ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Universe Story II

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่หก: Team work

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 57


    บทที่หก: Team work

    เสียงแตรและกลองดังเป็นจังหวะ เหล่าผู้ผ่านรอบคัดเลือกต่างอยู่กลางสนามโชว์ตัวให้ผู้ชมได้เห็น จากนี้จะเป็นการต่อสู้แบบทีมและเป็นการสู้กับทีมของอีกฝ่ายไม่ใช่สัตว์แบบที่ผ่านมา

    “ต่อไปนี้จะกาศชื่อทีม และ กฏให้ทุกท่านทราบ” เสียงประกาศเว้นระยะ

    “การต่อสู้ทีมละห้าคน สามารถสู้กับอีกฝ่ายจนถึงแก่ชีวิตได้ ส่วนอาวุธจะมาจากไหนก็ได้แล้วแต่สะดวกในห้องพักนักสู้มีแจกให้ ผู้ชนะจะได้รางวัลมากมายเลยทีเดียว”

    เฮ

    เสียงโห่ร้องของเหล่านักสู้ดังขึ้น กำลังใจเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อได้ยินคำว่า รางวัลมหาศาล

    “เล่นกันถึงตายเลยหรอเนี่ย” เอ เครียด เขาชักสงสัยว่าอารยธรรมโรมันเอาแบบแอตแลนติสหรือแอตแลนติสลียนแบบโรมันซะแล้ว และเขาก็ไม่อยากตายเสียด้วย

    “หนูกลัวจังเลยค่ะ” เอเซกุดทำเสียงออดอ้อน

    “เธอไม่ต้องทำเป็นกลัวเลย แค่เธอโบกมือเราก็ชนะแล้ว” คาร่าแซว

    จากนั้นเสียงประกาศก็ดังขึ้นอีกครั้งหนี่ง

    “รอบแรกในวันนี้ HEXZAGON T. VS BROTHERHOOD OF ATLANTISSS

    เฮ

    คราวนี้เสียงคนดูโห่ร้องและปรบมือให้กับนัดแห่งความตายนัดแรกที่พวกเขาอยากเห็นนักเห็นหนา

    “ฉันว่าอ้พวกลุงสิบสองคนมันต้องเป็นคนเลือกให้เราสู้คนแรกแน่เลย” นาปากัซบ่น

    “มันแน่อยู่แล้ว” เนียทาพองตอบ

    เสียงกลองและแตรดังขึ้นอีกรอบจากนั้นผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายก็วาร์ปหายไปเหลือเพียงพวกเขา และ อีกฝ่าย

    “โว้ว งานนี้สู้ได้มั้ยเนี่ย” เนียทาพองมองคู่ต่อสู้ตาโต

    “มั้งนะ” นาปากัซซึ่งมองทีมอีกฝ่าย ในใจก็ไม่สามารถปฏิเสธว่าเขาก็กลัวรูปร่างหน้าตาของพวกเขา

    ชายร่างยักษ์เกือบสามเมตร ท้วม ผิวเข้ม ผมขาวทั้งห้าที่ถืออาวุธต่างกันไป มีทั้งค้อนปอนด์ยักษ์เกือบเท่าขาช้างที่โดนทุบแล้วคงแหลกคาที่แน่ๆ มีดาบเล่มใหญ่ที่ดูเก่าและผ่านศึกมามากมาย กระบองไม้ที่มีเหล็กแหลมทะลุออกมาอย่างสะเปะสะปะและที่ส่วนของเหล็กก็มีคราบสีแดงซึ่งคงจะเป็นเลือด นั่นก็ธนูอีก ส่วนอีกคนที่หน้าหนวดนั่นก็ยังใส่สนับมือยักษ์อีก

    “นี่เราเหมือนมดเลยอ่ะ” เอ พูดขำๆ

    “ยังจะมีหน้ามาเล่นอีก พวกมันจะฆ่าเราป่าวไม่รู้เลย” คาร่าตะคอกใส่เขา

    “เอเซกุด เธอจัดการไหวมั้ย” เนียทาพองถาม

    เอเซกุดหน้าซีดจนทำให้เนียทาพองตกใจ

                “เธอเป็นอะไรหน่ะ”

                “น...น...หนูกลัว...หนูกลัวหนวดค่ะ” เธอหันหน้าแล้ววิ่งหนีไปหลบอยู่ชิดสนามเอามือทั้งสองข้างอันสั่นเทาของเธอปิดตาไว้

                หนุ่มสาวอีกสี่คนอึ้งพูดไม่ถูก

                “แสดงว่าเราต้องจัดการเอาเองซะแล้วแฮะ” นาปากัซหยิบมีดมาเลีย

    “การแข่งขันเริ่มได้” เสียงประกาศจบ ทันใดนั้นศัตรูของพวกเขาก็คำรามอย่างบ้าคลั่งราวสัตว์ป่ากระหายเลือดง้างอาวุธต่างๆโจมตี

                ปึงๆๆๆๆๆ

    บาเรียของพวกเขาทำงาน การโจมตีไม่แรงพอที่จะทำลายได้ในคราวเดียว เอ มองศัตรูอย่างนิ่งเฉยแม้อีกฝ่ายจะทุบค้อนปอนด์ใส่เขาข้างหน้าเป็นชุดก็ตาม

                “นาปากัซ ฉันว่าเราควรจัดการไอ้นักธนูก่อนคนแรกเลย ส่วนเนียทาพองจัดการเจ้าคนที่กำลังทุบฉันอยู่นี่ ฉันจะไปจัดการเจ้าดาบนั่น คาร่านายไม่มีอาวุธก็ทำอะไรที่พอช่วยได้ไปก่อนละกันไม่ต้องเอาถึงชีวิตนะ” เอ สั่งการด้วยภาษาที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็ทำตามคำสั่ง

    นาปากัซวิ่งไปแล้วใช้มีดอันคมกริบของเขาฟาดฟันใส่ศัตรูที่กำลังยิงธนูโดยไม่ทันระวัง ความรวดเร็วของเขาทำให้อีกฝ่ายไม่ทันป้องกัน และแล้ว นาปากัซ ก็จัดการขาของศัตรูจนอีกฝ่ายล้มลงเสียงดัง และไปจัดการคนที่ถือกระบองด้วยวิธีเดียวกัน

                ด้าน เอ และ เนียทาพอง ก็สลับคู่ต่อสู้กันตามที่วางกันไว้

                “ค้อนยักษ์ต้องเจอบีมยักษ์” เนียทาพองขวักชิ้นส่วนปืนออกมาประกอบขณะที่อีกฝ่ายกำลังง้างค้อน

    เขาประกอบมันอย่างรวดเร็วไม่ช้าในเสี้ยววินาที ชิ้นส่วนปืนนับสิบก็ถูกประกอบเป็นปืนขนาดใหญ่เท่าตัวผู้ใช้ เขาเหนี่ยวไกปืนทันทีในตอนที่ ค้อนปอนด์กำลังตกสู่หัวเขา

      บูมมมมมมม

    ลำแสงบีมยักษ์ถูกตัวมนุษย์ยักษ์จนกระเด็นกระแทกขอบเวทีจนร้าวแล้วนอนนิ่งไป

    สถาณการ์ณกำลังได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด

    เอ รำเพลงดาบจนอีกฝ่ายเกิดรอยแผลทั่วร่างกาย

                “ยอมซะเถอะ” เอ ฟันไม่ยั้งแต่ก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายตายเขาไม่อยากฆ่าใครทั้งนั้น เพียงแค่อีกฝ่ายยอมแพ้ก็ทำให้เขาชนะแล้วหากเขาฆ่าใครที่เป็นเพียงคนบริสุทธ์หล่ะก็คงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต

    แต่อีกฝ่ายกลับกัดฟันกรอดไม่มีทีท่ายอมแพ้แม้ตัวเองจะพยายามป้องกันแต่ความหนักของอาวุธทำให้เคลื่อนไหวดาบได้ช้าผิดกับ เอ ที่ใช้คาตานะเล่มคมเบา

    ในที่สุดอีกฝ่ายก็ล้มลงเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว

                “เอาหล่ะเหลือคนเดียวแล้ว” เอ หันไปมองศัตรูคนสุดท้าย เจ้าหนวดหน้าเข้มที่ใส่สนับมือซึ่งดูพวกเขาจัดการทีมของตนจนหมด

                “จะดีหรอนี่มันสี่รุมหนึ่งเลยนะ” หนึ่งในราชาพูดขึ้น

                “ท่านไม่รู้อะไรซะแล้ว เจ้านั่นหน่ะเป็นจอมพลังที่แข็งแกร่งสุดๆเลยนะ ขนาดเจ้าสัตว์ร้ายที่เคยสร้างความแค้นให้เราเขายังเคยสู้แล้วรอดมาได้เลย” ราชาอีกคนหนึ่งตอบ

                “งั้นก็แปลว่าเจ้าเด็กอมมือพวกนั้นได้เวลาตกรอบแล้วสินะ” ราชาพูดและหัวเราะอย่างสะใจ

    กลับมาที่ลานประลอง เอ เนียทาพอง นาปากัซ หยิบอาวุธขึ้นมาเตรียมพร้อม

                “ยอมแพ้เถอะ” เอ เรียกร้อง

    แต่อีกฝ่ายกลับแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าสยดสยองฟันสีเหลืองโสโครกเผยออกมาให้เห็น

                “ไม่มีทาง” เป็นประโยคแรกที่อีกฝ่ายพูด เขาตั้งท่าเตรียมรับ พวกเด็กๆเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมก็เข้าไปจัดการทันที เอ และ นาปากัซ กระโจนเข้าไปอย่างเร็ว คาตานะ และ มีดสั้น เตรียมโจมตีอีกฝ่าย

    ปึก

    สนับมืออัดเข้าไปที่หัวทั้งสองคนอย่างรุนแรง

                “เฮ้ย พวกนาย” เนียทาพองอุทาน จังหวะนั้นเองที่ไม่ทันระวัง ศัตรูก็วิ่งเข้ามาอัดหน้าเนียทาพองจนกระเด็น

    อีกฝ่ายแสยะยิ้มแกมเหยียดหยามโชคดีที่ทั้งสามมีบาเรียคอยรับไว้ทำให้ไม่ค่อยได้รับบาดเจ็บเท่าไหร่แต่อย่างไรก็ตาม บาเรียทั้งสามก็สลายไปแล้ว

    คาร่ามองดูสถาณการ์ณอยู่รอบนอกและเฝ้า เอเซกุดที่มัวแต่หลบหน้าอยู่เพราะอาการกลัวหนวด อันที่จริงมันไม่ใช่อาการกลัวทั่วไป แต่ชาว ฟาร์ฟอนเจีย นั้นกลัวหนวดโดยสัญชาตญาณ ทำให้ คาร่าเองก็จนปัญญาช่วย แต่สิ่งที่เขาสนใจคือศัตรูคนสุดท้ายที่กำลังรับมือหน่วยจู่โจมทั้งสามคนซึ่งโดนเล่นงานกลับทุกครั้งจนกำลังหมดสภาพ

                “ทำไมถึงได้เก่งขนาดนี้หล่ะ จับการเคลื่อนไหวของ นาปากัซ ป้องกันคมดาบของ เอ ด้วยมือเปล่า แถมยังสามารถทำลายบีมยักษ์ด้วยการชกเพียงครั้งเดียวอีก” คำถามและสมมุติเต็มหัวของ คาร่า เขามองศัตรูอย่างถี่ถ้วน

    วิ้ง

    มีแสงสะท้อนจากสนับมือฉายออกมาซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะคราบดำที่ทำให้โลหะนั้นไม่วาวอีกต่อไปมันเคลือบบนผิวอยู่

                “นั่นมันอะไรหน่ะ” เขาพยายามเพ่งมองไปยังแสงสะท้อนที่มาจากสนับมือทั้งสองข้าง เขาซูมภาพด้วยแว่นของเขา ซูมใกล้จนเห็นสิ่งนั้น เมื่อเขาเห็นเขาก็ทำสีหน้าตกใจ

                “สิ่งที่สะท้อนออกมานั่นคือ พาวเวอร์สโตน เป็นหินแรร์ผิดกฏหมายซึ่งในแอตแลนติสคงไม่ถือสา แต่หินนั่นมันทำให้ผู้ครอบครองมีพลังในการต่อสู้เพิ่มหลายสิบเท่า ดูท่า คนที่สามารถโค่นเจ้านี่ได้ก็มีแต่” เขาเว้นระยะแล้วหันไปหา เอเซกุด

                “คงจะมีแต่เธอคนนี้แหละ” เขาส่ายหัว

    ผลั่กๆๆ

    เด็กทั้งสามคนมีสภาพปางตายอีกทั้งเจ้าคนที่พวกเขเคยจัดการดูเหมือนกำลังได้สติคืนอีกด้วยหากเป็นแบบนี้พวกเขาคงแพ้พ่ายอย่างแน่นอน

                “หนอย” เอ ลุกขึ้นพร้อม เนียทาพอง และ นาปากัซ ที่ลุกขึ้นมาปาดเลือดที่ไหลออกมาจากริมฝีปากและศรีษะ จนร่างกายทนไม่ไหว แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ อีกฝ่ายเริ่มหมั่นไส้แล้วก็เริ่มบุกโจมตีอีกครั้ง

                ปึก

    เด็กทั้งสามที่ตั้งท่าป้องกันได้ยินเสียงของอะไรกระทบกันซักอย่าง

                “นี่จังหวะนี้ช่วยโกนหนวดไอ้หนอนี่ที” คาร่าที่ใช้บาเรียจากปากกาของเขาป้องกันหมัดของอีกฝ่ายซึ่งดูท่าจะไม่สามารถต้านได้นานเท่าไหร่ นาปากัซรีบลอบเข้าไปตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันระวัง

    ผึบผับ

    การโกนหนวดอันรกรุงรังเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว พอๆกับที่บาเรียแตกป็นเสี่ยงๆ เจ้าศัตรูร่างยักษ์โกรธจัดแล้วปัดพวกเขาทั้งสี่กระเด็นออกไปคนละทาง

    เอพยายามคลานไปหา เอเซกุด

                “นี่ไปจัดการมันที มันไม่มีหนวดแล้ว” คาร่าพูดก่อนที่ร่างกายอันบอบบางจะสลบไป

    เอเซกุดเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งซึ่งเห็นสภาพของรุ่นพี่แต่ละคนสภาพไม่ต่างกับศพ

                “เฮ้ยเจ้าเด็กนั่นลุกแล้ว” ราชาคนเดิมพูดอย่างตกใจ

                “ใจเย็นๆ เจ้านั่นต้องจัดการเด็กตัวเล็กๆนั่นได้แน่” ราชาอีกคนปลอบแม้ในใจจะไม่แน่ใจก็ตาม

    เอเซกุด เริ่มรวมพลังไปทั่วร่าง เธอโกรธจัดมาก พลังมาดอนกำลังเพิ่มขึ้น อีกฝ่ายเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปแล้วปล่อยหมัดขวาเข้าไป

                หมับ

    มือเล็กๆของ เอเซกุด รับหมัดของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย เธอมองหน้าอีกฝ่าย เค้าโคลงหน้าไม่เหลือความน่ารัก ฝุ่นรอบตัวเธอเริ่มหมุนวนรอบ

                “คิดจะใช้ของอย่างนั้นชนะพลังของมาดอนยังอีกนานค่ะ” เธอพูดเป็นคำสุดท้ายก่อนจะกระโดดเตะจนชายร่างยักษ์กระดูกคอหักดังกร๊อบ แต่เขายังหายใจอยู่ดูเหมือนอีกนิดเดียวเขาก็จะตายแล้ว แต่ เอเซกุด ก็ยังทำตามคำสั่งของเอ อยู่ เธอเดินไปหาลูกสมุนที่เหลืออีกสี่คน เมื่อเธอเดินหนึ่งก้าวพื้นสนามก็สั่น จนคนดูและศัตรูกลัวเธอตัวสั่น

                “ยอมแพ้รึยังคะ” เธอถามเสียงใสในใบหน้าอันน่ากลัว

    อีกฝ่ายพยักหน้าแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว สักพักคลื่นพลังของเธอก็สงบลง

                “พวกพี่ๆ” ใบหน้าน่ารักดั้งเดิมกลับมาแล้ว เธอวิ่งไปหาทุกคน สักพัก ก็มีพยาบาลมาหิ้วตัวเขาไป

                “ฉันไม่เป็นไร ดีมาก เอเซกุด” เอ พยายามพูด ก่อนจะหลับไป

    ....... ผ่านไปสักพัก........

                “แหมหมอที่นี่ก็รักษาดีนะ” เนียทาพองกลับมาในสภาพเดิมอีกครั้งพร้อมกับทุกคน

                “หนอยเจ้าเด็กคนนี้ กลัวอะไรแค่หนวด” นาปากัซ มอง เอเซกุด อย่างกินเลือดกินเนื้อ

                “หนูขอโทษค่ะ” เอเซกุดทำหน้าสำนึกผิดเศร้าๆ

                “ไม่เป็นไรหน่าอย่างน้อยเราก็ชนะ” เอลูบหัวเธอเบาๆ

    จากนั้นการต่อสู้ก็ได้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาเจอทั้งคู่ต่อสู้ฝีมือดี และก็มีบางกลุ่มก็ยอมแพ้ตั้งแต่ไม่ได้เริ่มเพราะกลัว

    เอเซกุด ก็มี

    และแล้วก็ถึงรอบตัดสินชนะเลิศ คู่ต่อสู้ทั้งห้าเป็นทหารองค์รักษ์ในชุดเกราะเหล็กสีแดงแวววาวพร้อมดาบอัศวิน

                “เอาหล่ะ เริ่มเลยนะ” เอ พูดจบ ทั้งสองฝ่ายก็ห่ำหั่นกัน

    ..........................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×