ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Road of Rose

    ลำดับตอนที่ #5 : องก์ที่ 1 Catch the Mist (หมอกลวงนฤมิต) บทที่ 3 หากข้าเป็นราชินี เจ้าคือจอมโจร (Rewrite)

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 59


     Talk a little bit...

    กลับมาเจอกันอีกแล้วนะครับ เอาของมาฝากเหมือนเดิม เต็มบทเลยทีเดียว

    หวังว่าทุกคนจะสนุกนะครับ กำลังรีไรท์ด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่สมองและเวลาจะเอื้ออำนวย

    ขอบคุณที่ติดตามมานะครับ (30-1-16)

    --------------------------------------------------




     

    หากข้าเป็นราชินี เจ้าก็คือจอมโจร

    III

     

    ลมที่ไล้หน้าของเจ้าหญิงผมแดงเริ่มราแรงเพราะเธอกระตุกเชือกรั้งให้ซิลเวอร์ค่อยๆ ชะลอความเร็วลง เจ้าม้าหนุ่มดูท่าจะรู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ มันทำตามเจ้านายโดยดีและส่งสัญญาณให้เพื่อนต่างสายพันธุ์ที่ทึ่มกว่าหน่อยให้ลดความเร็วการวิ่งลง ราอัล ลาบราดอร์สีครีมทำตามลูกพี่ของมันในทันทีโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ ในขณะเดียวกัน เจ้านายของพวกมันที่เป็นคนสั่งก็เงี่ยหูฟังเต็มที่โดยที่ไม่ได้หันหลังกลับไปยังทางลูกรังมืดมิดยามพลบค่ำ เพราะรู้ว่าจะทำให้คนที่ตามมาไหวตัวทัน

    มินเดรสลดมือขวาลงแล้วแตะด้ามกระบี่ประจำตัวอย่างระวังระไว โสตประสาทประมวลเสียงทั้งหมดที่ดังมาจากด้านกลังก็พอจะทราบได้ว่าคนที่ตามเธอมาเป็นกลุ่มคนประมาณ 3 คนตามมาด้วยม้าฝีเท้าหนักและขาเป๋อยู่ตัวหนึ่ง และจากท่าทางลับๆ ล่อๆ นั่นแล้ว ก็คงไม่พ้นอาชีพรีดค่าไถในบริเวณนี้แน่

    แต่ใครจะโง่ ปล่อยให้รีดไถล่ะ ถึงจะมีเงินท่วมหัว ชาตินี้ใช้ไม่หมดก็เหอะ มินเดรสคิดอย่างประชด เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อเรียกความมั่นใจของตนมา ประสาททั้งหมดถูกลับคมอย่างรวดเร็ว และเธอพร้อมจะรับมือกับพวกมันแล้ว

    พวกโจรรีดค่าไถเริ่มชักม้าให้เข้ามาหาเธอเร็วยิ่งขึ้น มินเดรสกระตุกยิ้ม เพียงชั่วขณะเดียว กระบี่สีทองก็เปลื้องออกจากฝักประดับอัญมณีของมัน ซิลเวอร์กลับหลังหันอย่างคล่องแคล่วจนไม่น่าเชื่อทำให้เจ้านายของมันเข้าประจันหน้ากับชายฉกรรจ์บนหลังม้าอีก 3 คนที่พุ่งเข้ามาหาเหยื่ออย่างเธอในทันที

    แต่อาจจะเป็นโชคร้ายของพวกโจรนั่นก็ได้ที่ดันเลือกเหยื่อไม่เข้าท่า เลือกผู้หญิงเดินทางคนไหนไม่เลือก ดันเลือกพรานสาวแห่งราชวงศ์กุหลาบเสียได้

    ดวงตาสีชมพูของเด็กสาวลุกโชติในความมืด ไวต่อแสงแม้เพียงเล็กน้อย จากแสงจันทร์เธอเห็นหน้าค่าตาพวกโจรทุกคน แต่เธอไม่สนใจ คนแรกโถมเข้ามาพร้อมม้าตัวใหญ่กว่าซิลเวอร์ ม้าหนุ่มถอยหลังหลบไปอีกทางทำให้ฝ่ายนั้นเสียหลัก และในช่วงเวลาที่โจรคนแรกวกกลับมาเมื่อวาดดาบใส่เธอนั้น มินเดรสก็อาศัยด้ามกระบี่กระแทกเข้าที่ท้องน้อยจนอีกฝ่ายจุกล้มจากหลังม้า ทำให้ม้าที่เขาบังคับอยู่เตลิดวิ่งออกไปทันที เจ้าหญิงผมแดงหันมองโจรที่เหลือด้วยสายตากระเหี้ยนกระหือรือพร้อมเหยียดยิ้มแสนกล

    วินาทีนั้นเองที่พวกโจรที่เหลือเริ่มรู้สึกตัวว่า พลาดอย่างใหญ่หลวง

    กลัวอะไรเล่ามินเดรสท้าทาย ชี้ปลายกระบี่ใส่หน้าโจรอีก 2 คนซึ่งร่างเล็กกว่าคนแรกและดูท่าจะเป็นลูกน้องของคนที่กำลังร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น เธอใช้มืออีกข้างตบถุงเงินที่เอวให้เกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊งข้ามีเงินเยอะนะ จะบอกให้ ไม่ขโมยข้าแล้วเจ้าจะเสียดาย

    พวกโจรที่ยังอยู่บนหลังม้ากลืนน้ำลายดังเอื้อก ผงกหัวอย่างรู้กันแล้วรีบกระตุกเชือกบังคับห้ม้ากลับตัวหนี  แต่เพียงชั่วพริบตา พวกเขาทั้งคู่รู้สึกเหมือนมีอะไรแลบผ่านแก้มของพวกเขาไป

    ฉึก! ฉึก!

    ประกายสีทองแลบอยู่ต้นไม้ตรงหน้าพวกเขา เลือดอุ่นๆ จากบาดแผลเฉี่ยวของมีดเล็กสีทองไหลอาบแก้มของพวกเขาทันที พวกเขาสั่นไหล่อย่างสยอง

    จะไปไหน เจ้าพวกโง่มินเดรสพูดเสียงปกติ แต่ทำให้ทั้งหมดหนาวสันหลังได้ไม่ยากมาทำให้อยากแล้วจากไปเนี่ยนะเอาน่า เล่นกับข้าสักตา ถ้าชนะก็เอาเงินถุงนั่นไปเลยก็ยังได้ จริงมั้ยเธอเชิญชวน ทว่าก็ปัดปลายกระบี่เล่มบางสีทองสวยมาแสดงท่าทีคุกคามยิ่งนัก

    และแล้วเหยื่อตัวน้อยที่กำลังจะถูกรุมก็กลับกลายเป็นนักล่าที่น่าสะพรึงยิ่งนัก

     

    เซจาแทบจะเร่งให้บรีย์วิ่งไม่ทันหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าและเสียงพูดคุยกันระหว่างที่งีบหลับ อันที่จริงก็เรียกว่างีบไม่ได้เพราะเขาเพิ่งจะหลับตาลงไม่ถึง 10 วินาที เขารูู้สึกว่าเจ้าหญิงไม่เพียงแต่เจ้าปัญหาแล้วยังเป็นตัวชักนำอันตรายอย่างร้ายกาจ เสียงของคนพวกนั้นก็คงเป็นพวกโจรแน่ เพราะคงไม่มีใครเขาพูดถึงการปล้นหรอกถ้ายังเป็นคนดีอยู่น่ะ

    การ์เดียนหนุ่มนึกเสียใจที่ไม่ทำเครื่องหมายเวทมนตร์ไว้บนตัวเจ้าหญิง เพราะถ้าทำอย่างนั้นแล้ว การตามหาตัวเธอก็จะง่ายขึ้น จนถึงขั้นหายตัวไปปรากฏตัวตรงหน้าเธอเลยก็ยังได้

    เร็วหน่อย บรีย์เขาบอกเจ้าม้าที่ควบอยู่ เขารู้สึกได้ถึงซี่โครงของมันและเสียงหัวใจที่เต้นรัว บอกชัดว่ามันเร่งสุดฝีเท้าแล้ว แต่ใจของเขาก็ยังคงร้อนรน จนไม่อาจชักช้าได้อีกสักวินาทีเดียว

    เขาเห็นเงาของคนบนหลังม้าโดดเดี่ยวอยู่ไม่ไกลนัก ผมยาวหยักเป็นลอนนั่นสะบัดไปกับลม แต่เขาไม่ได้กลิ่นคาวเลือด

    นายน้อย…” เซจาพึมพำเมื่อเห็นอีกฝ่ายชัดเจน เธอหันมาคนเรียกช้าๆ สีหน้าดูไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก

    ช้าเธอพูดคำเดียว

    ขออภัยครับเซจาก้มหัวพร้อมกับที่พูดไป สายตาเหลือบเห็นเธอควงมีดสั้นสีทองประดับเพชรชมพูนั้นไปมาอย่างหน่ายๆ เขาปรายตามองข้างล่างเห็นโจรสามคนนอนโอดครวญอยู่แทบเท้า หน้าช้ำเขียวม่วง เห็นได้ชัดว่านายน้อยของเขาปรานีพวกมันมากทีเดียวที่ไม่เล่นมีดจริงๆเพราะถ้าเธอไม่ใช้มือเปล่าละก็ ป่านนี้ พวกมันก็คงไม่มีชีวิตรอดถึงตอนที่เขามาถึงแน่

    กลับไปงีบซะ เจ้ามาก็ไม่ได้ช่วยอะไรข้าหรอกมินเดรสเหน็บ สะบัดหน้าหนี

    เซจาพ่นลมหายใจเฮือก เอียงคอถามก็ยังดีกว่าไม่ตามมาไม่ใช่เหรอครับ

    เด็กสาวหันกลับมามอง ค้อนขวับ เธอล้วงถุงเงินหยิบเอาเหรียญทองออกมาสามเหรียญ โยนให้พวกโจรที่นอนหมดฤทธิ์

    ถือซะว่าเป็นค่าเจ็บตัวเธอเอ่ยเสียงเฉยเมย แล้วบอกกับการ์เดียนหนุ่มเลิกทำตัวเป็นเด็กและไปกันได้แล้ว

    เซจายักไหล่เบาๆ ลับหลังเจ้าหญิง สวนในใจตอบกลับด้วยว่า อีกฝ่ายก็เอาแต่ใจเหมือนเด็กเหมือยกัน เขาขี่ม้าตามไป ยังนึกขำตัวเองไม่หายที่ตามมา ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายรับมือเองได้อยู่แล้ว

    แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่เหรอ ผู้หญิงคนเดียวแบบนั้น จิตสำนึกของเขาแก้ตัวขุ่นๆ แล้วถ้าเกิดอีกฝ่ายดันเป็นพ่อมดขึ้นมาล่ะ...

    เซจาส่ายหน้าให้กับความคิดของตัวเอง ดึงผ้าคลุมปิดหน้า เพราะเห็นกำแพงเมืองและแสงคบเพลิงอยู่ไม่ไกลแล้ว สังเกตท่าทางของเจ้านายเองไปด้วย เขาแปลกใจไม่น้อยที่เธอเลือกที่จะไม่ใช้อาวุธมีคมในการป้องกันตัวเอง เท่าที่เขาเห็นแผลพวกนั้นในความมืด ก็มีแค่รอยมีดเฉี่ยวเล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่แผลเท่านั้น นอกนั้นก็รอยฟกช้ำที่น่าจะเกิดจากหมัดและลูกเตะล้วนๆ ซึ่งคงจะหนักไม่ใช่เล่น แต่เขาก็ประหลาดใจนัก เขาคิดว่าเธอคงเลือกใช้มีดหรือกระบี่แล้วแท้ๆ ทำไมถึงไม่ใช้กันนะ

    พวกทหารนายทวารเมืองแปลกใจไม่น้อยที่เห็นแขกเดินทางมายามค่ำคืนเกือบเข้าวันใหม่แล้ว ที่สำคัญคือมากันเพียง 2 คน ฝ่าดงนอกเมืองเข้ามา และยังมีพายุทรายด้วย ผ่านกองโจรข้างนอกนั่นโดยไม่มีรอยขีดข่วนได้ก็นับว่าแปลกเหลือคณา เซจายื่นหนังสือขอผ่านเมืองให้พวกเขาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเปิดเผยตัวตนกับทางกรมเมืองของธาเนเดิร์น ซึ่งเขาใช้อยู่ประจำ โดยมันจะมีตราประทับของเมืองที่เขาสังกัดอยู่เพื่อเป็นการยืนยันตัวตนว่าเขามาดี นั่นก็เพราะเซจาจำเป็นต้องปกปิดหน้าตาระหว่างการทำงาน เพื่อไม่ให้ศัตรูจำได้และเข้าโจมตีเขา รวมทั้งเพื่อเอาสารสำคัญที่เขาทำหน้าที่ลักลอบเอามันไปได้โดยไม่มีใครรู้ เพียงแต่คราวนี้เขาไม่ได้ใช้ของบาทรีน่าพอร์ตแล้ว แต่เป็นของซีแลนเน่แทน

    และอย่างที่พวกเขารู้ดี การปรากฏตัวของรัชทายาทหญิงนอกเมืองแม่ไม่ใช่เรื่องตลก จะมีใครรู้ไม่ได้เรื่องที่เธอออกมาตามล่านักโทษกลับซีแลนเน่

    พูดแล้วก็ยิ่งสงสัยหนักกว่าเดิม ว่าราชาไดเซอร์ถึงเลือกที่จะใช้เจ้าหญิงมินเดรสออกมา ไม่ใช่คนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ก็มีทหารอยู่อีกมาก ขุนนางฝ่ายบู๊ที่มีทักษะและฝีมือสูงส่งก็มีเกลื่อนท้องพระโรง ทำไมถึงเลือกเจ้าหญิงคนนี้ออกมา เพราะเธอถือเป็นจุดอ่อนของราชวงศ์เลยด้วยซ้ำไป ต่อให้เธอป้องกันตัวเองได้ แต่มินเดรสก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ราชาไดเซอร์ก็ควรจะรู้ดีว่าศัตรูของซีแลนเน่ล้วนไม่ใช่มนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้แล้ว คนเป็นพ่ออย่างราชาไดเซอร์ยังจะปล่อยให้ธิดาของเขาออกมาเผชิญโลกกว้างนี่อีกหรือ

    เซจาจัดแจงหาที่พักในทันที เนื่องจากเห็นเจ้าหญิงเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง เธอแทบจะสลบอยู่คาคอกม้าระหว่างที่เอาซิลเวอร์และบรีย์ไปให้พนักงานดูแลม้าจัดการให้ เธอครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ด้วยซ้ำตอนที่ล้มตัวลงบนเตียงนอนของห้องตัวเอง ดีหน่อยที่ทั้งคู่มีเงินสำรองพอสมควรการแยกห้องพักจึงไม่ใช่ปัญหา เซจาไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องนี้ แต่ดูจากสายตาของคนในร้านเหล้าที่อยู่ข้างล่างโรงแรมตอนที่เขาพยุงเจ้าหญิงที่กำลังกรนคร่อกเหมือนหมีขึ้นไปชั้น 3 แล้ว พวกนั้นก็คงคิดว่า พวกเขาทั้งคู่คงเป็นคู่รักหรือไม่ก็สามีภรรยากันก็ได้

    แค่คิดว่าเป็นคนรักของเจ้าญิงก็แทบอ้วกแล้ว เซจาคิดพลางกลอกตา เขย่าแขนเจ้าหญิงบอกให้เธอไปเปลี่ยนชุด แต่ดูจากการไม่ตอบสนองและกลับไปกรนต่ออย่างไร้ความเป็นผู้หญิงนั้น เขาคงต้องบอกเธอใหม่พรุ่งนี้เช้าอย่างแน่นอน

    ชายหนุ่มเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง อาบน้ำและผลัดเสื้อผ้าแล้วรีบเข้านอนทันที

     

    มินเดรสตื่นขึ้นมาบนเตียงแข็งๆ คล้ายเตียงภาคสนามที่เธอเคยนอกตอนออกไปฝึกค่ายทหาร แต่ยังดีที่มีผ้าห่มผืนหนานุ่ม รอบกายไม่ค่อยคุ้นนัก เธอกวาดตาหานาฬิกา แทบอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเกือบ 11 นาฬิกาเช้า เจ้าหญิงคว้าย่าม ค้นเอาเสื้อผ้าออกมาแล้วรีบหาห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ แปรงฟันเร็วๆ เห็นสภาพตัวเองหน้ากระจกก็ยิ่งต้องตกใจเมื่อเห็นผมของตัวเองกลายเป็นสังกะตังไปเสียแล้ว อาจจะเป็นเดินทางฝ่าพายุทรายเมื่อคืนมาก็ได้ เนื่องจากด้านหลังภูเขาธาเนเดิร์นเป็นทะเลทรายสั้นๆ ทว่าอากาศแปรปรวนและมีพายุบ่อย เมื่อคืน เธอก็ติดกลางทะเลทรายกับเซจาก็เพราะพายุนั่นเกือบ 2 ชั่วโมง ทำให้เดินทางล่าช้าจนมาถึงที่นี่ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด

    ดังนั้นกว่าเธอจะจัดการสางผมตัวเองและสระจนมันกลับมาสะอาดดีก็ปาไปเกือบเที่ยง เนื่องจากใจคอไม่กล้าตัด กลัวว่าถ้ากลับวังไปแล้ว ท่านแม่เห็นคงจะกรี็ดวังแตกแน่หากเห็นเธอผมสั้นจนเหมือนผู้ชาย แต่มินเดรสก็อยากตัดจะแย่ จึงใช้กรรไกรเล็มปลายผมที่ยังขมวดเป็นปมตายออกเสียหน่อย

    เจ้าหญิงเก็บข้าวของให้เรียบร้อย แต่งตัวและลงไปข้างล่าง เธอเริ่มจำรายละเอียดเมื่อคืนด้บ้างแล้ว รู้แค่ว่าการ์เดียนผมเงินพาเธอมาที่นี่ เอาเธอวางไว้บนเตียงแล้วก็จากไป เขาเป็นคนติดต่อเรื่องราคาที่พักทั้งหมด

    ทิวาสวัสดิ์ครับ นายน้อยเสียงทุ้มนุ่มของคนที่อยู่ในห้วงความคิดของมินเดรสดังแทรกเข้ามา มินเดรสปรายตามองและเห็นอีกฝ่ายนั่งจิบชาอยู่ที่ระเบียงชั้นลอยของร้านน้ำชาโรงแรม สวมชุดสีดำแต่ไม่สวมผ้าคลุมแล้ว เขาเน้นคำว่าทิวามากเสียจน แค่ฟังผ่านๆ ก็รู้ว่าตำหนิที่เธอตื่นสาย แต่มินเดรสไม่แยแส เธอยักไหล่ นั่งลงตรงกันข้ามกับเขา ดึงเมนูมาดู

    โกโก้เย็นแก้วนึง กับข้าวผัดเนื้อรองเดีย 3 จานเธอสั่งบริกรแล้ววางเมนูกลับที่เดิม เซจาที่จิบชาอยู่แทบจะสำลัก มองอีกฝ่ายอย่างหวาดๆ และเห็นดวงตาคู่นั้นจ้องกลับมาอะไร ปกติข้าทานเยอะกว่านี้ด้วยซ้ำ

    ผมไม่เข้าใจว่านายน้อยหุ่น...ดีขนาดนี้ได้ยังไงเขาพึมพำ กวาดตามองเธอหัวจรดเท้า และใคร่ครวญอีกทีว่าควรจะเปลี่ยนจากคำว่าดีเป็นเอ็กซ์ดีไหม

    ดี น่ะถูกแล้ว เพราะถ้าเปลี่ยนคำละก็เขาคิดในใจ เหงื่อตกซิกทีเดียว

    เธอเบะปากข้าเป็นทหารคนหนึ่งนะ เผื่อเจ้าลืม

    คิ้วของเซจากระตุกเล็กๆข้อนั้นผมทราบ…”

    มินเดรสเคาะนิ้วลงกับโต๊ะออกไปข้างนอกกันมั้ย

    ทำไมครับ

    ออกเดินทางตอนนี้ ยังไงก็ไปถึงแลมเบียไม่ทันวันพรุ่งหรอกมินเดรสประมาณ เหม่อออกไปไกลเราต้องออกอย่างน้อย 8 โมงเช้า จึงไปถึงแลมเบียตอนเย็นๆ เพราะงั้น วันนี้ก็พักไปก็แล้วกัน

    อยากเที่ยวก็สารภาพมาเถอะครับเขาเหน็บแนม

    มินเดรสหรี่ตาถ้าในมือข้ามีแส้ ข้าคงจัดการเจ้าไปแล้ว

    ซึ่งตอนนี้นายน้อยไม่มีเซจาสวนกลับอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ข้าวผัดจานแรกพร้อมกับโกโก้ถูกวางลงตรงหน้าเจ้าหญิงแล้ว มินเดรสหยิบช้อนส้อมขึ้นมาเตรียมรับประทาน

    ฉึบ! วูบ

    เซจาจับส้อมที่ถูกปามาด้วยความเร็วสูงกลางอากาศด้วยใบหน้าสงบทว่าแท้จริงแล้วตกใจนัก ไม่คิดว่าคนปกติที่ไม่ใช้เวทมนตร์เร่งความเร็วจะปาของจนตาของเขามองไม่ทันได้

    เราอยู่ในโรงแรมนะครับ นายน้อยเขาปราม วางส้อมซึ่งเกือบแทงตาซ้ายของเขาลงที่จานของเจ้านาย นัยน์ตาของเธอไม่ปรากฏแววอันใดนอกจากความเย็นชา

    ข้าไม่ชักกระบี่ออกมาแทงเจ้ากลางตัวนั่นก็ดีเท่าไหร่แล้วมินเดรสกล่าวห้วนๆ ทานข้าวผัดต่อราวกับเมื่อครู่เธอไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น

    ท่านนี่มารยาทแย่ชะมัดเขาอุบอิบคนเดียว

    ข้าได้ยินนะเธอพูดเมื่อเคี้ยวเสร็จ จิบโกโก้ตาม เมื่อเซจามองตามก็อ้าปากเหวอเมื่อข้าวผัดจานแรกหมดลงในพริบตา มินเดรสหยิบจานใหม่มาทานต่ออย่างเงียบๆ และภายใน 5 นาที เธอก็จัดการมื้อเช้าเสร็จ เจ้าหญิงลุกขึ้นในเวลาอันรวดเร็วไปกันได้แล้ว ข้าอยากไปดูข้างนอกจะแย่

     

    เซจาร่ายเวทบิดเบือนสีผมและสีตาของเจ้าหญิงมินเดรสจนคนอื่นมองเห็นเป็นสีพื้นๆ ธรรมดาอย่างสีน้ำตาลดำไปเสียและปล่อยให้สาวเจ้าเดินเตร่ไปเรื่อย ตามร้านรวงต่างๆ อย่างที่เขาคาดการณ์ เธอเสียเวลาไปกับการดูอาวุธต่างๆ มากมาย และเจ้าของร้านก็แปลกใจไม่น้อยที่เห็นผู้หญิงเต็มตัวอย่างเจ้าหญิงถือดาบเซเบอร์ขนาดใหญ่ได้ด้วยมือข้างเดียว หรือแม้กระทั่ง ควงดาบเคลย์มอร์คู่อย่างคล่องแคล่วเสียจนพวกทหารที่กำลังดูอาวุธอยู่ยังอาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องผู้หญิคนนี้หรอก เพราะไม่ว่าใครก็คงไม่อยากถูกกระบี่เล่มยาวที่อยู่ข้างเอวหล่อนคนนั้นแทงทะลุอกแน่

    เสียดายความสวยที่มากับหน้าของหล่อนจริงๆ นั่นเป็นความคิดของใครหลายๆ คนที่เห็นหน้าสตรีผู้นั้น ซึ่งแน่นอนไม่มีใครคิดว่าเธออายุไม่ถึง 17 ปีด้วยซ้ำ ซึ่งเซจาเองก็คิดอยู่ว่าถ้าหากเขาไม่ทราบอายุแท้จริงของเจ้าหญิงมาก่อนละก็ คงเดาว่าเธออยุสัก 25 ปีเห็นจะได้ เนื่องจากเครื่องหน้าคมกล้า ผิวกร้านแดดหน่อยๆ รูปร่างมีทรวดทรงชัดเจนและออกจะกำยำสักเล็กน้อย ทำให้เธอดูไม่เหมือนเด็กสาวเลยสักนิดเดียว ยิ่งการแต่งตัวภายนอกที่แต่งเสื้อเชิ้ตมอมๆ กับกางเกงขี่ม้าและบู้ตครึ่งแข้ง พร้อมด้วยถุงมือหนัง สนับศอกและเข่าแล้ว ใครมันจะนึกล่ะว่าเธอเป็นถึงเจ้าหญิง ในเมื่อเจ้าหญิงแทบทุกอาณาจักรนั้น นอกจากจะมีผิวพรรณขาวผ่องเป็นยองใย สวมกระโปรงฟูฟ่อง ถุงมือซาตินและถือพัดราคาแพงระยับ บนศิระงามงอนมีมงกุฎงดงาม ทั้งยังกิริยายังงามมีจริต ไม่ใช่เดินดุ่มๆ ก้าวแข็งๆ อย่างวางท่าแบบที่มินเดรสทำแน่ ที่ยิ่งไปกว่านั้น คงไม่มีเจ้าหญิงคนไหนนอนกรนคร่อกแบบที่เธอทำเมื่อคืนแน่

    ยิ่งนึกก็ยิ่งตลกตัวเอง เซจาคิด เมื่อพิจารณาลูกสาวของนายเหนือหัวที่ตนดันมาตกกระไดพลอยโจนด้วย

    ทว่าจากการเดินไปทั่วแล้ว มินเดรสก็ไม่ได้สนใจจะเลือกอาวุธเพื่อซื้ออย่างจริงจัง

    ก็ข้ามีช่างหลวงที่โรงหล่อท้ายวังอยู่ทั้งคน เขาเป็นเอล์ฟเผ่าช่างอาวุธเชียวนะ ฝีมือดีกว่าคนที่ทำงานแบบนี้อยู่ละเธอตอบเมื่อได้ยินข้อสงสัยจากการ์เดียนหนุ่มและข้าก็ไม่เสียเวลากับงานหยาบๆ พวกนี้หรอก ของแบบนี้ ข้าใช้ไม่กี่ครั้งก็แหลกแล้ว ดูนี่ว่าพลาง เธอก็สาธิต โดยจ่ายเหรียญทองสำหรับค่ามีดสั้นเล่มหนึ่งไปและปามันใส่เป้าทดลอง พบว่าเป้าทะลุและมีดบินไปปะทะกระทะที่อยู่ข้างหลังและบิ่นโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องสงสัยว่ากระทะที่น่าสงสารนั้นจะเป็นอย่างไร...

    ก็ยุบไปแล้วสิถามได้

    เซจามองตามอย่างพรั่นพรึง และเดินตามเด็กสาวต้อยๆ เพื่อไปยังร้านต่อไป ท่ามกลางสายตาอีกหลายคู่ที่มองสาวเจ้าอย่างพิศวงกึ่งๆ ตกใจ แต่อย่างมินเดรสหรือจะสน ถ้าให้เขาทายนะ ต่อให้คนทั้งโลกมองเธออย่างรังเกียจแล้ว เธอก็คงไม่แยแสอยู่ดี และคงเดินสะบัดก้นจากไปแบบเชิดๆ ตามแบบของเธอนั่นแหล่ะ

    น่าแปลกใจที่คนอย่างมินเดรสกลับชะงักอยู่ที่ร้ายแผงลอยขายเครื่องประดับ เธอหยิบปิ่นปักผมสีเงินวาววับขึ้นมา มันประดับด้วยมุกสีแก่และซิทรินสีส้มไหม้เกรียม ลวดลายถูกกัดกรดและลงยาดำดูเก่าแก่อย่างน่าพิศวง

    เท่าไหร่ วานิชมินเดรสถามเจ้าของแผงลอยขณะที่ยังคงจับจ้องอยู่ที่ปิ่นอันนั้นไม่ขาดสายตา

    ตามแต่ท่านจะให้ราคา ราชินีผู้งดงาม

    มินเดรสตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินดังนั้นเจ้า?”

    ท่านมีแววของราชินีผู้สูงศักดิ์วานิชคนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบโรย ทว่าดูเป็นสุขนักข้าปราถนาที่จะมอบของชิ้นนี้ให้แด่รานีผู้ที่จะก้าวขึ้นครองโลกาโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ

    ข้าเป็นแค่คนธรรมดามินเดรสพูดเสียงเรียบเฉย เซจาที่กำลังสังเกตการณ์อยู่ขมวดคิ้วสงสัย

    ตัวท่านเองย่อมรู้ดีว่าตัวข้านั้นเอ่ยความจริงเท็จเช่นไร

    เขารู้ได้ยังไงกันว่าชื่อของเธอ มินเดรซ่า มาจากภาษาแองโดล - ไซร์ที่แปลว่า ราชินีแห่งหยาดเลือด?!

    ปากเจ้าช่างกล้านักมินเดรสพึมพำเดี๋ยวข้าก็ไม่ซื้อเสียหรอกนี่

    วานิชผู้นั้นหัวเราะขำ ไม่อายฟันเหลืองๆ ของตน นัยน์ตาพร่ามัวออกแกมเขียวเป็นประกายระยิบระยับ ผิวหนังยับย่นเมื่อเขายิ้มกว้างท่านจะไปแล้วหรือ

    ข้าพูดคำไหนคำนั้นมินเดรสเอ่ยพลางไหวไหล่ ก้าวเท้ากำลังจะออกไปจากบริเวณนั้น รวมทั้งวางปิ่นอันนั้นลงคืนที่เดิม

    เอาอย่างนี้สิ ท่านซื้อสิ่งนี้ไปด้วย น่าจะเข้าชุดกันดีอยู่นะ…” พ่อค้าวัยชราให้ข้อเสนออย่างรวดเร็วด้วยเกรงจะเสียลูกค้าไป เขายื่นหวีสับลายดอกกรองเซลซึ่งเป็นดอกไม้กลีบเดียวซึ่งทำจากเงินดุจเดียวกันแต่ประดับด้วยมรกตแทน

    ไม่เห็นจะเข้ากันสักนิด เจ้าแน่ใจหรือมินเดรสกอดอก พลางชั่งใจ นัยน์ตาวิบวับเจ้าเล่ห์นัก ทำให้คนสังเกตถึงกับส่ายหน้าเบาๆ

    ท่านรู้อยู่แก่ใจว่าใครคนใดเหมาะกับหวีสับนี้

    ข้ารู้มินเดรสพึมพำคนเดียว

    แน่นอนทว่าพ่อค้าคนนั้นก็สำทับตอบได้ มินเดรสตาลุกโพลงอย่างไม่เชื่อท่านรู้ว่าคนคนนั้นจะพอใจนัก ถ้าท่านนำสิ่งนี้ไปกำนัล

    แน่ล่ะ ก็นางชอบอะไรแบบนี้นี่…” มินเดรสลองหยั่งเชิง

    ข้านึกเสียว่าผู้ชาย

    เลอะเลือนแล้วตาแก่ มินเดรสคิด ผู้ชายบ้าที่ไหนเขาใช้หวีสับกัน แต่นั่นแหล่ะ จากที่เธอคิดว่าคนคนนี้ไม่น่าใช่คนธรรมดา ก็เป็นอันว่าเธอจินตนาการไปเอง ตลกสิ้นดี คิดว่าพ่อค้าสติไม่ดีแบบนี้จะเป็นผู้ใช้เวทมนตร์งั้นหรือ เจ้านอนมากไปแล้ว มินเดรสเอ๋

    อ้อต้องผู้หญิงต่างหากล่ะวานิชแก้เมื่อพูดขัดหูตัวเองเข้าข้าล้อเล่นน่ะ องค์ราชินี ข้าน่าจะรู้ว่าท่านมีรสนิยมทางเพศผิดแผก...

    มินเดรสคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำเหน็บแนมนั่น แต่เธอก็เก็บสีหน้าไว้ ไม่ปล่อยให้เซจาเห็นว่าเธอแสดงความรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้

    ของแบบนี้ไม่ใช่ของที่แผงลอยอย่างเจ้าจะเอามาขายได้มันแพงมากมินเดรสตีราคาอย่างหยั่งเชิงเพื่อจบประเด็นอันไม่น่าพิสมัยนั่น ทว่าก็ไม่มีเสียงแทรกจากพ่อค้าคนนั้นที่พยายามจะเสนอราคาให้ ซึ่งนั่นหมายถึงอะไรหลายๆ อย่าง เธอลองจี้จุดต่อไปหรือเจ้าขโมยมา…”

    จะว่านั้นก็คงได้

    มินเดรสและเซจาเลิกคิ้วพร้อมกัน แต่มินเดรสก็แยกเขี้ยวยิ้มได้ถ้างั้น เดี่ยวข้าก็คงได้รับข้อหารับซื้อของโจรงั้นสิ หากข้าไม่ปฏิเสธไปเสียก่อน

    วานิชผู้นั้นหัวเราะอีกแต่ท่านปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า ปิ่นอันนั้นดึงดูดท่านมากเกินไป

    ราชินีผู้งดงามแสยะยิ้มก็แหงล่ะ เจ้าเล่นวางมันยั่วข้าเสียขนาดนี้

    คนอย่างท่านไม่สนหรอกว่ามันจะถูกขโมยมาหรือไม่อย่างไรชายผู้นั้นกล่าวท่านสนแค่ว่ามันตกมาถึงมือท่านแล้ว และท่านไม่แยแสว่าใครจะมาชิงมันไป เพราะท่านจะแย่งมันกลับมาเอง ในเมื่อมันเป็นของท่านไปแล้ว ถูกหรือไม่ ราชินี

    มินเดรสหักนิ้วดังกร๊อบ แต่ก็ไม่อยากแสดงอารามตกใจไปมากกว่านี้ที่ถูกอ่านใจออก ทว่าอาการของเธอก็ปกปิดได้ไม่หมด ขนาดเซจาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ยังเห็นได้ไม่ยากแม้จะไม่สังเกตเลยก็ตาม

    รับไปเถิด ราชินีผู้งดงามเอย ข้าไม่คิดเงินท่านก็แล้วกันวานิชผู้นั้นยักไหล่ผอมๆ นั้นไปด้วย ใช้มือมอมแมมรวบเอาปิ่นปักและหวีบสับลงใส่ถุงผ้ากำมะหยี่สีแดงเสือดนกและปักลายเลื่อมสีทองให้ มินเดรสรับมันมาเรียกกระชากก็อาจจะตรงกว่า แล้วเดินอาดๆ จากไปในทันที เซจาส่ายหน้าพลางถอนหายใจอย่างเอือมๆ แต่ก่อนที่เขาจะก้าวเดิน ก็ได้ยินเสียงของวานิชผู้นั้นอีกครั้ง

    รอก่อน โจรผู้มีชะตาอันอาภัพ

    ท่านว่าผมเป็นโจรหรือเซจาหันกลับมาและขมวดคิ้วไม่แน่ใจว่าชายแก่คนนั้นเรียกตนหรือไม่ และเขาก็แน่ใจว่าทั้งชีวิตนี้ เขาไม่เคยประกอบอาชีพโจร อย่างมากก็แค่คนเดินสารที่ต้องเดินทางหลบๆ ซ่อนๆ ซึ่งก็ไม่น่าเข้าข่ายโจรอย่างที่คนนั้นว่าสักนิด

    แน่นอนวานิชเอ่ย หมุนตัวกลับไปค้นของในถุงของตนและหยิบสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งออกมา กลิ่นอายเวทมนตร์คลุ้งออกมาจากตัวมันอย่างรุนแรงจนเซจาตาเบิกโพลง

    ท่านมีของแบบนี้ได้อย่างไรกัน

    วานิชหัวเราะหึๆ ไม่ตอบคำถามนั้นแม้ว่าท่านจะเป็นโจร แต่ก็มีชะตาราชันย์ ท่านจะได้ข้องเกี่ยวกับสตรีสูงศักดิ์ถึง 3 คน ระวังให้ดี พวกนางนั้นอันตราย และคราวฆาตของท่านคาบเกี่ยวกับอิสตรีผู้ทรงมงกุฎ อย่าปล่อยให้พวกนางครองใจท่านได้ พลาดเพียงนิด ก็อาจเพลี่ยงพล้ำ…”

    เซจาขมวดคิ้ว

    มอบสร้อยเส้นนี้ให้แก่สตรีที่ท่านหวั่นไหว รักนั้นจะเสื่อมถอยและท่านจะปลอดภัยจากนางผู้นั้นอย่าลืมเสีย ความรักใคร่ไหลหลงจะนำท่านไปหาความตายแล้ววานิชก็วางสร้อยทองคำร้อยด้วยทับทิบสามสีลงในมือขาวนวลของเซจา

    ตรองให้รอบคอบ ชีวิตท่านยังเหลืออีกมาก อย่าให้ใครคนใดมาริดรอนเอาเสียได้ ท่านโจรผู้อาภัพเขาเอ่ย

    เซจามองสร้อยในมืออย่างพิศวงแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แผงลอยและพ่อค้าคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว!

     

    ช้ามินเดรสเกือบจะแหวใส่คนที่ตามหลังมา เซจาหน้าเบี้ยว อยากสาดคำพูดแรงๆ กลับบ้างแต่ก็ยังไม่กล้าพอเจ้าปล่อยให้ข้ารอจนเป็นตะคริวอยู่ตรงนี้เนี่ยนะ ให้ตายเถอะ…”

    และก็บลาๆ อีกยาวเหยียดที่เซจาไม่ใส่ใจจะฟัง เขารู้แล้วว่ามีอย่างเดียวที่ทำให้คนตรงหน้าดูเหมือนผู้หญิง ก็คือความขี้บ่นของเธอนี่แหล่ะ ตัวดีเลยเชียว บ่นได้บ่นดีนัก จนบางที เขาก็อยากตัดหูตัวเองทิ้งเสีย จะไม่ได้ต้องได้ยินผู้หญิงคนไหนบ่นอีก

    ผู้หญิงนี่ขี้บ่นกันทั้งโลกหรือไงนะเขาตั้งคำถามเบาๆ กึ่งประชด แต่มินเดรสที่มั่วแต่บ่นก็ไม่ทันได้ฟัง ซึ่งเขาดีใจอย่างยิ่งที่เธอไม่ได้ยิน เพราะเกรงว่าเธอจะทำอะไรที่เลวร้ายกับเขาอีกเป็นแน่หากรู้เข้าละก็นะ

    ขอเถอะ แค่รอยเฆี่ยนที่หลังของเขาก็ยังแสบไม่หายเลย

    กว่าทั้งคู่จะเดินรอบๆ เมืองธาเนเดิร์นจนทั่วแล้วก็พลบค่ำ ด้วยว่าเป็นเมืองขนาดเล็กในการปกครองของแคมโบร นครเหนือแห่งมนตรา ซึ่งเป็นเมืองที่มีพ่อมดและอยู่ใกล้ซีแลนเน่มากที่สุด นับเป็นเขตกันชนใหญ่ระหว่างมนุษย์และผู้ใช้เวทมนตร์ ทำให้มีพ่อมดเดินขวักไขว่ มินเดรสตื่นตาตื่นใจกับพวกเขามาก ทั้งไม้กายสิทธิ์ ขวดคริสตัลยาบรรจุยาหลากสี หม้อยาที่มีน้ำเดือดปุดๆ บ้างก็มีตาสัตว์ลอยไปมา ปีกแมลงหรือกระทั่งขากบ หนังสือแปลกๆ ที่เขียนด้วยมนตร์ดำ การดวลไม้กายสิทธิ์ที่มีกันอยู่เกลื่อนถนนที่ปล่อยให้พ่อมดแม่มดคู่หนึ่งมาประลองกันเพื่อหาผู้ชนะ ซึ่งก็มักมาพร้อมกับการพนันขันต่อว่าใครจะชนะ และมินเดรสก็คงจะเข้าร่วมวงแล้ว หากไม่มีเซจามาห้ามไว้เสียก่อน

    สาวเจ้าพาลหงุดหงิดไปตลอดเย็น ไม่ชวนอีกฝ่ายคุยจ้ออีก และเมื่อกลับมาถึงโรงแรม ก็นั่งผลุบลงที่บาร์เบียร์ และสั่งเบียร์สดมาดื่มเลยทันทีแบบไม่เกรงใจผู้ร่วมทางอีกคนเลย

    นายน้อยครับ…” เซจาปรามนายน้อยไม่ควรดวดเบียร์ตอนนี้ถ้าพรุ่งนี้เมาค้างละก็ เราจะเดินทางไม่ไหวนะครับ

    ระดับข้าแล้ว ยังเมาค้างอีกก็แย่ละมินเดรสสวนกลับไป หมุนเก้าอี้สตูลมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายหรือเจ้าเมาง่ายนักจนพาลมาห่วงข้า?”

    ตลกแล้วครับการ์เดียนย่นจมูกอย่างไม่พอใจที่ถูกสบประมาทอย่างนั้น เขาถอยออกมาเล็กน้อย นึกตำหนิในใจว่าอีกฝ่ายก็พาลใส่เขาเหมือนกัน

    หนีหรือมินเดรสหยอก คว้าเบียร์แก้วโตจากบาร์เทนเดอร์สาวสวยอึ๋มมายกซดเสียอึกใหญ่

    ผมเปล่าเซจาสวนกลับไป หน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย เพราะอีกฝ่ายพูดเสียงดังจนทั้งบาร์หันมองเขา และก็เริ่มได้ยินเสียงซุบซิบ

    มินเดรสกระตุกยิ้มยั่วไม่เอาน่า มาดวดเบียร์เป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ หรือเจ้าคออ่อนกันล่ะ พ่อหนุ่มหน้าหวาน…”

    ผมไม่ได้คออ่อนเซจาเถียงคำพูดนั้นด้วยใบหน้าแดงจัด

    เวลาเจ้าโกรธนี่น่ารักดีนะ หูแดงด้วยเจ้าหญิงพึมพำ ซดเบียร์ต่อทว่านัยน์ตาสีชมพูยังคงสบจ้องไม่วางตา รอยยิ้มกรุ้มกริ่มและวาจาแทะโลมแบบนั้นทำให้เซจายิ่งหน้าแดงเข้าไปอีก ไม่ว่าจะเพราะอายหรือโกรธจนหน้ามืดไปแล้วก็ตาม เขาก็กระแทกก้นลงนั่งที่สตูลข้างๆ เจ้าหญิงทันที และสั่งบาร์เทนเดอร์หญิงให้เอาเบียร์มาเพิ่มด้วย

    ท่านท้าผมเองนะเซจากระซิบเหมือนแมวกับขู่ฟ่อๆ ดูน่ารักไปอีกแบบ ที่เห็นแล้วมินเดรสก็ยิ่งขำหนักไปอีก เซจาเห็นแล้วยิ่งหน้าร้อนท่าน!

    ไม่เอาน่ามินเดรสยักไหล่ ดื่มเบียร์อีกตะโกนไปทำไมกัน เสียดายเสียงหวานๆ ของเจ้าจะแย่ เก็บไว้ครางมันจะเพราะกว่าเยอะนะ

    เซจาเบิกตากว้างพร้อมกระซิบเสียงเบาหวิวผมเป็นผู้ชายนะ

    เจ้าหญิงยิ้มและเอียงคอมองเขาด้วยสายตายั่วยวนที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นแล้วข้าบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าข้าไม่นิยมชมชอบเพศตรงข้ามน่ะหืม

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอยากบีบคอมินเดรส เขาถลึงตาใส่เธอจนแทบถลนออกมานอกเบ้า

    ดูทำสิมินเดรสชี้หน้าเขาแล้วหัวเราะเอิ้กอ้ากเอาเถอะน่าข้าแค่ล้อเล่น ใครมันจะสนทหารแบบเจ้ากันล่ะ จริงไหมว่าพลางเธอก็ดีดหน้าผากเขาดังป๊อก เซจารีบกุมหน้าผากที่โดนนิ้วพิฆาตนั้นอย่างเจ็บปวด

    ใช่สิ ผมมันแค่ทหารหางแถว ท่านจะดูถูกอะไรยังไงก็ได้นี่เขาสวน

    มินเดรสชะงักมือที่ดื่มเบียร์ลง เธอเบือนหน้าหนีหรือเจ้าจะปฏิเสธกันล่ะ

    จริงอยู่ที่ฐานันดรของเราแตกต่างกัน แต่เราก็เป็นชนผู้มีอารยธรรมเหมือนกัน ท่านมีความคิด ผมก็มีความคิด และท่านก็ไม่มีสิทธิ์ดูถูกความคิดหรือการกระทำของผม

    เจ้าหญิงเงียบไป เบียร์ทำให้สมองของเธอแล่นช้าลงและมีเวลาตริตรองอะไรมากขึ้น

    ผมไม่ได้หมายความถึงเรื่องระหว่างชนชั้นอย่างเดียว แต่ผมกำลังเอ่ยถึงทัศนคติที่ท่านมีต่อคนปลายแถวอย่างพวกผมด้วย…” เซจาเค้นพูดเสียงแข็ง ซดเบียร์เข้าไปคำโต หลอดอาหารของเขาร้อนฉ่าและรสชาติมันฝาดเฝื่อนจนเขาอยากบ้วนทิ้ง

    ข้ารู้มินเดรสพูดเสียงเบาลงข้าผิดเองขอโทษแล้วกันหากข้าล่วงเกินอะไรเจ้า

    เซจาเลิกคิ้วอย่างไม่คาดฝันว่าจะได้ยินคำคำนี้หลุดออกจากปากของเจ้าหล่อน ใจจริงอยากถามซ้ำอีกครั้งว่าเขาได้ยินไม่ผิดจริงๆ แต่ก็เกรงว่าจะให้คนมีทิฐิมานะสูงเช่นนั้นต้องพูดใหม่ก็คงกระดากปากเป็นแน่

    ข้าขอโทษ ได้ยินชัดมั้ยมินเดรสยืนยัน หันกลับมาสบตาเขาดังเดิม เซจาหน้าซับสีเลือดไม่รู้ตัว หัวใจเต้นแรงอย่างประหลาด

    ทะ...ท่านเซจาอึกอัก มองอีกฝ่ายที่ยกแก้วเบียร์ของตนขึ้น

    ชนเธอพูด กระแทกแก้วเบียร์ของเธอกับของเขาแด่ความโง่เขลาของคนหยิ่งทะนง

    เซจาดื่มตามเธออย่างเก้ๆ กังๆ สังเกตเธอไปด้วยเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่า สิ่งที่เธอพูดอยู่ตอนนี้มันมาจากใจจริงหรืออะไรกันแน่

    แข่งดวดเบียร์กันหน่อยไหมเธอชวนฉันเพื่อนพิสูจน์ให้ข้าเห็นหน่อยสิ ว่าเจ้าไม่ได้คออ่อนอย่างที่ข้าปรามาสไว้

    ถ้าไม่มีประโยคหลังละก็ เซจาก็เกือบจะทำตามอยู่แล้ว แต่ตะหงิดใจเหลือเกินกับคำพูดนั้น แต่รู้อยู่เต็มอกว่าถ้าเธอไม่พูดออกมา เขาก็คงต้องสงสัยแล้วล่ะว่า คนตรงหน้าใช่มินเดรสตัวจริงหรือไม่ เพราะมินเดรสที่เขารู้จักมาตลอด 3 วัน 2 คืนน่ะ ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้โอกาสจิกกัดหลุดมือไปหรอก

    ท่านท้าเองนะเซจายักไหล่ ยกเบียร์ขึ้นซดแล้วก็บ่นเบาๆพรุ่งนงพรุ่งนี้คงไม่ต้องเดินทางกันละ

    มินเดรสยิ้มร่า ชนแก้วเบียร์อีกรอบข้าว่าพรุ่งนี้จิ๊บๆ น่า

    เซจายิ้มตามบางๆ และเอ่ยด้วยเสียงที่เบาแสนเบา จนเสียงเอะอะในบาร์กลบจนหมดท่านนี่ก็แปลกดีนะครับ นายน้อย…”

     





     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×