คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : องก์ที่ 1 Catch the Mist (หมอกลวงนฤมิต) บทที่ 2 เมื่อแรกเริ่มเดินทาง (Rewrite)
Talk a
Little Bit.
หลังจากที่ผมหายตัวไปนานแสนนาน... ผมก็กลับมาพร้อมบทรีไรท์บทที่ 2 ซึ่งผมผิดไปแล้วครับทุกท่านนนน
ละผมก็ไม่มีข้อแก้ตัว เป็นความขี้เกียจของผมล้วนๆ (และตันด้วยเช่นกัน)
นักอ่านที่เคยอ่านอันเก่าของผม ได้โปรดอย่าตกใจไปนะครับ
ว่าทำไมตัวละครนิสัยพีคกว่าเดิม ^^
ที่ผมเขียนอยู่นี้ไร้ซึ่งสต็อกเลยนะครับ ปกติผมจะมีสต็อกนิยายไว้ 2-3 บท
ไว้ลงกันนิยายขาดตอน แต่ตอนนี้เกิดอาการตันรุนแรงมากและองก์ที่ 3 ที่เขียนไว้ก็ไม่โอเคเลย
ดังนั้น ช่วงนี้ นิยายก็จะติดขัดสักเล็กน้อย น่ารำคาญและเอาแต่ใจตัวเองสักหน่อย
แต่ผมสัญญาว่าหลังจากช่วงมีนาฯ ที่ผมปิดเทอมแล้ว อะไรๆ มันจะดีขึ้นครับ
แล้วพบกันนะครับ (22-1-16)
--------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อแรกเริ่มเดินทาง
II
“ข้าว่าเจ้าควรจะลงเดินนะ
การ์เดียน” ร่างใต้ผ้าคลุมสีหม่นพูดเมื่อเห็นอีกฝ่ายวุ่นกับการบังคับม้าหลบคนเดินถนนซึ่งขวักไขว่นักตรงใจกลางเมืองซึ่งก็คือ
จัตุรัสแห่งความรู้แจ้ง ผู้สวมชุดมิดชิดเหลือเพียงดวงตาสีหมึกทั้งสองถอนหายใจยอมแพ้และลงจากหลังบรีย์ในที่สุด
“ซีแลนเน่ไม่ใช่เมืองม้าเดิน”
มินเดรสพูดและเสริมเบาๆ “ทางมันชัน
ถ้าจะใช้รถม้า ก็ใช้ได้แค่ย่านพาณิชย์ที่อยู่ต่ำลงไปอีกเท่านั้นแหล่ะ...”
แต่ไม่ทันที่เจ้าหญิงจะได้พูดอะไรอีก
ข้อมือของเธอก็ถูดเซจาคว้าหมับแล้วกระชากหนีเข้าไปในซอกซอยมืดทึบ เป็นเวลาสั้นๆ
ที่เธอเห็นเขาใช้ยันต์สีม่วงอ่อนออกมาร่ายเวทแล้วทุกคนก็หายวับไปจากตรงนั้น
แล้วไปปรากฏอยู่ริมปราการชั้นนอกซึ่งล้อมภูเขาซีแลนเน่ไว้
มินเดรสหันไปมองเซจาตาขวาง “เจ้า!”
“เพื่อความรวดเร็วน่ะครับ
นายท่าน ผมไม่ชอบการเดินเอ้อระเหยอยู่ในนั้นพร้อมจูงม้าตัวใหญ่ไปด้วย 2 ตัว” เขาอธิบาย
เท้าเหยียบโกลนขึ้นขี่ม้าของตนอีกครั้ง “ท่านก็เห็น
ในนั้นเบียดเสียดกันจะแย่”
มินเดรสบดกรามดังกรอดเพราะรู้ว่าตัวเองเถียงไม่ขึ้น เขาพูดถูกจริง
เธอยอมขึ้นขี่ซิลเวอร์ม้าคู่ใจแล้วควบม้าเดินเหยาะๆ ตามไป ราอัลวิ่งตามเจ้านายไม่ห่าง
ดวงตารูปอัลมอนด์มีประกายระริกระรี้เหมือนว่ากำลังตื่นเต้นกับการออกมาไกลจากกำแพงเมืองเกินกว่า
50 ไมล์ครั้งแรก
มินเดรสเองก็เช่นกัน
ตั้งแต่จำความได้ มินเดรสไม่เคยออกไปนอกเมืองได้ไกลๆ อย่างแท้จริง
ยิ่งค้างนอกเมืองก็ยิ่งไม่เคย อย่างมากก็แค่ซุกหัวนอนในโรงแรมโกโรโกโสย่านตะวันออกเฉียงใต้เนื่องจากง่วงหนักและเมาเบียร์จนขี่ม้ากลับวังไม่ไหวเท่านั้นเอง
ภาพเมืองซีแลนเน่จากที่ราบช่างดูแปลกประหลาดและห่างไกลทว่าก็ทำให้เธออมยิ้มที่มุมปากได้แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
ภูเขาซีแลนเน่ที่ถูกปกคลุมด้วยมหานครมหึมาซึ่งล้อด้วยกำแพงหินสูงเท่าตึก
5 ชั้น
เป็นเพียงจุดเล็กๆ ของที่สูงไบรเทีย อันประกอบด้วยเทือกเขา 3 แนวแยกเหนือ ใต้และตะวันตกเฉียงใต้
ซึ่งจุดเริ่มต้นของเทือกเขาไบรตัสซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดและตั้งอยู่ทางหรดีนั้นก็คือซีแลนเน่
ซึ่งนั่นทำให้มหานครแห่งนี้ได้เปรียบทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่งเพราะด้านหลังก็เป็นภูเขา
ด้านหน้าก็มีแม่น้ำซีแลนเน่กั้นกลาง
ขนาบข้างด้วยไบรตัสและนีเดนตีซึ่งเป็นอีกเทือกเขาที่สูงกว่าไบรตัสมากพอดู
และเมื่อข้ามเทือกเขานีเดนตีไปก็คือทะเลทรายมาโดเซีย
ซึ่งเป็นดินแดนรกร้างไร้ผู้อยู่อาศัย ว่ากันว่าเทือกเขานีเดนตีนั้นอันตรายมาก
พรานที่เคยเข้าไปล่าสัตว์แถวนั้นกลับมาสติไม่เคยสมประกอบ แต่อย่างว่าล่ะ
ที่นั่นไกลเกินไป มินเดรสเลยไม่มีโอกาสได้เข้าไปลองดีสักที
“เจ้าคิดจะไปทางไหน”
มินเดรสถามคนที่ขี่ม้าตามหลังอยู่เล็กน้อย
เขาเงียบเพื่อครุ่นคิดขณะหนึ่ง “ถ้าเป็นผม
ผมจะข้ามไบรตัสไปทางตะวันตก”
“น่าสนนี่
ทำไมล่ะ” มินเดรสเลิกคิ้วอย่างตั้งใจฟัง “ตามหลักแล้ว ถ้าคิดจะทำเวลา การตัดตรงลงไปตามแอ่งที่ราบ
ผ่านซูเลนโทเรียและคลิเบอรีน่าจะเร็วกว่าไม่ใช่เหรอ”
“นายท่าน…”
“ข้ายังไม่แก่
ไอ้เบื้อก” มินเดรสแทรก
ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้สวมผ้าปิดหน้า ก็คงเห็นเขาทำหน้าหงุดหงิด
แต่โชคดีที่ไม่ เพราะถ้าอีกฝ่ายเห็น คงไม่จืดแน่ “นายน้อย?”
“เข้าท่านะ”
มินเดรสยักไหล่ “ว่าต่อสิ”
“ผมเชื่อว่าท่านสนใจในเวทมนตร์ไม่น้อย”
“ถูก”
เธอตอบ
“เมื่อรอบๆ
อ่าวราธต่างก็เป็นเมืองที่มีผู้ใช้เวทมนตร์มากมาย
ต่างกันกับซีแลนเน่ที่ต่อต้านการใช้เวทมนตร์อย่างบ้าระห่ำมาตลอดศตวรรษ
ท่านย่อมต้องอยากไปเยือนเมืองพวกนั้นด้วยอยู่แล้ว ถูกต้องไหมครับ นายน้อย”
“ตอบได้ถูกใจข้าดี”
เจ้าหญิงหัวเราะหึๆ
“นอกจากนี้
แลมเบียก็ยังเป็นเมืองแห่งสรรพาวุธ ท่านน่าจะถูกใจไม่น้อยในเมื่อท่านก็เป็นนักสู้คนหนึ่ง”
เซจาเสริมอย่างหลักแหลม “นอกจากนี้
แลมเบียก็ยังเป็นเมืองพำนักของเจ้าหญิงเคลาเลน่า สหายวัยเยาว์ของท่าน ผมคิดว่า
‘นายน้อย’ น่าจะคิดถึงเจ้าหญิงองค์นั้นบ้าง...”
“เจ้ารู้ดีกว่าที่ข้าคิด”
มินเดรสเหลือบมองมาทางด้านหลังขณะที่ตั้งข้อสังเกต “เป็นการ์เดียนของพ่อข้าต้องรู้มากขนาดนั้นเลยเหรอ”
เซจาหลุบสายตาลงเพราะเกรงว่าการสบสายตาเธอตรงๆ
ทำให้นายน้อยของเขาไม่พอใจ “ไม่จำเป็นหรอกครับ แค่รู้ไว้บ้าง ประดับสมอง”
“ข้าแปลกใจที่เจ้าบอกว่าเจ้ามาจากบาทรีน่าพอร์ต
ปกติการ์เดียนของพ่อข้าแทบทุกตนจะถูกดองอยู่ในโหลแก้วในวังอาราเลนไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่สำหรับผมครับ
ผมได้รับสิทธิพิเศษให้อยู่ไกลสายตาของเหนือหัวได้
อย่างไรก็ตามก็ยังมีสายลับที่ผมไม่ทราบว่าเป็นใครคอยจับตาอยู่ทุกฝีก้าวเพราะเกรงว่าผมจะหักหลังเอาน่ะสิครับ”
เซจาเอ่ย น้ำเสียงมีความเสียดสีปะปนอยู่อย่างน่าขัน จนธิดาของเหนือหัวผู้ถูกพาดพิงองค์นั้นถึงกับขำคิกคัก
“เจ้าคือการ์เดียนตนที่
15 อย่างนั้นสิ” มินเดรสซัก
เพราะยังจำตำหนักแห่งกษัตริย์ ณ วังใต้ดินอาราเลนได้แม่นยำ
ที่นั่นมีโหลแก้วทรงกระบอกสูงท่วมหัวอยู่ 14 ใบ บรรจุร่างของสัตว์ประหลาดประเภทต่างๆ
หลายชนิดที่กำลังตกอยู่ในห้วงนิทรา
ทุกตัวล้วนสวมสายโซ่ทองคำหนาหนักอันเป็นคำปฏิญาณต่อเหนือหัวว่าจะภักดีตราบชีวิตจะหาไม่
“ถูกครับ”
“และนายมีร่างเป็นเสือดำ”
เซจาพยักหน้าตอบขณะที่ยกมือที่สวมสร้อยโซ่ทองคำแท้ขึ้นมา “ส่วนนี่
ก็คือสร้อยปฏิญาณของผม”
เจ้าหญิงผมแดงเดาะลิ้นเบาๆ “บางทีข้าก็ไม่เข้าใจนะ ทั้งๆ
ที่การ์เดียนจริงๆ แล้วก็คือผู้ใช้เวทมนตร์ที่มีร่างไม่สมประกอบอยู่แล้ว
ท่านพ่อที่เป็นถึงราชาของเมืองที่ต่อต้านเวทมนตร์ทำไมถึงมีการ์เดียนอยู่ในครอบครองเยอะขนาดนี้”
“อาจจะเป็นเหตุผลเดียวกับที่ท่านซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดามีและใช้อุปกรณ์เวทมนตร์บางอย่างได้เหมือนกันนั่นแหล่ะครับ”
“ยอกย้อนข้า?”
มินเดรสขึ้นเสียงสูง นัยน์ตาหรี่ลงและสยายยิ้มเย็น
“ขอประทานโทษครับ
หากนั่นทำให้นายน้อยขุ่นเคือง”
“ข้าน่ะเคืองแน่
ไม่ต้องห่วงหรอก” เธอเอ่ยช้าๆ
เหมือนจะสกัดความโกรธของตัวเองไว้ชั่วคราว “คราวนี้ ข้ายกให้
คราวหน้าละก็ เจ้าไม่ตายดีแน่”
“เกรงว่าคงจะทำไม่ได้
เพราะเหนือหัวก็ดูคุณอยู่ผ่านตาของผม” พูดพลางเขาก็ชี้ตาดวงเองประกอบไปด้วย
“อย่างว่า การ์เดียนไม่ได้มีไว้แค่เป็นตัวตายตัวแทน
หรือหุ่นเชิดที่คอยรับคำสั่ง
ประสาทสัมผัสของผมถูกเชื่อมเข้ากับเจ้านายได้ทุกเวลาหากเขาหรือเธอต้องการ”
“น่าสนุกดีนะ”
เด็กสาวพึมพำ โคลงศีรษะไปมา
อีกฝ่ายกลอกตาเร็วๆ เขาขัด “แต่ถ้าตัวนายน้อยเป็นการ์เดียนเสียเองละก็…”
“ข้ารู้…
มันไม่สนุกหรอก”
เซจาเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบที่คาดไม่ถึงหลุดออกจากปากของเจ้าหล่อน
สงสัยเขาคงต้องมองเธอใหม่เสียแล้วสิ
“ทำไมนายน้อยถึงปามีดใส่แม่นมของท่านล่ะครับ”
เขาถามบ้าง
“หึ”
เธอแค่นหัวเราะในลำคอ “ข้าดูออกว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ชอบการโจมตี
พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้ามันใจเสาะ”
รูม่านตาของเขาขยายกว้างและตัวเกร็งทื่อ
“ใครๆ
ก็ดูออก ผู้เดินสารดำ” เจ้าหญิงกล่าว “ข้าไม่สงสัยเลยว่าทำไมเจ้าถึงเป็นได้แค่ผู้เดินสาร ทั้งๆ ที่ฝีมือระดับนี้
ก็พอจะเทียบกับพวกองครักษ์ระดับสูงในกรมข้าได้อยู่แล้วแท้ๆ ถ้าเจ้ากล้ากว่านี้…
ทำไมล่ะ กลัวเลือดหรือไง”
“เปล่าครับ”
“ถ้าอย่างนั้น
ทำไมล่ะ” มินเดรสมองอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มแสนกล กระตุกบังเหียนให้ซิลเวอร์เดินช้าลงอีกนิด
จนบรีย์แทบจะตีเสมอ
“ผมไม่ได้อำมหิตเหมือนท่าน”
เขาหันมาตอบ นัยน์ตาดุกร้าวในทันที
มินเดรสหัวเราะลั่นป่า นัยน์ตาเหยียดและท้าทายอย่างยิ่ง
“คนที่กล้าหันอาวุธใส่คนที่รักและเคารพแบบท่านน่ะไม่จัดว่ามีศีลธรรม”
เซจาเอ่ยเสียงดุดัน ยิ่งเคืองเมื่อเห็นอีกฝ่ายหัวเราะไม่หยุด
มุมปากของเจ้าหญิงยกสูงจนเหมือนรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว เธอไม่ตอบโต้
“ไม่พูดอะไรสักหน่อยเหรอครับ
นายน้อย”
เจ้าหญิงมองเขาด้วยสายตาที่เขาไม่ชอบ คือ
มองเหมือนว่าเขาเป็นแค่คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก่อนจะตอบเป็นคำถามว่า “แล้วมันจำเป็นเหรอ”
เซจากัดฟัน จ้องอีกฝ่ายที่เบือนหน้ากลับไปมองทางข้างหน้าเหมือนเดิม
เขากระแนะกระแหน “บางทีผมก็สงสัยนะว่าท่านมีหัวใจหรือเปล่า… หรือท่านขายมันให้ปีศาจไปแล้วล่ะ”
แต่ทว่าเขาก็ตระหนักได้ว่าเธอไม่สนใจคำพูดของเขาสักนิดเดียว
นัยน์ตานั่นบอกชัดว่าเขาเป็นได้แค่ขี้ฝุ่นที่เธอไม่คิดสนใจเลย
เจ้าหญิงมินเดรสปล่อยให้คำพูดเสียดสีของเขาลอยไปกับลม ไม่แยแสอะไรสักนิด!
นี่เขากำลังเจอคนประเภทไหนกันแน่นะ
ตามคำแนะนำของชายหนุ่ม ทั้งคู่ขี่ม้าข้ามเทือกเขาไบรตัสไป
ผ่านชะง่อนผาสูงชัน ทะลุป่าดิบรกชัฏและทุ่งหญ้าเสตปป์สั้นๆ สูงถึงเอวจนดวงจันทร์เกือบชี้ตรงศีรษะจึงหยุดพัก
เซจารับหน้าที่เสกดวงไฟสีเหลืองนวลตาเพื่อนำทาง
ซึ่งถ้าหากปราศจากไฟเวทมนตร์ดวงนั้น พวกเขาก็คงไม่เห็นเส้นทางเลย
เพราะเทือกเขานี้อยู่ในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติของซีแลนเน่
ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาทำที่พักอาศัยโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งการผ่านเข้ามาของเจ้าหญิงก็ต้องรีบเร่งที่สุด
เพื่อไม่ให้ปะทะกับเจ้าหน้าที่อุทยานเข้าเสียก่อน
เซจาเหลือบสายตาขึ้นมองธิดาของเหนือหัวอย่างพินิจพิเคราะห์
ในขณะเดียวกัน
เจ้าหญิงก็จ้องตอบอย่างไม่กลัวเกรงพร้อมกับดื่มน้ำผึ้งป่าที่เก็บมาได้ไปด้วย
ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงอย่างระแวงระวัง
ราวกับว่าการนอนหลับไปจะทำให้ทั้งคู่พลาดท่าเสียทีให้อีกฝ่ายได้
ผ่านกองไฟที่ลุกคุและเกิดแสงสลัวๆ พอให้มองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้บ้าง
แต่เซจาก็ยังคงสวมผ้าคลุมอยู่
ทำให้เห็นเพียงดวงตากับเส้นผมสีเงินวาววับเหมือนโลหะของเขา
การ์เดียนหนุ่มดูออกว่าเจ้าหญิงจ้องผมของเขาไม่วางตา
“รู้ไหมว่าผมสีเงินหมายถึงอะไร”
เจ้าหญิงเริ่มต้นบทสนทนาหลังจากที่ทั้งคู่ไม่ยอมพูดอะไรเลยมากเกือบชั่วโมงและก็เข้าวันใหม่ไปแล้ว
เซจากระตุกยิ้มใต้ผ้าก่อนจะตอบเสียงเบาทว่าชัดถ้อยชัดคำ “ผมสีเงินหมายความถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเทวดา
แน่นอน มีแค่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่มีผมสีนี้”
เจ้าหญิงเลิกคิ้วสีเลือดขึ้นสูง
วางมือพาดกับเข่าที่ชันไว้จนดูเหมือนเธอไม่ยี่หระกับอะไรทั้งสิ้น “ว่าต่อสิ”
“ถ้าอิงกันตามความเชื่อต่างๆ
นานาละก็ ผมสีเงินนั้นสื่อถึงสายเลือดอันบริสุทธิ์จากเทวดา” เซจากะพริบตาเบาๆขณะที่เอ่ย
เขาเอนหลังพิงต้นไม้ด้านหลังเช่นกัน “ซึ่งหมายความว่าผมก็คงสืบสายเลือดมาจากเทวดาก็เป็นได้”
“ทำไมถึงใช้คำว่า
‘คง’” มินเดรสตั้งข้อสังเกตอย่างละเอียด
จิบน้ำผึ้งอุ่นๆ อีก
“เพราะผมก็ไม่ทราบไงล่ะครับ”
การ์เดียนหนุ่มผู้สวมชุดดำตอบเหมือนกำปั้นทุบดิน ถ้าเป็นตอนที่เจ้าหญิงอารมณ์ไม่ดีและเขาถูกมัดมือมัดเท้า
เขาก็คงถูกเฆี่ยนไปแล้ว
แต่เผอิญว่าสถานกรณ์ในตอนนี้ไม่เข้าเงื่อนไขทั้งคู่อย่างน่าโล่งใจ เขาเสริม
“ผมจำอะไรตอนเด็กๆ ไม่ได้เลย รู้แค่ว่าถูกจับมาจากทวีปโนเลม
ถูกทำพิธีเวียนเลือดกับเหนือหัวแล้วผมก็กลายเป็นการ์เดียนเสียแล้ว”
เจ้าหญิงเบิกตาออกเล็กน้อยด้วยความสนใจ “เมื่อไหร่”
“หมายถึงตอนไหนครับ”
“ตอนที่นายถูกจับ”
มินเดรสเจาะจง เกาคางของราอัล ลาบราดอร์หน้าซื่อไปด้วย
“10 ปีแล้วมั้งครับ...
นานพอดู”
“ที่เกิดสงครามพ่อมดน่ะเหรอ”
เจ้าหญิงทวนอย่างใคร่รู้
เซจาพยักหน้าเบาๆ นึกถึงช่วงเวลาดังกล่าวที่เกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างมนุษย์ธรรมดาๆ
กับพ่อมดและปีศาจ อันที่จริงมันก็ไม่ช่สงครามที่ใหญ่อะไร
มีเพียงซีแลนเน่และอาณานิคมลูกอื่นๆ เท่านั้นที่หาเรื่องกับพ่อมด
ด้วยการกำจัดถอนรากถถอนโคนภายในจนแทบหมดสิ้น
นั่นทำให้พวกพ่อมดโกรธจัดและเข้าต่อต้านอย่างรุนแรง
ในที่สุดก็เรื้อรังจนไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่ยังดีที่มันจบลงไปแล้ว
และพ่อมดเป็นฝ่ายแพ้
ทำให้พวกเขาต้องระเห็จไปอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่ดินแดนใต้อาณัติซีแลนเน่
ซึ่งก็ถือว่ากว้างใหญ่เหลือเกิน เพราะถึงแม้มันจะไม่ได้กว้างติดต่อกัน
แต่ก็กระจายตัวเป็นหย่อมๆ กินพื้นที่เกือบ 1 ใน 3 ของมหาทวีปเยอาร์ด้วยซ้ำไป
นั่นทำให้พวกพ่อมดแทบจะไม่มีที่ยืนอยู่บนแผ่นดินใหญ่
และยังเกิดผลต่อเนื่องไปยังการย้ายถิ่นฐานของผู้ใช้เวทมนตร์จำนวนมหาศาลไปที่เรเจีย
บลาๆ กับอะไรสักอย่างที่มินเดรสเหมือนจะเคยเรียนในคาบประวัติศาสตร์
แต่เธอคร้านเกินกว่าจะท่องจำ
“ตอนนั้นเจ้าน่าจะซัก…
9 ขวบ?”
“ครับ”
“พอจะจำอะไรได้บ้างมั้ย”
เจ้าของดวงตาสีนิลขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายหมายถึงเท่าใดนัก “ครับ
จำได้บ้าง”
“แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเรากำลังจะไปตามกลับมามั้ย”
เซจาเหมือนจะยิ้มใต้ผ้าคลุมแต่ก็ยิ้มไม่ออก เขาเงียบไป
“มันเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่รู้อะไรเลย
ในเมื่อท่านพ่อส่งเจ้ามา นั่นก็หมายความว่า
นายมีอะไรดีสักอย่างที่ทำให้ท่านพ่อเลือกนายมา
และสิ่งนั้นก็ควรจะเป็นประโยชน์กับการตามตัวนักโทษเวรนั่นกลับมาด้วย ถูกมั้ยล่ะ”
มินเดรสกล่าวคล้ายจะเหน็บแหนม
“ครับ”
เซจาไม่ปฏิเสธ
“บอกข้ามาสิ
ถึงเหตุผลที่ข้าต้องเอาเจ้าไปด้วย” มินเดรสว่า
จ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ
เซจาเลี่ยงการหลบสายตา
เพราะนั่นจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าควบคุมเขาได้ง่ายจนเกินไป
และเขาไม่ต้องการแบบนั้นสักนิด “เหตุผลแรก ผมใช้เวทมนตร์ได้”
“ถ้าอย่างนั้น
ข้าก็ค่อยจ้างพวกพ่อมดกลางทางเสียก็ได้” มินเดรสสวนกลับ
“เหตุผลที่สอง
ความไว้วางใจ” การ์เดียนหนุ่มพูดต่อ “ผมเป็นทาสของเหนือหัว
เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะทรยศคุณเหมือนพวกพ่อมดรับจ้างพวกนั้น
ที่พร้อมเชิดเงินหนีทันทีที่ประสบอันตราย”
เจ้าหญิงหรี่ตามองเขาอย่างพินิจ
ตั้งคำถามที่คนฟังฟังแล้วเจ็บจี๊ดจนอยากอัดหน้าอีกฝ่ายสักหมัด “แล้วเจ้าแน่ใจเหรอว่าจะปกป้องข้าได้
ไม่ใช่ว่าจะมาเป็นตัวถ่วงข้าหรอกนะ”
“แล้วท่านคิดว่าท่านรับมือกับพ่อมดได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นเหรอครับ”
เซจาย้อน
“ข้าก็เคยทำ”
มินเดรสไหวไหล่ “รอยเฆี่ยนที่หลังเจ้าไงล่ะหลักฐาน”
เซจาหน้าแดงด้วยความโกรธ
แต่เพราะอยู่ในแสงสลัวจึงทำให้เห็นแค่แววตาโกรธเคืองของเขาเท่านั้นเอง
“เถียงสิ”
เธอท้า ลูบหูของราอัลอย่างไม่สนใจ
“แล้วถ้าท่านเจอพ่อมดเกินกว่า
3 คนขึ้นมาล่ะครับ” เขาเหมือนจะเยาะเย้ย
เจ้าหญิงหัวเราะ ทำเอาฝ่ายที่ตั้งคำถามนี้หน้าเสีย
“แล้วข้าจะมีขากับสมองไว้ทำไม
ก็หนีสิ” คำตอบนั้นทำเอาเซจาสำลักน้ำพรวด
มองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตาและเห็นเธอทำหน้าสบายๆ
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียได้
“หยุดมองข้าด้วยสายแบบนั้นแล้วไปนอนซะ”
เจ้าหญิงเอ่ยเมื่อเห็นสายตาพิศวงกึ่งๆ งงงวยของการ์เดียนผมสีเงิน
เธอยืดตัวแล้วกอดอกพิงต้นไม้บ้างก่อนจะเสริมแกมขู่ทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า “พรุ่งนี้ถ้าเจ้าตื่นสายละก็ ข้าทิ้งเจ้ากลางทางแน่”
เปลือกตาสีอมเหลืองลืมขึ้นทันทีที่แสงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า
ในนั้นมีความเบื่อหน่ายเจืออยู่ เจ้าหญิงผมแดงถอนหายใจยาวแล้วจึงลุกขึ้นนั่ง
บิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วค่อยยืนขึ้น ความฝันนั้นยังคงติดค้างอยู่ในความจำ
แม้เธอจะพยายามสลัดทิ้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตาม
ทันทีที่เจ้านายเดินเข้าไปหา ซิลเวอร์
ม้าหนุ่มสายเลือดฟรีเชียนอันหายากก็ลืมตาขึ้น ดวงตาสีฟ้าสดใสของมันมองเจ้าหญิงอย่างนบนอบและฉลาดเฉลียว
มันทำให้มินเดรสในยามที่อารมณ์ไม่ดีอย่างตอนนี้ ยิ้มออกได้บ้าง
มินเดรสก้มตัวลงและลูบคางหนาตึงของมันอย่างรักใคร่
พอคลายความกังวลเกี่ยวกับความฝันที่มีลง
เมื่อโล่งใจแล้ว เธอจึงกลับไปยังโคนต้นไม้ที่เธออาศัยนอนเมื่อคืน
เห็นการ์เดียนในชุดสีดำเหมือนเดิมนอนอยู่อีกฟาก มือทั้งสองประจำอยู่ข้างเอว
จุดที่เขาเก็บกริชคู่ของตนไว้ราวกับระวังภัยตลอดเวลา แต่ฟังจากเสียงหายใจ
มินเดรสเดาว่าเขาคงหลับลึกไปสักระยะแล้ว แต่เพราะนอนไม่รู้สึกตัวอยู่นั่นเอง
มินเดรสจึงอาศัยฝีเท้าเบาอย่างแมวของเธอย่องเข้าไปใกล้ๆ แล้วคุกเข่าลงอย่างเงียบเชียบ
มือเอื้อมไปที่ผ้าปิดหน้าของอีกฝ่ายอย่างซุกซนแล้วดึงมันลงมาจากปลายจมูกของเขาด้วยความเบามือ…
เด็กสาวอ้าปากค้าง เมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายเต็มๆ
ผิวของเซจาเป็นสีงาช้างสะอาดสะอ้านเหมือนไม่ใช่ทหาร โครงหน้าหวานซึ้งจับใจ
แก้มนุ่มนวลและคางเรียว ปากหนารูปกระจับน่าแตะต้อง จมูกโด่งเป็นสันบางๆ
ดูสวยงามมากกว่าสง่าผ่าเผย ขอนตางอนสีเงินระยับ… ที่จู่ๆ ก็กะพริบเปิดทันที
นัยน์ตาสีดำจ้องอีกฝ่ายอย่างงุนงง มินเดรสนิ่งอึ้ง
สบตากลับอย่างเลี่ยงไม่ได้
“นายน้อย!”
เขาร้อง ดีดตัวออกไปอีกทางทันทีด้วยความตกใจ และมองเธอด้วยดวงตาสีดำสนิทเหมือนน้ำหมึกนั้นอย่างหวาดๆ
มินเดรสหรี่ตาไม่ชอบใจนัก “อะไร
ข้าก็แค่อย่างเห็นหน้าเจ้าชัดๆ”
เซจาทำท่าเหมือนจะใส่ผ้าคลุมอีกครั้ง…
“เฮ้
ข้าก็เห็นหน้าเจ้าไปแล้ว จะปิดอีกทำไมกันล่ะ กลัวข้า?”
หนุ่มหน้าหวานถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ
แต่มินเดรสกลับไม่ได้โกรธอะไร หัวเราะด้วยซ้ำเมื่อเห็นหน้าตาน่ารักๆ
นั่นทำหน้างอง้ำใส่
“นายน้อย”
เขาเค้นลอดไรฟันเสียงต่ำ ที่น่าจะเพื่อให้เธอขนลุกขนพอง
แต่ตรงกันข้าม เจ้าหญิงยิ่งหัวเราะก๊ากอย่างห้ามไม่ได้ “ผมไม่ตลกนะ!”
ในที่สุดเจ้าหญิงก็เอามือปิดปาก
แต่ก็นานพอสมควรกว่าเธอจะหยุดขำลงได้สนิทจริงๆ “ถ้าข้าไม่เปิดผ้านั่นก็คงไม่รู้ว่าแท้จริงการ์เดียนของท่านพ่อหน้าตายังกะผู้หญิง”
เซจาหน้าแดงจัด ไม่รู้เพราะโกรธหรืออายกันแน่ “ท่าน!”
มินเดรสกอดอกพิงต้นไม้ ยิ้มกริ่ม “ช่างมันเถอะ”
เซจายังคงมีใบหน้ากรุ่นโกรธอยู่
มินเดรสยักไหล่อย่างไม่สนใจ ลุกไปเปิดย่ามออกมาแล้วเอาอาหารง่ายๆ
ออกมา โยนเนื้อแห้งห่อด้วยใบไม้ให้อีกฝ่าย เซจาคลี่ออก พึมพำขอบคุณเบามากๆ
จนแทบไม่ได้ยิน แต่หูของเจ้าหญิงที่ถูกฝึกมาอย่างดีก็ยังได้ยินอยู่ดี
เธออมยิ้มพึงพอใจอย่างที่สุด
ทั้งหมดออกเดินทางต่อในยามสายๆ
เส้นทางลงจากเขาค่อนข้างซับซ้อนและวุ่นวายกว่าขาขึ้นด้วยซ้ำ
พวกเขาต้องผ่านดงหินคมและข้ามหุบเหวลึกจนมองไม่เห็นก้น
ซึ่งกว่าจะลงมาถึงตีนเขาได้ก็ใกล้เย็นแล้ว ทว่าก็ต้องรีบเดินทางให้เร็วที่สุด
เมืองที่ใกล้ที่สุดยังไกลออกไป เกือบ 30 ไมล์ และถ้าพวกเขาช้ากว่านี้
ก็คงต้องขี่ม้าฝ่าความมืดมิด
หรือเสี่ยงพักกลางทางคาราวานที่อาจจะมีโจรมาปล้นเมื่อไหร่ก็ได้เหมือนกัน
“นายน้อยครับ…
ซิลเวอร์กับบรีย์เหนื่อยมากแล้ว เราควรจะพักกัน” เซจาที่ถอดผ้าคลุมหน้าลงแล้วบอกเจ้านายของเขา กึ่งๆ จะวิงวอน เนื่องจากเห็นม้าของตนหอบแฮก
ซิลเวอร์อาจจะไม่ได้มีสภาพย่ำแย่เท่า
แต่เขาก็พอรู้ว่าเจ้าม้าหนุ่มเองก็มีขีดจำกัดของตัวเองอยู่
มินเดรสกวาดตามองไปรอบๆ “เราจะพักที่นี่ไม่ได้ เส้นทางนี้
เจ้าน่าจะรู้ดีว่ามีโจรชุกยิ่งกว่ายุงด้วยซ้ำ” ว่าพลางก็ตบยุงแปะๆ
อย่างรำคาญ เธอได้ตุ่มคันมาเกือบสิบแล้วตลอดเย็นที่ผ่านมา ทำให้อารมณ์เสียนักหนา
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ต่อให้เธอเคลื่อนไหวมือเร็วแค่ไหน แต่เชื่อเถอะ
หากเจอยุงเกือบ 30 ตัวพร้อมๆ กัน
มันจะไม่มีสักตัวเลยหรือที่รอดพ้นเงื้อมมือมหากาฬของเจ้าหญิงไปได้
เจ้าหญิงเบะปากอย่างไม่พอใจ เมื่อโดนปากแหลมๆ
ของเจ้าสัตว์น่ารำคาญนั่นทะลุเนื้อหนังเข้าไปอีกหลายแผล
จริงอยู่ที่เธอไม่เจ็บนักหรอกตอนที่มันกัด แต่พอมันจากไป
หรือหลังจากตายคามือของเธอแล้ว มันดันทิ้งความคันอันน่าระอาไว้ด้วย
“ลงก่อนเถอะครับ
ผมจะหาทางจัดการกับพวกมันเอง” เซจาเสนอตัวพร้อมเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้า
แม้จะได้รับสายตาเขียวปั๊ดกลับมา
แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเองก็คงต้องลงพักแล้วเหมือนกัน
“คืนนี้เราจะได้นอนกันมั้ยเนี่ย
ข้าถามจริงๆ” มินเดรสประชด
เธอลูบหัวซิลเวอร์ขณะปรายตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก
เซจาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาย้อน “แล้วนายน้อยคิดว่า
เรามีทางเลือกอื่นเหรอครับ”
หนังตาข้างขวาของมินเดรสกระตุก เธอแสยะยิ้ม “งั้นข้าก็แค่ทิ้งเจ้าไว้กลางทางแล้วเดินทางต่อไปก็ย่อมได้”
“ถ้านายน้อยคิดว่าการเดินทางไปคนเดียวมันง่ายนักละก็
ก็ไปเลยสิครับ” เขาไม่แยแสเหมือนกัน
ซ้ำยังเลิกคิ้วเรียวใส่อย่างท้าทาย
เป็นใบหน้าที่น่าหมั่นไส้ที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา
“ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้าไล่
การ์เดียน” มินเดรสพูดเสียงต่ำและดึงดันที่สุด
เธอกำเชือกบังคับแน่น ไม่ช้า เจ้าหญิงกระตุกบังเหียนให้ซิลเวอร์ออกตัวไป
ราอัลวิ่งตามไปอย่างจงรักภักดี มุ่งหน้าไปยังเมืองจุดหมายโดยไม่สนใจผู้ติดตามน่ารำคาญอย่างการ์เดียนเวรกรรมอะไรนั่นอีกแล้ว
เซจาส่งเสียงเฮอะเบาๆ ทั้งเอือมระอาและอ่อนใจอย่างยิ่ง
แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ คิดว่าอย่างไรเสีย เจ้าหญิงก็คงต้องพักในเมืองแน่นอน
เขางีบหลับสักระยะ รอให้บรีย์หายเหนื่อยเสียก่อน แล้วค่อยตามไปก็ยังไม่สาย
เขาเชื่อว่า ฝีมือถึงขั้นนั้นแล้ว คงไม่เกิดเรื่องแน่…
บางที การ์เดียนหนุ่มอาจจะต้องเปลี่ยนใจ หากได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างเข้าเสียก่อน
!
ความคิดเห็น