ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 นักเดินทาง
ตอนที่ 3 นักเดินทาง
อาทิตย์อัสดงเตรียมลาลับขอบนภาสีสด เสียงหมู่มวลวิหคที่บินกลับรังร้องก้องท่ามกลางความเงียบสงบแห่งนครอัญมณีที่ไม่เคยสงัด เสียงใบไม้กระทบกันดังคลื่นคนตรีธรรมชาติที่ฟังดูเงียบเหงา สายลมพัดแผ่นพาให้เกิดเสียงชวนหดหู่ กับพื้นที่กว้างที่ไร้ทุกสรรพสิ่ง ประติมากรรมชิ้นงามที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองที่พลุกพล่านไปด้วยหมู่คนบัดนี้หว้าเหว่
ควันไฟจางๆรอยขึ้นสูงพร้อมเข้าหลวมรวมไปกับหมู่อากาศธาตุ พร้อมกับเสียงที่ลอยมาตามลายลม
“หืมม์ อะไรกัน เจ้าจะบอกว่าเจ้าที่เป็นท่านผู้มีพระคุณแก่พวกเราแห่งนี้เป็นเพียงนักเดินทางไร้ชื่อ?” น้ำเสียงสูงบ่งบอกถึงการเอ่ยถามด้วยความไม่เชื่อ
นักเดินทาง? เด็กหนุ่มที่ดูเด็ก...และดูดี เกินกว่าที่จะเป็น กับแมวดำเจ้าสำอางหนึ่งตัว เนี่ยนะ? นักเดินทาง?
นัยน์ตาสีพฤกษาพราวระยับ รับแก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันอยู่เต็มขึ้นมาถือ ริมฝีปากได้รูปขยับรอยยิ้มถูกใจ
“แล้วพวกท่านเห็นข้าเป็นอย่างไรเล่า?” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยถามกลับ “พวกข้า เด็กหนุ่มกับแมวสำอางเนี่ยล่ะ เป็นนักเดินทาง” เอ่ยราวรู้กับความคิดของบุคคลรอบข้าง ชาวบ้านที่รายล้อมเด็กหนุ่มที่กล่าวตนเป็นนักเดินทางต่างสะดุ้งเฮือก “แต่พวกข้าไม่ได้ไร้ชื่อนะ มีชื่อให้พวกท่านเรียกน่า เรียกซะนักเดินทางไร้ชื่อ เสียหมด” กล่าวด้วยน้ำเสียงตัดทอน
ชาวบ้านพากันเงียบ เฟรย์กระดกแก้วขึ้นให้น้ำสีอำพันไหลลงคอได้สะดวก พร้อมทำสีหน้าถูกใจกับรสชาติของมัน อีกครั้งที่ริมฝีปากเผยอเอ่ยถ้อยคำ
“ข้าชื่อเฟรย์... และแมวดำตัวนี้ชื่อ ริส”
“แล้วท่านเฟรย์จะเดินทางไปแห่งใดกันหรือคะ? ข้าว่าพวกท่านคงมีจุดหมาย แล้วเหตุใดพวกท่านจึงมาเยือนนครของเรากันหรือ?” หญิงสาวนางหนึ่งถามขึ้นเสียงหวาน ส่งสายตาหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้ามาให้ พร้อมกับริมฝีปากสีสดเผยอขึ้นเล็กน้อย “ไม่คิดสนใจจะอาศัยกับชาวเราบ้างหรือไร”
เฟรย์ทำหน้าผวา
“ขอบคุณสำหรับคำชวน แต่ข้าว่าอย่าเลยดีกว่า” เอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่บรรจงสร้างให้ดูดี ที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็ดูแหยอยู่ดี “จุดหมายข้ายังอีกยาวไกล ที่ข้ามายังนครแห่งนี้ เพียงแค่ต้องการเสบียงและเครื่องใช้เท่านั้น”
ใบหน้าของเหล่าชาวบ้านยังคงจับจ้องที่ดวงหน้าใสของเด็กหนุ่มอย่างนิ่งเงียบ บ้างก็กระดกน้ำในแก้วขึ้นดื่มอย่างเมามัน บ้างก็หยิบของกินขึ้นมานั่งกิน แต่โดยรวมแต่ละใบหน้าต่างก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี ใบหน้าของเด็กหนุ่มฉายแววเจ้าเล่ห์น้อยๆ รอยยิ้มผุดขึ้นเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะกลายเป็นสีหน้าที่ดูหดหู่
“แต่ท่าทางข้าคงต้องตัดใจ เงินก้อนสุดท้ายที่ตั้งใจจะเอามาซื้อเสบียง เจ้าแมวโง่ที่พวกท่านเห็นตัวนั้นมันดันทำหายไปเสียแล้ว ข้าคงต้องชวดแล้วยอมอดอยาก”
ได้ผลฉับพลัน ชาวบ้านถ้วนหน้าต่างสงสารเด็กหนุ่มตรงหน้าจับใจ บ้างก็เหยีดสายตาไปยังแมวดำที่ถูกพาดพิงเรื่องไม่เป็นจริง ชวนให้แมวน้อยตวัดสายตาเหิ้ยมมองหน้าคนพูดอย่างต้องการฆ่าเป็นที่สุด แต่ฉับพลันเสียงหวานหนึ่งก็เอ่ยแทรก
“ไม่เป็นไร ท่านต้องการสิ่งใดบ้าง หากไม่เกินความสามารถ ข้าจะนำมันมาให้ท่าน มันคงช่วยอะไรได้บ้าง”
ประโยคที่เฟรย์ต้องขยับรอยยิ้มอย่างถูกใจยิ่งในใจ
“คงเป็นการรบกวนท่านเกินไป” นัยน์ตาสีพฤกษาฉายแววเกรงใจอย่างถ่องแท้ สีหน้าและน้ำเสียงแสดงได้ถึงความลำบากใจอย่างเหมือนจริง
“อย่างเกรงใจไปพ่อหนุ่ม ข้าก็จะช่วยเจ้าด้วย เจ้าต้องการสิ่งใดบ้าง” น้ำเสียงแหบแห้งคราวนี้เป็นของชายชราคนหนึ่ง
“ใช่ อย่างน้อยเจ้าก็เป็นผู้มีพระคุณ ให้พวกเราได้ตอบแทน ข้าจะช่วยด้วย” และนี่ก็อีกเสียงหนึ่ง
“ข้าด้วย”
“ข้าด้วย”
ริสหันหน้ามองซ้ายขวาทีด้วยความงงงวย ก่อนหันไปยังหน้าเด็กหนุ่มที่แสร้งหันหน้าหนีหลบรอยยิ้มกว้างอย่างถูกใจของตน ริสอ้าปากค้างถึงบางอ้อ
...ไอ้หมอนี่มันเจ้าเล่ห์ที่สุด!...
“ข้าซึ้งใจในน้ำใจของพวกท่านมาก ที่ได้ยินมาคงเป็นเรื่องจริง ที่ว่าชาวไอเรสทุกคนเปรียบดั่งอัญมณีน้ำงามเจียระไน งดงาม แกร่งไกร อ่อนโยน และมีน้ำใจแก่ทุกคน” คนเจ้าเล่ห์เอ่ยทำซึ้ง พร้อมป้อนลูกยอเข้าอีกกิโลเศษ “หากไม่มากไป ข้าขอเพียงแค่เสบียงที่พอเพียงประทังชีวิตสองคนไปได้หนึ่งเดือนเป็นพอ”
“โธ่ เกรงใจอะไรกันนัก เรามันคนกันเอง แค่เดือนเดียว ข้าว่าเจ้าคงไม่พอด้วยซ้ำไป เอาเป็นว่าข้าจะจัดให้มากกว่านั้น”
“เดี๋ยวพวกข้าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องเสบียงอาหาร และของจำเป็นสำหรับการเดินทางเอง พวกเจ้าคงนอนกลางดินกินกลางทรายมามากแล้ว วันนี้สักวัน เรามาฉลองกันเถอะ!”
ชาวบ้านทุกคนต่างพากันยิ้มอย่างถูกใจ ยกแก้วที่ทุกคนต่างได้รับขึ้นชูเหนือหัว เปร่งเสียงออกอย่างสุดเสียง
“เฮ~~!!!”
และทันใด อาหารต่างๆก็ถูกยกมาเสิร์ฟในที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่อาหารพื้นเมือง ยันไปถึงอาหารชั้นเลิศ รสเยี่ยม นัยน์ตาสีพฤกษาสดใสทอประกายระยับ สะบัดหน้าไปหาแมวดำที่บัดนี้ยังคงตีสีหน้าอย่างไม่เชื่อ เฟรย์ยักคิ้วที่แมวดำเห็นแล้วเรียกว่าชวนกวนส้นเป็นที่สุดให้ ก่อนที่ร่างเด็กหนุ่มจะถูกเคลื่อนย้ายไปสนุกกับหมู่คน
เสียงดนตรีดังครื้นเครงอย่างน่าสนุก พวกชาวเมืองต่างพากันจัดการแสดงเพื่อสร้างสีสันให้งานเลี้ยงที่ไม่เป็นทางการนี่ แมวดำนั่งอยู่บนเก้าอี้ดูเหล่าชาวบ้านที่พากันเต้นรำอย่างสนุกสนานพร้อมรอยยิ้มเป็นสุข นัยน์ตาสีทองสว่างเหลือบไปเห็นใครสักคนที่เดินออกมาจากฝูงชนด้วยรอยยิ้มสนุกสนานที่ดูท่าทางเจ้าตัวจะไม่ได้มีมานานแล้ว
เรือนผมสีรัตติกาลเฉกเดียวกับนภากว้างในยามราตรีชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ นัยน์ตาสีพฤกษาแปลกตาดูสดใสมากกว่าวันไหนๆ เรียวขายาวก้าวเร็วมายังที่ที่แมวดำนั่งอยู่
“ไง สนุกพอแล้วหรือ เจ้าน่ะ?” ริสเอ่ยถาม
“ก็สนุก ถูกใจข้ามากพอดูทีเดียวเลยล่ะ ไม่ได้สังสรรค์อย่างนี้มานานเท่าไรแล้วนะ? ไม่ได้สนุกแบบนี้มานานเท่าไรกันแล้ว?” น้ำเสียงราบเรียบ รอยยิ้มบางประดับมุมปาก รอยยิ้มที่ดูแล้วชวนหดหู่เล็กๆ กับนัยน์ตาสีแปลกตาไหววูบ
ริสนั่งนิ่งเงียบอย่างไม่คิดจะตอบและออกความเห็น
“ไง ท่านผู้กล้า ไม่เข้าร่วมสนุกในงานต่อแล้วหรือ?” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบระหว่างเด็กหนุ่มกับแมว นัยน์ตาทั้งสองตวัดไปยังผู้มาใหม่พร้อมเพรียงอย่างไม่ได้นัดหมาย ชายชราร่างเตี้ย เส้นผมสีเทายาวถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีเทาขุ่นที่ดูใจดี มือแห้งเหี่ยวจับไม้เท้าไว้ค้ำยัน พร้อมกับกำลังเดินมานั่งเก้าอี้ที่เหลือว่างอยู่
เฟรย์ซ่อนนัยน์ตาเศร้าทันใด
“อ่า...ท่านผู้เฒ่ามีธุระอะไรหรือ?” เฟรย์เอ่ยถาม ชายชราเพียงแค่ส่ายหัวไปมา
ความเงียบเริ่มกลับมาอีกครั้ง เมื่อชายชราไม่มีแม้แต่ถ้อยคำเอื้อนเอ่ย ความอึดอัดเริ่มครอบงำ กับคนที่ไม่ชอบความเงียบที่ชวนอึดอัดเช่นนี้ ริมฝีปากได้รูปกำลังจะขยับปากชวนคุย แต่กลับมาเสียงมาแทรกขึ้นก่อน
“เจ้าคงอยากรู้ ว่าเหตุใด นครที่รื่นเริงเช่นนี้ จึงตกอยู่ในกำมือของปิศาจ” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยจากผู้เฒ่าชรา เฟรย์นิ่งเงียบ นั่นเป็นสิ่งที่เค้าอยากรู้ในตอนแรก แต่ตอนนี้จะยังไงก็ได้มากกว่า “ถ้าไม่เบื่อที่จะนั่งฟังเรื่องเล่าจากคนแก่ ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง” รอยยิ้มอ่อนโยนเผยขึ้นบนดวงหน้าเหี่ยวย่น เด็กหนุ่มกับแมวดำพยักหน้าอย่างต้องการรับรู้
คนแก่หัวเราะร่วน
“งั้นก็ฟัง...เจ้าคงรู้ว่าเมืองของเราแห่งนี้ตั้งอยู่กลางป่ากลางหุบเขา และเป็นทางผ่านสำหรับผู้ที่ต้องการลัดไปยังดินแดนทางใต้...” นัยน์ตาสีเทาเหลือบมามองดวงหน้างามของเด็กหนุ่ม “และข้าว่าเจ้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น” เฟรย์สะดุ้งเฮือก “ฮ่ะๆๆ แต่เจ้าจะเดินทางไปไหนก็เรื่องของเจ้าเถอะ แต่เพราะด้วยเป็นทางผ่าน ผู้คนถึงได้เดินทางมายังเมืองนี้มาก ทั้งที่เมื่อก่อน ไม่ว่าจะร่ำรวยอัญมณีงดงามเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครรู้จักนครแห่งนี้...”
คนฟังยังคงนั่งเงียบอย่างตั้งใจ
“ไม่นาน นครไอเรสก็ขึ้นชื่อและโด่งดังไปทั่วในหมู่นักเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องทางผ่านที่ใกล้แสนใกล้ เหมืองอัญมณีที่มีน้ำงามที่สุด กับนครที่งดงามและสงบสุข ชาวเมืองต่างยินดีและมีความสุขมาก กับนักเดินทางที่ผ่านมาเยี่ยมเยือน...” น้ำเสียงฟังดูมีความสุขของคนแก่ รอยยิ้มมีความสุข นัยน์ตาประกาย ก่อนที่แสงเหล่านั้นจะวูบไปในประโยคต่อมา “แต่วันนั้นมันก็มาถึง วันที่เรื่องราวถึงหูปิศาจที่น่ารังเกียจ วันนั้น มันเข้ามาทำลายทุกสิ่งในเมือง คร่าชีวิตชาวเมืองไปครึ่งค่อน นักเดินทางที่เข้ามาเยี่ยมเยียนนครของเราต่างถูกฆ่าตายไม่เหลือ กษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ทุกคนโดนฆ่าสิ้น เมืองนี้ล่มสลายลง...เหลือเพียงชื่อ และชาวเมืองเพียงเล็กน้อยที่ยังถูกปิศาจเหล่านั้นใช้งานเมื่อเห็นเมืองแห่งนี้ยังคงมีประโยชน์ นั่นคือวันคืนแห่งความโหดร้าย” นัยน์ตาขุ่นของผู้เฒ่าโชนแสงแทบลุกเป็นเปลวเพลิงแห่งความเคียดแค้น ก่อนที่รอยยิ้มจะผุดบนใบหน้าเหี่ยวย่นอีกครั้ง “แต่ครั้งนี้ ทุกอย่างจะหวนคืน เพราะเจ้าแท้ๆ ข้าขอขอบคุณเจ้ามากๆ จากใจจริง” รอยยิ้มนั้นดูอบอุ่นอ่อนโยน รอยยิ้มจากใจ
เฟรย์ขยับรอยยิ้มกว้าง “ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณขอบเคินอะไรกัน ข้ากับริสก็แค่ผ่านมาในช่วงเวลาที่บังเอิญ”
รอยยิ้มยังคงประดับอยู่ใบหน้าของผู้เฒ่า ชายชราโคลงหัวเล็กน้อย ก่อนเอ่ยคำพูด “ยังไงซะ คืนนี้ข้าจะให้คนจัดที่พักให้เจ้า และพรุ่งนี้หากเจ้าต้องการจะเดินทาง ทุกอย่างที่เจ้าต้องการชาวเมืองจะจัดให้อย่างพร้อมเพรียง” พร้อมกับการเดินจากไป
<<>>::<<>>::<<>>::<<>>::<<>>
อาทิตย์อัสดงเตรียมลาลับขอบนภาสีสด เสียงหมู่มวลวิหคที่บินกลับรังร้องก้องท่ามกลางความเงียบสงบแห่งนครอัญมณีที่ไม่เคยสงัด เสียงใบไม้กระทบกันดังคลื่นคนตรีธรรมชาติที่ฟังดูเงียบเหงา สายลมพัดแผ่นพาให้เกิดเสียงชวนหดหู่ กับพื้นที่กว้างที่ไร้ทุกสรรพสิ่ง ประติมากรรมชิ้นงามที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองที่พลุกพล่านไปด้วยหมู่คนบัดนี้หว้าเหว่
ควันไฟจางๆรอยขึ้นสูงพร้อมเข้าหลวมรวมไปกับหมู่อากาศธาตุ พร้อมกับเสียงที่ลอยมาตามลายลม
“หืมม์ อะไรกัน เจ้าจะบอกว่าเจ้าที่เป็นท่านผู้มีพระคุณแก่พวกเราแห่งนี้เป็นเพียงนักเดินทางไร้ชื่อ?” น้ำเสียงสูงบ่งบอกถึงการเอ่ยถามด้วยความไม่เชื่อ
นักเดินทาง? เด็กหนุ่มที่ดูเด็ก...และดูดี เกินกว่าที่จะเป็น กับแมวดำเจ้าสำอางหนึ่งตัว เนี่ยนะ? นักเดินทาง?
นัยน์ตาสีพฤกษาพราวระยับ รับแก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันอยู่เต็มขึ้นมาถือ ริมฝีปากได้รูปขยับรอยยิ้มถูกใจ
“แล้วพวกท่านเห็นข้าเป็นอย่างไรเล่า?” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยถามกลับ “พวกข้า เด็กหนุ่มกับแมวสำอางเนี่ยล่ะ เป็นนักเดินทาง” เอ่ยราวรู้กับความคิดของบุคคลรอบข้าง ชาวบ้านที่รายล้อมเด็กหนุ่มที่กล่าวตนเป็นนักเดินทางต่างสะดุ้งเฮือก “แต่พวกข้าไม่ได้ไร้ชื่อนะ มีชื่อให้พวกท่านเรียกน่า เรียกซะนักเดินทางไร้ชื่อ เสียหมด” กล่าวด้วยน้ำเสียงตัดทอน
ชาวบ้านพากันเงียบ เฟรย์กระดกแก้วขึ้นให้น้ำสีอำพันไหลลงคอได้สะดวก พร้อมทำสีหน้าถูกใจกับรสชาติของมัน อีกครั้งที่ริมฝีปากเผยอเอ่ยถ้อยคำ
“ข้าชื่อเฟรย์... และแมวดำตัวนี้ชื่อ ริส”
“แล้วท่านเฟรย์จะเดินทางไปแห่งใดกันหรือคะ? ข้าว่าพวกท่านคงมีจุดหมาย แล้วเหตุใดพวกท่านจึงมาเยือนนครของเรากันหรือ?” หญิงสาวนางหนึ่งถามขึ้นเสียงหวาน ส่งสายตาหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้ามาให้ พร้อมกับริมฝีปากสีสดเผยอขึ้นเล็กน้อย “ไม่คิดสนใจจะอาศัยกับชาวเราบ้างหรือไร”
เฟรย์ทำหน้าผวา
“ขอบคุณสำหรับคำชวน แต่ข้าว่าอย่าเลยดีกว่า” เอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่บรรจงสร้างให้ดูดี ที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็ดูแหยอยู่ดี “จุดหมายข้ายังอีกยาวไกล ที่ข้ามายังนครแห่งนี้ เพียงแค่ต้องการเสบียงและเครื่องใช้เท่านั้น”
ใบหน้าของเหล่าชาวบ้านยังคงจับจ้องที่ดวงหน้าใสของเด็กหนุ่มอย่างนิ่งเงียบ บ้างก็กระดกน้ำในแก้วขึ้นดื่มอย่างเมามัน บ้างก็หยิบของกินขึ้นมานั่งกิน แต่โดยรวมแต่ละใบหน้าต่างก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี ใบหน้าของเด็กหนุ่มฉายแววเจ้าเล่ห์น้อยๆ รอยยิ้มผุดขึ้นเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะกลายเป็นสีหน้าที่ดูหดหู่
“แต่ท่าทางข้าคงต้องตัดใจ เงินก้อนสุดท้ายที่ตั้งใจจะเอามาซื้อเสบียง เจ้าแมวโง่ที่พวกท่านเห็นตัวนั้นมันดันทำหายไปเสียแล้ว ข้าคงต้องชวดแล้วยอมอดอยาก”
ได้ผลฉับพลัน ชาวบ้านถ้วนหน้าต่างสงสารเด็กหนุ่มตรงหน้าจับใจ บ้างก็เหยีดสายตาไปยังแมวดำที่ถูกพาดพิงเรื่องไม่เป็นจริง ชวนให้แมวน้อยตวัดสายตาเหิ้ยมมองหน้าคนพูดอย่างต้องการฆ่าเป็นที่สุด แต่ฉับพลันเสียงหวานหนึ่งก็เอ่ยแทรก
“ไม่เป็นไร ท่านต้องการสิ่งใดบ้าง หากไม่เกินความสามารถ ข้าจะนำมันมาให้ท่าน มันคงช่วยอะไรได้บ้าง”
ประโยคที่เฟรย์ต้องขยับรอยยิ้มอย่างถูกใจยิ่งในใจ
“คงเป็นการรบกวนท่านเกินไป” นัยน์ตาสีพฤกษาฉายแววเกรงใจอย่างถ่องแท้ สีหน้าและน้ำเสียงแสดงได้ถึงความลำบากใจอย่างเหมือนจริง
“อย่างเกรงใจไปพ่อหนุ่ม ข้าก็จะช่วยเจ้าด้วย เจ้าต้องการสิ่งใดบ้าง” น้ำเสียงแหบแห้งคราวนี้เป็นของชายชราคนหนึ่ง
“ใช่ อย่างน้อยเจ้าก็เป็นผู้มีพระคุณ ให้พวกเราได้ตอบแทน ข้าจะช่วยด้วย” และนี่ก็อีกเสียงหนึ่ง
“ข้าด้วย”
“ข้าด้วย”
ริสหันหน้ามองซ้ายขวาทีด้วยความงงงวย ก่อนหันไปยังหน้าเด็กหนุ่มที่แสร้งหันหน้าหนีหลบรอยยิ้มกว้างอย่างถูกใจของตน ริสอ้าปากค้างถึงบางอ้อ
...ไอ้หมอนี่มันเจ้าเล่ห์ที่สุด!...
“ข้าซึ้งใจในน้ำใจของพวกท่านมาก ที่ได้ยินมาคงเป็นเรื่องจริง ที่ว่าชาวไอเรสทุกคนเปรียบดั่งอัญมณีน้ำงามเจียระไน งดงาม แกร่งไกร อ่อนโยน และมีน้ำใจแก่ทุกคน” คนเจ้าเล่ห์เอ่ยทำซึ้ง พร้อมป้อนลูกยอเข้าอีกกิโลเศษ “หากไม่มากไป ข้าขอเพียงแค่เสบียงที่พอเพียงประทังชีวิตสองคนไปได้หนึ่งเดือนเป็นพอ”
“โธ่ เกรงใจอะไรกันนัก เรามันคนกันเอง แค่เดือนเดียว ข้าว่าเจ้าคงไม่พอด้วยซ้ำไป เอาเป็นว่าข้าจะจัดให้มากกว่านั้น”
“เดี๋ยวพวกข้าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องเสบียงอาหาร และของจำเป็นสำหรับการเดินทางเอง พวกเจ้าคงนอนกลางดินกินกลางทรายมามากแล้ว วันนี้สักวัน เรามาฉลองกันเถอะ!”
ชาวบ้านทุกคนต่างพากันยิ้มอย่างถูกใจ ยกแก้วที่ทุกคนต่างได้รับขึ้นชูเหนือหัว เปร่งเสียงออกอย่างสุดเสียง
“เฮ~~!!!”
และทันใด อาหารต่างๆก็ถูกยกมาเสิร์ฟในที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่อาหารพื้นเมือง ยันไปถึงอาหารชั้นเลิศ รสเยี่ยม นัยน์ตาสีพฤกษาสดใสทอประกายระยับ สะบัดหน้าไปหาแมวดำที่บัดนี้ยังคงตีสีหน้าอย่างไม่เชื่อ เฟรย์ยักคิ้วที่แมวดำเห็นแล้วเรียกว่าชวนกวนส้นเป็นที่สุดให้ ก่อนที่ร่างเด็กหนุ่มจะถูกเคลื่อนย้ายไปสนุกกับหมู่คน
เสียงดนตรีดังครื้นเครงอย่างน่าสนุก พวกชาวเมืองต่างพากันจัดการแสดงเพื่อสร้างสีสันให้งานเลี้ยงที่ไม่เป็นทางการนี่ แมวดำนั่งอยู่บนเก้าอี้ดูเหล่าชาวบ้านที่พากันเต้นรำอย่างสนุกสนานพร้อมรอยยิ้มเป็นสุข นัยน์ตาสีทองสว่างเหลือบไปเห็นใครสักคนที่เดินออกมาจากฝูงชนด้วยรอยยิ้มสนุกสนานที่ดูท่าทางเจ้าตัวจะไม่ได้มีมานานแล้ว
เรือนผมสีรัตติกาลเฉกเดียวกับนภากว้างในยามราตรีชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ นัยน์ตาสีพฤกษาแปลกตาดูสดใสมากกว่าวันไหนๆ เรียวขายาวก้าวเร็วมายังที่ที่แมวดำนั่งอยู่
“ไง สนุกพอแล้วหรือ เจ้าน่ะ?” ริสเอ่ยถาม
“ก็สนุก ถูกใจข้ามากพอดูทีเดียวเลยล่ะ ไม่ได้สังสรรค์อย่างนี้มานานเท่าไรแล้วนะ? ไม่ได้สนุกแบบนี้มานานเท่าไรกันแล้ว?” น้ำเสียงราบเรียบ รอยยิ้มบางประดับมุมปาก รอยยิ้มที่ดูแล้วชวนหดหู่เล็กๆ กับนัยน์ตาสีแปลกตาไหววูบ
ริสนั่งนิ่งเงียบอย่างไม่คิดจะตอบและออกความเห็น
“ไง ท่านผู้กล้า ไม่เข้าร่วมสนุกในงานต่อแล้วหรือ?” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบระหว่างเด็กหนุ่มกับแมว นัยน์ตาทั้งสองตวัดไปยังผู้มาใหม่พร้อมเพรียงอย่างไม่ได้นัดหมาย ชายชราร่างเตี้ย เส้นผมสีเทายาวถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีเทาขุ่นที่ดูใจดี มือแห้งเหี่ยวจับไม้เท้าไว้ค้ำยัน พร้อมกับกำลังเดินมานั่งเก้าอี้ที่เหลือว่างอยู่
เฟรย์ซ่อนนัยน์ตาเศร้าทันใด
“อ่า...ท่านผู้เฒ่ามีธุระอะไรหรือ?” เฟรย์เอ่ยถาม ชายชราเพียงแค่ส่ายหัวไปมา
ความเงียบเริ่มกลับมาอีกครั้ง เมื่อชายชราไม่มีแม้แต่ถ้อยคำเอื้อนเอ่ย ความอึดอัดเริ่มครอบงำ กับคนที่ไม่ชอบความเงียบที่ชวนอึดอัดเช่นนี้ ริมฝีปากได้รูปกำลังจะขยับปากชวนคุย แต่กลับมาเสียงมาแทรกขึ้นก่อน
“เจ้าคงอยากรู้ ว่าเหตุใด นครที่รื่นเริงเช่นนี้ จึงตกอยู่ในกำมือของปิศาจ” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยจากผู้เฒ่าชรา เฟรย์นิ่งเงียบ นั่นเป็นสิ่งที่เค้าอยากรู้ในตอนแรก แต่ตอนนี้จะยังไงก็ได้มากกว่า “ถ้าไม่เบื่อที่จะนั่งฟังเรื่องเล่าจากคนแก่ ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง” รอยยิ้มอ่อนโยนเผยขึ้นบนดวงหน้าเหี่ยวย่น เด็กหนุ่มกับแมวดำพยักหน้าอย่างต้องการรับรู้
คนแก่หัวเราะร่วน
“งั้นก็ฟัง...เจ้าคงรู้ว่าเมืองของเราแห่งนี้ตั้งอยู่กลางป่ากลางหุบเขา และเป็นทางผ่านสำหรับผู้ที่ต้องการลัดไปยังดินแดนทางใต้...” นัยน์ตาสีเทาเหลือบมามองดวงหน้างามของเด็กหนุ่ม “และข้าว่าเจ้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น” เฟรย์สะดุ้งเฮือก “ฮ่ะๆๆ แต่เจ้าจะเดินทางไปไหนก็เรื่องของเจ้าเถอะ แต่เพราะด้วยเป็นทางผ่าน ผู้คนถึงได้เดินทางมายังเมืองนี้มาก ทั้งที่เมื่อก่อน ไม่ว่าจะร่ำรวยอัญมณีงดงามเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครรู้จักนครแห่งนี้...”
คนฟังยังคงนั่งเงียบอย่างตั้งใจ
“ไม่นาน นครไอเรสก็ขึ้นชื่อและโด่งดังไปทั่วในหมู่นักเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องทางผ่านที่ใกล้แสนใกล้ เหมืองอัญมณีที่มีน้ำงามที่สุด กับนครที่งดงามและสงบสุข ชาวเมืองต่างยินดีและมีความสุขมาก กับนักเดินทางที่ผ่านมาเยี่ยมเยือน...” น้ำเสียงฟังดูมีความสุขของคนแก่ รอยยิ้มมีความสุข นัยน์ตาประกาย ก่อนที่แสงเหล่านั้นจะวูบไปในประโยคต่อมา “แต่วันนั้นมันก็มาถึง วันที่เรื่องราวถึงหูปิศาจที่น่ารังเกียจ วันนั้น มันเข้ามาทำลายทุกสิ่งในเมือง คร่าชีวิตชาวเมืองไปครึ่งค่อน นักเดินทางที่เข้ามาเยี่ยมเยียนนครของเราต่างถูกฆ่าตายไม่เหลือ กษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ทุกคนโดนฆ่าสิ้น เมืองนี้ล่มสลายลง...เหลือเพียงชื่อ และชาวเมืองเพียงเล็กน้อยที่ยังถูกปิศาจเหล่านั้นใช้งานเมื่อเห็นเมืองแห่งนี้ยังคงมีประโยชน์ นั่นคือวันคืนแห่งความโหดร้าย” นัยน์ตาขุ่นของผู้เฒ่าโชนแสงแทบลุกเป็นเปลวเพลิงแห่งความเคียดแค้น ก่อนที่รอยยิ้มจะผุดบนใบหน้าเหี่ยวย่นอีกครั้ง “แต่ครั้งนี้ ทุกอย่างจะหวนคืน เพราะเจ้าแท้ๆ ข้าขอขอบคุณเจ้ามากๆ จากใจจริง” รอยยิ้มนั้นดูอบอุ่นอ่อนโยน รอยยิ้มจากใจ
เฟรย์ขยับรอยยิ้มกว้าง “ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณขอบเคินอะไรกัน ข้ากับริสก็แค่ผ่านมาในช่วงเวลาที่บังเอิญ”
รอยยิ้มยังคงประดับอยู่ใบหน้าของผู้เฒ่า ชายชราโคลงหัวเล็กน้อย ก่อนเอ่ยคำพูด “ยังไงซะ คืนนี้ข้าจะให้คนจัดที่พักให้เจ้า และพรุ่งนี้หากเจ้าต้องการจะเดินทาง ทุกอย่างที่เจ้าต้องการชาวเมืองจะจัดให้อย่างพร้อมเพรียง” พร้อมกับการเดินจากไป
<<>>::<<>>::<<>>::<<>>::<<>>
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น