คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : องก์ที่ 1 Catch the Mist (หมอกลวงนฤมิต) บทที่ 4 วงไพ่แห่งแสงจันทร์ (Rewrite)
Talk a little bit...
ผมหิ้วตอนใหม่มาแล้วครับบบบ ปั่นดิบสุดๆ ไปเลย เนื้อหายังคงเป็นการดวลไพ่ในร้านอยู่นะครับ แต่เพิ่มบทของนักทำนายเข้ามานิดนึงให้ดูมีพลังหน่อย มีการแทรกเนื้อหาอัดลงไปอีกพอสมควรทีเดียว สำหรับแฟนเก่าๆ อย่าโกรธกันเลยนะครับ ^^
ขอบคุณที่ติดตามมานะครับ (3-2-16)
--------------------------------------------------
วงไพ่แห่งแสงจันทร์
IV
“เฮ้…
เจ้าบ้า ลุกสิ” มินเดรสเขย่าร่างที่จู่ๆ
ก็ฟุบลงไปเสียอย่างงั้น แต่ก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
เจ้าของเรือนผมสีเงินหยักเป็นลอนสลบไปแล้ว
ยอมรับนะว่า คอแข็งเอาเรื่อง เพราะเขาดื่มไป 2 แก้วจนหมดหยดสุดท้าย
ซึ่งแก้วก็สูงเกินครึ่งศอกและบรรจุเบียร์สีอำพันจนฟองล้น
แต่ถ้าให้เทียบกับเจ้าหญิงมินเดรซ่าที่ตอนนี้ยังจิบแก้วที่ 3 ได้สบายๆ ก็นับว่าคออ่อนอยู่ดี
หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ อย่าคิดประลองคอกับเจ้าหญิงเด็ดขาด
เพราะต่อให้ทำไป ก็แพ้เปล่าๆ
มินเดรสอมยิ้มมุมปาก
ลุกขึ้นจากบาร์วางเงินจ่ายค่าเบียร์แก้วนั้นแล้วเดินเตร่ออกไปส่วนอื่นของร้านน้ำชาที่ถูกแปลงเป็นร้านเหล้าในยามค่ำคืน
ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการมักเป็นผู้ชาย
มีเล็กน้อยที่เป็นผู้หญิงแต่ก็เป็นวัยกลางคน ดูจากกิริยากร้านๆ
และหยาบโลนแล้วก็คงเป็นหม้ายไม่ผิดไป ซึ่งทุกโต๊ะก็มีขวดเบียร์ เหล้า วางเกลื่อน
หาไวน์ค่อนข้างยากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย
และกลิ่นแอลกอฮอล์ฟุ้งตลบหนักยิ่งกว่าตอนเย็นๆ จนมินเดรสยังแอบประชดในใจ
ว่าถ้าหากคุณหนูในเมืองเข้ามาสูดดมกลิ่นภายในนี้ละก็ คงเมาหน้าแดงแจ๋
เป็นลมล้มพับไปกับพื้นตั้งแต่ก้าวแรกเสียแล้วกระมัง
แต่อันที่จริง คงจะเป็นลมเพราะกลิ่นโสกโครกของนักดื่มแถวนี้มากกว่า
“นี่
แม่สาวน้อย” เสียงแหบห้าว ดังมาจากมุมร้าน
มินเดรสรู้ว่าเป็นตนแน่เพราะแถวนี้มีผู้หญิงที่อ่อนวัยพอจะถูกเรียกแบบนั้นได้แค่คนเดียว
มันมาจากโต๊ะไม้กลมโต๊ะหนึ่งที่มุมอับของร้าน ตรงนั้นมีฉากกั้นไว้
มินเดรสเดินเข้าไปพร้อมกับแก้วเบียร์ของตน และพบว่ารอบๆ โต๊ะนั้นมีคนอยู่ทั้งหมด 4
คน ทุกคนถือการ์ดใบเล็กๆ สามสี่ใบในมือและบนโต๊ะก็มีอีกบางส่วน
มีสำรับวางอยู่ริมโต๊ะ ใกล้ๆ กับชายร่างผอม หน้าตอบเหมือนหนู
“ไพ่?”
มินเดรสเอ่ยขึ้นมาอย่างสนใจ
“ข้าเลี้ยงเบียร์แก้วต่อไปให้ไหม”
เสียงเดิมที่เรียกเธอมาตรงนี้ดังอีก
มันมาจากชายร่างสูงใหญ่ทางขวามือ
เขากระตุกยิ้มมุมปากที่เบี้ยวบิดเพราะรอยแผลเป็นพาดยาวทั้งหน้าเหมือนโดนกรงเล็บสัตว์ใหญ่ตะกุยเข้า
แล้วคนคนนั้นก็ตบหน้าตักของตน เชื้อเชิญให้มินเดรสนั่งลงตรงนั้น
“เสียมารยาทน่า
สวีปเปอร์” ชายอีกคนซึ่งนั่งอยู่อีกทางปรามเพื่อนร่วมวงเสียงหน่ายๆ
ราวกับว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้เป็นเรื่องปกติ
เขาสวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ที่มีสีค่อนข้างหม่น
แทบจะไร้เครื่องประดับโดยสิ้นเชิง “ใช่แล้ว พรานสาวน้อย
พวกเรากำลังเล่นไพ่…”
“โป๊กเกอร์สินะ”
มินเดรสลูบคาง มองการจัดวางไพ่บนมือ โต๊ะและสำรับอย่างระมัดระวัง
เธอเหยียดยิ้ม
“ไม่เบานี่”
ชายหน้าตอบหัวเราะ เขาสะบัดผมอันเดอร์คัทพลางไหวไหล่เบาๆ “มาเล่นด้วยกันสิสาวน้อย ฉันรู้ว่าเธอมีเงินให้ถลุงเล่นตั้งมากมาย
เนาะฮอว์ค” แล้วก็หันไปพยักเพยิดกับเจ้าของดวงตาที่มีถึงสองสีในนัยน์ตาข้างเดียว
ซึ่งครั้งแรกมินเดรสก็ไม่ทันสังเกตนักหรอก แต่เพราะจ้องเข้าไปตรงๆ
ในนัยน์ตาข้างขวาของเขาแล้วกลัพบสีอำพันและสีฟ้าสดปะปนอยู่ข้างในอย่างน่าพิศวงใจ
“เก้าอี้สักตัวสิ”
มินเดรสร้องขอ
“ตามนั้น”
ชายหน้าตอบเอ่ยแล้วผายมือ
ปลายเท้าเปล่าเปลือยของเขาเกี่ยวขาเก้าอี้มาให้เธอ “อ๊ะ
ฉันลืมแนะนำตัว ฉันคือไฮเดอร์” แล้วเขาก็กรีดพัดเหล็กคบกริบออกมาพัดในตัวเองอย่างสบายใจ
เขาสวมเสื้อนอกขนเสือดาวดูฟู่ฟ่าแต่ไม่สวมเสื้อใดๆ
ภายในทำให้เห็นว่าทั้งตัวที่จัดว่าผอมบางของเขามีรอยสักสีดำสนิทเต็มไปหมด
จนแทบจะไม่เห็นผิวสีเนื้อของเขาเลย นัยน์ตาเรียวชั้นเดียวของไฮเดอร์ดูโฉดและน่าสยดสยอง
เพราะตาขาวของเขามีสีเทาเกือบดำ ซึ่งทำให้มินเรดสที่เพิ่งสังเกตเห็นสะดุ้งเฮือก
มินเดรสหย่อนก้นลงนั่งอย่างเกร็งๆ
เธอไม่เคยรู้สึกแบบที่เป็นอยู่นี้มาก่อนเลย…
ทุกคนดูไม่ธรรมดา… แม้กระทั่งฮอว์คที่สวมชุดเหมือนชนชั้นกลาง มีรายได้เล็กๆ
น้อยๆ แต่มีบางอย่างในตาของเขาที่ไม่ใช่แค่ดวงตาสองสีนั่น
“ฉันว่า
เราควรจะแนะนำตัวให้เด็กคนนี้ได้รู้ตักบ้าง ใช่มั้ย ทุกคน” ไฮเดอร์หันไปถามทุกคน
“ฉัน
สวีปเปอร์ นักเลงข้างๆ ร้านเหล้านี่” พูดพลาง
เจ้าของร่างกายใหญ่โตก็หัวเราะลั่น
“นักกวาดล้าง”
มินเดรสพึมพำตามพลางจิบเบียร์เพิ่ม
“ฉัน ฮอว์ค”
ชายผู้มีตาสองสีแนะนำตัวอย่างเรียบง่าย
“นักต้มตุ๋น?”
เจ้าหญิงขมวดคิ้ว ดูไม่ออกเลยว่าเขามีแววของนักต้มตุ๋นอย่างไร
ทว่าเธอก็แอบฉุกคิดในใจน้อยๆ ว่าภายใต้ท่าทางที่ดูธรรมดานั่นน่ะ
อาจจะซ่อนอะไรบางอย่างไว้ก็ได้
“เธอดูมีความรู้เกี่ยวกับภาษานั่นนะ”
มินเดรสไหวไหล่ “มันเป็นภาษาต่างแดน ศึกษาไว้บ้าง ประดับความรู้
จริงไหมล่ะ พ่อนักซ่อนตัว”
ไฮเดอร์ตบมือชอบใจ เขารวบไพ่พวกนั้นเก็บลงสำรับ พร้อมกันนั้น
คนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับมินเดรสก็ลดฮู้ดลงและหยิบสำรับใหม่ขึ้นมา มันเป็นกระดาษเคลือบเนื้อมันสีงาช้างและเท่าที่ดู
คงวาดลายด้วยมือและปิดทองคำเปลวอย่างไม่ต้องสงสัย
“ส่วนฉันชื่อ
เกรย์ เป็นแค่คนธรรมดา” เขาแนะนำตัว
ดวงตาสีเทาอมฟ้าที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อของเขาสบตาของเธอกลับ
ทำให้มินเดรสสะดุ้งเฮือก ความเย็นแสนประหลาดไล้จับตัวเธอหัวจรดปลายเท้า
“ฉันว่าคนในโต๊ะนี้ไม่มีใครธรรมดาสักคนหรอก
คุณสีเทา” เด็กสาวตอบกลับไป
มือที่สั่นระริกวางแก้วเบียร์ดังกึกไม่รู้ตัว “และฉันคิดว่า
ในกรณีของคุณก็คงเป็นเช่นเดียวกัน
เกรย์สยายยิ้ม ยิ้มนั้นดูน่าสะอิดสะเอียนมาก
เสียดายใบหน้าที่จัดได้ว่าหล่อกระชากไส้ของเขา
ถ้าไม่มีรอยยิ้มจอมปลอมและหวานเลี่ยนนั่นละก็ ใบหน้าของเขาก็คงดูดีไม่ใช่น้อยๆ
ยิ่งมีผมประบ่าสีดำสนิทที่ขับผิวสีน้ำนมนั่นแล้ว
ผู้ชายคนนี้กลับดูหล่อเหลามากขึ้นเท่านั้น
ไฮเดอร์หัวเราะหึๆ กรีดไพ่อย่างชำนาญ หันมามองแขกวงไพ่คนใหม่ “เล่นเป็นใช่ไหม
แม่สาวน้อย”
“เอลิโอตา”
มินเดรสตอบ “เรียกข้าว่าเอลิโอตา…และแน่นอน ข้าเล่นเป็น”
“ดี”
สวีปเปอร์สำทับ “เริ่มเดิมพันจากอะไรดี…
ร่างกายของเธอก็น่าสนนะ เอลิโอตา”
มินเดรสแสยะปากเย็นชา “ข้ามีเงิน สวีปเปอร์” แล้วเธอก็หยิบถุงเงินออกมาตั้งบนโต๊ะ
รูดเชือกออกพอให้เห็นประกายจากเหรียญทองคำ
นักเลงข้างถนนและนักซ่อนตัวตาวาววับในทันที เธอท้าทาย “มาเล่นกันดีกว่าน่า…
ข้าอยากเล่นจะแย่แล้วล่ะ”
ไฮเดอร์หัวเราะคิกคัก เขาวางพัดเหล็กลงและเริ่มแจกไพ่
เมื่อสวีปเปอร์ได้ครบ เขาก็เปิดดู สีหน้าพอใจอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผิดคาด…
การเล่นแบบนี้ ต้องสวมหน้ากากต่างหากเล่า มินเดรสคิดอย่างเยาะหยัน
รอยยิ้มกรีดอยู่ภายใต้ใบหน้าที่ด้านชา เธอมองไพ่ในมือของตน
คิดหาทางและวิธีการลงเงินที่พอดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
จริงอยู่ที่เมื่อแรกเริ่มเกม มินเดรสชนะอยู่หลายครั้ง
ทว่าตั้งแต่สวีปเปอร์มือขึ้น เธอก็เริ่มเสียเงินไปทีละนิดๆ และยิ่งทุ่มเงินลงไปเท่าไหร่
เธอก็ยิ่งเสียมากเท่านั้น
มินเดรสรู้อยู่แก่ใจว่านี่บ่อทรายดูดที่กำลังลากเธอลงไปตายข้างล่าง
แต่เธอก็ห้ามไม่ให้กิเลสของตัวเองครอบงำตัวเธอไม่ได้
และท้ายที่สุด ถุงเงินที่เคยเต็มไปด้วยเงินตราของเธอเองก็ว่างเปล่า
มินเดรสมองมันและพยายามคว้าสติตัวเองกลับมา
พิษจากแอลกอฮอล์เริ่มสร่างและเธอก็ค้นพบว่าตัวเองกำลังจะหมดตัวในไม่ช้า
ปากของเด็กสาวสั่น
เมื่อพิจารณาตัวเองอย่างถี่ถ้วนและรู้ตัวว่าตัวเองโง่แค่ไหนที่ดื่มและเล่นไพ่แบบนี้
“อะไรกัน
เอลิโอตา หมดตัวเสียแล้วหรือ” สวีปเปอร์เยาะเบาๆ
เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กสาวซีดลงเรื่อยๆ จนแทบจะเหลืองอยู่รอมร่อ
ไฮเดอร์รวบไพ่รอบนี้กลับไปและเตรียมแจกใหม่
“ยังหรอกน่า”
มินเดรสพึมพำ
แต่เธอก็ต้องกลืนคำพูดตัวเองลงคออย่างอับอายเมื่อพบว่าตานี้
เธอเสียหมดหน้าตัก
“ยังไหวหรือเปล่า
แม่สาวน้อย ถุงเงินเธอเบาหวิวแล้วนะ” ไฮเดอร์ทักพลางยิ้มอ่อน
โน้มตัวขึ้นมาจากการนั่งเอนเพื่อแจกไพ่อีกครั้ง
“เอลิโอตา ไฮเดอร์” มินเดรสหันไปบอกชายหน้าตอบในชุดลายเสืออย่างเก็บสีหน้าลุ่มลึก
เธอเห็นฮอว์คมองตัวเธอเองด้วยความสนใจจากการเหลือบสายตาผ่านขณะหนึ่ง
เดาว่าเขาคงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“เอลิโอตา
หมายถึง ผู้มีปีกเป็นที่พึ่ง เคยเป็นชื่อของเทพองค์หนึ่งด้วยซ้ำนะ” ฮอว์คจับคางแล้วอมยิ้ม
มินเดรสยักไหล่ เธอไม่สนใจตำนานงี่เง่าไร้สาระนั่นสักนิดเดียว
เจ้าของนามที่ตั้งตามชื่อเทพหยิบไพ่โฮลขึ้นมือ
“รอบนี้เธอเป็นสมอลล์บลายด์นะ
เอลิโอตา” ไฮเดอร์พึมพำ “มูลค่าของที่เธอต้องเดิมพันคือ
3000 ราจา”
มินเดรสกลืนน้ำลาย
เธอจับจี้สร้อยที่คอของเธอเองก่อนจะดึงมันออกมาจากสายหนังที่ร้อยมันไว้
“มีดคริสตัลแห่งไซร์”
เกรย์ที่นั่งอยู่มุมมืดเอ่ยขึ้นมาในความเงียบที่จู่ๆ
ก็เข้าปกคลุมวงไพ่ “เจ้ามีมันได้อย่างไร
มันเป็นสมบัติตกทอดของตระกูลไซร่า ของแแบบนี้สำคัญสำหรับทายาทแห่งไซร์มากเกินไปนะ”
เกรย์รู้อย่างไรว่ามีดเล่มนี้เป็นของสำคัญ… นอกจากคนที่อยู่รับใช้ตระกูลไซร์จากฝั่งแม่ของเธอก็แทบจะไม่มีใครรู้เรื่องมีดคริสตัลนี้เลย
“อีกอย่างมูลค่ามันนับแสน…
พวกเราไม่มีปัญญาเกทับหรอก” ฮอว์คพูดติดตลก
ปรายตามองไปที่คอของเธออีกครั้ง บนสายหนังที่มีร้อยกับเขี้ยวสัตว์ 13 ชิ้นซึ่งเป็นสร้อยที่เคยผูกกับมีดคริสตัลสีน้ำเงินสลับชมพูนั่น
“แหวนที่ห้อยคอเธออยู่อีกเส้นล่ะ
มันดูมีราคาพอดีกับเงิน 3000 ราจาดีนะ” เกรย์แนะ “ถึงมันจะมีลายไร้รสนิยมอยู่สักหน่อยก็เถอะ
แต่ในเมื่อมันเคยห้อยคอคนอย่างเธอมาก่อนนะ เอลิโอตา… มันก็น่าจะมีมูลค่าบ้างล่ะ
จริงไหม” นัยน์ตาสีน้ำแข็งคู่นั้นมีเลศนัยและแสนกลนัก
มันทำให้มินเดรสเสียวสันหลัง
เกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าเธอเป็นทายาทของราชวงศ์กุหลาบด้วย
ยิ่งเห็นอีกฝ่ายกระตุกยิ้มเล็กๆ ที่ดูชั่วร้ายนั่นอีก
ก็ยิ่งทำให้มินเดรสไม่ไว้วางใจคนคนนี้มากขึ้นเท่านั้น
แต่มินเดรสก็ปลดแหวนเหล็กที่ห้อยกับสร้อยอีกเส้นลงมา
มันเป็นแหวนเหล็ก ลายหยาบๆ มีหัวแหวนเป็นคริสตัลใส
แทบจะไม่มีความสวยอะไรอยู่ในตัวเลย ขณะที่มันหลุดออกจากมือของเธอและตกลงบนโต๊ะ
มินเดรสรู้สึกตัวเบาหวิวอย่างน่าประหลาด เหมือนบางอย่างหล่นหายไป
“เปิด”
เธอพึมพำ “แหวนเหล็กคริสตัลราคา 3000 ราจา”
น่าเสียดายที่เธอเสียแหวนวงนั้นในเวลาไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ
เพราะเกรย์ไพ่สวยจนน่าตะลึงลาน ต่อมา ฮอว์คนำเหรียญเรมริลของพวกเอล์ฟมาเริ่ม
ราคาไม่น้อยและก็หายากพอตัว ผ่านการเกทับไปหลายรอบเข้า
ความลุ้นระทึกก็มาเยือนวงไพ่
เมื่อไฮเดอร์เกทับด้วยเหยือกพันปีลายนางเงือกล้อคลื่นราจาเกือบ 6 หลัก
“อู้ววว…”
สวีปเปอร์ครางออกมาอย่างสลด ที่ดูก็รู้ว่าเสแสร้งอย่างที่สุด
เขาลูบคางที่มีเคราหร็อมแหร็มอย่างไตร่ตรองชัดเจน เห็นชัดว่ากังวลไม่น้อย
บลัฟหรือ มินเดรสคิดหนัก เมื่อเห็นว่าจู่ๆ
มูลค่าของบนโต๊ะพุ่งสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อผ่ามือไฮเดอร์รอบนี้
เธอปรายตาไพ่ฟล็อบและคำนวณหาหนทางที่เป็นไปได้ว่าเธอจะชนะ
และไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่าอะไรที่ทำให้ไฮเดอร์กล้าเดิมพันขนาดนั้น...
ไม่แน่ อาจจะหลอกก็ได้
“ข้าก็ขอเกทับต่อ”
สวีปเปอร์กวักมือเรียกเด็กหนุ่มที่นั่งอีกโต๊ะมา เขาเดินมาอย่ากล้าๆ
กลัวๆ แล้วก็ถูกลูกพี่ใหญ่ล็อกคอไว้หลวมๆ ไม่ให้หนีไปไหน “ข้าเอาเจ้านี่เป็นเดิมพัน”
“แล้วไอ้เด็กนี่มันมีดีอะไร”
ฮอว์ถามด้วยสีหน้าไม่เชื่อว่าเด็กตัวกระเปี๊ยกแค่นั้นจะเอามาเดิมพันได้
“มันยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง...”
เขาบอกด้วยน้ำเสียงหื่นๆ
ทำให้ไฮเดอร์ซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายของเขาตาลุกวาว
มินเดรสสังเกตการณ์อยู่อย่างเงียบๆ ที่มุมโต๊ะ
“จริงเหรอ
สวิปปี้” ชายร่างผอมถามพลางเช็ดน้ำลายที่ไหลย้อยที่มุมปาก
เขาโบกพัดเหล็กไปมาเพื่อคลายร้อนจากอากาศรอบกายที่จู่ๆ ก็ระอุขึ้นมาเสียเฉยๆ
“หยุดก่อน”
เกรย์หยุดทุกคนไว้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แค่นั้นยังไม่พอ
สวีปเปอร์ แค่เพราะเด็กคนนี้ยังไม่… ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ
มันยังไม่พอจะตีราคาได้เกินสี่หลักราจา
ดังนั้นฉันไม่ยอมรับเดิมพันนี้ไม่ว่ากรณีใดๆ”
สวีปเปอร์เลิกคิ้ว เขาปัดผมที่ยุ่งเหยิงเหมือนรังนกของเด็กชายออกไป
เผยให้เห็นรอยสักที่อยู่กลางหน้าผากรูปประหลาดที่สมมาตรสวยงาม
เกรย์ที่ตีหน้าขรึมเดาะลิ้นเบาๆ แล้วตีราคาเด็กคนนั้นใหม่ “สูงสุดคือห้าแสนราจา
แต่ฉันขอจำกัดราคาไว้แค่สามแสนเพราะเด็กคนนั้นบอบช้ำเกินกว่าจะเอาไปใช้งานได้ทันที”
ไฮเดอร์และฮอว์คถึงกับป้องปากที่อ้าค้าง “สามแสนราจา?”
พวกเขาพึมพำพร้อมกัน
“เด็กคนนั้นเป็นฟอสซิลมีชีวิต
เขาเป็น...” เกรย์ประกาศแล้วลดเสียงลงเมื่อคนรอบๆ
เริ่มสนใจการเล่นของพวกเขามากขึ้นเมื่อได้ยินถึงราคาเดิมพันที่กำลังเดือดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“สัตว์จำแลง”
ทั่วร้านเบียร์ส่งเสียงฮือฮา เมื่อได้ยินวลีจากปากของเกรย์
ผู้คนเริ่มมามุงดูรอบโต๊ะ และส่งเสียงราวกับอยากจะมีส่วนร่วมด้วย
จากการที่นั่งดูมาสักระยะด้วยความตั้งใจ
มินเดรสก็เริ่มเห็นข้อแตกต่างของชายทั้งสี่คนนี้อย่างชัดเจน
คนที่เลือดร้อนที่สุดในที่นี้ก็คือ ฮอว์คเจ้าของตาขวาสองสี
แม้ว่าเขาจะพูดน้อยก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ลงเดิมพัน
เขาก็จะลงอย่างบ้าระห่ำและเดาทางง่ายที่สุด และอย่างว่า
สิ่งที่เขาใช้เดิมพันมักเป็นเงินตราในหน่วยแปลกๆ
ทำให้เธอต้องคำนวณเลขในใจอยู่เสมอเวลาที่เขาลงเงิน คนที่เลือดร้อนรองลงมาก็คือ
สวีปเปอร์ ด้วยพื้นเพที่เขาเป็นนักเลงหัวไม้จึงมีความใจร้อนเป็นทุนเดิม
อย่างไรก็ตาม เขาก็จัดว่าเป็นคนที่ค่อนข้างรอบคอบ มีการหลอกล่อให้เห็นอยู่บ้าง
แต่ก็ไม่เท่าสองคนที่เหลือ ทว่าสวีปเปอร์ก็เสียน้อยครั้งมาก ถ้าให้เทียบกับคนอื่นๆ
ในวง ที่สูญเสียนับสิบครั้ง แต่คราวที่เขาเสียก็เสียทีละมากๆ เช่นกัน
ไฮเดอร์เจ้าเล่ห์กว่าที่มินเดรสคาด
ท่าทางของเขาเป็นคนมีการศึกษาดีทีเดียว และก็น่าจะเป็นเศรษฐีใหญ่ที่มักสะสมของเก่า
ดูสภาพการจากการที่นำของโบราณราคาสูงลิ่วมาประมูลเป็นว่าเล่น
จะเป็นนักโบราณคดีก็คงไม่ไใช่ เพราะเขาไม่ได้มีความรักหลงใหลในของที่เขานำมาลงเดิมพันเลยสักนิดเดียว
ทว่าแม้จะเรียกได้ว่าเขาเป็นความจอมปลอม
ปลิ้นปล้อนขาดความน่าเชื่อถือในวงไพ่เพียงไร แต่เขาก็ดูเป็นคนใจเร็วกว่าที่เห็น
มินเดรสสัมผัสได้ แม้เพียงผ่านๆ ว่าคนคนนี้ อยากได้อะไรแล้วต้องได้เดี๋ยวนั้น
สมาชิกอีกหนึ่งของวงไพ่แห่งแสงจันทร์นี้ เดาทางยากกว่าใคร ‘เกรย์’
มินเดรสทายว่าชื่อของเขาคงมาจากสีตาฟ้าหม่นที่แทบจะไร้สีนั่น
นึกอยู่นานว่าคล้ายกับอะไร ก็ได้คำตอบเมื่อสักครู่ว่า น้ำแข็งดีๆ นี่เอง
เพียงแต่เขาก็ยังไม่เย็นชาพอ เธอคะเนการกระทำเกรย์ไม่ออกเลย
บางเวลาเขาจะยิ้มก็ยิ้ม บทจะเหี้ยม ก็เหี้ยมกินรวดทั้งวง
หรือแม้กระทั่งยอมหมอบทั้งๆ
ที่ไพ่ในมือตอนสุดท้ายสวยสดงดงามและพอดิบพอดีอย่างน่าหมั่นไส้
อาจจะมีคนแย้งว่าเขาอาจจะแค่หลงกลหรือถูก ‘บลัฟ’ แต่มินเดรสก็ยังพอสำเหนียกได้ ว่าเขาแค่ตามน้ำไปสนุกๆ เท่านั้น
ไพ่กองกลางใบสุดท้ายจะตัดสินทุกอย่างเอง มินเดรสถอนหายใจยาว
มองของเดิมพันของตัวเองที่ตั้งอยู่บนโต๊และอวยพรขอให้ไพ่ใบสุดท้ายเป็นอย่างที่เธอหวัง
เพราะสิ่งที่เธอลงไปล้วนมีราคาไม่น้อย เช่น
ลูกประคำคริสตัลที่เธอใส่ตั้งแต่ยังจำความได้ ราคาเฉียด 700,000 ราจา
หรือกระทั่งลูกดอกอาบยาจากตัวริวซูทั้งกล่องซึ่งก็มีราคาสูงพอๆ กัน
“จะหมอบใช่ไหม
เกรย์” สวีปเปอร์ทวนเมื่อเห็นคนที่ต้องเดิมพันคนต่อไปเงียบงันอยู่นานสองนาน
นัยน์ตาคู่คมเหลือบมอง เกรย์กระตุกยิ้ม ยิ้มเลี่ยนๆ แบบที่เขาชอบทำ “ใครบอกแกอย่างนั้นกัน”
“ก็เดิมพันสิวะ”
นักเลงหน้าบากท้าอย่างหยาบคาย
เกรย์เชิดปลายคางเรียวยาวของเขาขึ้นเล็กน้อยอย่างสง่าผ่าเผย
มินเดรสเองก็รู้ว่าคนปกติเขาไม่ทำกันแบบนั้น มีคนอยู่ไม่กี่พวกหรอกที่กล้าพอ
และเธอก็มั่นใจว่าคนแบบเกรย์ คนที่ปิดบังตัวตนขนาดนั้น
ถ้าไม่มีชีวิตเบื้องหลังที่น่าสะพรึงพอ ก็คงไม่น่าทำอะไรอย่างนี้แน่
ชายหนุ่มที่อายุไม่น่าจะเกิน 25 ปีถอดแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วชี้ขวาของเขาออกมา
มันเป็นแหวนสีอ่อน แวววับและมีลวดลายคล้ายเถาวัลย์ร้อยรอบหัวแหวนสีม่วง
แต่เมื่อเขาบรรจงวางมันลงบนโต๊ะและเปลี่ยนมุมกระทบแสงพอดี
มินเดรสกลับเห็นสีส้มทองเหลือบอยู่ภายในดุจประกายแสงสุดท้ายจากตะวัน ณ ขอบฟ้าอันแสนไกล
มินเดรสอ้าปากค้าง “อมิทริน!”
พลอยสองสีนั่น เธอที่เป็นทายาทแห่งไซร์
เมืองแห่งอัญมณียังไม่เคยมีโอกาสได้แตะมันสักครั้ง พลอยเพียงกะรัตเดียวที่มีค่าพอๆ
กับทองทั้งท้องพระคลังของเมืองขนาดย่อมๆ นั่น เกรย์มีมันในครอบครองได้อย่างไร
“พลอยสองสีในตำนานนั่นน่ะหรือ”
คนรอบๆ ที่กำลังเฝ้าดูการดวลไพ่ต่างพึมพำเสียงดังสนั่น
ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง อเมธิสต์สีม่วงและซิทรินสีส้มไสว… สีเหลือบแสนสวยของมันทำให้นักขุดแร่และพ่อมดอัญมณีหลงใหลมานักต่อนัก
และมันยังมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์ที่ไร้ทางต้านทานอย่างน่าพิศวง
ไม่แปลกที่จะทำให้ทุกคนโหยหาพลอยชนิดนี้
แม้ว่าเพชรจะยังครองตำแหน่งราชาแห่งอัญมณีอยู่ก็ตาม
แต่มินเดรสก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามันสวยเสียจนเธอยังต้องมองมันตาค้าง
“พลอยทั้งหมด
7 กะรัตถ้วนไม่ขาดไม่เกิน เรือนทำจากทองคำขาวอย่างดี
ฉันกล้าท้าว่าในเดรมฟรีย์ งานประมูลของสมาคมแห่งจอมโจร
ราคามันจะพุ่งสูงถึงหลักสิบล้านได้ไม่ยากเลย” เกรย์กระซิบเสียงเรียบ
นัยน์ตาคู่นั้นระยิบระยับอย่างน่ากลัว
“หมอบ”
ทันทีที่เสียงของเกรย์จบ ฮอว์คก็พูดต่อทันทีอย่างเสียขวัญ
มินเดรสหายใจแรงอย่างอดตื่นเต้นไม่ได้ เธอลอบถูกมือชื้นเหงื่อไปมาใต้โต๊ะ
“มีใครจะสู้ต่ออีกไหม”
เกรย์หันไปถามรอบวง
“ไพ่แกมันจะดีสักแค่ไหนกันเชียว”
สวีปเปอร์ถากถาง
“ฉันหมอบด้วย”
ไฮเดอร์เอ่ยแล้วรอบพัดเก็บดังฉับ “เสียใจนะ
พ่อหนุ่มสัตว์จำแลงเจ้าเสน่ห์ รอบนี้ไพ่ของฉันมันแย่ สู้ไม่ไหวหรอก” เขาพูดกับเด็กหนุ่มที่ถูกล็อกตัวไว้ด้วยแขนของสวีปเปอร์อย่างแสนเสียดาย
“ถ้าอย่างนั้น
ก็เหลือเราสามคน” สวีปเปอร์พึมพำ
มองมินเดรสด้วยสายตาข่มขวัญกลายๆ ในสมรภูมิของกระดาษแผ่นเล็กๆ
ชายคนนี้กลับเปลี่ยนนิสัยไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ตาคู่นั้นมีแววโลภจนปิดไม่มิดอีกต่อไป
มินเดรสสู้สายตากลับอย่างไม่ยอมแพ้
“เปิดไพ่ดีกว่าน่า
จ้องไปเสียสายตาเปล่า” เกรย์พูดพลางยักไหล่สบายๆ
พรึ่บ
“ฟูลเฮ้าส์”
มินเดรสเยาะ เมื่อมองดูไพ่ของสวีปเปอร์
ก็แค่ตองเอซกับคู่แจ็ก
เด็กยิ้มกว้างยิ่งทำให้ฝ่ายที่เปิดไพ่ก่อนขมวดคิ้วจนหน้าผากย่นยับ
เกรย์ใจเย็นอย่างยิ่งเมื่อเปิดไพ่ เขากระซิบ “เสตรทฟลัช”
สวีปเปอร์มองไพ่ที่ถูกคลี่อยู่บนโต๊ะอย่างไม่อยากจะเชื่อ คิง ควีน
แจ็ก สิบและเก้าโพดำถูกวางอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องชี้
เขาก็รู้ว่าเขาต้องการไพ่กองกลางตัวใดเพื่อบรรลุเสตรทนั่น
มันชัดเจนเสียจนคนที่ลงเงินหมดหน้าตักแทบจะร้องไห้เป็นสายเลือดและคนที่หมอบนิ่งกลืนน้ำลายดังเอื้อก
“ตาเจ้าแล้ว”
สวีปเปอร์หันมาบอกเธอด้วยสายตากดดัน
ดูจะหวังอย่างยิ่งว่าเธอคงมีไพ่ต่ำกว่าเขา มินเดรสเปิดไพ่ใบซ้ายของเธอ
เอซโพแดงเด่นหรากลางหลังไพ่สีทะมึน
“ไพ่สูง?”
สวีปเปอร์พูดอย่างดีใจ
เด็กสาวพลิกไพ่อีกใบ มันคือ ควีนโพแดง
สวีปเปอร์หน้าซีดเผือดเมื่อเหลือบไปยังไพ่กองกลาง
“รอยัลเสตรทฟลัช”
เกรย์หัวเราะลั่น
ในขณะที่ทั้งร้านเงียบกริบแม้แต่ลมหายใจก็ไม่กล้าปล่อยออกมา
ชายหนุ่มลุกขึ้นและตบมือให้ ก่อนจะพูดขึ้น “เยี่ยมยอด!
ยินดีให้กับเศรษฐีคนใหม่ของเราหน่อยสิ”
คนทั้งร้านพึมพำอย่างเหลื่อเชื่อ “นี่มันบ้า! บ้าชัดๆ”
สวีปเปอร์เข่าทรุด มองไพ่ที่แผ่ออกมาของทุกคนแล้วบ่นเหมือนหมีกินผึ้ง “รู้งี้หมอบเสียแต่แรกก็ดี”
“ทั้งหมดบนโต๊ะเป็นของเธอแล้วสาวน้อย”
เกรย์บอก ผายมือให้และค้อมหัวให้หนึ่งครั้ง “ทุกคน
สลายตัว! พวกสันติบาลกำลังจะมา” เขาพูดราวกับมีนิมิตอนาคต
“หา?”
ทั้งสามอุทานพร้อมกัน แม้จะดูงุนงง แต่ก็เชื่อ
คนทั้งร้านสลายตัวรีบกลับเข้าที่
ไฮเดอร์เก็บไพ่ที่ดูมีราคาทั้งหมดส่งให้เกรย์อย่างว่องไว
สวีปเปอร์โบกมือให้ลูกน้องแล้วรีบพาพวกของตัวหนีไปทางหลังร้าน
ฮอว์คหยิบหมวกและเสื้อโค้ทซาฟารีมาใส่ก่อนจะเดินหายไปท่ามกลางคนที่กำลังเมาเบียร์
จนที่โต๊ะเดิมเหลือเพียงเกรย์ ไฮเดอร์และมินเดรสเท่านั้น
มินเดรสถอนหายใจโล่งอก
มองกองเงินหลายสกุลที่กำลังถูกโกยมาตรงหน้าเธอพร้อมด้วยของโบราณอีกจำนวนหนึ่ง
ทุกอย่างบนโต๊ะกลับมาเป็นของเธอ เงินทุกเหรียญ…
พูดได้คำเดียว ‘โล่ง!’
เกรย์หยิบแหวนเหล็กที่เขาไม่ได้นำไปเดิมพันในรอบนี้ขึ้นมาพลางยิ้มแย้มแปลกๆ
“น่าเสียดายที่แหวนวงนี้
ด้อยราคาสำหรับเธอเหลือเกินนะ เอลิโอตา” เขาพูดกับมินเดรสด้วยสายตาสุขุม
กลิ้งแหวนไปมาในมือ
“แล้วเจ้าแน่ใจหรือว่ามันมีค่าน่ะเกรย์”
มินเดรสหรี่ตาลงอย่างไม่เชื่อ เธอเองก็เคยคิดถึงเรื่องนี้
แต่จากคำบอกของช่างอัญมณีของราชวงศ์
รวมทั้งคุณตาของเธอซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองแร่ยังเคยบอกด้วยซ้ำว่าหัวแหวนเป็นแค่แก้วธรรมดาๆ
เหล็กก็ไร้ความวิเศษใดๆ ตีราคาได้อย่างมากก็แค่พันราจาเท่านั้นเอง
ราคาที่เกรย์ตีให้ในวงไพ่ก็ดูจะสูงเกินไปด้วยซ้ำ
เกรย์สวมมันลงบนนิ้วโป้งด้านขวาของเขา
มันพอดีเป๊ะดูราวกับมันถูกสร้างมาเพื่อเขา ฉับพลันทันใด
หัวแก้วที่ควรจะใสกลับเปลี่ยนสีส้มโชติช่วงอย่างน่าพิศวง เขาส่งให้ยิ้มให้มินเดรส
ยิ้มที่ทั้งเป็นสุขและรู้สึกได้ถึงความเหนือชั้น เขาตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ต่อให้เอาแหวนแห่งสวรรค์ที่ฉันเสียไปมาแลกคืนสัก
10 วง ฉันก็ไม่ยอมหรอก แม่สาวน้อย”
มินเดรสเดาะลิ้น “ตามใจ”
แล้วเกรย์ก็หายไปต่อหน้าต่อตาของเธอ
ดุจว่าไม่เคยมีร่างกายสูงชะลูดของเขาอยู่ตรงนั้นเลยจนไฮเดอร์สะกิดเธอ “ไปเถอะ
แม่เทพธิดาขี้เมา ด้วยพวกสันติบาลมาถึงแล้วจะยุ่ง”
“เกรย์รู้ได้ไงว่าสันติบาลกำลังจะมา”
เธอถาม
ชายเจ้าของใบหน้าตอบพูด “หมอนั่นคล้ายๆกับมีญานทิพย์นั่นแหล่ะ
หมอนั่นน่ะนะบอกได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคต
การคาดการณ์ของเจ้านั่นแม่นมากเหมือนเห็นเหตุการณ์นั่นมาก่อนเลยล่ะ
มันเตือนแบบนี้ทีไร เราก็รอดทุกรอบ”
เด็กสาวขมวดคิ้ว
“เอาเถอะ
ไปได้แล้วๆ ถ้าอยากมาดวลโป๊กเกอร์อีกก็มาที่ร้านนี้ได้นะ
เราสี่คนจะมาประชุมไพ่พร้อมกันทุกๆ วันที่แสงจันทร์ฉายเต็มดวง โอเคนะ แม่หนูขี้เมา
มาเล่นกันอีกนะ ฉันล่ะติดใจความแซ่บตอนเมาของเธอจริงๆ” ไฮเดอร์พูดอย่างร่าเริง
หยิกแก้มเด็กสาวหนึ่งครั้งแล้ววิ่งออกไปจากร้าน
“เฮ้ย!
พวกสันติบาลมาแล้ว!!” คนที่อยู่หน้าร้านตะโกนลั่น
มินเดรสจึงได้สติ
ออกจากมุมร้านไปลากเซจาที่เมาหมดสติขึ้นบ่าแล้วแบกขึ้นไปนอนที่ห้องของเขา
เธอหงุดหงิดไม่น้อยที่ต้องมาทำแบบนี้ แต่ก็ถือว่าเจ๊ากันกับเมื่อคืนก็ได้
เพราะคราวนั้นเธอก็ง่วงจนหลับพาให้เขาอุ้มขึ้นห้องเหมือนกันนั่นแหล่ะ
มินเดรสเหวี่ยงประตูปิดอย่างแรง
ถอนหายใจพรืดและยังคงหันหน้ามองประตูห้อง
กลิ่นสาบสางของเครื่องเรือนกลางเก่ากลางใหม่ทำให้เธอคัดจมูกและมึนหัว
“บอกชื่อของเจ้ามา”
เธอเอ่ยขึ้นในความเงียบที่มนุษย์ทั่วๆ ไปคงไม่ได้ยินเสียงผิดปกติ
แต่ด้วยโสตสัมผัสอันน่าสะพรึงของเจ้าหญิง
เธอรู้ว่ามีลมหายใจของผู้ไม่พึงประสงค์อยู่ในห้องพักของเธอ
“ชอว์ขอรับ”
เสียงห้าวแบบเด็กผู้เพิ่งแตกเนื้อหนุ่มได้ไม่นานตอบ
เจ้าหญิงหันตัวกลับไป
และเห็นเด็กผู้ชายผมสีทรายยืนพิงกรอบหน้าต่างที่เปิดกว้าง เพราะลมโชยทำให้ผมนั้นปลิวสะบัดจนเห็นรอยสักสมมาตรบนหน้าผากของเขา
มันเปล่งสีส้มเรืองๆ อย่างน่าแปลกประหลาด
แต่มินเดรสก็พอรู้มาบ้างว่าเพราะเขาเป็นสัตว์จำแลง
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากอำนาจเวทมนตร์ ไม่ได้มีชีวิตโดยแท้
เขาต้องอิงอาศัยพลังของเจ้านายหรือผลึกอัญมณีเป็นหลัก และดูท่า รอยสักนั่นคงเป็นทางเชื่อมระหว่างตัวเขากับขุมพลัง
“ข้าจะไม่ถามว่าเจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรหรอกนะ
แต่ข้าไม่ได้ต้องการผู้ติดตามเพิ่มเติม” มินเดรสพูดพลางกอดอกแน่น
พิงโต๊ะเครื่องแป้งที่เธอไม่จำเป็นต้องใช้อย่างวางท่า
“ผมก็ไม่ได้อยากติดตามท่านนักหรอกขอรับ”
เขาตอบอย่างไม่ไยดีเช่นกัน
กล้ามเนื้อบนใบหน้าคล้ายกับว่าตายด้านไปแล้ว และไร้อารมณ์ได้ขนาดนี้
แล้วชอว์ก็ชี้ไปที่สิ่งที่ล้อมรอบคอของเขา มันเป็นวงเหล็กหลวมๆ
สีดำวาวคล้ายกำไลข้อเท้าเด็ก แต่ก็ถอดออกไม่ได้ “ปลอกคอนี่สั่งไว้ว่าผมต้องติดตามเจ้านายต่อไป
ซึ่งตอนนี้ตำแหน่งเจ้านายของผมถูกเปลี่ยนไปอยู่ในมือของท่านแล้ว”
“ถามหน่อยซิว่าถ้าข้ามีเจ้าเป็นทาสรับใช้แล้วจะมีอะไรดีขึ้นไหม”
มินเดรสสวน เมื่อรู้สึกว่าตัวเองโดนอีกฝ่ายหยามมากเกินไปแล้ว
“ตอบตรงๆ
ว่าไม่” ชอว์พูดด้วยความไม่เกรงกลัว
นัยน์ตาสีน้ำผึ้งของเขามีกลิ่นอายบางอย่างที่ไม่ควรข้องแวะด้วยอย่างยิ่ง
ยิ่งกว่าดวงตาสีดำดังอวกาศของเซจา มันให้ความรู็สึกอันตรายกว่านั้น
ทั้งยังปลุกสัณชาตญาณของมินเดรสให้ตื่นขึ้นมาพร้อมรับมือกับเขาด้วย
แค่เด็กอายุ 15 ปีเนี่ยนะ มินเดรสคิดทวนอย่างขบขัน
จะมีอะไรให้น่ากลัวนักเชียว
“ถ้าอย่างนั้น
ข้าก็ไม่ต้องการเจ้าเหมือนกัน” มินเดรสขับไล่
ชอว์ไหวไหล่ “ผมห่างท่านเกิน 10 เมตรไม่ได้”
“ต้องทำยังไง
เจ้าถึงจะไปให้ห่างๆ ข้าสักที” มินเดรสเริ่มหงุดหงิด
รู้สึกอยากเงื้อมีดปักใส่หน้าด้านๆ ของชอว์จอมหยิ่งนั่นแทบแย่
แต่รู้ว่าเธอทำไม่ได้ มีบางอย่าง… เด็กคนนี้ไม่เหมือนใครที่เธอรู้จักเลย
ชอว์มีเวทมนตร์ และประเด็นก็คือ
มินเดรสรู้สึกด้วยสัญชาตญาณว่าเวทมนตร์ของเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา
อาจจะแก่กล้ากว่าคนที่เธอพามาอย่างเซจาด้วยซ้ำไป
เจ้าของชื่อหรี่ตา “ก็มีอยู่วิธีหนึ่งอยู่นะขอรับ”
“รีบบอกมาซะเพราะข้าจะนอน”
มินเดรสเร่งอย่างหัวเสีย
เธออยากเอาเจ้าเด็กนี่ออกจากห้องตัวเองแทบแย่
ความเหนื่อยล้ารุมเร้าและเธอก็ไม่อยากเสียเวลาอีกแม้แต่นาทีเดียวในการนอน
ซึ่งชอว์ก็จัดเป็นอุปสรรคการนอนชั้นเยี่ยม
“ท่านก็รีบร้อน
ผมยังพูดไม่ทันจบเสียด้วยซ้ำ”
“ถ้าตอนนี้ข้ามีแรง
ข้าจะปามีดใส่หัวเจ้า” มินเดรสคำรามอย่างไม่ใส่ใจ
ล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างเกียจคร้าน ฝังหน้าลงบนหมอนจนเสียงท้ายประโยคฟังแล้วอู้อี้
“ท่านต้องสัญญากับผม
ว่าท่านจะทำทุกอย่างที่ผมต้องการ”
“ไร้สาระ”
เธอกล่าว คลี่ผ้าห่มลวกๆ
“ถ้าท่านต้องการนอนแบบไร้เสียงรบกวนจากผมตลอดคืนที่เหลือ
ท่านก็ควรจะฟังผม” ชอว์พูดอย่างเย่อหยิ่ง
“ข้าให้สัตย์สาบานต่อฟ้าและดิน
ข้าจะไม่มีวันไม่ทำตามคำร้องขอของสัตว์จำแลงนามว่า ชอว์ พอใจหรือยัง” มินเดรสเอ่ยเสียงเนือยๆ
“ผมปราถนาอิสระเสรี
เจ้านาย” ชอว์พึมพำด้วยความรำคาญไม่แพ้กัน
“เจ้าจะได้ตามนั้น
ไอ้เด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้า” มินเดรสชี้มือใส่หน้าชอว์ทั้งๆ
ที่ยังนอนคว่ำหน้า แล้วเสียงพูดก็หายไปเหลือแค่เสียงหายใจเบาๆเท่านั้น
วงแหวนรอบคอของชอว์คลายออกช้าๆ และแตกสลายไป
เขาเหยียดยิ้มและเอนตัวลงจากหน้าต่าง ร่างของเขาแหลกเป็นเม็ดทรายก่อนที่จะร่วงลงสู่พื้น
สายลมกรรโชกพัด เหล่าทรายรวมตัวและกลับเป็นร่างของสัตว์จำแลงหนุ่มน้อยอีกครั้ง
นัยน์ตาสีน้ำผึ้งของร่างที่ลอยอยู่กับสายลมเหม่อออกไปทางใต้ที่แสนไกลโพ้น
“วาร์เมีย
อยู่ที่นี่ ดูนางไว้” เขาพึมพำเป็นเชิงสั่ง “โคลดี้ ไปกับฉัน”
สายลมแยกเป็นสองทาง ทางหนึ่งพัดหวนกลับ
อีกทางโอบตัวของสัตว์จำแลงไว้และพาเขาออกร่อนเร่ไปในยามราตรีที่จันทร์เต็มดวงกระจ่างพร่างพราย
สู่จุดหมายที่ไกลลิบตา
ชอว์คำนึง ได้เวลาแล้ว… เจ้าหญิงคนนั้นกำลังจะไป
ความคิดเห็น