้านเอาไว้ในร้าน พอจะมาไขเปิด ไอ้กุญแจร้านก็ดันหลุดมือไหลลงท่อไปอีก เสียสติเลย ไม่รู้จะทำยังไงเลยเนี่ย ดอกสำรองก็อยู่ในบ้านทั้งหมด”
“ไปหลบฝนบนห้องผมก่อนก็ได้นะ พี่เปียกมากเลยเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะครับ” ดวงหน้าหวานละมุนยกยิ้มให้เขาแล้วยื่นร่มออกไป “ไว้ฝนหยุดค่อยออกมาก็ได้”
“จะดีเหรอ เพื่อนนายไม่ว่าเอาเหรอ”
“ยงกุกใจดี ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เรื่องแค่นี้เขาไม่คิดอะไรมากหรอก ใช่ว่าจะไม่รู้จักพี่นี่นา อีกอย่างพี่ก็สนิทกับผม ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคุยกับเค้าได้”
เมื่อคนอายุอ่อนกว่ารับรองแบบนั้น อีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไรอีกนอกจากเดินตามเขาขึ้นคอนโดไปเงียบๆ ภายในห้องของฮิมชานกับยงกุกค่อนข้างกว้างขวาง มีส่วนกลางที่เป็นโต๊ะกินข้าวแบ่งระหว่างห้องนั่งเล่นกับครัวออกอย่างเป็นสัดส่วน ข้างๆกันเป็นห้องน้ำใหญ่ เดินทะลุไปอีกหน่อยก็เป็นห้องนอนหลักกับห้องนอนเล็ก ฮิมชานพาคนข้างๆเข้าไปในห้องนอนใหญ่แล้วเปิดตู้ค้นเสื้อผ้าให้เขา
“ทำไมมีโต๊ะเขียนหนังสือสองโต๊ะล่ะ” ยองวอนมองอย่างพิจารณา “ของนายกับยงกุกเหรอ”
“ครับ” ฮิมชานตอบสั้นๆ “ไอ้เฉื่อยเพิ่งย้ายมานอนกับผมเมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง ก่อนหน้านี้เขานอนห้องเล็ก มันก็พอนอนได้หรอกแต่ถึงยังไงขนาดก็ต่างกันมาก เราแชร์ค่าห้องเท่ากัน ผมให้เขานอนห้องเล็กกว่าก็น่าเกลียด เลยทำห้องนั้นเป็นห้องเก็บของแทน”
“สนิทกับยงกุกมากมั้ย?”
“อืม จะว่าสนิทก็สนิทนะ” ฮิมชานยังคงแหวกราวเสื้อผ้าต่อไป “เราแชร์ห้องด้วยกันมาสองปีแล้ว แต่เฉื่อยมันไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไหร่หรอก เวลาอยู่ด้วยกันเขาก็แค่นั่งฟังผมพูด...ไม่รู้สิ บางทีเขาอาจจะรำคาญผมก็ได้มั้ง” เรียวปากสีสดแยกออกเป็นรอยยิ้มแล้วหลุดหัวเราะออกมา นึกถึงทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันแล้วก็อดขำไม่ได้ ทั้งยงกุกและเขาไม่ชอบเที่ยวกลางคืนทั้งคู่ เพราะงั้นเรื่องกินเหล้าเมายาหรือเฮฮาตามสถานบันเทิงนั้นลืมไปได้เลย ที่สำคัญคือยงกุกรู้ว่าฮิมชานเป็นผู้ชายแบบไหน นี่เป็นข้อดีอีกข้อที่ไอ้เฉื่อยไม่เคยรังเกียจสถานภาพของเขา...บางทีก็ดูเหมือนจะ....อืม...จะมองเขาด้วยสายตาแปลกๆทุกครั้งด้วยซ้ำ แต่ฮิมชานก็เดาไม่ออกว่าสายตาแบบนั้นหมายความว่ายังไง เมื่อแปลไม่ออก เขาก็เลยไม่สนใจจะแปล แล้วก็พาลคิดไปเองว่ายงกุกคงมองเพราะตามความคิดเขาไม่ทัน
“ไม่มีใครรำคาญนายหรอก คิมฮิมชานน่ารักออกจะตาย” ยองวอนยิ้มให้ระหว่างเช็ดผมไปด้วย “พี่ยังชอบชานมากเลยนะรู้มั้ย”
“อะไรนะครับ” ชายหนุ่มหันขวับไปมองทันที ดวงตากลมสบเข้ากับตาหยีๆที่ยิ้มแล้วยิ่งอบอุ่น ฮิมชานรู้สึกได้ถึงแรงสั่นของหัวใจทันที แต่แปลก...
.
.
ทำไมถึงสั่นน้อยกว่าที่เขาคิดว่ามันควรจะเป็นนะ...
.
.
“พี่ชอบชาน ชานน่ารัก” ยูยองวอนยิงตรงอย่างไม่อ้อมค้อม “ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะสนิทกับชานให้มากกว่านี้นะ”
“แต่ว่าผม...แหม..พี่พูดแบบนี้ผมไปไม่ถูกเลย” เรียวปากบางเม้มแน่นก่อนจะยิ้มแหยๆให้กับอีกฝ่าย รู้สึกแปลกใจตัวเองมากกว่าที่ไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างที่ควรจะเป็น....หรือว่าพี่ยองวอนจะไม่ใช่มิสเตอร์ไรท์ที่เขาฝันกันนะ?
“ไม่ต้องตกใจ พี่ไม่ได้เร่งรัดนายหรอก” ยองวอนยิ้มตาหยีให้อีกครั้ง “แค่อยากให้มองพี่บ้างถ้านายยังไม่มีใคร พี่เห็นนายลงมานั่งทำงานบ่อยๆ บางทีก็วิ่งหนีพวกที่มาตามตื๊อ นายน่ะไม่ค่อยระวังตัวเอาซะเลย เอ๋อแบบนี้ต้องมีคนอยู่ข้างๆรู้รึเปล่า”
“มีสิครับ” ฮิมชานตอบทันที “ผมมียง..เอ่อ...” เสียงใสหลุดออกมาแค่นั้นแล้วก็เงียบไป ที่เงียบเพราะแปลกใจตัวเองนั่นแหละ ทำไมชั่วขณะนั้นเขาถึงคิดจะพูดชื่อยงกุกออกไปนะ ไอ้ความรู้สึกที่อยู่ดีๆก็ป๊อบขึ้นมาในหัวนี่คืออะไร?
“ผมมียงกุกเป็นเพื่อนอยู่แล้ว ก็เลยไม่ค่อยได้สนใจคนอื่นเท่าไหร่” นักเขียนหนุ่มยิ้มแห้งๆเมื่อเห็นยองวอนมองมาอย่างจับผิด “ถึงจะซื่อบื้อไปหน่อยแต่หมอนั่นก็นิสัยดีนะครับ เป็นเพื่อนที่ดีมากเลย”
“แค่เพื่อนใช่ไหม”
“เอ๋?”
“พี่ถามว่าแค่เพื่อนใช่รึเปล่า”
น้ำเสียงที่คาดคั้นนั้นทำให้ร่างโปร่งอดใจสั่นไม่ได้ เขาแค่ไม่เข้าใจว่ายองวอนถามแบบนี้เพราะอะไร เอาจริงๆยังจับต้นชนปลายไม่ถูกด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยู่ดีๆพี่ชายที่แอบปลื้มก็มาบอกชอบเขาซะเอง สถานการณ์แบบนี้ ในภาวะแบบนี้ สมองเขาตื้อไปหมดจนไม่รู้ว่าจะตอบออกไปยังไง
“คือว่า ยงกุกเป็น...”
“เพื่อนครับ เราเป็นแค่เพื่อนกัน” เสียงที่ดังแทรกขึ้นมาเรียกความสนใจของทั้งสองคนให้หันไปมองทันที ยงกุกนั่นเองที่ยืนอยู่ตรงนั้น ข้อศอกข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าประตู มืออีกข้างถือแว่นตาที่เลนส์แตกอยู่ เพราะฮิมชานไม่ค่อยชอบอยู่คนเดียวตอนฟ้าร้อง เวลาฟ้าผ่าแล้วไฟดับก็ยกคัทเอาท์ขึ้นไม่เป็น พูดง่ายๆว่าสถานการณ์แบบนี้อยู่คนเดียวแล้วตายแน่ๆ หลังจากเทสต์แล็บเสร็จ ยงกุกก็เลยห้อกลับบ้านทันทีจนหกล้มแว่นแตกแถมยังได้แผลมาเต็มมือ...
.
.
เพื่อจะมาเห็นฉากสารภาพรักกันให้หัวใจมันเจ็บอย่างงี้...
.
.
“ยงกุก” เสื้อยืดตัวใหญ่ที่เตรียมเอาไว้ให้ยองวอนหล่นลงกับพื้น ชั่วขณะหนึ่งที่เขาจ้องเข้าไปในตาของอีกฝ่ายแล้วทะลุเข้าไปถึงความว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่ายงกุกจะเป็นคนนิ่งๆเฉื่อยๆ แต่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ฮิมชานก็ไม่เคยเห็นเพื่อนร่วมห้องของเขาใช้ดวงตาอันไร้ความรู้สึกมองมาที่เขาแบบนี้เลย...ที่สำคัญคือมันทำให้เขาเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวอีกด้วย
“ตามสบายนะครับ ผมไม่รบกวนหรอก เดี๋ยวขอตัวไปอาบน้ำหน่อย” ยงกุกยิ้มเบาๆก่อนจะเดินมาเก็บเสื้อที่หล่นพื้นแล้วยื่นให้ยองวอน แผลในมือที่ปรากฏอย่างชัดเจนทำเอาฮิมชานถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“มือนายเป็นแผลนี่นา” เสียงใสร้องด้วยความเป็นห่วง มือบางคว้าเข้าที่มืออุ่นอย่างว่องไว แต่ไอ้เฉื่อยกลับปัดมือนั้นออกอย่างนุ่มนวล
“หกล้มนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวค่อยไปทำแผล” เขายิ้มบางๆอีกครั้งแล้วเดินงุ่มง่ามออกจากห้องไป ทิ้งให้ฮิมชานยืนตัวแข็งเป็นหินอยู่ตรงนั้น....
.
.
ไอ้เฉื่อยปัดมือเขาทิ้งเหรอ...
ในเวลาที่ฝนตกฟ้าร้องแบบนี้ ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ยังไง ยงกุกก็จะบีบมือส่งความมั่นใจให้เขาเสมอ ต่อให้มีคนอื่นอยู่ในห้อง ยงกุกก็ยังจะบีบมือเขาเพื่อมอบความอบอุ่นให้อยู่ดี...
แต่มาปัดมือทิ้งกันอย่างงี้...มันน่าช็อคยิ่งกว่าโดนพี่ยองวอนสารภาพรักซะอีก...
.
.
“ชาน...ชาน” จนกระทั่งเสียงทุ้มของพี่ยองวอนเรียกนั่นแหละ ฮิมชานถึงจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้
“พี่ขอยืมเสื้อเปลี่ยนก่อนก็แล้วกันนะ ร่มด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอามาคืน” เขาบอกพร้อมกับตรงเข้ามากระชับหัวไหล่บางเบาๆ “ส่วนเรื่องของเราพี่ไม่รีบหรอกนะ เอากลับไปคิดก่อนก็ได้ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยบอกพี่ ฝากขอโทษยงกุกด้วยนะที่มารบกวน”
.
.
คิมฮิมชานไม่ทันได้คิดอะไรอีกนอกจากเดินตามออกไปส่งคนตรงหน้าเงียบๆ และจมอยู่กับความสับสนอีกครั้งเมื่อยองวอนกลับออกไปแล้ว...จะว่าสับสนเรื่องที่ถูกบอกรักมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ที่ติดค้างอยู่ในใจมากกว่านั้นนี่สิ มันคือความรู้สึกแบบไหนกันนะ...
ภาวะแบบนี้ไม่ดีเลย เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมตัวเองถึงได้หงุดหงิดหัวใจอยู่แบบนี้ เพราะยงกุกเหรอ...ใช่..เพราะยงกุกนั่นแหละที่ทำให้เขาหงุดหงิด แผลเต็มมือออกขนาดนั้นยังจะดื้ออีก ไม่ได้แล้วต้องคุยกันให้รู้เรื่อง...คิดเสร็จร่างโปร่งก็เดินกลับเข้ามาในห้องนอนเล็กทันที แล้วก็ต้องหยุดมองด้วยความอึ้งเมื่อเห็นยงกุกหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาจากห้องนั้นแล้วข้ามไปห้องนอน เก็บเสื้อผ้าจากตู้มายัดลงกระเป๋าเงียบๆ
“ยงกุก ทำอะไรน่ะ”
“หืม อ๋อ นี่เหรอ” ชายหนุ่มเงยหน้ามองแล้วก้มกลับไปจ้องกระเป๋าเสื้อผ้าอีกรอบ “ช่วงนี้งานวิจัยเยอะมาก ฉันกะว่าจะไปนอนค้างกับเพื่อนแถวมหาลัยน่ะ คงยังไม่กลับมาที่นี่สักพัก แต่ไม่ต้องห่วงนะ ค่าเช่าฉันจะจ่ายตามปกติ”
“ใครไปสนใจเรื่องค่าเช่ากัน” ฮิมชานยู่ปาก “ทำไมนายไม่บอกฉันก่อน จะไปจะมาก็ทำง่ายๆอย่างงี้เหรอ เกิดฝนตกแบบเมื่อกี้แล้วฟ้าร้อง ฉันจะทำยังไง ไม่มีคนอยู่ด้วยแล้วฉันจะทำยังไง คิดหน่อยสิ บื้อจัง”
“พี่ยองวอนไง มิสเตอร์ไรท์ของนาย” ยงกุกหันมาส่งยิ้มให้ แต่มันดูฝืดเฝื่อนแปลกๆ ถึงยังไงก็เป็นยิ้มที่เขาทำได้เต็มที่ในตอนนี้แล้วจริงๆ
“ปกติฉันก็ทำอะไรช้า ไม่ค่อยทันใจนายอยู่แล้ว ดีแล้วล่ะ ช่วงนี้ให้พี่ยองวอนอยู่เป็นเพื่อนนายแทนน่าจะดีกว่า” ว่าแล้วก็คว้ากระเป๋ากับโค้ทและร่มเตรียมจะออกจากห้อง
“ยงกุก เดี๋ยว” ฮิมชานร้องเรียกอย่างร้อนรน ก่อนจะเดินมายกมือใหญ่นั้นดูอีกครั้ง “แผลเป็นไงบ้าง ไปทำอะไรมา ถลอกหมดแล้วดูสิเนี่ย ซื่อบื้อจังเลย ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับนายนี่นา” เสียงทุ้มหัวเราะเบาๆอีกครั้งแต่ดูเหมือนจะกรีดลึกลงไปถึงหัวใจอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มชักมือออกแล้วก้าวไปที่ประตูห้อง ขณะที่ฮิมชานก็ยังคงยืนนิ่งมองอีกฝ่ายอยู่แบบนั้น....
.
.
.
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่.........
TBC
-----------------------------------------------------------------------------
มันเป็นฟิคสั้นที่แต่งไว้นานมากแล้ว (นานมากจริงๆ 555) มีแค่สองตอนเองค่ะ คิดถึงบังชานก็เลยแต่งทิ้งไว้ แล้วก็ไม่จบซะที ทั้งที่มีแค่สองตอน ผีเอ้ย 5555 ตอนจบถ้าไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้ ที่แน่ๆ ในสัปดาห์นี้แหละ 55555 ขอบคุณทุกคนที่อ่านนะคะ^^
ความคิดเห็น