ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    the last chapter of war in legend

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 – นครแห่งอัญมณี ไอเรส

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ย. 48


    ตอนที่ 2 – นครแห่งอัญมณี ไอเรส



    ข้าแต่เจ้าปิศาจผู้ครองโลกา จงสดับรับคำแห่งข้า ดลบันดาลให้แสงสว่างเพียงริบหรี่จงดับสูญ ให้อำนาจมืดจงก่อเกิดทั่วพื้นพิภพ ให้ความมืดจงกลืนกินแสงสว่าง ดลบันดาลให้ทุกอย่างจงคืนสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง...



    ยุคสมัยแห่งข้า...จงหวนกลับ...



    อำนาจทั้งหมด จงก่อเกิดอยู่กับข้า...



    และ จงดลบันดาลให้บุตรีแห่งข้า จงกลับคืน ตื่นจากฝัน เพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียวกับข้า...



    ตลอดกาล...



    = = = = =



    เฮือก!!!



    นัยน์ตาสีพฤกษาพลันเบิกโพลง ร่างกายถูกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลราวสายน้ำ เสียงหอบเบาๆตามมาเป็นจังหวะ พร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว เส้นผมสีดำรัตติกาลยาวยุ่งเหยิง มือขยับจับสร้อยคอของตนอย่างเป็นนิสัย นัยน์ตาสีเขียวพฤกษาตวัดมองโดยรอบอย่างหวาดระแวง



    แสงสว่างสอดส่องผ่านหมู่มวลไม้ทอดแสงลงบนผืนดินอุดม เสียงขับขานจากสัตว์ป่านานาชนิดต่างส่งเสียงรับกับอย่างเป็นท่วงทำนองแห่งธรรมชาติที่ฟังดูไพเราะ เด็กหนุ่มถอนใจเบา มือควานหาเชือกเส้นเล็กในกระเป๋า แล้วนำมารวบผมไว้อย่างลวกๆ ก่อนที่จะสัมผัสถึงอะไรสักอย่าง



    เมี๊ยว.ว..ววว~



    เสียงร้องที่ชวนให้เสียงสันหลังวาบ นัยน์ตารับตวัดหาที่มาของต้นเสียง และต้อง...



    “เฮ้ยยย..ยย.ย.ยยย!!!” ผงะจนต้องตะโกนเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ



    “ม๊าวววว..ว...วววว!!!” แมวน้อยสีดำร้องรับกับเสียงตะโกนตามอย่างทันที ขนดำขลับตั้งชันขึ้นอย่างเป็นสัญชาติญาณ ก่อนที่เจ้าของนัยน์ตาสีพฤกษาจะค่อยเรียกคืนสติกลับมาได้



    “โธ่เอ้ย ริสเองเหรอเนี่ย คราวหลังหัดมาอย่างให้สุ่มให้เสียงหน่อยสิ เล่นเอาขวัญฝ่อหมด” พูดพลางแสดงท่าทางอย่างให้เห็นว่าตกใจอย่างหนัก



    “เหอะ แล้วที่ข้าร้อง ‘เมี๊ยว’ มาเนี่ย ไม่ถือเป็นการให้สุ่มให้เสียงมาก่อนแล้วหรือไง เจ้านั่นแหละ ที่มัวแต่มองเหม่อไร้สติอยู่นั่น” เจ้าแมวน้อยนาม ริส สวนตอบเข้าให้ พร้อมท่าทีที่ไม่พอใจอย่างที่แมวจะแสดงออกมาได้อย่างเห็นได้ชัด ลิ้นบางๆของเจ้าแมวน้อยเริ่มแลบออกมาเลียขนเพื่อลดความไม่พอใจ



    ดวงตาคมกริบสีทองสว่างตวัดขึ้นมองหน้าของคนที่คาดว่ายังขวัญผวาไม่หาย ปากคลี่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่แมวจะทำได้



    “ได้ยินมาว่า ข้างหน้านี้อีก 100 เมตรขึ้นไป มีประเทศที่ยังคงอุดมสมบูรณ์อยู่...” ริสเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียกความสนใจ ซึ่งมันก็ได้อย่างที่คาดไว้ “เจ้าคงเคยได้ยิน นครอัญมณี”



    เฟรย์นัยน์ตาพราวระยับอย่างรู้ทันว่าคงมรข้อต่อรอง โคลงศรีษะน้อยๆ “แน่นอน นครไอเรส แล้วยังไง?”



    แมวหนุ่มยิ้มอย่างพอใจกับถ้อยคำที่ได้รับ “เจ้าจะว่าอย่างไร หากข้าไปถึงก่อน...” ริสหยุดพูดชั่วครู่ พร้อมเหลือบมองการเปลี่ยนแปลงของคู่สนทนา “เจ้าจะต้องเชื่อฟังข้าทุกอย่างเป็นเวลา 1 อาทิตย์?”



    นัยน์ตาสีพฤกษาฉายแววแปลกใจ ก่อนที่รอยยิ้มจะเผยขึ้นที่ริมฝีปากได้รูป “น่าสน...” คำตอบที่เรียกรอยยิ้มจากเจ้าแมวเจ้าเล่ห์ได้กว้าง “และข้อตกลงของข้าคือ หากข้าชนะ เจ้าก็จะต้องทำทุกอย่าง ตามที่ข้าสั่งเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์... เช่นกัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยิ้มเผล่ส่งไปทางแมวดำ ก่อนที่ฝีเท้าจะเริ่มทำงาน “แล้วเจอกันที่หมูบ้านข้างหน้า” สิ้นคำพูด เช่นเดียวกับเวลาที่ร่างตรงหน้าได้หายไปจากที่เดิมเสียงแล้ว



    แมวหนุ่มมองตามอย่างตะลึง งุนงง ก่อนที่จะรีบดึงสติกับมาแล้วเร่งฝีเท้าตามเจ้าคนเจ้าเล่ห์ไป สมองประมวลหาคำด่าที่เหมาะสมมากที่สุดเท่าที่จะนึกได้



    “เฟรย์!!! ไอ้ขี้โกง!!!”



    กับเสียงแว่วที่ฟังแล้วน่าถีบเป็นที่สุดได้ลอยมากระทบหูแมวน้อยเข้าทันใดที่สิ้นเสียงสบถ



    “งานนี้ใครเร็วใครได้โว้ยย~!!!”



    = = = = =



    ฮั่ก... ฮั่ก...



    เสียงหอบหายใจเบาๆจากบุคคลผู้มีนัยน์ตาสีพฤกษาสดใส ริมฝีปากกระตุกรอยยิ้มบางเมื่อสายตาเหลือบเห็นประตูเมืองที่อยู่ข้างหน้า พร้อมกับป้ายใหญ่แปะหลาบ่งบอกถึงชื่อประเทศ



    “ นครไอเรส”



    สายตาเหลือบไปมองหาเจ้าแมวที่คงต้องทนเป็นเบ๊ให้เขาไปสักอาทิตย์ทางด้านหลัง พร้อมรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม เมื่อทางที่เขาวิ่งมา ไม่ปรากฏแม้แต่หมาสักตัว ฝีเท้าค่อยๆก้าวช้าลงช้าลง จนกระทั่งหยุดสนิทอยู่หน้าประตูเมือง หนุ่มน้อยนามเฟรย์ตวัดสายตาของตนมองไปรอบๆ ที่ก่อนจะตัดสินใจกระโดดขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆประตูเมืองต้นหนึ่ง รอการมาของแมวน้อยที่น่าสงสาร



    “เฮ้ย!!!”



    โครม...!!!



    ตุบ...



    เสียงวัตถุบางอย่างชนกันเข้าให้อย่างจัง พร้อมกับเสียงร่วงหล่นลงมาอย่างน่าเอน็จอนาถใจ หนุ่มน้อยรูปงามนามเฟรย์ร่วงหล่นจากต้นไม้สูงลงสู่พื้นปฐพีอย่างสวยงาม ด้วยลักษณะท่าทางอันงดงามบาทาสู้ฟ้า และหน้าสู้ดิน...



    “อูย...~” เสียงแรกที่สามารถจะเอ่ยออกมาได้ มือลูบจมูกของตนด้วยความเจ็บ ตวัดสายตาวัตถุอันตรายที่พุ่งเข้ามาใส่หน้าเสียเต็มแรงพร้อมกับถ้อยคำที่สันหามาต่อว่าได้ในเวลานี้



    “ไอ้แมวโง่วิ่งมาไม่ดูตาม้าตาเรือ มองไม่เห็นคนรึงฟะ!” ว่าไปทั้งที่มือก็ยังลูบใบหน้าปอยๆ “ดูดิ๊ หมดหล่อหมด”



    “เจ้านั่นแหละ นั่งไม่ดูตาม้าตาเรือ ข้ามาด้วยความเร็วเจ้าก็น่าจะเห็น ยังอุตส่าห์กระโดดขึ้นมาขวางข้าอีก สมควรไปแล้ว!” ริสตวาดกลับเข้าให้ พร้อมด้วยการกระทำที่พยายามเลียแผลของตน



    เฟรย์มุ่ยหน้าทันทีลุกขึ้นยืนพร้อมปัดฝุ่นที่เสื้อผ้าของตนด้วยความไม่พอใจ ปากบ่นขมุบขมิบ “มาช้าแล้วยังมาว่าเค้าอีก” ก่อนที่จะเบิกนัยน์ตาโพลงอย่างเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก สะบัดหน้าไปทางเจ้าแมวน้อยที่กำลังไล่ตะครุบผีเสื้อป่าอยู่เพลินๆ เปล่งเสียงดังที่ฟังดูเหมือนสะใจ “ใช่ ริส ฉันชนะ นายต้องเชื่อฟังคำพูดชั้นหนึ่งอาทิตย์!” ว่าแล้วพลางเปล่งเสียงหัวเราะอย่างสะใจออกมาทันที



    แมวดำตัวน้อยที่กำลังกระโดดตะครุบผีเสื้อป่าอยู่นั้น ร่วงตุบลงมาทันทีที่ได้ยินคำกล่าว นอนทำท่าหมดอาลัยตายอยากอย่างเสียไม่ได้ เฟรย์วิ่งไปยังประตูเมืองใหญ่ด้วยความร่าเริงทันที แต่เท้ากลับต้องหยุดชะงักด้วยเสียงที่เรียก



    “เดี๋ยว! หยุดก่อน! ข้ารู้สึกเหมือนได้กลิ่นไม่ชอบมาพากล สัมผัสของข้ากำลังรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อันตราย...” สีหน้าของริสดูตึงเครียดขึ้นมาทันที “แล้วอีกอย่าง เมืองนี้มีการป้องกันที่แน่นหนา มันทำให้ข้าสงสัยว่า ผู้เฝ้าประตูไปอยู่ที่ไหน?”



    เฟรย์มองไปยังประตูใหญ่ ความสงสัยพลันแล่นวาบเข้าห้วงแห่งความคิด แต่ในเมื่อยังมองไม่เห็นเหตุการณ์ ก็คงที่จะยงคาดเดาอะไรไม่ได้มาก เด็กหนุ่มถอนใจเบา กระตุกรอยยิ้มบางอย่างไม่คิดอะไร ใบหน้าอ่อนเยาว์หันกลับมาพูดกับแมวดำที่ตีสีหน้าเครียด



    “เอาเหอะน่า เข้าไปดูกันก่อน มีไรก็แค่ตัวใครตัวมัน เผ่น” พูดพลางกลั้วหัวเราะเบาๆ แล้วสาวเท้าเข้าประตูเมืองอย่างไม่สนใจอะไรทันที ทำเอาเจ้าแมวหน้าเครียดต้องตีหน้าเอ๋อกับถ้อยคำที่ได้รับ หลุดเสียงหัวเราะพรืด แล้วรีบสาวเท้าตามเจ้าคนไม่คิดอะไรไปทันที



    ผ่านประตูเมืองใหญ่ที่ไร้ผู้ตรวจตรา มายังใจกลางเมืองที่ผู้คนคับคั่ง ผู้คนแต่บัดนี้กลับร้างดูไร้ผู้คน ร้านค้าต่างๆที่ยังไม่ถึงเวลาจะปิด ต่างปิดกันอย่างถ้วนหน้านักเดินทางหนึ่งมนุษย์หนึ่งแมวต่างมองหน้ากันอย่างงงงวย



    ตูม!!!!



    เสียงสนั่นกึกก้องไปทั่วท้องนภา พื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น



    ร่างของบุคคลผู้มาเยือนทั้งสองไหวตัวรวดเร็ว สองขาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม รีบวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุทันที เพิงสีสดลุกโชนเผาไหม้แผงขายของในพื้นที่ไปเกือบครึ่ง กลิ่นควันไฟคลุ้งชวนให้สำลัก เหล่าผู้คนที่นอนเจ็บ และล้มตาย สี่ ถึง ห้าคนกองอยู่กับพื้นใกล้ๆกองเพลิงที่ร้อนระอุ



    “ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าหากไม่ได้ที่ข้าต้องการข้าจะขยี้เมืองนี้มันทิ้งซะ...” เสียงใหญ่แหบห้าวน่าเกรงขามดังขึ้นท่ามกลางเปลวเพลิง พร้อมกับด้วยเสียงหัวเราะอย่างปรีดาเบาๆ



    นัยน์ตาสีพฤกษาตวัดมองเจ้าของเสียงที่ตนประณามว่าน่ารังเกียจทันทีที่ได้ยินทันใด พร้อมกับต้องชะงักและหรี่นัยน์ตาลง ปิศาจสองหัวร่างมหึมาที่ดูเต็มไปด้วยพละกำลังกำลังแสยะยิ้มไปด้วยความสุขสม ในมือข้างหนึ่งมีมนุษย์ที่อาบไปด้วยเลือดทั่วทั้งตัว ร้องครางโอดโอยเบาๆด้วยความเจ็บปวดปนไร้แรงที่จะออกเสียง ราวกับรู้ว่ามีตนถูกจับจ้อง ปิศาจสองหัวเหลือบสายตามามองผู้ริอาจลองดีทันที



    รอยยิ้มแสยะเผยให้เห็นขึ้นบนใบหน้าอุบาทว์นั่นทันที ทิ้งร่างมนุษย์ใกล้ตายในมือลงทันที “หึหึหึ ข้าว่าเจ้าคงจะอยากไปเที่ยวนรกดูสักรอบ...” ตวัดมือขึ้นเรียกตะบองยักษ์มาไว้ในมือพร้อมกวัดแกว่งมันไปมา “ข้าจะช่วยสงเคราะห์เจ้า!!!” สิ้นคำพูดลง ร่างมหึมาก็พุ่งเข้าหาเฟรย์ทันที!!!



    ท่ามกลางเสียงตระหนกตกใจของผู้คนรอบข้าง เฟรย์ยืดตัวขึ้นช้าๆ สายตาจ้องมองปิศาจสองหัวด้วยความเกลียดชัง พร้อมยื่นมือออกไปทางด้านข้าง ขณะเดียวกันที่แมวดำขยับรอยยิ้มถูกใจ



    ........



    ไร้เสียงแห่งการปะทะกันแต่อย่างใด เท่าที่สายตาของคนในที่นั้นจะเห็นได้คือ ร่างของเด็กหนุ่มผมดำเดินผ่านร่างปิศาจที่วิ่งเข้ามาหาตนอย่างช้าๆ แล้วทุกอย่างก็จบลง



    “หืมม์..?” เสียงร้องที่แสดงถึงความสงสัยของปิศาจร่างมหึมา พร้อมกับรอยยิ้มแสยะบางๆที่เผยบนดวงหน้าเด็กหนุ่มหน้าตาดี นัยน์ตาฉายแววเหิ้ยมโหดน่ากลัว



    ฉับพลัน ร่างๆทั้งร่างของปิศาจก็กระจายเป็นเศษเสี้ยวอย่างนับไม่ถ้วน เลือดสาดกระเซ็นอย่างน่าสยดสยอง กลิ่นคาวเลือดสีดำชวนให้คลื่นเหียน เสียงกรีดร้องระงมด้วยความตกใจ



    “น่าขำสิ้นดี กับศพที่ตายไปแล้วอย่างเจ้ากับรู้ตัว” เฟรย์ยืดตัวตรง ตวัดเคียวเปื้อนเลือดที่เป็นสิ่งสังหารปิศาจเมื่อครู่ลงท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้คน



    สายตานับสิบจ้องมองมาที่บุคคลผู้สังหารปิศาจลงได้อย่างไม่วาง จนเจ้าตัวที่เพิ่งรู้สึกไหวตัว สะดุ้งเล็กๆ พร้อมเผยรอยยิ้มแหยๆให้กับบุคคลที่จ้องมอง มือขยับเกาหัวแกรกๆ รีบไล่เคียวเงินในมือให้หายไปทันที ปรากฎเป็นสร้อยคอวิจิตรที่ลำคอทันที



    “เอ่อ ข้าขอโทษที่ทำให้พื้นที่ของพวกท่านต้องสกปรก...” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ



    <<>>::<<>>::<<>>::<<>>::<<>>
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×