ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : แรกเจอ
20 พฤษภาคม
      บ้านก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
    บ้านพักข้าราชการวนอุทยานแห่งชาติเวียงน้ำฟ้าเป็นบ้านไม้หลังเล็ก      ปลูกลดลั่นกันไปตามเนินลาดลงสู่ที่ทำการอุทยาน และสู่หาดน้ำฟ้า ที่มีเรือนแพเรียงรายให้บริการนักท่องเที่ยว วนอุทยานแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนซ้ายของฝั่งแอ่งทะเลสาปเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างแท้จริงมีเรือนแพ บริการ มีน้ำตกยาใหญ่ ซึ่งเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในเวียง มีถ้ำยาน้อยซึ่งเป็นถ้ำหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยเดินเท้าไปกว่าสิบกิโลเมตร
เคยถามพ่อว่า พ่อเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่ใช่หรือทำไมไม่อยู่ฟากโน้นที่เป็นแหล่งป่าอนุรักษ์ละ มาอยู่ทำไมฟากนี้ เราก็โดนเขกหัวกลับมา พร้อมคำด่าว่า “จะให้ไปอยู่กับเสือหรือไง”
ก็จริงของพ่อ ไม่ว่าจำหน้าที่วนอุทยานหรือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทางราชการจัดให้พักอยู่รวมกัน กระจายตามหน้าที่งานการไปทั่วแนวแอ่งทะเลสาบจนจรดเขื่อนน้ำฟ้าเลยทีเดียว
พี่เมฆา คุณครูพี่ชายที่แสนใจดีของเราชวนเราว่ากลับมาคราวนี้จะทาสีบ้านใหม่ให้มันเป็นสีเขียวกลืนไปกับป่าเลยทีเดียว ท่าทางจะเอาจริงแถมยังชวนเราซื้อโอ่ง ซื้อตุ่ม ซื้อกระถางมาปลูกดอกไม้เต็มหลังรถกระบะกะว่าจะปฏิรูปบ้านที่เสื่อมโทรมลงหลังจากแม่ตายเมื่อหลายปีก่อนให้คืนมาสวยงามดังเดิม
อันนี้เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ตอนกลับถึงบ้าน พ่อผา ยังไม่กลับจากลาดตระเวน เราสองคนพี่น้องเลยลงมือทำอาหารรอพ่อทำแต่ของโปรดพ่อทั้งนั้น เอาใจเขาซะหน่อย เพราะตั้งแต่แม่ตายพ่อก็เหงาอยู่บ้านคนเดียว เพราะส่งเราไปอยู่ประจำที่โรงเรียนเลย ดังนั้นแกก็เลยทำงานแบบลืมกลับบ้านเป็นประจำ
แต่รอแล้วรอเล่าจนตะวันคล้อย พ่อผาก็ยังไม่กลับ พี่เมฆาบอกพ่อแล้วนี่ว่าลูกจะกลับวันนี้
จนกระทั่งที่เราเขียนบันทึกนี้ เสียงฟ้ากำลังเริ่มคำรามมาแต่ไกล ฝนเริ่มสาดจนเราต้องรีบช่วยพี่ปิดประตูหน้าต่าง แต่พ่อผาก็ยังไม่มา
พ่อผาจ๋า พ่อผาอยู่ไหน
                    รุ้งงาม.....คนงามของพ่อ
............................................................................................................................................
21 พฤษภาคม
    พ่อผากลับมาถึงประมาณตีสองเมื่อคืนพร้อมชายผู้หนึ่ง หนวดเครารุงรัง รูปร่างสูงใหญ่ แขนข้างขวาของเขาพันเฝือกอันใหญ่ ข้างซ้ายพันด้วยผ้าสีขาวที่กลายเป็นแดงด้วยเลือดซึม แต่เขาก็ดูยังทรหดอดทน เดินลงจากรถด้วยทีท่าเซๆ จนพ่อเรียกพี่เมฆามาช่วยหิ้วปีกเขาไปนอนพักในห้องพี่ ซึ่งก็หมายความว่าพี่ชายต้องไปนอนกับพ่อแทน
พ่อผาบอกว่า เขาชื่อพิรุณ เป็นลูกชายของคนรู้จักที่มาเที่ยวเวียงฟ้าแล้วเกิดไปมีเรื่องกับขี้เมาในตัวเวียงจึงโดนยิงโชคดีที่กระสุนแค่ถากไป แต่โชคร้ายที่หกล้มจนแขนหัก
“แล้วทำไมไม่นอนที่โรงหมอ”
พ่อผาเขกหัวแล้วดุเสียงดังแข่งกับเสียงฟ้าฝนที่ยังคำรามก้องราตรีว่า
“ไปนอนได้แล้วรุ้งงาม เรื่องของผู้ใหญ่”
เราก็เลยมาล้มตัวลงนอน แต่ไม่หลับหรอก นอนฟังเสียงผู้ใหญ่คุยกัน พลางนึกถึงชายคนที่นอนในห้องถัดไป เราไม่เชื่อหรอกว่าคนเวียงฟ้าจะขี้เหล้าเมายาจนถึงขั้นรังแกนักท่องเที่ยวต่างเมือง แล้วพ่อไปทำงานในป่าอีกฝั่งของแม่น้ำฟ้าไม่ใช่หรือ แล้วไปเจอกับชายนามว่า พิรุณได้อย่างไร
ชื่อพิรุณ และมาพร้อมฝนพอดิบพอดีเชียว
ตกตอนเช้าเราก็ตื่นมาก่อไฟ หุงข้าวเช่นเคย เราเคยขอพ่อหลายครั้งแล้วว่าซื้อเตาแก๊สเถอะ แต่พ่อผาก็ไม่ยอมเพราะเหตุผลที่ว่า ในป่ามีกิ่งไม้มีฟืนเยอะแยะไป ไฉนต้องไปซื้อแก๊สต่างชาติให้เปลืองเงินอีกอย่างพ่อผาก็อยู่คนเดียวไม่ค่อยได้ทำอาหาร 
ก็จริงของพ่อผา
คนป่วยคงต้องกินอาหารอ่อนๆ เราก็เลยต้มข้าวเผื่อไว้ พี่เมฆาไปไหนไม่รู้ตั้งแต่เช้ายังไม่กลับ พ่อก็ไม่อยู่เช่นกัน
ไม่อยากเชื่อว่าจะทิ้งน้องสาว ลูกสาวไว้กับชายแปลกหน้าที่ตอนนี้มายืนกั้นประตูเรือนไฟอยู่
หน้าตาซีดเซียว ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเครายิ่งทำให้เหมือนโจร
เราผงะ ถอยหลัง แต่เขาก็เหมือนเซเช่นกัน
“น้ำ  ขอน้ำ”  เสียงแหบแห้งพึมพัมเบาๆ
เราก็เลยรีบรินน้ำจากน้ำต้นให้ ตัวคนขอเองก็ทรุดนั่งศีรษะพิงบานประตู เหมือนเหนื่อยล้าเต็มที
เรายื่นจอกเงินใส่น้ำเต็มปรี่ให้ ดวงตาสีดำสนิทก็มองจ้องมา ก่อนจะยกมือซ้ายรับแต่พอจอกสัมผัสมือได้ไม่กี่วินาทีก็หล่นลงบนพื้นทันควัน มือคงไม่มีแรง เราก็ลืมไป
“ขอโทษค่ะ เดี๋ยวไปเอามาให้ใหม่” คราวนี้เราเอาจ่อติดปากให้ทีเดียว เขาก็ดื่มอย่างกระหาย แถมยังใช้มือซ้ายจับมือเราประคองเหมือนกลัวเรายกมือหนีหาย (ทั้งๆที่แขนเจ็บ)
“ค่อยๆดื่มก็ได้ ไม่พอเราจะตักให้อีก” ดวงตาคมปลาบตวัดมอง ก่อนจะปล่อยมือพยักหน้าพึมพำเสียงแหบแห้ง
“ขอบใจมาก”
เอาละแล้วที่นี้ยังไงต่อ
เราก็ต้องเป็นคนหิ้วปีกคนตัวโต สูงใหญ่ไปที่ห้องนะซี ในเมื่อสีหน้าเขาอ่อนล้า คงจะหมดแรงหลับคาประตูเป็นแน่ถ้าไม่รีบพาไปนอน เขาก็เหมือนจะพยายามไม่ทิ้งน้ำหนักตัวมากนัก ทุลักทุเลกันมาจนถึงเตียงแล้วเขาก็ทิ้งตัวลงโครม จนน่ากลัวว่าแผลจะซ้ำ
ผ้าปูที่นอนเป็นผ้าฝ้ายทอสีฟ้าเล่นลายสลับเส้นเข้มอ่อนฝีมือทอของแม่ตอนนี้ยับยู่ยี่และเปื้อนเลือด จะบอกให้คนที่นอนเจ็บอยู่ลุกขึ้นมาเพื่อจะหาผ้าปูใหม่มาเปลี่ยนก็เกรงใจ
“ขอบใจ” เสียงพึมพัมเบาๆตามหลัง เมื่อเราตัดสินใจเดินออกมาจากห้อง
พ่อกับพี่ก็กระไรทิ้งน้องให้อยู่บ้านคนเดียวกับชายแปลกหน้า มิหนำซ้ำพอถึงเวลาอาหารเช้าก็ยังไม่กลับ ฝนที่ซาไปเริ่มปรอยเม็ดลงมาบางๆ เหมือนนางฟ้าใช้ฝักบัวรด ก่อนจะสาดลงอย่างหนักเหมือนเทวดาใช้ถังเทน้ำ จะเดินไปถามบ้างข้างๆก็ไม่ได้เพราะไม่มีร่ม เราจึงต้องนั่งกินข้าวคนเดียวอยู่ในเรือนไฟ
พอนึกถึงคนป่วยได้ก็รีบตักข้าวต้มร้อนๆใส่ชามไปให้
คุณพิรุณ แขกของพ่อยังหลับอยู่แต่ก็ต้องปลุกกันขึ้นมาทานข้าวเพื่อจะได้ทานยา
“คุณคะ ตื่นเถอะ” เขาก็ตื่นทันที เงยหน้าสบตากับเรา แล้วเขาก็ยิ้ม ที่คิดว่ายิ้มเพราะเห็นหนวดเคราขยับ (แต่อาจจะไม่ใช่ก็ได้)
“ค่อยๆลุกค่ะ ทานข้าวหน่อยจะได้ทานยา”
คุณพิรุณค่อยๆขยับเราก็รีบใช้หมอนพิงหลังให้ สายตามคมยังมองอยู่ เราก็เลยวางถาดไว้ข้างเตียง
“พ่อเรากลับมาหรือยัง”
เขารู้ด้วยว่าพ่อไม่อยู่
“ยังค่ะ”
“พ่อบอกหรือเปล่าว่ามาเมื่อไหร่”
“พ่อไม่ได้บอกข้าเจ้าว่าจะกลับเมื่อใด คุณมีธุระอะไรกับพ่อหรือเปล่า”
“เปล่าหรอก ถามถึงเฉยๆ ” แค่ถามถึงแต่เสียงก็วางอำนาจราวกับนายถามหาบ่าวจนเรารู้สึกไม่ค่อยพอใจจึงรีบออกมา
สิบห้านาทีต่อมาเราเข้าไปเก็บชาม ปรากฏว่า ข้าวต้มยังเต็มชามเหมือนเดิม
“ไม่อร่อยหรือ”
“ยังไม่ได้ชิมหรอก แต่ก็ขอบใจที่อุตส่าห์เอามาให้”
“แล้วคุณจะกินยาได้อย่างไร ถึงมันจะเป็นอาหารคนบ้านป่า แต่รสชาติก็ไม่ได้เลวร้ายหรอก” อดไม่ได้ต้องว่าซะหน่อย
    เขาบ่นอะไรพึมพำพลางกวาดสายตามองเรา
    “อะไรนะ”
    “ฉันไม่ได้รังเกียจแต่ว่าฉันกินไม่ได้”
    “ทำไมล่ะ”
    “ก็แปลว่ากินไม่ได้”
    “แล้วคุณจะให้ข้าเจ้าทำอย่างไร คุณเป็นคนป่วยเป็นแขกของบ้าน เป็นเพื่อนของพ่อก็อยากจะดูแลช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ หากคิดว่าไม่อร่อยอย่างนั้นก็ต้องรอให้ฝนหยุด หรือรอให้พ่อมาแล้วไปหาซื้อให้คุณ”
    “เธออยากช่วยฉันจริงหรือ”
    เราพยักหน้า
    “แน่ใจนะ”
    “คนเวียงฟ้าไม่ใช่คนใจดำ”
    “งั้นก็อยากให้ช่วยป้อนข้าวให้หน่อย เพราะที่กินไม่ได้ก็เพราะแขนไม่ดีทั้งสองข้าง อย่างที่เธอก็เห็น” เขาก็พูดเสียงเรียบธรรมดาธรรมดา แต่เราหน้าร้อนวาบ
    “คนเวียงฟ้าไม่ใจดำแล้วคงไม่ผิดคำพูดด้วย ใช่หรือเปล่า แม่นาง”
    เอาละ เป็นไงเป็นกัน ก็แค่ป้อนข้าว
    แต่แค่ป้อนข้าวก็ไม่ต้องจ้องไม่ต้องมองเราราวกับชาตินี้ยังไม่เคยมีใครป้อนข้าวเข้าปากก็ได้
พี่เมฆากลับมาครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นด้วยตัวเปียกโชก มาถึงก็แวะไปดูคนป่วยเสียหน่อย
“พ่อไปไหน แล้วเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“พ่อผาไม่รู้ไปไหน แต่คุณพิรุณ รุ้งให้กินข้าวกินยาแล้ว”
พี่ชายทำหน้านิ่วเหมือนไม่พอใจ แต่เรื่องที่คุยต่อกลับไม่ใช่เรื่องคุณพิรุณ โล่งอกไปจะได้ไม่ต้องตอบคำถามพี่ชาย
“น้ำนองสูง เราต้องรีบกลับเดี๋ยวนี้ ก่อนที่สะพานอาจขาด พรุ่งนี้พี่สอนวิชาสำคัญด้วย”
“แต่พ่อยังไม่กลับ แล้วจะให้ใครก็ไม่รู้อยู่บ้านเราคนเดียวได้หรือ”
“ก็ต้องรอพ่อผากลับมาก่อน พ่อนึกอย่างไรถึงได้พาคนอย่างนั้นกลับมาบ้าน” แล้วก็ไม่พูดต่อปล่อยให้น้องสาวนึกฉงนอยู่ในใจ
ก็จริงของพี่ นึกอย่างไรถึงได้พาคนแปลกหน้าที่เจ็บตัวแบบแปลกๆเข้ามาในบ้าน ปกติพ่อผาไม่ใช่คนอย่างนั้น
แต่เราสองพี่น้องก็รอไม่นาน สักพักพ่อผาก็กลับมาพร้อมหมออนามัยจากหมู่บ้านหน้าด่านอุทยาน
พอรู้ว่าลูกจะกลับ พ่อก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและทำท่าจะเดินไปดูคนเจ็บที่ตอนนี้หมอกำลังล้างแผลให้
พอเราเก็บของเสร็จออกมาจากห้อง ก็ไม่เห็นพี่ชายเลยเดินตามหาปรากฏว่ากำลังคุยกับพ่อในครัว
“พ่อ ผมขอละ ไปอยู่กับผมที่ในเวียงเสียเถิด อยู่ที่นี่ก็ไม่มีใคร ผมกับรุ้งก็ไม่ได้กลับบ่อยนัก”
“ฉันอยู่ของฉันดีแล้ว แกอย่ามายุ่งยากกับฉันเลย”
“อย่านึกนะว่าผมไม่รู้ ว่าพ่อทำอะไร แล้วอย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ด้วย ผมอยากขอร้องให้พ่อเลิกตั้งแต่ตอนนี้จะได้ไหม ไม่เห็นแก่ผมก็เห็นแก่รุ้งเถอะ ผมเลี้ยงพ่อเลี้ยงน้องได้นะ”
“แกนึกว่าแกรู้อะไรดีๆอย่างนั้นหรือ เมฆา หึ อย่ามาพูดเลยดีกว่า กลับไปได้แล้ว เรื่องของพ่อ พ่อจัดการเอง”
เป็นบทสนทนาที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน พ่อผาทำอะไรบางอย่างที่พี่เมฆาอยากให้เลิก พ่อทำอะไรหนอ อยากรู้จริงๆ แต่ก็ไม่กล้าถาม แต่เราก็นั่งคิดตลอดระยะเวลาที่พี่ขับรถฝ่าสายฝนไปส่งที่โรงเรียนเลยที่เดียว
                        รุ้งงาม
      บ้านก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
    บ้านพักข้าราชการวนอุทยานแห่งชาติเวียงน้ำฟ้าเป็นบ้านไม้หลังเล็ก      ปลูกลดลั่นกันไปตามเนินลาดลงสู่ที่ทำการอุทยาน และสู่หาดน้ำฟ้า ที่มีเรือนแพเรียงรายให้บริการนักท่องเที่ยว วนอุทยานแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนซ้ายของฝั่งแอ่งทะเลสาปเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างแท้จริงมีเรือนแพ บริการ มีน้ำตกยาใหญ่ ซึ่งเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในเวียง มีถ้ำยาน้อยซึ่งเป็นถ้ำหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยเดินเท้าไปกว่าสิบกิโลเมตร
เคยถามพ่อว่า พ่อเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่ใช่หรือทำไมไม่อยู่ฟากโน้นที่เป็นแหล่งป่าอนุรักษ์ละ มาอยู่ทำไมฟากนี้ เราก็โดนเขกหัวกลับมา พร้อมคำด่าว่า “จะให้ไปอยู่กับเสือหรือไง”
ก็จริงของพ่อ ไม่ว่าจำหน้าที่วนอุทยานหรือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทางราชการจัดให้พักอยู่รวมกัน กระจายตามหน้าที่งานการไปทั่วแนวแอ่งทะเลสาบจนจรดเขื่อนน้ำฟ้าเลยทีเดียว
พี่เมฆา คุณครูพี่ชายที่แสนใจดีของเราชวนเราว่ากลับมาคราวนี้จะทาสีบ้านใหม่ให้มันเป็นสีเขียวกลืนไปกับป่าเลยทีเดียว ท่าทางจะเอาจริงแถมยังชวนเราซื้อโอ่ง ซื้อตุ่ม ซื้อกระถางมาปลูกดอกไม้เต็มหลังรถกระบะกะว่าจะปฏิรูปบ้านที่เสื่อมโทรมลงหลังจากแม่ตายเมื่อหลายปีก่อนให้คืนมาสวยงามดังเดิม
อันนี้เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ตอนกลับถึงบ้าน พ่อผา ยังไม่กลับจากลาดตระเวน เราสองคนพี่น้องเลยลงมือทำอาหารรอพ่อทำแต่ของโปรดพ่อทั้งนั้น เอาใจเขาซะหน่อย เพราะตั้งแต่แม่ตายพ่อก็เหงาอยู่บ้านคนเดียว เพราะส่งเราไปอยู่ประจำที่โรงเรียนเลย ดังนั้นแกก็เลยทำงานแบบลืมกลับบ้านเป็นประจำ
แต่รอแล้วรอเล่าจนตะวันคล้อย พ่อผาก็ยังไม่กลับ พี่เมฆาบอกพ่อแล้วนี่ว่าลูกจะกลับวันนี้
จนกระทั่งที่เราเขียนบันทึกนี้ เสียงฟ้ากำลังเริ่มคำรามมาแต่ไกล ฝนเริ่มสาดจนเราต้องรีบช่วยพี่ปิดประตูหน้าต่าง แต่พ่อผาก็ยังไม่มา
พ่อผาจ๋า พ่อผาอยู่ไหน
                    รุ้งงาม.....คนงามของพ่อ
............................................................................................................................................
21 พฤษภาคม
    พ่อผากลับมาถึงประมาณตีสองเมื่อคืนพร้อมชายผู้หนึ่ง หนวดเครารุงรัง รูปร่างสูงใหญ่ แขนข้างขวาของเขาพันเฝือกอันใหญ่ ข้างซ้ายพันด้วยผ้าสีขาวที่กลายเป็นแดงด้วยเลือดซึม แต่เขาก็ดูยังทรหดอดทน เดินลงจากรถด้วยทีท่าเซๆ จนพ่อเรียกพี่เมฆามาช่วยหิ้วปีกเขาไปนอนพักในห้องพี่ ซึ่งก็หมายความว่าพี่ชายต้องไปนอนกับพ่อแทน
พ่อผาบอกว่า เขาชื่อพิรุณ เป็นลูกชายของคนรู้จักที่มาเที่ยวเวียงฟ้าแล้วเกิดไปมีเรื่องกับขี้เมาในตัวเวียงจึงโดนยิงโชคดีที่กระสุนแค่ถากไป แต่โชคร้ายที่หกล้มจนแขนหัก
“แล้วทำไมไม่นอนที่โรงหมอ”
พ่อผาเขกหัวแล้วดุเสียงดังแข่งกับเสียงฟ้าฝนที่ยังคำรามก้องราตรีว่า
“ไปนอนได้แล้วรุ้งงาม เรื่องของผู้ใหญ่”
เราก็เลยมาล้มตัวลงนอน แต่ไม่หลับหรอก นอนฟังเสียงผู้ใหญ่คุยกัน พลางนึกถึงชายคนที่นอนในห้องถัดไป เราไม่เชื่อหรอกว่าคนเวียงฟ้าจะขี้เหล้าเมายาจนถึงขั้นรังแกนักท่องเที่ยวต่างเมือง แล้วพ่อไปทำงานในป่าอีกฝั่งของแม่น้ำฟ้าไม่ใช่หรือ แล้วไปเจอกับชายนามว่า พิรุณได้อย่างไร
ชื่อพิรุณ และมาพร้อมฝนพอดิบพอดีเชียว
ตกตอนเช้าเราก็ตื่นมาก่อไฟ หุงข้าวเช่นเคย เราเคยขอพ่อหลายครั้งแล้วว่าซื้อเตาแก๊สเถอะ แต่พ่อผาก็ไม่ยอมเพราะเหตุผลที่ว่า ในป่ามีกิ่งไม้มีฟืนเยอะแยะไป ไฉนต้องไปซื้อแก๊สต่างชาติให้เปลืองเงินอีกอย่างพ่อผาก็อยู่คนเดียวไม่ค่อยได้ทำอาหาร 
ก็จริงของพ่อผา
คนป่วยคงต้องกินอาหารอ่อนๆ เราก็เลยต้มข้าวเผื่อไว้ พี่เมฆาไปไหนไม่รู้ตั้งแต่เช้ายังไม่กลับ พ่อก็ไม่อยู่เช่นกัน
ไม่อยากเชื่อว่าจะทิ้งน้องสาว ลูกสาวไว้กับชายแปลกหน้าที่ตอนนี้มายืนกั้นประตูเรือนไฟอยู่
หน้าตาซีดเซียว ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเครายิ่งทำให้เหมือนโจร
เราผงะ ถอยหลัง แต่เขาก็เหมือนเซเช่นกัน
“น้ำ  ขอน้ำ”  เสียงแหบแห้งพึมพัมเบาๆ
เราก็เลยรีบรินน้ำจากน้ำต้นให้ ตัวคนขอเองก็ทรุดนั่งศีรษะพิงบานประตู เหมือนเหนื่อยล้าเต็มที
เรายื่นจอกเงินใส่น้ำเต็มปรี่ให้ ดวงตาสีดำสนิทก็มองจ้องมา ก่อนจะยกมือซ้ายรับแต่พอจอกสัมผัสมือได้ไม่กี่วินาทีก็หล่นลงบนพื้นทันควัน มือคงไม่มีแรง เราก็ลืมไป
“ขอโทษค่ะ เดี๋ยวไปเอามาให้ใหม่” คราวนี้เราเอาจ่อติดปากให้ทีเดียว เขาก็ดื่มอย่างกระหาย แถมยังใช้มือซ้ายจับมือเราประคองเหมือนกลัวเรายกมือหนีหาย (ทั้งๆที่แขนเจ็บ)
“ค่อยๆดื่มก็ได้ ไม่พอเราจะตักให้อีก” ดวงตาคมปลาบตวัดมอง ก่อนจะปล่อยมือพยักหน้าพึมพำเสียงแหบแห้ง
“ขอบใจมาก”
เอาละแล้วที่นี้ยังไงต่อ
เราก็ต้องเป็นคนหิ้วปีกคนตัวโต สูงใหญ่ไปที่ห้องนะซี ในเมื่อสีหน้าเขาอ่อนล้า คงจะหมดแรงหลับคาประตูเป็นแน่ถ้าไม่รีบพาไปนอน เขาก็เหมือนจะพยายามไม่ทิ้งน้ำหนักตัวมากนัก ทุลักทุเลกันมาจนถึงเตียงแล้วเขาก็ทิ้งตัวลงโครม จนน่ากลัวว่าแผลจะซ้ำ
ผ้าปูที่นอนเป็นผ้าฝ้ายทอสีฟ้าเล่นลายสลับเส้นเข้มอ่อนฝีมือทอของแม่ตอนนี้ยับยู่ยี่และเปื้อนเลือด จะบอกให้คนที่นอนเจ็บอยู่ลุกขึ้นมาเพื่อจะหาผ้าปูใหม่มาเปลี่ยนก็เกรงใจ
“ขอบใจ” เสียงพึมพัมเบาๆตามหลัง เมื่อเราตัดสินใจเดินออกมาจากห้อง
พ่อกับพี่ก็กระไรทิ้งน้องให้อยู่บ้านคนเดียวกับชายแปลกหน้า มิหนำซ้ำพอถึงเวลาอาหารเช้าก็ยังไม่กลับ ฝนที่ซาไปเริ่มปรอยเม็ดลงมาบางๆ เหมือนนางฟ้าใช้ฝักบัวรด ก่อนจะสาดลงอย่างหนักเหมือนเทวดาใช้ถังเทน้ำ จะเดินไปถามบ้างข้างๆก็ไม่ได้เพราะไม่มีร่ม เราจึงต้องนั่งกินข้าวคนเดียวอยู่ในเรือนไฟ
พอนึกถึงคนป่วยได้ก็รีบตักข้าวต้มร้อนๆใส่ชามไปให้
คุณพิรุณ แขกของพ่อยังหลับอยู่แต่ก็ต้องปลุกกันขึ้นมาทานข้าวเพื่อจะได้ทานยา
“คุณคะ ตื่นเถอะ” เขาก็ตื่นทันที เงยหน้าสบตากับเรา แล้วเขาก็ยิ้ม ที่คิดว่ายิ้มเพราะเห็นหนวดเคราขยับ (แต่อาจจะไม่ใช่ก็ได้)
“ค่อยๆลุกค่ะ ทานข้าวหน่อยจะได้ทานยา”
คุณพิรุณค่อยๆขยับเราก็รีบใช้หมอนพิงหลังให้ สายตามคมยังมองอยู่ เราก็เลยวางถาดไว้ข้างเตียง
“พ่อเรากลับมาหรือยัง”
เขารู้ด้วยว่าพ่อไม่อยู่
“ยังค่ะ”
“พ่อบอกหรือเปล่าว่ามาเมื่อไหร่”
“พ่อไม่ได้บอกข้าเจ้าว่าจะกลับเมื่อใด คุณมีธุระอะไรกับพ่อหรือเปล่า”
“เปล่าหรอก ถามถึงเฉยๆ ” แค่ถามถึงแต่เสียงก็วางอำนาจราวกับนายถามหาบ่าวจนเรารู้สึกไม่ค่อยพอใจจึงรีบออกมา
สิบห้านาทีต่อมาเราเข้าไปเก็บชาม ปรากฏว่า ข้าวต้มยังเต็มชามเหมือนเดิม
“ไม่อร่อยหรือ”
“ยังไม่ได้ชิมหรอก แต่ก็ขอบใจที่อุตส่าห์เอามาให้”
“แล้วคุณจะกินยาได้อย่างไร ถึงมันจะเป็นอาหารคนบ้านป่า แต่รสชาติก็ไม่ได้เลวร้ายหรอก” อดไม่ได้ต้องว่าซะหน่อย
    เขาบ่นอะไรพึมพำพลางกวาดสายตามองเรา
    “อะไรนะ”
    “ฉันไม่ได้รังเกียจแต่ว่าฉันกินไม่ได้”
    “ทำไมล่ะ”
    “ก็แปลว่ากินไม่ได้”
    “แล้วคุณจะให้ข้าเจ้าทำอย่างไร คุณเป็นคนป่วยเป็นแขกของบ้าน เป็นเพื่อนของพ่อก็อยากจะดูแลช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ หากคิดว่าไม่อร่อยอย่างนั้นก็ต้องรอให้ฝนหยุด หรือรอให้พ่อมาแล้วไปหาซื้อให้คุณ”
    “เธออยากช่วยฉันจริงหรือ”
    เราพยักหน้า
    “แน่ใจนะ”
    “คนเวียงฟ้าไม่ใช่คนใจดำ”
    “งั้นก็อยากให้ช่วยป้อนข้าวให้หน่อย เพราะที่กินไม่ได้ก็เพราะแขนไม่ดีทั้งสองข้าง อย่างที่เธอก็เห็น” เขาก็พูดเสียงเรียบธรรมดาธรรมดา แต่เราหน้าร้อนวาบ
    “คนเวียงฟ้าไม่ใจดำแล้วคงไม่ผิดคำพูดด้วย ใช่หรือเปล่า แม่นาง”
    เอาละ เป็นไงเป็นกัน ก็แค่ป้อนข้าว
    แต่แค่ป้อนข้าวก็ไม่ต้องจ้องไม่ต้องมองเราราวกับชาตินี้ยังไม่เคยมีใครป้อนข้าวเข้าปากก็ได้
พี่เมฆากลับมาครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นด้วยตัวเปียกโชก มาถึงก็แวะไปดูคนป่วยเสียหน่อย
“พ่อไปไหน แล้วเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“พ่อผาไม่รู้ไปไหน แต่คุณพิรุณ รุ้งให้กินข้าวกินยาแล้ว”
พี่ชายทำหน้านิ่วเหมือนไม่พอใจ แต่เรื่องที่คุยต่อกลับไม่ใช่เรื่องคุณพิรุณ โล่งอกไปจะได้ไม่ต้องตอบคำถามพี่ชาย
“น้ำนองสูง เราต้องรีบกลับเดี๋ยวนี้ ก่อนที่สะพานอาจขาด พรุ่งนี้พี่สอนวิชาสำคัญด้วย”
“แต่พ่อยังไม่กลับ แล้วจะให้ใครก็ไม่รู้อยู่บ้านเราคนเดียวได้หรือ”
“ก็ต้องรอพ่อผากลับมาก่อน พ่อนึกอย่างไรถึงได้พาคนอย่างนั้นกลับมาบ้าน” แล้วก็ไม่พูดต่อปล่อยให้น้องสาวนึกฉงนอยู่ในใจ
ก็จริงของพี่ นึกอย่างไรถึงได้พาคนแปลกหน้าที่เจ็บตัวแบบแปลกๆเข้ามาในบ้าน ปกติพ่อผาไม่ใช่คนอย่างนั้น
แต่เราสองพี่น้องก็รอไม่นาน สักพักพ่อผาก็กลับมาพร้อมหมออนามัยจากหมู่บ้านหน้าด่านอุทยาน
พอรู้ว่าลูกจะกลับ พ่อก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและทำท่าจะเดินไปดูคนเจ็บที่ตอนนี้หมอกำลังล้างแผลให้
พอเราเก็บของเสร็จออกมาจากห้อง ก็ไม่เห็นพี่ชายเลยเดินตามหาปรากฏว่ากำลังคุยกับพ่อในครัว
“พ่อ ผมขอละ ไปอยู่กับผมที่ในเวียงเสียเถิด อยู่ที่นี่ก็ไม่มีใคร ผมกับรุ้งก็ไม่ได้กลับบ่อยนัก”
“ฉันอยู่ของฉันดีแล้ว แกอย่ามายุ่งยากกับฉันเลย”
“อย่านึกนะว่าผมไม่รู้ ว่าพ่อทำอะไร แล้วอย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ด้วย ผมอยากขอร้องให้พ่อเลิกตั้งแต่ตอนนี้จะได้ไหม ไม่เห็นแก่ผมก็เห็นแก่รุ้งเถอะ ผมเลี้ยงพ่อเลี้ยงน้องได้นะ”
“แกนึกว่าแกรู้อะไรดีๆอย่างนั้นหรือ เมฆา หึ อย่ามาพูดเลยดีกว่า กลับไปได้แล้ว เรื่องของพ่อ พ่อจัดการเอง”
เป็นบทสนทนาที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน พ่อผาทำอะไรบางอย่างที่พี่เมฆาอยากให้เลิก พ่อทำอะไรหนอ อยากรู้จริงๆ แต่ก็ไม่กล้าถาม แต่เราก็นั่งคิดตลอดระยะเวลาที่พี่ขับรถฝ่าสายฝนไปส่งที่โรงเรียนเลยที่เดียว
                        รุ้งงาม
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น