คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : นครมายาที่สาบสูญ แอตแลนติส
บทที่สี่: นครมายาที่สาบสูญ “แอตแลนติส”
ยานของพวกเขาได้ผ่านมิติเข้ามาแล้วรอบข้างยังคงเป็นทะเลอยู่เพียงแต่เมื่อมองไปข้างบนกลับไม่เห็นผิวน้ำข้างล่างก็ไม่เห็นก้นทะเลราวกับสถานที่แห่งนี้ประกอบด้วยน้ำทะเลอย่างเดียว สัตว์น้ำตัวเล็กๆสีสันสวยงามสดใสแหวกว่ายในท้องทะเลอันกว้างใหญ่แห่งนี้
“มิตินี้มีแต่น้ำทะเลทั้งนั้นเลยแฮะ อย่างที่มีคนเคยบอกว่า แอตแลนติส อยู่ใต้น้ำ ว่าแต่มันอยู่ไหนล่ะ” เอ พูด
“หาดูก็เจอเองหล่ะมันคงไม่ไกลหรอก” คาร่าตอบ
ติ้ดๆๆๆๆๆ
“มิติเวลาที่นี่ไวมากหากเทียบกับมิติที่คุณมา รีบกางบาเรียไทม์ ด่วน” สิ้นเสียง ยานดำน้ำก็กางมิติเวลาบาเรียออก
“โอ้เกือบไปแล้วแค่เราเข้ามาไม่กี่วินาทีมันก็ผ่านไปตังสามวันแล้ว” เนียทาพองมองดูนาฬิกาที่ยานซึ่งจะบอกวันเวลาตามมิติปรกติ
“เราก็กางบ้างดีกว่า” เอ ชวน เขาก็ไม่อยากกลับไปแล้วพบว่า เพื่อนหรือคนรอบข้างนั้นแก่ไปแล้ว
“แล้วฉันหล่ะ”นาปากัซร้อง
“ในยานน่าจะมีอุปกรณ์สำรองนะลองไปหาดูสิ” คาร่าพูดขณะขับยานหา แอตแลนติสอยู่
นาปากัซค้นหาทั่วยานและก็เจอจริงๆ เป็นในลักษณะของนาฬิกา เมื่อสวมก็มีบาเรียมาล้อมเอาไว้
การเดินทางของยานนั้นไปอย่างเรื่อยๆ เรดาร์ไม่สามารถทำงานในมิตินี้ได้ทำให้ต้องค่อยๆหาไปเรื่อยๆ การค้นหาดำเนินไปเรื่อยๆซึ่งกินเวลาหลายชั่วโมงจนในที่สุดคาร่าก็เห็นบางอย่างข้างหน้า
“เจอแล้ว” คาร่าเรียก
“ว้าว” เอ อุทานเมื่อเห็นที่หมาย
ปราสาทหินอ่อนสีต้ำตาลอ่อนที่สูงตระหง่านเป็นปราสาทแบบยุโรปต่างเพียงอัญมณีที่ประดับอย่างสวยงามมียอดหอคอยที่สูงตระการตาเปล่งแสงสว่างอันเป็นต้นกำเนิดของแสงในมิตินี้จนทำให้มิติที่ไร้แสงอาทิตย์สว่างราวกลางวันตลอดเวลา แม้จะอยู่ไกลเกือบห้ากิโลแต่ขนาดที่เห็นนั้นใหญ่มากพอๆกับกรุงเทพลอยตระหง่านอยู่กลางทะเลที่แวดล้อมด้วยปลาที่งดงาม คาร่า เร่งความเร็วไปจนใกล้และเมื่อสังเกตุดีๆก็จะเห็นว่ามีฟองอากาศปกคลุมรอบ นคร แห่งนี้
“จะเข้าไปจอดแล้ว” คาร่าเปลี่ยนจากยานดำน้ำเป็นยานอวกาศแล้วทำการลงจอดอย่าง นิ่มนวลกลางลานเมืองแห่งนี้
ฟู่
ประตูยานเปิดออก เหล่าผู้คนเริ่มแห่กันมาดูเหตุการ์ณที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มสาวทั้งหกเดินออกมายืดเส้นยืดสายแล้วสูดอากาศหายใจหลังจากการเดินทางในยานดำน้ำเกือบสามวันท่ามกลางความมืดและสัตว์ร้ายของทะเลลึก และแล้วก็มีขบวนทหารเดินมาทางพวกเขา
“@#$!@” ทหารหนึ่งนายพูดกับพวกเขาซึ่งเป็นภาษาถิ่นจนไม่รู้เรื่อง แน่นอนว่า คาร่ารู้เรื่องคนเดียว
“เขาบอกว่าพวกเราเป็นใครหน่ะ” คาร่าแปล
“เอาไงดีหล่ะเราฟังไม่ออกเลย” เอเซกุด บ่น
“เห็น เซนต์ บอกว่าชุดที่เราใส่อยู่สามารถแปลภาษาได้ไม่รู้รวมภาษาแอตแลนติสด้วยรึเปล่า” เอ ตอบขณะที่คู่สนทนาก็ไม่เข้าใจที่เด็กทั้งหกสื่อสารกัน
“ชุด แปลภาษาแอตแลนติส” เอ ออกคำสั่งเสียงและชุดก็เปล่งแสงอ่อนๆออกมาทำให้ทหารตกใจถือหอกแหลมมาขู่แบบกล้าๆกลัวๆอย่างเห็นได้ชัด
“ ทรานสเลต แอตแลนติส โอเพ่นโหมด” ชุดทวนคำสั่งหลังจากนั้นก็เชื่อมต่อสัมผัสเข้ากับกระดูกสันหลังเพื่อเชื่อมต่อประสาทหูและสมองโดยตรง
“พวกเรามาจากมิติภายนอกครับ เป็นหน่วยงานใหญ่เพื่อมาทำภารกิจที่นี่” เอตอบ
ชุดไม่เพียงแค่แปลแต่ยังทำให้เอสามารถพูดภาษานั้นได้อีกด้วย หลังจากนั้นทุกคนก็เปิดโหมดทรานสเลต
“แล้วฉันหล่ะ” นาปากัซ โวย
“สมอยากไม่รับชุดมาเอง” คาร่า ตอกย้ำ
“หนอยไอ้เด็กนี่ ก็ชุดมันเห่ยนี่นา” นากัซโวยวาย
“พวกเราขอเชิญคุณไปยังพระราชวัง ผู้ปกครองต้องการพบพวกคุณ” ทหารนายนั้นผายมือเชิญซึ่งพวกเขาก็ไปตาม
ขบวนทหารไประหว่างทางก็มีผู้คนมามุงดูอย่างหนาแน่น
“คนที่นี่ผมขาวหมดเลยเนอะ” นาปากัซพูด
“ก็เพราะไม่มีแสงอาทิตย์ทำให้ผมไม่มีสารอาหารจนเป็นสีขาวไง”คาร่าตอบเป็นภาษาปรกติ
พวกเขาได้อาษัยรถม้าที่ตกแต่งอย่างสวยหรูเป็นพาหนะเดินทางไปยังปราสาท ณ ใจกลางเมืง ระหว่างทางก็ดูรูปแบบของการสร้างเมืองไปด้วย
เมืองสร้างเป็นวงกลมมีกำแพงเมืองห้าชั้นแต่ละชั้นเป็การแบ่งวรรณะข้างนอกคือคนจนและข้างในคือคนรวยเป็นการจัดเมืองแนวโบราณไม่ทันสมัยแต่ระบบชลประทานของ แอตแลนติสนั้นดีเยี่ยม น้ำไม่ได้ส่งผ่านท่อใต้ดินแต่มันกลับสะอาดตักดื่มกินได้ทันที
“ลองชิมบ้างดีกว่า” เอ เอื้อมมือไปตักน้ำที่ไหลผ่านเหมือนแม่น้ำเล็กๆที่ถูกลำเลียงโดยท่อเปิด เขาซดมันเข้าไปชิมดูหนึ่งอึกขณะที่รถม้าเคลื่อนที่ช้าๆผ่านบ้านเรือนที่หรูหรา
“อืม อร่อยสดชื่นมากเลย” เอ ชมเขาไม่นึกว่าแค่น้ำเปล่าจะทำให้เขารู้สึกสดชื่นขนาดนี้มันยิ่งกว่าน้ำแร่จาก Survival planet มาก น้ำที่นี่อุดมไปด้วยแร่มากมายมหาศาลเขารู้สึกได้
ใกล้ถึงตัวพระราชวังเต็มทีพวกเขาผ่านป้อมทหารมาสู่เขตปราสาทหินอ่อนแห่งนี้ความใหญ่โตเมื่อดูใกล้ๆนั้นมันต่างจากตอนอยู่ดูอยู่จากไกลๆมาก หอคอยเปล่งแสงที่สูงเสียด.....ที่นี่ไม่มีฟ้าแฮะ แต่ก็สูงเกือบจะแตะฟองอากาศแล้ว
ประตูบานใหญ่เปิดอ้าออก ทหารเชิญพวกเขาลงจากรถอย่างสุภาพแล้วเดินนำเขาเข้าไปยังพระราชวังหรู ทางเดินของที่นี่ปูด้วยกระจกมีปลาแหวกว่ายให้เห็น ทางเดินก็ใหญ่มากเช่นกัน ช่างเป็นนครที่สวยงาม แต่ทำไมถึงต้องมาอยู่ในมิติที่ลึกลับห่างไกลจากเอกภพด้วยหล่ะ
“เชิญพบกับพระราชาของเราด้านในเลยครับแขกผู้มีเกรียติทั้งหลาย” ทหารที่เดินนำเรามาผายมือ ทหารเฝ้าประตูสองคนเปิดประตูบานใหญ่ พวกเขาเดินตามทางพรมสีแดง เมื่อเข้าไปยังใจกลางห้องก็เห็นที่นั่งที่อยู่สูงจากตัวพวกเขาเกือบสองเมตร มีชายท่าทางชราสวมมงกุฏทองคำอยู่สิบสองคนนั่งบนเก้าอี้สีทองประดับอัญมณีกำลังมองพวกเขา แต่มีเก้าอี้ตัวที่สิบสาม มันหักและชำรุด ไม่มีคนนั่ง
“แขกที่มาจากโลกภายนอก พวกเราคือราชาทั้งสิบสองแห่งแอตแลนติส ยินดีต้อนรับ” คนที่นั่งตรงกลางท่าทางอวุโสที่สุดเป็นคนกล่าว
“คือพวกเรามาเพื่อทำภารกิจครับ มาจากหน่วยงาน HEXAGON หน่วยจู่โจมพิเศษ HEXAGON T. ครับ ผมเป็นหัวหน้า” เอ ตอบ
“มาทำอะไรเดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง ไม่มีแขกมาที่นี่นานเป็นร้อยๆปีแล้ว วันนี้พวกเราจะทำการเลี้ยงอาหารค่ำให้แก่ทุกท่านเอง”
เด็กทั้งหกมองหน้ากันไปมาแล้วปรึกษากัน
“เอาไงดี” นาปากัซถาม
“ทำตามคำชวนสิ หนูอยากกินอาหารที่นี่” เอเซกุดตอบ
“อาจเป็นการวางยาพิษนะ” ลอเรียสงสัย
“ถ้าเป็นพิษเดี๋ยวฉันตรวจสอบได้ที่กลัวคือการลอบโจมตีคนแปลกหน้ามากกว่า เอ วาร์ปอาวุธจากป้อมปราการไม่ได้” คาร่าบอก
“ถ้ามันมาจะอัดให้เละเลยฉันมีของอยู่ในกระเป๋ามิติอยู่ แค่หอกกลัวอะไร” เนียทาพอง บอกอย่างภาคภูมิ
“งั้นจะเอาไงดีหล่ะ” ลอเรียถาม เอ
“เอาเป็นว่ารับคำเชิญดีกว่าไม่อย่างนั้นเสียมารยาท ส่วนมีเรื่องอะไรค่อยว่ากัน” เอเป็นฝ่ายสรุป
การประชุมของเด็กทั้งหกจบลง เอ หันไปหาราชาทั้งสิบสองที่กำลังมองดูพวกเขาอยู่
“เราขอรับคำชวนนั้นครับ” เอ โค้งคำนับ
ราชาทั้งสิบสองยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะลุกออกไป ทหารนายหนึ่งเดินมาหาพวกเขา
“ดูท่าพวกท่านคงจะเหนื่อย พวกเราจะพาไปที่ห้องพักครับ”
จากนั้นพวกเขาก็ตามทหารนายนั้นไปยังห้องในปราสาทแห่งนี้ซึ่งเรียงยาวไว้หลายห้องทีเดียวนับไม่ถ้วน และยังได้พักแบบส่วนตัวหนึ่งคนหนึ่งห้องอีกด้วย หลังจากที่ทหารนายนั้นเดินจากไปเมื่อพามายังหน้าห้องพัก
“เราต้องสำรวจก่อนว่ามีเครื่องดักฟังมั้ย” คาร่าบอก
“ก็ดีนะตรวจดูเลย” เอ สนับสนุนซึ่งทุกคนต่างเห็นด้วย พวกเขายังคงไม่ไว้วางใจที่ทำไมจึงต้อนรับคนแปลกหน้าอย่างดีโดยไม่สงสัยอะไรเลย
คาร่า หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ามิติ แล้วเปิดมัน จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปในห้องแรก
“สุดยอดเลย ใหญ่กว่าห้องของหนูอีก” เอเซกุดตะลึงกับความใหญ่โตและสวยงามตกแต่งออกแนวยุโรปทั้งโคมไฟหอยมุก ฝ้าแกะสลักหินเป็นลวดลายดั่งโรงแรมสิบดาว เธอกระโดดขึ้นไปบนเตียงโดยไม่สนคำห้ามของพี่ๆ เตียงอันแสนนุ่มและใหญ่โตทำให้เด็กน้อยห้าขวบทนไม่ไหวจริงๆ แต่ก็ไม่เกิดอันตรายใดๆทำให้พี่ๆวางใจ แต่ก็ยังทำการค้นหาทางลับ เครื่องดักฟัง กับดัก สัตว์ร้าย และอื่นๆที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่างๆ
“ไม่มี ปลอดภัยหายห่วง” คาร่ายกนิ้วโป้ง
“เยี่ยม” เนียทาพองหมดห่วงก็ปล่อยตัวนอนลงบนเตียงเกลือกกลิ้งไปมาเบียด เอเซกุด เล่น
“พี่เนีย ออกไปนะ” เอเซกุดงอแง ตามด้วยเสียงหัวเราะของทุกคน
หอคอยที่ส่องแสงอยู่ตอนนี้เริ่มปิดทำให้แสงที่ลอดก็เริ่มหาย
“นี่ทำกลางวันกลางคืนง่ายจริงๆ” นาปากัซหัวเราะในความเล่นง่ายของแอตแลนติส
“อย่างน้อยก็มีไฟฟ้า” คาร่าพูด
“โห พอทั้งเมืองเปิดไฟก็ดูสวยเหมือนกันนะเนี่ย” เอ ชื่นชมวิวภายนอกยามกลางคืนที่ส่องแสงสีสันต่างๆดั่งดอกไม้ไฟยามราตรี
ตึกๆๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ลอเรียไปเปิดประตู ผู้เคาะคือบริกรคนหนึ่ง
“เชิญทุกท่านมารับประทานอาหารครับ” เขาโค้งให้กับแขกของราชาแล้วเดินนำไปยังห้องอาหาร
พวกเขาเดินลงบันใดหินที่แกะลลักลวดลายต่างๆอย่างสวยงาม มีการปูพรมแดงเอาไว้ต้อนรับ เทียน และ โคมไฟ ให้บรรยากาศสุดหรูแทบที่พวกเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน
บริกรเชิญพวกเขาเข้าไปข้างในซึ่งเป็นห้องกระจกสามารถมองวิวใต้น้ำได้ อาหารถูกจัดใส่ถาดในรูปแบบบุฟเฟ่ต์สุดหรู ราชาทั้งสิบสองคนนั่งรอพวกเขาที่โต๊ะยาวมีการจัดเรียงจานและแก้วไว้ให้อย่างเป็นระเบียบจนตอนนี้พวกเขาเริ่มจะรู้สึกเหมือนพระราชาไปแล้ว
พวกเขานั่งโต๊ะอาหารก่อนการรับประทานอาหารจะเริ่มขึ้น
“ขอให้แขกทุกคนกินไม่ต้องเกรงใจนะ” หนึ่งในพระราชาในชุดสูทสีฟ้าบอก
“เวลาอาหารเริ่มขึ้นได้ วันนี้เป็นการกินแบบบุฟเฟ่ต์ ตักเลยนะ” ราชาผู้อวุโสสุดเป็นคนกล่าวเปิดและลุกไปเลือกของกิน เด็กทั้งหกยังคงเขินๆ แต่เมื่อเห็นราชาทุกคนเริ่มออกไปตักก็ไปตักบ้าง พวกเขาลุกขึ้นไปหยิบจานและตักอาหารซึ่งเป็นอาหารทะเลเป็นส่วนมาก จะมีก็แต่สาหร่ายและซุปที่ไม่ใช่ซึ่งก็ทำให้ นาปากัซ เซ็งมากกับการมาที่นี่ จ่างจาก เอ และลอเรีย ที่ชอบกินอาหารทะเลเป็นชีวิตจิตใจ
“อะไรๆ ก็อาหารทะเล” เขาบ่นอุบอิบ
“อยู่ใต้น้ำจะให้มีผักเป็นอาหารเรอะ” เนียทาพองแขวะ
“มีขนมปังอยู่ทางโน้นน่ะค่ะ” เอเซกุดชี้
“เยี่ยม” นาปากัซรีบดิ่งไปตรงนั้น
จากนั้นทุกคนก็กลับมาที่โต๊ะ เอเซกุด กำลังจะตักคำแรกเข้าปาก
“หยุด” คาร่าบอกทำให้ทุกคนมอง คาร่า มอง เอ
“เอ่อ คือจะเสียมารยาทหรือไม่หากเราจะขอตรวจสอบว่า อาหารปลอดภัยหรือเปล่า” เอ ถาม ราชาที่อวุโสสุด
ราชาคนนั้นยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ช่างเป็นเด็กที่รอบคอบดีนะ เชิญเลย”
จากนั้นคาร่าก็นำอุปกรณ์บางอย่างสแกนอาหาร
“ไม่มีพิษ” คาร่ารายงาน
จากนั้นการรับประทานอาหารก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าราชาที่อวุโสสุดก็กินเก่งสุดเหมือนกัน
เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ ทุกคนเริ่มอิ่มกัน บริกร และ สาวใช้ ก็มาเก็บอาหารและจานอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อท้องอิ่มการสนทนาระหว่างเจ้าบ้านและแขกก็เริ่มขึ้น
“เป็นเด็กแท้ๆแต่เป็นถึงกับทหารในหน่วยพิเศษจากโลกภายนอกช่างเก่งจริงๆ” ฝ่ายราเอ่ยชม
“ขอบคุณครับ” เอ ยิ้มๆ
“ทำไมถึงต้องมาอยู่ที่นี่หล่ะครับ” คาร่าถามในสิ่งที่ตนสงสัย ไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องมาในมิติที่ตัดขาดโลกภายนอกเช่นนี้ทำไมพวกเขาต้องอยู่ที่นี่
ราชาเริ่มทำหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย ดูเหมือน คาร่า จะถามผิดเรื่องเสียแล้ว
“คาดว่ามีความเป็นไปได้ว่าเกี่ยวกับราชาคนที่สิบสาม”
สายตาของเด็กอีกห้าคนดุใส่ คาร่า ที่ถามรุกมากเกินไป แต่ คาร่า ไม่สน หากเขาต้องการรู้ใครก็ห้ามเขาไม่ได้
“เด็กคนนี้อนุมานได้เก่งมาก อยากรู้จริงหรอ” หนึ่งในราชาถาม
เมื่ออีกฝ่ายยอมเล่าตำนานความป็นมาของแอตแลนติสนครมายาใครจะไม่ฟัง เด็กทั้งหกพยักหน้า
“งั้นเรามาฟังนิทานกัน” ราชาผู้อวุโสบอก
“เฮ้อ ที่ผ่านมานี่มีนิทานหลายเรื่องแล้วนะเนี่ย” นาปากัซ ถอนหายใจ และก็โดน เอ ส่งสายตาดุ
“อันทีจริงเมื่อหลายแสนปีก่อน พวกเราก็อยู่ข้างนอกเช่นกันอยู่ในดาวที่ประกอบด้วยน้ำทะเลนั่นหล่ะ เราอาศัยอยู่ในที่ลึกเพื่อป้องกันข้าศึก ตอนนั้นเราถือว่าเจริญมาก เราสามารถย้ายสิ่งของข้ามมิติได้ คนที่สร้างก็คือพวกเรา ราชาทั้ง สิบสามคน คนในเมืองก็อยู่อย่างมีความสุข แต่แล้วจู่ๆ ราชาคนที่สิบสามซึ่งหนุ่มที่สุดกลับก่อกบฏเหตุร้ายก็เริ่มขึ้น มีประชาชนแบ่งพวกไปอยู่กับเขาและเกิดการรบกันอย่างรุนแรง พวกเราทั้งสิบสองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับความเจ้าเลห์ของเจ้านั่น เขาเป็นคนเก่งมาก เขานำความชั่วร้ายของสัตว์ดุร้ายมารวมกันเพื่อสร้างสัตว์อสูรที่เราไม่สามารถกำจัดได้ นอกจากนั้นเขายังพาคนของเราไปตั้งเป็นอาณาจักรใหม่และไปตื้นกว่าที่เคยอยู่กักขังเราไว้กับปีศาจที่เขาสร้างขึ้น มันกินพืชพรรณธัญญาหารของเราไปหมดสิ้นกินปลาในระแวกนั้นจนพวกเรากำลังจะตาย เราได้แต่หมดหวัง ชีวิตของเราได้แต่แอบซ่อนมัน แต่แล้วก็มีบุรุษเผ่าพันธ์อื่นสามารถปราบมันได้ และได้มาเจอกับเรา เขาสงสารพวกเราจึงได้ให้อาวุธประจำกายของเขา ดาบวิเศษที่มีพลังมหาศาลจนกำหลาบสัตว์ร้ายนั้นได้อย่างง่ายดาย เขาให้เราเริ่มต้นหาดาวอื่น เราจึงทดลองเพื่อย้ายทั้งเมืองของเราไปยังดาวอื่น และในที่สุดเราก็พบว่าไม่ควรเบียดเบียนดาวของผู้อื่น เร็วๆนี้เราจึงได้กลับมาที่ดาวนี้แล้วอยู่ในมิตินี้มาหลายร้อยปีแล้ว”
พูดจบเด็กทั้งหกก็ซุบซิบกัน
“นายว่าเจ้าสัตว์ร้ายนั่นคือ มังกรน้ำหลายหัวตัวนั้นรึเปล่า” เนียทาพองตั้งประเด็น
“ฉันว่าใช่นะ ทั้งพิษเหมือนเจ้างูนั่น ทนทานเหมือนแบล็คฟิช หลายหัวเหมือนหลายหนวดของคราเคนแล้วก็เหมือนกับสัตว์ร้ายระหว่างทางมาผสมกันจริงๆแหละ” นาปากัซเสริม
“และบุรุษคนนั้นต้องเป็นอัศวินคนนั้นแน่เลย” ลอเรียบอกเพิ่มเติม
“ลักษณะของราชาคนที่สิบสามเป็นยังไงครับ” คาร่าถามเพิ่ม
“ก็เหมือนพวกเรา เราเป็นเงือกต่างกันแค่เขาได้เชื้อของปลามากกว่าจึงทำให้ชอบอยู่ในน้ำ ส่วนพวกเราชอบแบบนี้มากกว่านานทีจึงออกไป” ราชาคนหนึ่งตอบ
“แสดงว่าราชานั่นเป็นบรรพบุรุษเธอสินะ” คาร่าพูดกับลอเรีย
แต่ทว่าเขากลับพูดเป็นภาษาแอตแลนติสซะนี่
“อะไรนะลูกหลานของคนทรยศ” ราชาคนหนึ่งทุบโต๊ะ
“คาร่า นายทำอะไรลงไปเนี่ย” เอ บ่นและเริ่มรู้สึกไม่ดี พวกเขาเริ่มจะหนีออกไป
ทหารจับพวกเขาเอาไว้
พวกเขาวิ่งไม่ทันทหารที่นี่ว่องไวและจับเขาด้วยแห นาปากัซที่เพิ่งกินอาหารผิดประเภททำให้ไม่สามารถออกกำลังมากจึงโดนจับอย่างว่าง่าย
ทหารกลุ่มหนึ่งนำแทงค์น้ำมาแล้วจับลอเรียไป
“อย่าทำอะไรเธอนะ” เอ ตะโกน
ฟูม พวกเขาโยนเธอลงน้ำ ร่างกายท่อนล่างเปลี่ยนเป็นปลาโดยอัตโนมัติ จากนั้นพวกเขาก็จับโยนทีละคน
“แค่แม่หนูนี่สินะที่เป็นลูกหลาน” ราชาผู้อวุโสพูด
“ภารกิจคงจะมาทำลายเราอีกสินะ” พวกเขาดุ และสั่งให้ทหารจับ ลอเรีย ไป
เด็กทั้งห้าพยายามห้มแต่ก็แพ้แรงของทหารที่มากมายเหล่านี้
“ปล่อยเธอนะ” เนียทาพองตะโกน
ราชาทั้งสิบสองประชุมกันโดยไม่สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
สักพักพวกเขาก็คุยกันเสร็จ ราชาผู้อวุโสเดินมาทางพวกเขา
“พวกเจ้าไม่ใช่คนของเจ้าคนทรยศนั้นเราจะปล่อยไป แต่เธอคนนั้นต้องชดใช้ด้วย ชีวิต ในวันพรุ่งนี้”
พูดจบเด็กทั้งห้าก็เริ่มเอาจริงขึ้นมา เอเซกุดเริ่มสะสมพลัง แต่ เอ ก็ได้พยายามห้ามไว้เพราะรู้ว่าทำอย่างนี้ก็ไม่ได้อะไรทั้งอาจไม่ได้ HEXAGON PLATTINUM ด้วย
เหล่าราชากำลังเดินกลับโดยไม่ใส่ใจ เอ กำลังคิดวิธีช่วยลอเรียด้วยวิธีในทางสงบ
“นี่ เรามาเล่นเกมเถอะ” เอ ตะโกนบอกพวกราชา ตามมาด้วยความงุนงงของพรรคพวก บางคนคิดว่าเขาเพี้ยนไปแล้วแน่นอน และอีกหลายคนก็ไม่เข้าใจกับคำว่า เกม เสียเท่าไหร่ และทุกคนคิดว่ามันเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์มาก
แต่ผลกลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
ราชาผู้อวุโสหันมาแล้วมอง เอ อย่างสนใจ
“ก็ได้ อีกสองวันจะมีงานการประลองหากพวกเจ้าทั้งหกสามารถชนะมาได้ทุกคนหล่ะก็ข้าจะไว้ชีวิตนางเด็กผู้หญิงนั่น” เขาเว้นระยะ
“แต่หากแพ้คนใดคนหนึ่งหล่ะก็ พวกเจ้าก็ต้องโดนประหารเช่นกัน” เขาพูดเสียงต่ำ
“ได้เรารับคำท้า” เอ ตอบตามด้วยเสียงหัวเราะร่าด้วยความพอใจและเดินออกไป
หลังจากจบเรื่องนั้นทุกคนก็กลับห้องเพื่อเตรียมตัวและพักผ่อน
“นายรู้ได้ไงว่าเขาเป็นคนชอบการเล่น เกม แบบนี้” คาร่าถามเป็นไม่กี่ครั้งที่เขาไม่สามารถเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง
“ในระหว่างการกินหน่ะฉันสังเกตุว่าเขาขี้เล่นพอสมควรและท่าทางจะชอบเสี่ยงด้วย แล้วประกอบกับได้ยินว่าอีกไม่กี่วันก็จะมีการจัดเจ้าการประลองอะไรเนี่ยแหล่ะก็เลยลองดู” เอตอบ
“เอาไงดีหล่ะพวกนายยังไม่มีอาวุธเลยนะ” เนียทาพองถาม คาร่า และ เอ
“เอางี้นายเอาปืนคู่นี้ไปสิ” เนียทาพองหยิบปืนคู่จากกระเป๋ามิติออกมา
เอ มองสักพักหนึ่งถึงเขาจะถนัดปืนคู่แต่ก็ไม่เสมอไป ปืนคู่ที่เนียทาพองให้นั้นเป็นชนิด อาวุธสงครามหนักถ้าเขาถือคงเมื่อยตายแน่นอน แรงสะท้อนจากการยิงก็มากพอที่จะทำให้แรงอันน้อยนิดของเขากระเด็นจนเป็นจุดอ่อนอย่างแน่นอน เขาปฏิเสธไป
“นายมีดาบมั้ย” เอ ถาม
เนียทาพองพยักหน้าแล้วล้วงดาบขึ้นมา
มันไม่ใช่ดาบบีมหรือเลเซอร์หรือดาบจากเพชรพลอย แต่มันคือดาบโลหะธรรมดาเท่านั้น ดาบคาตานะเล่มยาวในปลอกที่สลักมังกรสีทองเอาไว้
“สวยจัง นายเอามาจากไหนหน่ะ” เอ ถาม
“มีครั้งนึงฉันไป อีราทอร์มาหน่ะคนแถบนั้นเขาใช้เจ้านี่สู้กัน ฉันเลยแจมด้วยแล้วฉันก็ชนะมาด้วยมือเปล่าเขาเลยให้นี่มาแต่ฉันไม่ค่อยได้ใช้หรอกนะเพราะไม่ใช่ของดีอะไร” เนียทาพองตอบ
เอ นำดาบขึ้นมาดู เป็นดาบที่ปราณีตในการตีมาก โลหะก็เป็นของดีแน่นอน เขายืนขึ้นแล้วเอามันไปฟันผนังห้องที่เป็นหิน
“ทำอะไรหน่ะ โลหะธรรมดาจาก อีราทอร์ฟันไม่เข้าหรอกหน่า หักเปล่า” เนียทาพองห้าม
“ไม่หรอก” คาร่าขยับแว่น ไม่เคยมีอะไรพลาดจากการคำนวนของเขาซึ่งได้คำนวนทั้งองศาและความคม แรง หลักการต่างๆ แรงกระทำจากมิติ ฯลฯ มันต้องขาดแน่นอน
เอ กำดาบแน่นแล้วฟันมัน
ชิ้ง
ผนังขาดเป็นรอยเรียบเหมือนก้อนเค้กที่โดนมีดหั่นอย่างง่ายดาย
“ฉันว่านายใช้แต่ปืนจนใช้ดาบไม่เป็นมากกว่า ฉันเอาเจ้านี่หล่ะ ออกแรงเบาๆก็ฟันผนังขาดสองท่อนแล้ว” เอ ตบบ่า เนียทพองเบาๆ
“เก่งจังเลย” เอเซกุดปรบมือ
“ในที่สุดก็มีอาวุธกันครบแล้วนอนเถอะ” คาร่าสรุป
เหมือนลืมอะไรแฮะ เขาตระหงิดๆ
.................................
“จะดีหรอที่ให้เด็กพวกนั้นมีโอกาสที่เราจะชำระแค้นหน่ะ”
“นั่นสิ อันที่จริงเราควรจัดการพวกเขาให้หมด”
“ใช่ หากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เราจะทำยังไง”
วงสนทนาของราชาทั้งสิบสองยังคงถกประเด็นนี้
“หึๆ เราก็ควรรู้ไม่ใช่หรือว่าข้างนอกนั่นมีความสามารถอย่างไร แล้วเราจะชิงอาณาจักรเราคืนมา อีกอย่างไม่มีทางที่พวกเขาจะชนะได้ครบหรอก” ผู้อาวุโสบอก ทั้งสภางึมงำสักพักและก็เริ่มเห็นด้วย
แต่กลับมีหนึ่งในนั้นเก็บความไม่เห็นด้วยไว้ในใจ เขามองสายตาไปยังผู้อวุโสราวกินเลือดเนื้อระหว่างที่กำลังวุ่นวายอยู่
“ท่านแก่ไร้ประโยชน์แล้วจริงๆ” คนคนนั้นคิดในใจ
.................................
ความคิดเห็น