คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : องก์ที่ 1 Catch the Mist (หมอกลวงนฤมิต) บทที่ 1ผู้เดินสารดำกับเจ้าหญิงกุหลาบแดง (Rewrite)
ผู้เดินสารดำกับเจ้าหญิงกุหลาบแดง
I
เรือสำเภาใหญ่สีน้ำตาลไหม้เข้าเทียบท่าบาทรีน่าพอร์ตเหมือนกับเรือลำอื่นๆอีกร่วมร้อยซึ่งทอดสมอนิ่งแต่ไม่หยุดกิจกรรมในอ่าวบาทรีน่า
ท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่ที่สุดในทวีป ลูกเรือโยงเชือกอย่างกระฉับกระเฉง
และเอาไม้กระดานมาพาดทำทางลงให้ผู้โดยสารอย่างง่ายๆ ผ้าใบเรือถูกตรึงเก็บ
เด็กที่ประจำรังกาไต่ลงมาพลางสาวเชือกระโยงระยางให้เข้าที่
กะลาสีที่เหลือช่วยกันลำเลียงสินค้าจากแดนไกลลงไปยังแผ่นดิน
พนักงานศุลกากรเข้ามาตรวจนับอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้ชื่อเสียงเรื่องความโปร่งใสของเมืองบาทรีน่าต้องหมองมัว
พ่อค้านับสิบคอยท่าอย่างกระสับกระส่ายเพื่อต่อรองราคาสินค้าขาเข้าในขณะที่ทุกคนก็พยายามทำให้การเข้าเทียบท่าเสร็จให้เร็วที่สุดเพราะยังมีเรืออีกหลายลำคอยอยู่ที่ปากอ่าวเพื่อถ่ายสินค้าขึ้นลงเหมือนกัน
บรรยากาศที่อวลกลิ่นเกลือเต็มไปด้วยฝูงนกนางนวลที่ซึ่งส่งเสียงร้อง
บาทรีน่าพอร์ตยิ่งดูเหมือนเมืองไม่รู้จักหลับด้วยการเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและมีเรือเข้าเทียบท่าทุกๆ
7 นาที
อึกทึกด้วยคนนับพันที่ไหลเวียนอยู่ในท่า บ้างก็กะลาสี ทหารหรือชาวประมง
แม้กระทั่งนักล่าสมบัติ นักวิจัยทางทะเล
เสียงดังโหวกเหวกกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเมืองอย่างที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้
ด้วยว่าอยู่กลางแหลมที่ยื่นออกไปมากที่สุดของทวีปและสามารถติดต่อกับทวีปได้อย่างง่ายดาย
ดินแดนแห่งนี้จึงเหมือนสะพานเชื่อมทางทะเลสู่ทุกที่ที่ทุกคนปรารถนาจะไป
ด้วยตารางเดินเรืออันเที่ยงตรงและมากนับร้อยรอบต่อวัน กัปตันและกะลาสีมีประสบการณ์
ทุกคนไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่าบาทรีน่าเป็นท่าเรืออันยอดเยี่ยม
ขณะนั้นเอง
ร่างสูงโปร่งในชุดสีดำทั้งตัวเดินลงจากเรือสำเภาพร้อมย่ามสะพายข้างสีหม่น
เขาก้าวอย่างหนักแน่นทว่ารวดเร็วพลางเบี่ยงหลบผู้คนที่จอแจจนผ้าคลุมสีดำพลิ้วสะบัด
เขากระชับผ้าปิดใบหน้าจนถึงครึ่งจมูกอย่างไม่สบอารมณ์กับจำนวนคนมากมาย
ดวงตาที่มีสีดำพอๆ น้ำหมึกมองแต่จุดหมายข้างหน้า ไม่สนใจสิ่งรอบข้างอย่างที่ควร
ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่า...เขากำลังรีบ
ร่างใต้ชุดคลุมเนื้อดีมีราคาแต่ตัดเย็บเรียบง่ายเดินตัดเข้ามาเขตในเมืองและเข้าสู่โซนอาคารราชการของเมือง
จุดมุ่งหมายของเขาคือตึกหินอ่อนสีน้ำตาลทรายเป็นเงาใต้แสงแดดยามเช้าตรู่
ร่างสูงลัดเลาะผ่านน้ำพุแห่งเกียรติยศโดยไม่ได้ทำความเคารพอย่างที่เคยทำ
ดูเหมือนจะรีบมาก เพราะเมื่อถึงบันไดหิน
เขาก็ยิ่งเร่งฝีเท้าราวกับรอเข้าสู่ตึกนั้นไม่ไหว
อาคารที่ร่างชุดดำเข้าไปเป็นที่ทำการทหารส่วนกลางซึ่งขึ้นตรงต่อเมืองหลวง
ภายในโอ่อ่าตระการตาแต่ก็คงความสง่าอย่างทหารครบถ้วนด้วยหินขัดมันวับ
โคมไฟแก้วและพรมสีน้ำเงินเขียว
ความเร็วของชายปริศนาเหลือเพียงเดินเมื่อเข้าสู่ฐานบัญชาการ
เขากราดสายตาแวบหนึ่งก็รู้สึกว่าทหารที่เข้าประจำการวันนี้มีน้อยกว่าปกติ
แต่เขาก็ไม่มีเวลาให้คิดอะไร
เพราะของในกระบอกเอกสารข้างกายสำคัญและเร่งด่วนกว่านัก
ชายชุดดำเข้าไปในห้องทำงานรวมและหยอดกระเป๋าลงที่โต๊ะของตน
“พันตรีคะ
ท่านนายพลชวอริสเรียกให้เข้าพบค่ะ” เสียงจากเลขาฯนายพลชวอริสเรียก
ทันทีที่เห็นเงาของชายผู้เป็นตำนานแห่งการเดินสาร
ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ อย่างรับรู้
จัดผ้าปิดหน้าและผ้าโพกศีรษะให้เข้าที่
จนเหลือเพียงดวงตาซ้ายสีหมึกและปอยผมหยักเป็นสปริงสีเงินที่โผล่พ้นเสื้อปกตั้งสีดำ
มือเรียวคว้ากระบอกโลหะสีเทาเข้มแกะรดลายรูปเนตรพฤษาสีทองจากกระเป๋าหนังก่อนจะเดินไปยังห้องผู้บังคับบัญชา
รองเท้าบู้ตปลายหุ้มเหล็กหนักหยุดปล่อยให้เจ้าของเคาะประตูอย่างสุภาพ
“ผู้เดินสารกิไลอาห์หมายเลข
1 รายงาน” เขาเอ่ยต่อหน้าประตูไม้โอ๊กนั้นช้าๆ
“เข้ามา”
เสียงหนึ่งสั่งจากภายในห้อง ผู้เดินสารจึงเปิดประตูไม้สักเข้าไป
“เป็นอย่างไรบ้าง
ผู้เดินสาร เห็นว่าถูกลอบโจมตีเกือบสิบครั้ง” ชายร่างกำยำในเครื่องแบบสีเขียวใบชาถาม
ใบหน้ายังหนุ่มนักสำหรับตำแหน่งนายพล แต่ด้วยความสามารถ
คนตรงหน้าก็ขึ้นเป็นเจ้าอำนาจทางทหารในเมืองอันมั่งคั่งนี้ได้
“ยังครบสามสิบสองดี
สารไม่เสียหายแต่ปลายกระดาษ” เสียงอู้อี้ดังออกมาจากใต้ผ้าปิดครึ่งหน้า
แต่ฟังก็รู้หากปราศจากผ้านั่น
เสียงของผู้เดินสารดำคงไพเราะน่าฟังทีเดียวเขาวางกระบอกโลหะบนโต๊ะของชายผมสีน้ำตาลไหม้อย่างระมัดระวัง
“รู้ได้อย่างไรว่าเป็นกระดาษ”
ท่านนายพลถามอย่างขบขัน ใบหน้าของชายวัย 28 ปียังอารมณ์ดีนักเช่นเดียวกับดวงตาสีแดงจางที่มักเต็มไปด้วยความสุขและพึงพอใจ
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาทุกคนต่างก็ทราบว่า
เจ้านายของพวกเขาไม่ใช่คนคร่ำเครียด แต่อย่างไรเสีย
เขาก็เป็นคนเด็ดขาดอยู่ในทีเช่นกัน
“น้ำหนักเป็นคำตอบที่หนึ่ง
การเขย่าเป็นคำตอบที่สอง และอีกหลายคำตอบหากท่านเป็นคนละเอียดพอ” ชายชุดดำตอบอย่างนอบน้อมแต่ก็ไม่ประจบประแจง
ความเด็ดเดี่ยวยังมั่นคงอยู่ในดวงตา แต่จะว่าตอบก็คงไม่ใช่
ฟังดูเหมือนยอกย้อนเสียมากกว่า นายพลชวอริสหัวเราะเบาๆ
“เอาละๆ”
เขาตบมือสีกร้านแดด ไม่ได้ไม่พอใจเรื่องที่ถูกยอกย้อน
เขารู้ดีว่าผู้เดินสารคนนี้มีเอกลักษณ์ในตัวเองมากแค่ไหน และแน่นอนว่าความโดดเด่นนั้นมาพร้อมกับความสามารถผิดคนธรรมดาที่มีเขากำลังกับนายพลอีกสองสามคนเท่านั้นที่รู้ความลับของคนคนนี้
เป็นเขายังเสียดายด้วยซ้ำที่คนคนนี้ทำงานเป็นเพียงแค่ผู้เดินสาร...
ด้วยฝีมือและพลังระดับนี้ เป็นองครักษ์ของพวกเจ้านายชั้นสูงในเมืองใหญ่ได้สบายๆ
“คุณเป็นคนเก่งนะ
พันตรี” เขาเริ่มต้น “คุณคงรู้ว่าการเป็นผู้เดินสารกิไลอาห์หมายเลข
1 สำคัญและลำบากขนาดไหน และการขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ หนุ่มอายุ 19
ที่ไหนเขาจะทำได้สมบูรณ์แบบอย่างคุณ”
เขพยักหน้ารับรู้ แต่การที่ท่านนายพลขึ้นสู่จุดสูงสุดของบาทรีน่าพอร์ตในอายุแค่
26 ปีมันก็หนักหนาสาหัสกว่าสิ่งที่ผมทำเสียอีก ผู้เดินสารคิด
เรียวปากใต้ผ้าปิดหน้าหยักยิ้มบางๆ
“แต่เสียใจด้วย
เราจำเป็นต้องให้คุณออก” ท่านนายพลพูดพลางเปิดลิ้นชักนำจดหมายที่เป็นซองสีเหลืองน้ำตาลและประทับครั่งสีแดงชาด
ตราอะไรเขามองไม่ถนัดนัก เพราะมัวแต่ตกใจที่ถูกไล่ออก ซึ่งเขาไม่สน
ลายที่ว่ามันก็ต้องเป็นลายโลมาล้อคลื่น สัญลักษณ์เมืองบาทรีน่าพอร์ตอยู่แล้ว!
นี่มันบ้าอะไรเนี่ย!
กลีบปากไร้สีแต้มหยักยิ้ม
ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ไม่ว่าใครก็ตามในตำหนักกุหลาบแดงต่างก็ต้องขนลุกซู่เมื่อได้เห็นจากปากของเจ้าของตำหนัก
ธารกำนัลที่กำลังแต่งตัวให้เจ้าของรอยยิ้มนั้นยิ่งก้มงุด
ด้วยเพราะเป็นนางกำนัลชุดใหม่ไม่เคยคุ้นกับการทำงานถวายให้เจ้านายคนใหม่ ข่าวที่ลือกันให้แซ่ดถึงความเหี้ยม
ของเจ้าหญิงองค์นี้ต่างก็เป็นไปในทางเดียวกัน คือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
อย่าให้รอยยิ้มชั่วร้ายนี่ผลิบานอยู่บนใบหน้าของเจ้าหญิงเป็นดีที่สุด!
นางกำนัลเกล้าผมสีแดงสดเหมือนเลือดด้วยมือสั่นระริก พร้อมๆ
กับเหลือบมองมือสีเหลืองนวลของเจ้าหญิงบีบน้ำหอมกลิ่นกุหลาบที่ซอกคออยู่อย่างหวั่นๆ
ไม่กล้าแม้แต่จะมองกระจกที่เจ้าหญิงใช้ส่องหน้า คนอื่นๆ ที่กำลังกลัดกระดุม
สวมรองเท้าให้หรือแม้กระทั่งเช็ดคราบดินตามซอกเล็บของนายเหนือหัวต่างก็มีสภาพไม่ต่างกัน
ไม่ทันที่พวกนางจะได้เตรียมตัวรับกฎของตำหนักใหม่ ต้นห้องก็รีบวิ่งมาบอกว่าพวกนางต้องแต่งตัวให้เจ้าหญิงภายในสิบนาทีข้างหน้า
เนื่องจากเจ้าหญิงเพิ่งกลับมาจากการล่าสัตว์นอกวังและองค์ราชาก็มีรับสั่งให้เจ้าหญิงองค์สุดท้องเข้าเฝ้าฯเป็นการด่วน
ทำให้ทุกอย่างฉุกละหุกไปหมด และพวกนางทุกคนต่างก็กลัวเสียเหลือเกินว่าจะเผลอทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เจ้าหญิงพิโรธโกรธา
ก็แน่ล่ะ
พวกนางดันเข้ามาแทนนางกำนัลชุดก่อนที่ทำงานไม่เป็นที่พอใจเจ้าหญิงองค์นี้น่ะสิ!
“รีบเข้าหน่อย
ข้าไม่ได้มีเวลาให้พวกเจ้าแต่งตัวทั้งวันหรอกนะ” เสียงดุๆ
หลุดออกมาจากปากสีแดงโดยธรรมชาตินั้นและสยบทุกการเคลื่อนไหวในห้อง
นัยน์ตาสีชมพูเหลือบมองพวกนางดุจว่าเป็นเพียงแมลงต่ำต้อยอันเป็นที่รำคาญใจ
“ได้ยินที่ข้าพูดไม่ชัดเหรอ
ข้าบอกให้รีบไงล่ะ” เจ้าหญิงย้ำอีกครั้ง
ตาสองชั้นหลบในตวัดมองทุกคน เริ่มมีแววกรุ่นโกรธปรากฏขึ้นในนัยน์ตาทั้งสองนั้น
นางกำนัลทุกคนถึงสะดุ้งโหยงและกุลีกุจอทำงานของตัวเองในทันที
มินเดรซ่า อีเลียตต์
เอเลนอร์กลอกตาขณะที่กลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างรำคาญแทนมือที่ชักช้ารุ่มร่ามของนางกำนัล
ส่วนอีกคนก็รีบวิ่งไปเอาเสื้อนอกสีแดงเลือดติดตราประจำกรมองครักษ์และลงดิ้นทองมาสวมแทนแจ็กเก็ตหนังสัตว์สีตุ่นๆ
ตัวโปรดของเจ้าหญิงและเร่งติดตราอื่นๆ ให้อย่างระมัดระวังที่สุด
“เอารองเท้าส้นสูงนั่นออกไป…
แล้วพับกระโปรงนั่นซะ ข้าไม่ใส่” เจ้าหญิงสั่งด้วน้ำเสียงห้วนๆ
แล้วกลับไปมองกระจกดังเดิม
“แต่…”
มีเสียงใครสักคนแย้งขึ้นมา
ที่เหลือกลืนน้ำลายแล้วมองตัวต้นเสียงอย่างห้ามปรามสุดฤทธิ์
“ทหาร
เอานางกำนัลคนที่ 2 ทางขวามือของข้าออกไป” เจ้าหญิงกล่าวเสียงเฉียบทั้งๆ
ที่ไม่ได้หันกลับไปมองเลยว่าต้นเสียงอยู่ที่ไหน
ทหารหน้าห้องรีบปฏิบัติตามทันทีอย่างรู้งานด้วนการลากตัวเจ้าหล่อนที่เสล่อไม่ถูกจังหวะออกไป
เจ้าหญิงเอ่ยเสียงเย็นชา “อย่าให้ข้าได้ยินเสียงของมันอีกเป็นครั้งที่สอง”
คนอื่นๆ
ในห้องหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของนางกำนัลคนนั้นหลังประตูที่ปิดลง
รู้สึกสงสารในความไม่รู้เวลาของหล่อนแต่ก็ซึมได้ไม่นานเมื่อรับรู้ถึงสายตาที่กำลังมองลงมายังพวกนางและสั่งให้เร่งทำงานโดยเร็วที่สุด
ไม่นานนัก เจ้าหญิงจึงได้ออกมาจากห้องแต่งตัว
นางกำนัลต้องรีบเดินตามทันที
ทว่าด้วยความที่ยังไม่ชำนาญนักในระเบียบแถวที่ต้องตรงและพร้อมพรักตามฉบับตำหนักกหุลาบแดง
ทำให้มีนางกำนัลคนหนึ่งสะดุดล้มคะมำไปกับพื้นเพราะชนกันเอง
เป็นอีกครั้งที่ทุกคนต้องสูดลมหายใจเข้าอย่างเสียวไส้เมื่อเห็นวงหน้าอ่อนเยาว์หันกลับมามองด้านหลัง
“เจ้าหญิงเพคะ…”
นางกำนัลคนนนั้นรีบหมอบคลานมาอยู่ตรงหน้าเจ้าหญิง
ประนมมือไหว้ขออภัยโทษด้วยความงกเงิ่น
คิ้วสีแดงฉานเลิกขึ้น
เธอชันเข่าลงและใช้มือที่สวมถุงมือสีขาวเชยคางของนากำนัลคนนั้นขึ้นมา นางถึงกับสั่นเมื่อได้สบสายตากับนัยน์ตาสีชมพูหวานที่คมดังเหยี่ยวคู่นั้น
“ปากเจ้าสวย...”
นางกำนัลได้ยินเจ้าหญิงพึมพำ และหน้าร้อนแดงเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“หน้าอกเจ้าก็ไม่ใช่เล่น”
เจ้าหญิงยิ้มไม่เห็นฟันขณะที่กราดสายตามองดูทั้งร่างอ้อนแอ้นของนางกำนัลคนนั้นจนเธอร้อนวูบไปทั้งตัว
กลิ่นอายบางอย่างทำให้นางกำนัลสาวรู้สึกถึงความยั่วยวนของผู้สูงศักดิ์และอดทนต่อความหลงเคลิ้มไม่ไหว
หัวใจของนางยิ่งระรัวเมื่อสบสายตา ยิ้มนั่นยิ่งกว้างเมื่อเห็นนางสะเทิ้นอาย
เจ้าหญิงละมือและลุกขึ้นยืนปล่อยให้นางกำนัลค้างอยู่ตรงนั้นและอายตัวแทบม้วน
“ซอนเดล”
เจ้าหญิงเรียกหัวหน้านางกำนัลคนสนิท “เอาตัวคนนี้ไว้
จัดการให้เรียบร้อย คืนนี้ เอาไปส่งให้ข้าที่ห้องนอน”
นางกำนัลผู้โชคไม่เข้าข้างรู้สึกเหมือนตกหล่มน้ำแข็งทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
นางคิด ถ้าอย่างนั้น ข่าวลือที่ว่าเจ้าหญิงนิยมเพศเดียวกันก็เป็นความจริงสิ?
“เพคะ”
หัวหน้านางกำนัลรับคำ
“เอานางไปให้พ้นทางข้า”
เจ้าหญิงสั่งอีกรอบ พันปลายผมดัดลอนกับนิ้วอย่างเกียจคร้าน ทหารรอบๆ
รีบทำงานโดยไว ก่อนที่เจ้าหญิงจะกรีดกรายออกไปอย่างวางมาด
ท่ามกลางความตระหนกตกใจของเหล่านางกำนัลชุดใหม่
ก็ไม่มีใครเห็นรอยยิ้มแสนกลของเจ้าหญิงองค์นี้
แต่ในสายตาของชายหนุ่มผู้ซ่อนตัวด้วยมนตร์อำพรางกายและติดตามอยู่ห่างๆ
เจ้าหญิงมินเดรซ่ามีผมสีแดงจัดเด่นชัดที่สุดแม้มองจากระยะไกล
ผมนั้นดัดลอนเป็นคลื่นยาวจบบั้นเอวตามฉบับเจ้าหญิงทั่วๆ ไป ร่างสูงสง่าทีเดียว
ผิวไม่ได้ขาวเหมือนนมแต่อมเหลืองทองและเกรียมแดด
นัยน์ตาคมกริบสีชมพูสดใสเหมือนดอกไม้บานและสวมชุดที่เจ้าหญิงคนอื่นเขาไม่ใส่กัน!
เขาเดินตามไปอย่างสนใจและได้เห็นท่วงท่าการเยื้องกรายที่ทั้งมีราศีและแข็งกร้าวของเจ้าหญิงในเครื่องแบบทหารระดับสูงสีเลือดหมูสลับขาว
เท่าที่เขารู้มา เจ้าหญิงองค์นี้เพิ่งจะ 16 มาไม่นานนักแต่ก็เป็นที่เลื่องลือถึงฝีมือเชิงยุทธิ์ที่เจ้าชายหรือแม่ทัพทั่วทวีปยังต้องอาย
ที่การันตีถึงฝีมือนั้นก็คงเป็นตำแหน่งครูฝึกของกรมทหารและองครักษ์
รวมถึงการให้เคารพจากทหารทุกกอง
และเหล่านายพลทั้งหลายต่างก็เห็นพ้องว่ากระบวนกระบี่ของเจ้าหญิงนั้นอันตราย
‘ถึงตาย’
ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะขันถึงมุขตลกที่ใครสักคนเคยกล่าวไว้ว่า
ราชาไดเซอร์แห่งซีแลนเน่ไม่มี ‘ลูกสาว’ เขาเห็นด้วยจากใจจริงเมื่อได้มาเห็นภาพนี้กับตา
สาบานกับพระเจ้าเถิด
ถ้าตัดผมสีแดงจรัสนั่นทิ้งเสียและเอาหน้าอกหน้าใจที่ใหญ่เกินหน้าเกินตาหล่อนออกไปละก็
หล่อนคงเป็นเจ้าชายดีๆ นี่เอง
อารมณ์บูดๆ ของเขาค่อยๆ บรรเทาลงไป เห็นทีการมาซีแลนเน่ครั้งนี้
คงไม่น่าเบื่อหรือน่าหงุดหงิดอย่างที่เขาคาดไว้ก็เป็นได้
เทียนรูปดอกไม้ที่ลอยละล่องอยู่รอบๆ
ห้องเหมือนจะยิ่งจุดไฟโทสะของเจ้าหญิงมินเดรซ่าเป็นทวีคูณ กลิ่นหอมกุหลาบของมันไม่ได้ช่วยให้เพลิงพิโรธสงบลงเลย
รองเท้าบู้ตสีเข้มของเธอย่ำลงบนพื้นปูหินขัดจนเกิดเสียงดังจนหนวกหูบิดาซึ่งนั่งเอกเขนกอยู่หลังม่านไม้ไผ่
“ข้าไม่ไป”
เธอยืนกรานหนักแน่นด้วยดวงตาดุดัน “ยังไงข้าก็ไม่ไป!”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก
ธิดาข้า” ราชาไดเซอร์เอ่ยเสียงหน่ายๆ
“ด้วยเหตุงี่เง่าประการทั้งปวง
ท่านกำลังสั่งให้ข้าไปหนีหนาวที่เมืองปลายทุ่งนั่นน่ะหรือ ท่านพ่อ!” เจ้าหญิงย้อนเสียงดังลั่น
“ข้าสั่งให้เจ้าไปตามตัวนักโทษต่างหากล่ะ”
ไดเซอร์กล่าวแก้
เจ้าหญิงแค่นหัวเราะ “ก็ไม่ต่างกันนักหรอก”
“คุกหมอกไม่ใช่ที่ที่คนทั่วๆ
ไปจะเข้าไปได้นะ มินเดรส” ราชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ที่นั่นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์...”
“และไอ้นักโทษเวรตะไลที่อยู่ในคุกบ้าบออะไรนั่นก็ไม่ใช่คนที่มนุษย์รรมดาอย่างข้าจะจัดการได้”
เจ้าหญิงแทรกด้วยน้ำเสียงขยะแขยง
“ข้ามีตัวช่วยให้เจ้าแน่
ไม่ต้องห่วงไปหรอก” ไดเซอร์หัวเราะหึๆ
ล่อหลอกบุตรีด้วยความเจ้าเล่ห์ “แบบที่เจ้าต้องการด้วยนะ”
นัยน์ตาสีชมพูของเลือดกุหลาบลุกโพลง
แม้รู้ว่าจะเป็นกับดักของบิดาบังเกิดเกล้าแต่เธอก็ไม่อาจฝืนความอยากของตัวเองได้เลย
“ค่อยน่าสนใจขึ้นมาแล้วล่ะสิ
ดอกกุหลาบน้อยของพ่อ” ไดเซอร์เอ่ยอย่างรู้ทัน
มินเดรซ่าแค่นเสียงดังหึอย่างไว้ตัว
แต่ไฉนเลยที่บิดาของเธอจะดูไม่ออกว่าข้อเสนอนั้นน่าพึงพอใจไม่น้อยสำหรับบุตรี
เธอพึมพำอุบอิบ “และข้าตัวไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ”
ไดเซอร์หัวเราะลั่นเมื่อได้ยินเสียงบ่นนั่น
แต่ราชาก็ไม่ได้ไม่พอใจเสียทีเดียวกับคำคัดค้านนั้น
“ท่านแน่ใจเหรอว่ามันจะไม่มีอะไรผิดพลาด”
เจ้าหญิงเอ่ยถาม “นักโทษคนนั้นน่ะ…”
“ข้ารู้ว่าเจ้าค่อนข้างจะกลัว…”
“ข้าไม่ได้กลัว”
มินเดรซ่าสวนทันควัน
ราชาไดเซอร์หัวเราะหนักกว่าเดิม “ก็ได้ๆ ...”
“ด้วยความสัตย์จริง
ท่านพ่อ คุกหมอกไม่ใช่คุกธรรมดา” เจ้าหญิงพูดด้วยดวงตาจริงจัง
เริ่มเดินไปมาอีกครั้ง “คุกนั่นถูกสร้างขึ้นเพื่อกักขังนักโทษเพียงคนเดียว
ซึ่งก็คือ ‘เขา’ และที่นั่นก็ใช้
‘พ่อมด’ 400 ชีวิตในการควบคุมตัว
แล้วท่านคิดว่าข้าที่เป็นมนุษย์ปกติกับตัวช่วยของข้าจะสามารถเอาตัวเขากลับมายังซีแลนเน่ได้โดยที่เขาไม่หลบหนีไปเสียก่อนอย่างนั้นเหรอ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ปกติ”
ไดเซอร์ตอบติดตลก
มินเดรซ่าเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินดังนั้น “ข้าไม่ตลกนะ
ท่านพ่อ นี่มันเรื่องคอขาดบาดตาย ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะเอามาล้อเล่น”
“เจ้าเชื่อข้าสิ
นักโทษนั่นจะต้องกลับมาที่นี่แน่นอน และเขาจะไม่ทำความเดือดร้อนอะไรให้เจ้าแน่”
องค์ราชาหลังม่านไม้ไผ่กล่าวน้ำเสียงลึกลับ
“ข้าล่ะเกลียดน้ำเสียงของท่านชะมัด”
เจ้าหญิงย่นจมูก “เมื่อไหร่”
“วันนี้
เดี๋ยวนี้ได้เลยยิ่งดี”
เจ้าหญิงองค์สุดท้องกระตุกยิ้ม เมื่อรู้สึกถึงความลุกลี้ลุกลน “ยังไม่ได้เรียนบอกท่านแม่สินะ”
“รู้แล้วก็ไปจัดการสิ”
ราชาเหมือนจะแดกดันน้อยๆ
เจ้าหญิงหัวเราะลั่นเสร็จแล้วจึงถามลองเชิง “ข้าไปได้คนเดียวสินะ”
“เอาบรรดาเพื่อนๆ
ของเจ้าไปด้วยก็ได้” ราชาไดเซอร์เคี้ยวฟันไปมาระหว่างที่เอ่ย
“ยกเว้นบรรดาฮาเร็มสาวๆ ของเจ้าล่ะนะ”
“หึ
ข้าไม่เอาไปหรอก… มันเกะกะ” เจ้าหญิงมินเดรซ่าพึมพำแล้วก็หันหลังกลับ
กำลังจะก้าวเท้าออกจากห้อง
“อ้อ
ข้าลืม” เธออุทาน ยกหมวกสีขาวขอบดำทองโบกน้อยๆ ให้บิดา
“ข้าไปนะ ท่านพ่อ”
ไดเซอร์แค่นเสียง “เฮอะ” ดังๆ
ไล่หลังเจ้าหญิงตัวแสบ ไม่ได้หงุดหงิดอะไรกับมารยาทเข้าขั้น ‘ทราม’ สำหรับเชื้อพระวงศ์
แล้วจึงสงบน้ำคำลงเมื่อรู้สึกถึงผู้มาใหม่อีกคนที่เร้นกายอยู่ในเงามืดหลังม่านสีเลือดหมู
คนคนนั้นค่อยๆ ก้าวออกมาช้าๆ
เสียงรองเท้ากระทบพื้นหนักแน่นกว่าฝีเท้าของเจ้าหญิงนัก
ร่างนั้นสูงกว่าแขกคนก่อนหน้าเล็กน้อยและสวมชุดสีดำทั้งตัว
“ข้านึกว่าเจ้าจะมาช้ากว่านี้เสียอีกนะ
ผู้เดินสารดำ” ราชาไดเซอร์ทักทายชายหนุ่มคนใหม่
เจ้าของผมสีเงินวาววับกอดอก “ผมก็ไม่ได้อยากกลับมาเหยียบแผ่นดินเน่าๆ
นี่หรอกนะ”
“ข้ารู้ว่าเจ้ารู้แล้วว่าทำไมข้าถึงต้องเรียกเจ้ามาที่นี่”
“ก็ด้วยเหตุผลไร้สาระของท่านไงล่ะ”
ผู้เดินสารดำตอกกลับเสียงเรียบ นัยน์ตาสีนิลเย็นชาอย่างยิ่ง
“ข้าเป็นเจ้าของตัวเจ้า”
ราชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงวางอำนาจก่อนจะกล่าวต่อว่า “ข้ามีสิทธิ์ทำอะไรกับตัวเจ้าก็ได้”
ผู้เป็นทาสบดกรามดังกรอด “ว่ามาสิ
สิ่งที่ท่านจะให้ผมไปทำน่ะ…”
เงาหลังม่านไม้ไผ่กระตุกยิ้มเย็นเยือก
เสียงผิวปากเป็นจังหวะดังขึ้น ทำนองนั้นคุ้นหูคนทุกคนในวังโรสลายน์
และต่างก็รู้ว่าเป็นเสียงผิวปากของเจ้าหญิงที่ใช้เรียกสุนัขตัวโปรดของเธอ
ไม่นานนักเสียงเห่าโฮ่งก็ดังตอบการผิวปากนั้นตามมาด้วยฝีเท้ารัวเร็วของเจ้าลาบราดอร์สีครีมตัวใหญ่จากเชิงเขาซีแลนเน่
ราอัล สุนัขล่าเนื้อตัวโปรดของเจ้าหญิงมาถึงตัวเจ้าชีวิตพร้อมกับวิ่งวนไปรอบๆ
ตัวเจ้านายอย่างตื่นเต้น
“ราอัล…”
มินเดรซ่าหรือมินเดรสตามที่คนในครอบครัวต่างก็เรียกกันขานชื่อเจ้าตัวโตขณะที่ลูบศีรษะของมัน
“เราต้องออกเดินทาง”
ราอัลเอียงคอมองเจ้านายอย่างไม่เข้าใจ
มินเดรสกระตุกยิ้ม ก้าวไปเรื่อยๆ
เดินกลับตำหนักโดยที่ยกมือส่งสัญญาณให้นางกำนัลเว้นระยะห่างออกไป “ท่านพ่อต้องตายแน่
ไม่บอกท่านแม่สักคำว่าจะให้ข้าออกไปข้างนอกนั่น”
เจ้าสุนัขเห่าตอบ
“คิดว่าไงล่ะ”
เธอพูด ยิ้มกว้างขึ้นอีกแล้วก็หัวเราะเบาๆ “พอกันที
16 ปีที่ต้องอยู่ในกรงที่แสนจะหรูหรานี่
ข้าจะออกไปผจญภัยให้หนำใจก่อนจะกลับมา”
ราอัลคล้ายจะขมวดคิ้ว
“ไม่
ข้าไม่หนีไปไหนหรอก เจ้าบื้อเอ้ย” เจ้าหญิงพึมพำเมื่อเห็นเจ้าสัตว์เลี้ยงตกใจ
“ข้าเป็นรัชทายาทหญิง ตำแหน่งราชินีแห่งราชวงศ์กุหลาบรอข้าอยู่
ข้าไม่เอามงกุฏทองคำไปแลกกับอิสระไร้สาระนั่นหรอก” ว่าพลาง
มินเดรสก็รวบตัวเจ้าสุนัขตัวโตหนักกว่า 50 กิโลกรัมขึ้นมากอดระหว่างที่ขึ้นบันไดตำหนัก
“ซอนเดล
ดูแลตำหนักของข้าให้ดี ข้ากลับมาเมื่อไหร่ มันต้องเรียบร้อยอย่างเดิม” มินเดรสสั่งหัวหน้านางกำนัล
“เจ้าาหญิงจะเสด็จไปค้างคืนที่ไหนหรือ
ตำหนักเจ้าชายเฟรบริสซ์หรือเพคะ” ซอนเดลเรียนถามในทันที
เพราะก็รู้อยู่ว่าคราใดที่เจ้าหญิงสั่งเช่นนี้ก็หมายความว่าเธอจะไปค้างที่ตำหนักของเจ้าชายลำดับ
6 เสมอ
“เปล่าหรอก”
มินเดรสพูดแทบจะเป็นเพลงด้วยความสุขสันต์
เดินตามจังหวะเสียงผิวปากเพลงพื้นบ้านของซีแลนเน่ “ข้าจะออกไปข้างนอกนั่น”
ซอนเดลขมวดคิ้ว
“นอกซีแลนเน่”
มินเดรสขยายความพลางยักคิ้วให้
และหัวเราะลั่นเมื่อเห็นหน้าเหมือนโดนผีหลอกของหญิงวัยกลางคน
“รีบๆ
ซุบซิบเข้าหน่อย ข้าอยากเห็นท่านแม่ฆ่าท่านพ่อจะแย่” มินเดรสหันไปสั่งนางกำนัลใกล้ๆ
ทุกคนสะดุ้งเมื่อรู้ว่าเจ้านายทราบว่าพวกตนชอบนินทาและรีบก้มหน้าหลีกด้วยเกรงโทษอาญา
“แต่เจ้าหญิง
กฎมณเฑียรบาลไม่อนุญาตให้เชื้อพระวงศ์หญิงองค์ใดก็ตามที่ยังไม่ผ่านการสมรสออกไป…”
“จุ๊ๆ”
มินเดรสเอานิ้วแตะปาก “กฎทุกข้อล้วนมีข้อยกเว้น”
ซอนเดลทำท่าจะค้าน
หญิงวัยกลางคนเพียงคนที่ได้รับการไว้วางใจจากเจ้าหญิงไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะหงุดหงิดกับคำตักเตือนของตัวเองเลย
นั่นก็เพราะเธอเป็นแม่นมของเจ้าหญิงมินเดรซ่า
และเป็นคนเดียวที่เธอฟังนอกจากบรรดาแม่ๆ ของเธอเอง
“เอาเถอะน่า
ซอนเดล ท่านพ่อก็อนุญาตแล้ว เพราะฉะนั้น ข้าจึงไร้ความผิด
หากใครแถวนี้คิดจะสาวไส้ข้าขึ้นมาละก็นะ” เจ้าหญิงพูดเสียงทะเล้น
โยนหมวกเบเร่ต์ที่ตนรำคาญนักหนาไปพาดกับราวไม้แบบพอดีเป๊ะจนน่ากลัว
“แต่ถ้ามีคนสาวไส้ให้กากินแถวนี้ล่ะขอ
ดิฉันคง…”
“ไม่เอาน่า
ข้าหยอกเล่น” มินเดรสหยอก “ข้าแค่พูดขำๆ
อย่าจริงจังนักเลย”
หัวหน้านางกำนัลย่นคิ้วแลวจึงซักไซ้เพิ่มอีก “จะไปเมื่อไหร่เพคะ”
“จัดของเสร็จก็ไปเลย”
มินเดรสตอบ วางราอัลลงแล้วจึงเริ่มรวบของใช้ส่วนตัวของตัวเองทันที
“ผู้ติดตามล่ะเพคะ”
ซอนเดลถามอย่างเป็นห่วง
มินเดรสชี้ไปที่ราอัล “นั่นผู้ติดตามอันดับหนึ่ง
อันดับสองคือซิลเวอร์...” เธอพูดถึงม้าตัวโปรดของตัวเองพลางหัวเราะขำ
รวบเอาปากกาและเครื่องเขียนสำคัญๆ ลงกระเป๋า แผนที่หนังลงยันต์กันน้ำกันไฟ
กุญแจตู้นิรภัยธนาคารไบแทนเจียซึ่งมีทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเธอเก็บไว้และมีสาขาทั่วทั้งมหาทวีปเยอาร์
แล้วเธอก็คว้ามีดสั้นที่ทำจากทองประดับด้วยเพชรสีแดงก่ำขึ้นมา “และก็นั่น คนที่สาม…”
เธอเหวี่ยงมีดและหมุนตัวกลับไป
ปามีดเฉียดแก้มของแม่นมไปเพียงครึ่งนิ้วและพุ่งไปยังสิ่งที่อยู่ด้านหลัง
นางกำนัลที่เป็นเป้า แล้วมีดก็หยุดค้างกลางอากาศอย่างไม่น่าเป็นไปได้
ต่อหน้านางกำนัลคนนั้นแค่ฝ่ามือกั้น
“มาก็ดี”
มินเดรสพูดเสียงเย็น เชิดหน้าขึ้นแล้วสะบัดกลับ รูดย่ามของตัวเองแล้วสะพายขึ้น
“นึกว่าจะเอ้อระเหยไปไหนเสียอีก”
“รู้ด้วยเหรอครับว่าผมตามมา”
“ผู้ชาย?”
มินเดรสขึ้นเสียงสูง แล้วเอ่ยต่อเสียงเย้นหยัน “ฝีเท้าเจ้าเบา… จนข้านึกว่าเป็นผู้หญิง”
“ตลก”
คนที่ล่องหนอยู่แสยะปาก
“หึ
เจ้าคิดว่ากำลังพูดอยู่กับใคร... หางเสียงน่ะมีไหม!” เจ้าหญิงตวาดพร้อมชักกระบี่ทองคำออกจากฝัก
ตวัดขึ้นชี้หน้าคนที่ควรจะยืนอยู่ตรงที่เธอได้ยินเสียง
แต่แล้วดวงตาสีชมพูก็เบิกกว้างเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งไปอีกทาง
รวมทั้งลมที่เกิดจากความเร็ว เพียงพริบตาเท่านั้น
คอของเธอก็ถูกคมกริชโค้งจ่อเข้าเสียแล้ว
คนอื่นๆ ปิดปากด้วยกลัวจะร้องออกมาเสียก่อนแล้วก็รีบถอยออกจากสมรภูมิ
เพราะรู้ว่าเข้าไปช่วยเจ้าหญิงไม่ได้แน่ๆ จึงวิ่งออกไปเรียกทหารข้างนอกแทน
“เล่นแบบนี้
เขาเรียก ‘หน้าตัวเมีย’” เจ้าหญิงเอ่ยเสียงเหยียด
พลิกกระบี่เล่มหนาหนักแล้วกระทุ้งไปด้านหลัง เธอรู้ว่ามันเข้าเป้า กริชมรณะเล่มนั้นเข้าสู่การล่องหนตามเจ้าของที่กระเด็นไปอีกด้าน
“พวกเจ้า!
ไม่ต้องเรียกใครทั้งนั้น” มินเดรสหันไปชี้นิ้วสั่งคนอื่นๆ
ที่กำลังออกไปเรียกทหาร “ใครเข้ามาช่วยข้าตอนนี้ล่ะก็
ร่างกายของพวกเจ้าจะไม่มีหัวติดอยู่อีกแน่!”
ทุกคนตัวแข็งทื่อ มองเจ้าหญิงอย่างกล้าๆ กลัวๆ
มินเดรสเดินเข้าชิดกำแพง
คว้าเอาแส้ม้าที่แขวนไว้ลงมาแล้วแสยะยิ้มสยอง
“ผมไม่ใช่ม้าให้ท่านเฆี่ยนเล่นหรอกนะ...”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงกวนประสาท เผยร่างออกมาในที่สุด
เขาหักนิ้วดังกร๊อบ ร่างฝุ่นสีดำกลายเป็นเสือดำรูปร่างโปร่งพลิ้ว
“ไอ้เวรเอ้ย…
ข้าล่ะเกลียดสัตว์ตระกูลแมวชะมัดยาด” เจ้าหญิงสบถยาวเหยียด
พุ่งตัวออกไป เธอเร็วเสียจนคนอื่นมองไม่ทัน
ไม่ถึงเสี้ยวนาทีเธอก็ถึงตัวเสื้อดำและเงื้อแส้ขึ้นพร้อมฟาด
แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อร่างนั้นหายไปต่อหน้าต่อตา
เธอกัดฟันกรอดขณะที่หมุนตัวกลับครั้นรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ด้านหลังของตัวเอง
ทว่าเธอเจ็บใจกว่าเมื่อรู้ว่าเขาห่างออกไปแค่นิดเดียวแต่กลับไม่ยอมโจมตี
สำหรับนักสู้ การทำแบบนี้มันยิ่งกว่าโดนหยามหน้าเสียอีก
มินเดรสเลือดขึ้นหน้าและเริ่มไล่ฆ่าเสือดำที่ตัวยาวกว่า 2 เมตรแต่แสนคล่องแคล่วนั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย
แม้จะรู้ว่าเสียกำลังเปล่า แต่เธอก็แค้นใจเกินกว่าจะห้ามไม่ให้ตัวเองระเบิดเจ้านั่นเป็นชิ้นๆ
ได้
ทว่ายิ่งทำลาย ก็ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไม่เคยตอบโต้
เธอร้อนรุ่มจนแทบจะทนไม่ได้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีแม้แต่บาดแผล
แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมอง จู่ๆ เธอก็หยุด
ทำให้ทั้งฝ่ายคู่ต่อสู้และนางกำนัลขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“ข้าว่าเล่นวิ่งไล่จับกับคนอย่างเจ้ามันไม่สนุก…”
มินเดรสเอ่ยเสียงเจ้าเล่ห์
ปักกระบี่ลงกับพื้นปาร์เกต์ลายสวยแล้วพลิกมือ
มีดสั้นนับสิบที่ซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าและถุงมือของเธอก็ออกมาพร้อมให้เธอได้ใช้
“เรามาเล่นปาเป้ากันดีกว่าไหม”
“แต่...”
มินเดรสยกมือโบกไปมา “ปามีดใส่เจ้าก็ไม่สนุกพออยู่ดี...
แต่มันต้องแบบนี้!” แล้วเธอก็ปามีดไปที่ซอนเดล
แม่นมวัยกลางคนหลับตาพลัน พริบตาเดียวเท่านั้น
เสือดำเปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์ชุดดำเข้ายั้งมีดเล่มนั้นด้วยมือเปล่า
“ไม่ใช่คนแล้ว”
คนคนนั้นกระซิบเสียงเคืองโกรธ เลือดสีแดงสดจากมือที่กำมีดไว้หยดลงกับพื้น
“นั่นแม่นมของท่านนะ…”
เจ้าหญิงหัวเราะลั่น ปามีดอีก 3 เล่ม กระจายออกรอบทิศทาง
ชายชุดดำเข้าตามเก็บมีดบนเหล่านั้นอย่างร้อนรนและเพราะความรีบนั้นทำให้เขาพลาดโดนมีดบาดเสียเองอย่างน่าสมเพช
“ต้องอย่างนี้สิ...” เธอกระซิบด้วยความสะใจ
ไม่ช้า ชายชุดดำก็ได้แผลเต็มตัว
เขาหอบรัวใต้ผ้าปิดหน้าและความเร็วเหนือการมองเห็นของคนธรรมดาเริ่มจะช้าลงเรื่อยๆ
มินเดรสจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากการทำร้ายคนรอบๆ เป็นตัวเขาแทน เมื่อไร้ทางป้องกัน
ฝ่ายคนในชุดสีดำจึงต้องใช้กริชคู่คู่กายของตนออกมางัดข้อกับเจ้าหญิงจนได้
เขาเริ่มด้วยการเข้าประชิดตัวและใช้กระบวนท่าโบราณที่มินเดรสถึงกับตาวาวเมื่อได้เห็น
มินเดรสพอใจที่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำอย่างที่เธอต้องการ
เธอถอยกรูดเพื่อกลับไปหยิบกระบี่คู่ชีวิตขึ้นมาสู้ด้วย
เสียงกระบี่กับกริชปะทะกันไม่หยุดเกิดประกายไฟแลบๆ ทุกการเข้าโรมรัน
และยิ่งสู้ฝ่ายที่เหนื่อยอ่อนก็เป็นคนชุดดำ ตรงกันข้ามกับเจ้าหญิงที่ยิ่งออกแรง
ความกระหายต่อการต่อสู้ก็ยิ่งลุกโหมราวกับไฟป่าที่บ้าคลั่ง
และแล้ว ฝ่ายผู้บุกรุกก็พลาดท่า เพียงไม่ถึงวินาทีที่เขาก้าวช้าไป
คมกระบี่ก็เฉือนขาของเขาขาจนเลือดสาดกระจาย ชายหนุ่มล้มลงและพยายามตะกายตัวลุกขึ้น
ทว่าสันหลังก็หนาวเยือกเมื่อรู้ว่าแขนขาทั้งหมดของตัวเองถูกอะไรบางอย่างมัดพันเอาไว้และทำให้เขาลุกขึ้นนั่งก็ไม่ได้
มินเดรสเก็บกระบี่เข้าฝัก เธอเดาะลิ้นดังจนเหมือนกวนประสาท
“เชือกเวท”
ชายคนนั้นกระซิบ
รู้สึกเหมือนเวทมนตร์ของตัวเองหมดพลานุภาพลงไปโดยสิ้นเชิง
ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเขาไร้ทางสู้เสียแล้ว
มินเดรสปรบมือเปาะแปะ เธอหัวเราะร่าขณะที่พูด “นับว่าเก่งนะ
ที่สู้กับข้าได้นานขนาดนี้โดยไม่ตายเสียก่อน” ก่อนจะดีดนิ้วดังเป๊าะ
เชือกเวทสีแดงสดก็รั้งจนตึง
ร่างของชายหนุ่มถูกตรึงคว่ำในทันทีทำให้เขาต่อกรกับเธอไม่ได้อีก
ชายหนุ่มไม่ตอบโต้
เขาหายใจแรงและมองขาอีกฝ่ายที่ไขว้พิงโต๊ะอย่างสบายๆ
“ข้าเป็นใคร
เสือดำ” เจ้าหญิงถามช้าๆ
ทว่าฟังดูคุกคามนักขณะที่หมุนแส้ในมือไปมา
เขาไม่ตอบ
เพี้ยะ
“ตอบ!”
มินเดรสเค้นเสียงกรุ่นโกรธ มือกำแส้เปื้อนเลือดจนสั่น
เหล่านางกำนัลมองการทรมานนั้นอย่างหวาดกลัว
หวังอย่างยิ่งว่าเจ้าหญิงจะไม่ทำแบบนั้นกับพวกตน ภาพของคนที่ถูกขึงพื้นเหนือพื้น 3
นิ้วด้วยเชือกเวทมนตร์ที่มีชีวิตและเสื้อขาดเพราะแส้จนเห็นเป็นรอยลึกที่มีเลือดโกรกเป็นภาพที่ไม่น่าอภิรมณ์เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าหญิง”
เขาพูดอย่างเย่อหยิ่ง เงยหน้าอย่างจองหอง
เพี้ยะ! แส้ลงฟาดอีกครั้ง
“หางเสียง!”
เธอตะคอก
“ครับ…”
ชายหนุ่มกัดฟันพูด
“ดี”
มินเดรสพูด สลัดแส้เอาหยาดเลือดที่ชุ่มออกและคลายเชือกเวทลงเล็กน้อย
“แนะนำตัวสิ เสือดำ”
“ผมชื่อเซจา”
เพี้ยะ!!
“หางเสียงล่ะ”
เธอพูดเบาลงแต่มือที่ลงเฆี่ยนยิ่งหนัก
เจ้าของนามข่มใจไม่ให้ร้องออกมา “ผมเคยเป็นทหารของบาทรีน่า
ดำรงตำแหน่งผู้เดินสารดำ...ครับ”
“นามสกุล?”
เจ้าหญิงใคร่รู้
“การ์เดียนไม่มีนามสกุลครับ”
เขาตอบช้าๆ
เธอเลิกคิ้วกับคำตอบนั้น แต่ก็ต้องชะงักงันเมื่อหูได้ยินเสียงฝีเท้าจากภายนอก
เธอผิวปากเรียกสุนัขของตนและคลายเชือกเวทมนตร์ทิ้ง เจ้าของชื่อ ‘เซจา’
ล้มลงไปกองกับพื้นทั้งที่ยังตกใจไม่น้อยว่าทำไมเจ้าหญิงถึงยอมปล่อยตัวง่ายขนาดนี้
แต่แล้วเขาก็ได้คำตอบหลังจากนั้นไม่นาน
ประตูเปิดเข้ามาพร้อมกับที่เจ้าหญิงคว้าเอาย่ามใบเขรอะและกระบี่คู่ชีวิตไว้ได้
ผู้ที่เดินเข้ามาเป็นสตรีวัยใกล้เคียงกับซอนเดล
ทว่าดูอ่อนเยาว์และทรงอำนาจอย่างยิ่งจนเซจาแทบจะก้มหน้าหลบโดยสัญชาตญาณ
“บุตรีข้า
เจ้าจะไปที่ใด” ราชินีผู้ทรงมงกุฎทองคำประดับด้วยเพชรวิบวับเอ่ยถามกึกก้อง
มีอยู่ไม่กี่ครั้งที่เจ้าหญิงจะยอมถอนสายบัว และครั้งนี้เธอถอนต่ำมาก
เมื่อเงยขึ้น
ราชินีก็ได้เห็นรอยยิ้มทะเล้นของเจ้าหญิงที่เปลี่ยนสีหน้าเร็วเสียยิ่งว่าความเร็วแสง “คลาวเดียเพคะ”
มุมปากของราชินีตกลงทันที “ข้าไม่อนุยะ…”
“วิ่ง!”
มินเดรสตะโกนแทรก
เซจารู้ทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงตนจึงรีบถีบตัวลุกขึ้นยืนพร้อมถอยอ้าวตามเธอไปและตกใจมากเมื่อเห็นมินเดรสกระโดดผ่านหน้าต่างลงไปแล้ว
“ทหาร!
คุมตัวเจ้าหญิง!” ราชินีตวาดลั่น
เซจากลืนน้ำลาย แต่ก็มีเวลาให้คิดไม่มาก เขากระโดดลงจากตึก 3 ชั้นด้วยเวทลมลอยตัวอย่างง่ายที่สุดเท่าที่นึกออก
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าหญิงที่เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆ จะกล้าทำอะไรบ้างระห่ำแบบนั้น
ทว่าเขาก็ต้องปรบมือให้เธอจริงๆ ครั้นเห็นว่าเธอเพิ่งเท้าแตะพื้น
อาศัยกิ่งสนไซเปรสที่ปลูกข้างหน้าต่างในการช่วยพยุงและลดแรงกระแทกระหว่างที่ลงมา นับว่าไหวพริบดี…
ดีเกินไป!
“เร็ว!
อยากโดนทหารพวกนั้นบั่นหัวเรอะ” เจ้าหญิงที่โกยอ้าวนำไปก่อนหันกลับมาไล่เซจาที่ยืนตะลึงอยู่ตงนั้น
เมื่อถูกเรียก ชายหนุ่มจึงเรียบวิ่งตามไปเป็นบ้าเป็นหลังทั้งๆ
ที่ยังเจ็บน่องที่ได้แผลใหญ่มา แต่เพราะเห็นเงาของทหารพวกนั้นที่วิ่งเร็วจนน่ากลัวตามมาติดๆ
จึงต้องรีบ และเขาก็มาถึงโรงม้าหลวงภายในไม่กี่นาที
เจ้าหญิงสั่งให้เจ้าพนักงานทุกคนหลบ แน่นอนว่าทุกคนเชื่อฟังแต่โดยดี
เพราะรู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์คัดค้านอะไร
และก็กลัวฤทธิ์เพลงกระบี่มรณะของเจ้าหญิงยิ่งนัก
ไม่ช้ามินเดรสก็ลากเอาม้าตัวใหญ่สีดำมะเมื่อมตัวหนึ่งออกมาจากคอก
มันลักษณะดีจนน่าสะพรึงและเซจาที่ได้เห็นมันครั้งแรกถึงกับอึ้งไปขณะหนึ่ง
“ม้าของเจ้า
ไปเอาสิ!” เธอสั่งเสียงเข้มเมื่อเห็นเขายืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
เซจาไปเอาตัวบรีย์
ลิปิซานเนอร์สีขาวสะอาดแสนปราดเปรียวออกมาบ้างแล้วจึงใส่อานและขึ้นขี่โดยไว
“เราต้องแยกกัน”
มินเดรสพึมพำขณะที่มองออกไปข้างนอกคอกม้า “ข้าสลัดพวกทหารองครักษ์พวกนั้นไม่หมดหรอก
ที่จัตุรัสแห่งความรู้แจ้ง นัดเจอกันที่นั้นภายในเที่ยงวัน ถ้าช้า ข้าไม่เอาเจ้าไปด้วยแน่”
เซจาพยักหน้ารับรู้ ยังแสบแผลที่หลังไม่หาย “ผมจะไปทิศเหนือ
ท่านคงต้องไปประตูทิศตะวันออก”
มินเดรสกระตุกยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้ามีเวทมนตร์เจ๋งๆ อีกเยอะ เอาราอัลไป
มันจะเป็นประโยชน์กับเจ้า”
เซจาขมวดคิ้ว ไม่ทันได้ถามอีกฝ่าย เธอก็ควบม้าสีดำแสนสง่านั่นออกไปอีกทางเสียแล้ว
แต่ก็ไม่นานที่เซจาได้งงงวย เขานึกออกเสียทีว่าเจ้าหญิงหมายความว่าอย่างไร
“มานี่
ไอ้หนู” เขากวักมือเรียกเจ้าสุนัขล่าเนื้อมาแล้วเสกให้มันลอยขึ้นมาบนตักก่อนจะเป่ามนตร์ลวงตาให้ภาพของเจ้าหญิงผมแดงเข้าซ้อนทับร่างของเจ้าราอัล
เพียงเท่านี้ก็ดูเหมือนเขานั่งอยู่ด้านหลังเจ้าหญิงและกำลังควบม้าหนีไปแล้ว
เซจายิ้มพร้อมกระตุกบังเหียนโดยแรง “ไปกันเถอะ”
บรีย์ร้องเสียงแหลมและออกวิ่งด้วยฝีเท้าเร็วจัดไม่แพ้เจ้าม้าสีดำตัวนั้น
เซจายิ้มบางๆ ในใจอย่างอดนึกตื่นเต้นไม่ได้ เขาว่าแล้วว่าการมาซีแลนเน่ครั้งนี้ ‘สนุกกว่าที่คิด’
เหมือนว่าเจ้าหญิงผมแดงของพวกเราจะโหดขึ้นกว่าเดิม... 5555 และเซจาดูลึกลับมากขึ้น สำหรับคนที่เคยอ่านบทก่อนรีไรท์ ก็เงียบๆไว้นะครับ อย่าสปอยล์เชียวนะครับ ^^
พบกันเร็วๆ นี้นะครับ
ความคิดเห็น