ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic Harry Potter] [OCxDM] If Harry Potter has a sister!

    ลำดับตอนที่ #58 : บทที่ 10 : ชื่อต้องห้าม

    • อัปเดตล่าสุด 2 ธ.ค. 64


    บทที่ 10 : ชื่อต้องห้าม


    สองสามวัน เดรโกกลับมาที่บ้านด้วยท่าทีเหนื่อยยิ่งกว่าปกติ เขาไม่พูดจาอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เฮเลนรู้สึกว่าตัวเองถูกปล่อยเอาไว้เพียงลำพังพร้อมกับความหนักใจ ครีเชอร์ไม่ได้กลับมาพร้อมกับเดรโก เฮเลนไม่รู้ว่ามันไปอยู่ที่ไหน บางทีอาจจะกลับไปที่กริมโมลด์เพลซเพื่อดูสถานการณ์ แต่ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้าเกิดแยกซ์ลีย์ทรมานมันเพื่อให้มันบอกว่าพวกแฮร์รี่เคยอยู่ที่นั่นหรือไม่ หรือว่ามันทำอะไรก่อนหน้านั้นบ้างล่ะ

    ภาพน่าขยะแขยงแหวกว่ายเข้ามาในหัวอย่างช่วยไม่ได้ เฮเลนพยายามสลัดความคิดพวกนั้นออกไปจากหัวเพราะยังไงตอนนี้ก็ไม่อาจช่วยอะไรมันได้เลย จะเรียกครีเชอร์มาที่นี่แต่ว่าเดรโกก็ไม่ยอมบอกว่าตอนนี่มันไปอยู่ที่ไหนกันแน่ นอกจากนั้นเขาก็แทบไม่ได้คุยกับเธอเป็นชิ้นเป็นอันเลยตั้งแต่กลับมา

    ร่างบางนอนแผ่อยู่บนเตียงกว้าง ช่วงนี้นาร์ซิสซาไม่ต้องการให้เธอลงไปดูลูกแก้วและบอกว่าโวลเดอมอร์ไม่ต้องการคำพยากรณ์ในช่วงเวลานี้เพราะเขาไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมานั่งฟังเรื่องเดิมๆ จากเธอ เฮเลนจึงได้แต่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในคฤหาสน์กว้างใหญ่แห่งนี้เท่านั้น

    ตอนนี้แผลเป็นปวดแสบปวดร้อนเหมือนถูกไฟเผา เธอคิดว่ามีเรื่องอีกมากมายที่เธอยังไม่รู้ ดัมเบิลดอร์ก็ไม่ได้อยู่เพื่อตอบคำถามพวกนั้นให้กับเธอและแฮร์รี่หรือเดรโกอีกแล้ว เซเวอร์รัส สเนป งูที่ทำเป็นเชื่อง ลงมือฆ่าเขาบนยอดหอคอยดูดาวที่เคยไปสอบ ว.พ.ร.ส.


    “เอามันมาให้ฉัน เกรโกโรวิตซ์”

    เสียงสูง มีความชัดเจนและเยือกเย็น ภาพไม้กายสิทธิ์ปรากฏอยู่ตรงหน้าในมือสีขาวซีดที่มีนิ้วเรียวยาว ชายคนที่ถูกชี้ไม้ใส่ถูกแขวนห้อยหัวอยู่กลางอากาศแต่ทว่าไม่ได้มีเชือกใดๆ ผูกมัดเขาเอาไว้เลย มันคงเป็นคาถาผูกขาที่แฮร์รี่เคยเล่นสนุกกับรอนเมื่อปีก่อน ร่างของเขาแกว่งไปมา ถูกพันธนาการอย่างน่าขนลุกด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น แขนขาแนบลำตัว ใบหน้าที่หวาดกลัวอยู่ระดับเดียวกับหน้าของเธอเป็นสีแดงคล้ำด้วยเลือดที่ไหลตกลงมาที่หัว เขามีผมสีขาวโพลน เคราดกหนาและเหมือนกับซานตาคลอสที่ถูกมัดห้อยเอาไว้

    “ผมไม่มี ผมไม่มีมันอีกแล้ว! มันถูกขโมยไปหลายปีแล้ว!

    “อย่าโกหกลอร์ดโวลเดอมอร์ เกรโกโรวิตซ์ เขารู้ เขารู้เสมอ!

    รูม่านตาของชายที่ถูกแขวนเบิกกว้างด้วยความกลัว มันพองขึ้น พองขึ้นกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสีดำสนิทจนกลืนกินเฮเลนเข้าไปแทบทั้งตัว

    เฮเลนรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินไปตามระเบียงทางเดินมืดๆ ตามหลังล่ำเตี้ยของเกรโกโรวิตซ์ ขณะที่เขาชูตะเกียงสูงขึ้น เกรโกโรวิตซ์พุ่งพรวดพราดเข้าไปในห้องสุดทางเดิน ตะเกียงฉายแสงส่องห้องที่เหมือนห้องทำงานในโรงงาน เศษไม้และทองแวววาวอยู่ในวงแสงที่แกว่งไปมา

    ชายหนุ่มผมสีทองคนหนึ่งเกาะอยู่บนขอบหน้าต่างเหมือนนกยักษ์ ชั่วอึดใจเดียวผู้บุกรุกก็ส่งคาถาสะกดนิ่งออกมาจากไม้กายสิทธิ์แล้วกระโดดถอยหลังลงไปจากหน้าต่างอย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะด้วยความปรีดา เขาหายลับไปในความมืดราวกับนกที่โผบินและหายวับไป

    เฮเลนหลุดออกมาจากรูม่านตาที่เหมือนอุโมงค์กว้างและกลับมาเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความตื่นกลัวของเกรโกรโรวิตซ์

    “หัวขโมยนั่นคือใคร เกรโกโรวิตซ์” เสียงแหลมเยือกเย็นเอ่ยถาม

    “ผมไม่รู้” เกรโกโรวิตซ์พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ผมไม่เคยรู้เลย เป็นไอ้หนุ่มคนหนึ่ง อย่า— ได้โปรดเถอะ ได้โปรด!

    เสียงกรีดร้องดังต่อไปไม่หยุดหย่อน เจ้าของร่างดูจะไม่สนใจคำอ้อนวอนพวกนั้นเลย แล้วแสงสีเขียวก็สว่างวาบขึ้นอย่างฉับพลัน


    “เฮเลน!

    แรงเขย่าทำให้เฮเลนหลุดจากภวังค์ ดวงตากลมโตมองไปยังเจ้าของมือเรียวที่จับร่างของเธอเขย่าไปมา ใบหน้าของเขาฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด เดรโกดึงร่างของเธอเข้าไปกอดอย่างรวดเร็วจนเฮเลนยังตกใจ แปลกใจนิดหน่อยที่ตลอดเวลาหลังจากเขากลับมาก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย

    “เธอเห็นอีกแล้วใช่ไหม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เธอรู้ใช่ไหมว่ามันอันตรายมาก เขาอาจรู้ว่าเธอมองเห็น”

    “เขาพบแล้ว” เฮเลนบอกเสียงอู้อี้ ใบหน้าซุกอยู่บนอกกว้าง “เขาพบกับเกรโกโรวิตซ์แล้วเดรโก เขาฆ่าเกรโกโรวิตซ์ไปแล้ว ฉันเห็น... ฉันเห็น...”

    “พอแล้วน่า” เดรโกกระชอบอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ส่ายหน้าเบาๆ “เธอไม่ต้องบอกฉันว่าเห็นใครตายอีกแล้วก็ได้”

    “ไม่ใช่ เดรโก” เธอตอบพลางดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขาและเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีฟ้าซีด “ฉันเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หน้าตาคุ้นมาก เขาขโมยอะไรบางอย่างไปจากเกรโกโรวิตซ์”

    เดรโกมองหน้าเธอในขณะที่เฮเลนเริ่มเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมา เธอนึกถึงวันที่โวลเดอมอร์กลับมาที่คฤหาสน์พร้อมกับความโกรธเกรี้ยวและทรมานเธอด้วยคำสาปกรีดแทง เฮเลนจำได้ว่าโวลเดอมอร์ตั้งคำถามเกี่ยวกับไม้กายสิทธิ์ของลูเซียสที่ถูกทำลายไปจากไม้กายสิทธิ์ของแฮร์รี่ เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องแกนไม้กายสิทธิ์ที่เป็นแกนแฝดของทั้งสองเลย ไม่ได้บอกให้เกรโกโรวิตซ์ทำไม้กายสิทธิ์ที่มีพลังอำนาจมากกว่าด้วยซ้ำ

    “เขาต้องการอะไรจากเกรโกโรวิตซ์” เฮเลนพึมพำ “เขาบอกให้เกรโกโรวิตซ์เอามันมาให้เขา แล้วเด็กหนุ่มนั่นก็ขโมยมันไปก่อนที่โวลเดอมอร์จะมาถึง เขาขโมยของที่โวลเดอมอร์กำลังตามหาอยู่”

    เธอนึกอยากจะเห็นใบหน้าหัวเราะร่าของผู้ชายคนนั้นอีกสักรอบ การขโมยดูเหมือนจะเคยเกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว ถ้าดูจากรูปร่างหน้าตาและแผ่นหนังของเกรโกโรวิตซ์ แต่ทำไมชายคนนั้นถึงได้ดูคุ้นหน้าคุ้นตาเหลือเกินนะ

    เดรโกผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย

    “ฉันเคยเล่าให้เธอฟังเรื่องนิทานของบีเดิ้ลยอดกวีใช่ไหม” เขาพูด “เธอจำได้ไหมว่าในเรื่องนั้นมีไม้กายสิทธิ์อยู่อันหนึ่งจากของทั้งสามอัน”

    “จำได้” เฮเลนบอก “ที่เป็นไม้มกายสิทธิ์ที่ทำจากไม้เอลเดอร์ ไม้กายสิทธิ์ที่สามารถเอาชนะได้ทุกอย่าง แล้วดูเหมือนว่าการคอบครองมันก็คือจะต้องฆ่าคนที่ครอบครองหรือเอาชนะและแย่งมาได้เท่านั้น”

    “ถูกต้อง” เดรโกคลายอ้อมกอดออกก่อนจะขยับมานั่งข้างๆ เธอบนฟูกเตียงแทน “ถ้าฉันเดาไม่ผิด โวลเดอมอร์กำลังตามหาสิ่งนั้น ผ้าคลุมล่องหนหรือหินชุบวิญญาณอาจจะไม่มีจริง แต่ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์อาจจะมีคนสร้างขึ้นมาจริงๆ แล้วก็ได้”

    เฮเลนไม่ตอบอะไร เธอแน่ใจมาตลอดว่าโวลเดอมอร์กำลังตามหาวิธีที่จะแก้ปัญหาแกนแฝดและการเอาชนะไม้กายสิทธิ์ของแฮร์รี่ และแน่ใจมากขึ้นในวันที่เขากลับมาอย่างโกรธเกรี้ยวในวันนั้นและไปหาโอลิแวนเดอร์ นอกจากนั้นเขายังตามหาเกรโกโรวิตซ์ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เฮเลนมั่นใจว่าเขากำลังแก้ปัญหาเรื่องนี้ แต่สิ่งที่แปลกในเรื่องราวที่เธอเห็นนั่นก็คือ เขาไม่ได้ถามเรื่องไม้กายสิทธิ์วิทยากับโอลิแวนเดอร์หรือเกรโกโรวิตซ์ นอกจากนั้นยังฆ่าเกรโกโรวิตซ์ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ถามเกี่ยวกับไม้กายสิทธิ์วิทยาเลยสักคำ

    “นายแน่ใจเหรอเรื่องแบบนั้น” เฮเลนพูด “มันอาจมีอยู่จริง แต่ใครล่ะคือคนที่แกร่งพอจะเป็นผู้ครอบครองมัน คนที่ฉันเห็นในความทรงจำของเกรโกโรวิตซ์เป็นใครฉันยังไม่รู้เลย ถึงฉันจะคุ้นหน้าเขาเอามากๆ ก็เถอะนะ”

    ใบหน้าของเด็กหนุ่มผมบลอนด์เลือนรางในอยู่ในหัว ใบหน้าที่ร่าเริงและปราดเปรียว ดูเจ้าเล่ห์เหมือนเฟร็ด กับจอร์จ เขาเหินลงจากขอบหน้าต่างเหมือนนก และเฮเลนมั่นใจมากว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อนแน่ๆ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน ตั้งแต่มาอยู่ที่คฤหาสน์นี้...

    และในเมื่อเกรโกโรวิตซ์ตายไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่หัวขโมยหน้าเป็นที่ตกอยู่ในอันตราย เฮเลนอยากจะรู้จริงๆ เลยว่าเขาเป็นใครกันที่ช่างกล้าเข้าไปขโมยของแบบนั้นไป

    “ความเป็นไปได้มีแค่กี่อย่างหรอก” เดรโกบอก ดวงตาฉายแววกังวล “ฉันคิดว่ามันอาจจะอยู่กับผู้วิเศษที่แข็งแกร่ง ฉลาดเฉลียวและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”

    “ดัมเบิลดอร์” เฮเลนพมพำ “มันอาจจะอยู่กับดัมเบิลดอร์”

    “แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าดัมเบิลดอร์จะชิงมันมาจากคนที่เธอเห็นในฝันนี่” เขาพูด “บางทีดัมเบิลดอร์อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีมันอยู่ เขาก็คงเหมือนเธอ ความฉลาดอาจจะบดบังทุกอย่างแล้วถูกวางทับด้วยทฤษฏีที่เป็นไปได้เท่านั้นก็ได้”

    สิ่งที่เดรโกพูดมาก็ถูก ไม่มีอะไรประกันได้เลยว่าดัมเบิลดอร์จะเป็นผู้ที่ถือครองไม้กายสิทธิ์นั้นอยู่จริง บางทีดัมเบิลดอร์อาจจะเหมือนเธอที่ไม่เชื่อว่านิทานบีเดิ้ลยอดกวีพวกนั้นเป็นของจริง

    “แล้วพรอเฟ็ตล่ะ” เฮเลนถาม “ช่วงนี้นายไม่เอาพรอเฟ็ตมาให้ฉันบ้างเลยนะเดรโก ฉันแทบจะตามข่าวอะไรไม่ทันอยู่แล้ว มีอะไรเกิดขึ้นบ้างงั้นเหรอ”

    “ทุกอย่างก็เหมือนกับที่ฉันเล่าให้ฟังนั่นแหละ” เขาตอบ หลบตาเธอ “ไม่มีอะไรหรอก”

    “แน่ใจเหรอ” เธอถามย้ำ

    “แน่สิ” เดรโกพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ “เอาเป็นว่าฉันจะคอยบอกเธอตลอดเวลาหลังจากทำภารกิจเสร็จแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง โอเคไหม”

    “แบบนั้นก็ได้” เฮเลนพยักหน้าอย่างจำใจ ในช่วงเวลานี้เธอไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ครีเชอร์อาจกำลังรับมือกับผู้เสพความตายที่ตอนนี้น่าจะบุกไปที่กริมโมลด์เพลซ ถ้าเรียกตัวมาแยกซ์ลีย์อาจจะตามมาด้วยก็ได้ถ้าเกิดว่ามันอยู่ที่นั่นจริงๆ

    วันรุ่งขึ้นเดรโกออกจากคฤหาสน์ไปตั้งแต่เช้า ช่วงนี้เฮเลนรู้สึกว่าเธอและเดรโกดูห่างเหินกันมากขึ้น อาจจะเพราะเขาไม่มีเวลาว่างเหมือนก่อนนอกจากนั้นเขาก็แทบไม่ได้รับสั่งให้มาเป็นคนดูแลเธอเหมือนครั้งก่อนแล้วด้วย ราวกับว่าโวลเดอมอร์กำลังกันให้เดรโกออกห่างจากเธอมากขึ้น นาร์ซิสซาก็ยังทำตัวเหมือนกับเธอเป็นธาตุอากาศ แทบจะไม่มองหน้ากันด้วยซ้ำเวลาเดินสวนทางกันในคฤหาสน์

    ความโดดเดี่ยวทำให้เฮเลนฟุ้งซ่าน แม้กระทั่งการออกมานั่งพักผ่อนอยู่ในสวนหน้าคฤหาสน์ยังไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เจ้านกยูงตัวงามก็เอาแต่เดินอวดร่างของมันอยู่ตลอด ช่วงนี้เฮเลนจึงคว้าหม้อปรุงยาและส่วนผสมมาสกัดน้ำมันหนวดเมิร์ตแลปกับน้ำยาหัวสมุนไพรดิตทานีเพื่อเก็บเอาไว้เผื่อถึงเวลาที่เดรโกบาดเจ็บกลับมาหรือวันที่โวลเดอมอร์ลงโทษคนใกล้ตัว

    เบลาทริกซ์กลายเป็นผู้เสพความตายเพียงคนเดียว (นอกจากนาร์ซิสซา) ที่ถูกสั่งให้อยู่เฝ้าคฤหาสน์ในช่วงนี้ หล่อนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเหมือนเธอเป็นแค่เศษสวะ ถ้าเกิดว่าเฮเลนไม่มีไม้กายสิทธิ์ติดตัวอยู่ตลอดเวลา บางทีเธออาจจะตายไปตั้งแต่เบลาทริกซ์ก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ก็ได้

    “หล่อนลงมาทำอะไรที่นี่” เบลาทริกซ์พูดเสียงเขียวเมื่อเฮเลนออกจากห้องนอนเพื่อเดินไปที่สวนดังเช่นทุกวัน “ใครอนุญาตให้แกลงมา กลับขึ้นไปเดี๋ยวนี้!

    เฮเลนไม่ตอบ เธอหันหน้าหนีเบลาทริกซ์และเดินต่อไปโดยไม่สนใจแม้แต่จะฟัง ภาพของซีเรียสและลูเซียส ลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง ภาพที่ทั้งสองลอยเข้าไปในม่านสีขาวเพราะคำสาปของเบลาทริกซ์กับโรโดลฟัสมันไม่เคยหายไปเลย ความรู้สึกเกลียดชังต่อทั้งสองก็เช่นกัน เธอไม่อยากแม้กระทั่งหายใจร่วมกันด้วยซ้ำ

    “นี่! ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง” เบลาทริกซ์ตวาดลั่น ข้างๆ ของเธอมีนาร์ซิสซานั่งจับชาอยู่อย่างเงียบๆ

    “เรื่องของฉัน” เฮเลนตอบ สองขายังไม่หยุดเดิน “เธอมีหน้าที่แค่ดูไม่ให้ฉันหนีไป เป็นแค่สุนัขก็ทำหน้าที่ของสุนัขไปเถอะ”

    หญิงสาวเดินออกจากคฤหาสน์ไปอย่างรวดเร็วโดยมีเสียงกรีดร้องของเบลาทริกซ์ดังตามหลัง ภาพที่นาร์ซิสซาวางแก้วชาลงและลุกขึ้นปรามเบลาทริกซ์ปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัด เธอมั่นใจเต็มร้อยว่าโวลเดอมอร์ไม่ยอมให้เบลาทริกซ์ฆ่าเธอก่อนที่เขาจะกลับมาอย่างแน่นอน

    เฮเลนนั่งลงบนม้าหินอ่อนตัวเดิมและเหม่อมองท้องฟ้าสีทึบ มันไม่ช่วยให้เธอมีความคิดอะไรมากขึ้นเลย หลังจากที่โวลเดอมอร์ไม่ต้องการคำพยากรณ์ เธอก็ได้แต่เดินหายใจทิ้งไปวันๆ โดยไม่ได้ทำอะไรเลย เฮเลนอยากจะปรุงน้ำยาสรรพรสแต่ระยะเวลาการปรุงมันค่อนข้างยาวนานจนไม่ทันสำหรับการใช้งาน

    ลาเมียปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากที่มันหายตัวไปยาวนาน ฟินิกซ์ออเกรย์สีเขียวบินร่อนลงาบนตักของเธออย่างใจเย็น มันสะบัดขนเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองสบายตัว เฮเลนเคยคิดอยากจะใช้มันส่งจดหมายไปให้แฮร์รี่ แต่ติดที่ว่าพวกผู้เสพความตายไม่ให้เธอพกแม้กระทั่งกระดาษสักใบหรือปากกาขนนกด้ามเดียว

    ตอนนี้ที่ฮอกวอตส์จะเป็นยังไงบ้าง เฮเลนอยากจะรู้เสียจริงๆ เมื่อโรงเรียนนั้นไม่มีดัมเบิลดอร์ เมื่อโรงเรียนที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้นถูกปกครองโดยผู้เสพความตาย สถานที่ที่เคยเต็มไปด้วยความสุขจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนกันนะ

    “นี่อะไรน่ะ” เฮเลนเอ่ยขึ้นเมื่อลาเมียผงกหัวและวางม้วนกระดาษลงบนตักของเธอ มันเป็นหนังสือพิมพ์เดลี่พรอเฟ็ตฉบับเก่าตั้งแต่ช่วงแรกที่เธอถูกพาตัวมาที่คฤหาสน์ บทความนั้นเฮเลนยังไม่ได้อ่านมันโดยเฉพาะเมื่อขอให้เดรโกนำพรอเฟ็ตมาให้ เขาก็จะเลือกนำมาให้อ่านเฉพาะวันที่มี่ข่าวร้ายเท่านั้น

    “ระลึกถึง อัลบัส ดัมเบิลดอร์” เฮเลนพึมพำ ดวงตากวาดอ่านบทความเหล่านั้นอย่างตั้งใจ


    ระลึกถึงอัลบัส ดัมเบิลดอร์

    โดย เอลฟายอัส โดจ

    ผมพบอัลบัส ดัมเบิลดอร์เมื่ออายุสิบเอ็ดปี ในวันแรกของเราที่ฮอกวอตส์ เราสองคนมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ซึ่งแน่นอนว่าเกิดจากเราต่างก็รู้สึกตัวว่าเป็นคนนอก ผมเป็นโรคไข้ฝีมังกรไม่นานก่อนที่จะมาโรงเรียน และแม้ว่าจะไม่แพร่เชื้อก็ตาม แต่ใบหน้าก็ยังเป็นรูเหมือนข้าวตังและผิวออกสีเขียว มันก็ทำให้ไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ผมนัก ส่วนเขา อัลบัสก็มาถึงฮอกวอตส์พร้อมภาระอันหนักอึ้งจากชื่อเสียงอันไม่พึงปรารถนา 

    ก่อนหน้านั้นไม่ถึงปี เพอร์ซิวาล พ่อของเขาเพิ่งถูกตัดสินลงโทษในคดีเกรียวกราวเรื่องการโจมตีเยาวชนมักเกิ้ลสามคนอย่างป่าเถื่อน

    อัลบัสไม่เคยพยายามปฏิเสธว่าพ่อของเขา (ผู้ที่ปัจจุบันนี้ได้เสียชีวิตลงในคุกอัซคาบัน) ไม่ได้กระทำอาชญากรรมนี้ ในทางตรงข้าม เมื่อผมรวบรวมความกล้าถามเรื่องนี้ เขายังยืนยันกับผมว่า เขารู้ว่าพ่อของเขามีความผิด นอกเหนือจากนั้น ดัมเบิลดอร์ก็ไม่ยอมพูดอะไรเกี่ยวกับความเศร้านี้อีก แม้ว่าหลายคนพยายามชักชวนอย่างไรก็ตาม อันที่จริง บางคนสมัครใจที่จะสรรเสริญการกระทำของพ่อเขาด้วยซ้ำและทึกทักว่าดัมเบิลดอร์เองก็เป็นพวกเกลียดมักเกิ้ลเหมือนกัน พวกเขานั้นเข้าใจผิดอย่างยิ่ง ดังที่ใครก็ตามรู้จักอัลบัสคงจะเป็นพยานได้ เขาไม่เคยแสดงแนวโน้มเกลียดชังพวกมักเกิ้ลเลยสักนิด อันที่จริง เขามุ่งมั่นสนับสนุนสิทธิของพวกมักเกิ้ลเสียด้วยซ้ำ จนก่อศัตรูขึ้นมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


    “บทความไว้อาลัย” เฮเลนพึมพำขณะกำลังอ่าน “แกเอาไอ้นี่มาให้ฉันทำไม ลาเมีย”

    นกฟินิกซ์จ้องมองใบหน้าของเธอเล็กน้อย มันเอนหัวลงและนอนหลับต่อไปโดยไม่ส่งเสียงร้องอะไรตอบสักคำ เฮเลนจึงอ่านบทความต่อไป


    อย่างไรก็ตามในเวลาไม่กี่เดือน ชื่อเสียงของอัลบัสก็เริ่มบดบังเรื่องเสื่อมเสียของเขา เมื่อถึงปลายปีการศึกษาแรก เขาไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะลูกของคนเกลียดมักเกิ้ลอีกต่อไป หากแต่ในฐานะของนักเรียนผู้เฉลียวฉลาดที่สุดเท่าที่โรงเรียนเคยมีมา พวกเราที่ได้อภิสิทธิ์เป็นเพื่อของเขา ต่างก็ได้รับประโยชน์จากตัวอย่างที่เขาทำให้ดู รวมไปถึงความช่วยเหลือและกำลังใจที่เขามีให้อย่างเหลือเฟือ เขาสารภาพกับผมเมื่อเราอายุมากขึ้นว่า เขารู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเขามีความสุขเหลือเกินกับการได้สอน

    อัลบัสไม่มเพียงชนะรางวัลสำคัญทุกรางวัลที่โรงเรียนตั้งไว้ แต่เขายังติดต่อคบหากับผู้วิเศษที่มีชื่อเสียงของยุคเป็นประจำอีกด้วย ซึ่งรวมไปถึงนิโคลัส แฟลมเมล นักเล่นแร่แปรธาตุผู้มีชื่อเสียง บาทิลดา แบ็กชอท นักประวัติศาสตร์ชื่อดังและอดัลเบิร์ด วาฟฟลิง นักทฤษฎีเวทมนตร์ บทความหลายชิ้นของเขาได้พิมพ์ลงในวารสารวิชาการชั้นนำ เช่น การแปลงร่างวันนี้ สิ่งท้าทายในการเสกคาถา และ นักปรุงยาผู้บุกเบิกเชิงปฏิบัติ อาชีพในอนาคตของดัมเบิลดอร์ดูจะรุ่งโรจน์เช่นสะเก็ดดาวและคำถามเดียวที่เหลืออยู่ก็คือ เมื่อไรเขาจะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ แม้จะมีการพยากรณ์กันบ่อยครั้งในช่วงหลายปีต่อมา ว่าเขาเกือบจะได้รับตำแหน่งนี้ แต่เขาไม่มีความทะเยอทะยานที่จะรับตำแหน่งบริหารเลย

    สามปีหลังจากที่เราเริ่มเรียนที่ฮอกวอตส์ อาเบอร์ฟอร์ธ น้องชายของอัลบัสก็เข้ามาเรียน ทั้งคู่ไม่เหมือนกันเลย อาเบอร์ฟอร์ธไม่เคยเป็นหนอนหนังสือและต่างจากอัลบัสตรงที่พอใจที่จะยุติข้อขัดแย้งด้วยการสู้ตัวต่อตัว มากกว่าที่จะถกกันด้วยเหตุผล มีบางคนบอกว่าพี่น้องคู่นี้ไม่เป็นมิตรกัน แต่นั่นไม่ถูกต้องนัก ทั้งสองเข้ากันได้ดี เฉกเช่นเด็กชายผู้ต่างกันลิบลับจะเข้ากันได้ ถ้ามองอย่างยุติธรรมต่ออาเบอร์ฟอร์ธ เราต้องยอมรับว่าการมีชีวิตอยู่ใต้เงาของพี่ชายไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่ายินดีเลย เหล่าเพื่อนของออัลบัสเจออุปสรรคในอาชีพเพราะถูกเขาฉายแสงบดบังอยู่เสมอ น้องชายก็คงมีภาพที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก

    เมื่อผมออกจากฮอกวอตส์ เราตั้งใจจะเดินทางรอบโลกด้วยกันตามธรรมเนียมเวลานั้น เพื่อไปเยี่ยมเยือนและสังเกตการณ์พ่อมดชาติอื่นๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปตามสายอาชีพของใครของมัน อย่างไรก็ตาม มีโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่งเข้ามาแทรก ก่อนวันเดินทางของเราเพียงวันเดียว เคนดรา แม่ของอัลบัสถึงแก่กรรม ทิ้งให้อัลบัสเป็นหัวหน้าครอบครัวเพียงคนเดียว ผมเลื่อนการเดินทางออกไป เพื่อไปแสดงความเคารพในงานศพของเคนดรา จากนั้นก็ออกเดินทางต่อตามลำพัง ในเมื่อมีน้องชายและน้องสาวให้ต้องดูแล อีกทั้งทองก็เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าอัลบัสจะเดินทางไปกับผมได้หรือไม่

    นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวในชีวิตที่เราติดต่อกันน้อยที่สุด ผมเขียนบรรยายถึงสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ในการเดินทางให้อัลบัสฟัง ซึ่งบางทีอาจจะดูใจร้ายกับเขาไปบ้าง นับตั้งแต่การหลบหนีไคมีร่าได้อย่างหวุดหวิดในกรีซ ไปจนถึงการทดลองต่างๆ ของนักเล่นแร่แปรธาตุชาวอียิปต์ ส่วนจดหมายของเขานั้น เล่าเพียงเล็กน้อยถึงชีวิตที่ผ่านไปวันๆ ซึ่งผมเดาว่าคงจะเป็นชีวิตที่ทึมทื่อสิ้นหวังเป็นที่สุดสำหรับพ่อมดที่ปราดเปรื่องเช่นนี้ 

    เมื่อใกล้สิ้นสุดการเดินทางหนึ่งปี ผมซึ่งหมกมุ่นอยู่กับประสบการณ์ของตนเอง ได้ยินข่าวอันหน้าตื่นตระหนกว่า เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นกับตระกูลดัมเบิลดอร์อีกครั้ง นั่นคือมรณกรรมของแอรีอานนา ผู้เป็นน้องสาว


    “ดัมเบิลดอร์” เฮเลนพึมพำ “เขาก็เคยสูญเสียจริงๆ ด้วย อย่างที่เขาเคยบอกแฮร์รี่ในตอนนั้นว่าเขาเข้าใจทุกอย่าง เพราะเขาเองก็เคยที่จะต้องสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักไป”

    มือเล็กพลิกกระดาษไปหน้าถัดไป ดวงตากวาดมองตัวอักษรที่เรียงร้อยกันอยู่ในหน้ากระดาษเหล่านั้นอย่างตั้งอกตั้งใจอีกครั้งหนึ่ง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมลาเมียถึงนำหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มาให้หรือว่าใครให้ลาเมียนำมันมา มันจะต้องมีความหมายอะไรสักอย่างเป็นแน่ เหมือนกับหนังสือพยากรณ์ที่สเนปนำมันมาให้วันนั้น

    “สเนป” เฮเลนชะงัก “เป็นไปไม่ได้หรอก”

    เธอพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ครู่หนึ่งเฮเลนเผลอคิดว่าบางทีเซเวอร์รัส สเนปอาจจะเป็นคนที่ส่งหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มาให้เพื่อให้เธอได้ข้อมูลเกี่ยวกับดัมเบิลดอร์ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเพื่อแก้ปัญหา แต่เขาจะมีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนั้น เขาเป็นผู้เสพความตาย เขาไม่มีทางให้ความช่วยเหลือคนที่โวลเดอมอร์ต้องการจะฆ่าให้ตายอยู่แล้ว ไม่มีวัน


    แม้ว่าแอรีอานนาจะสุขภาพไม่ดีมานานแล้ว แต่การเสียเธอไป ไม่นานหลังจากสูญเสียมารดา ก็มีผลลึกซึ้งต่อพี่ชายทั้งสองของเธอ ทุกคนที่ใกล้ชิดอัลบัสและผมนับตนเองเป็นหนึ่งในบรรดาผู้โชคดีเหล่านี้ เห็นพ้องต้องกันว่า ความตายของแอรีอานนาและความรู้สึกผิดของอัลบัสต่อเรื่องดังกล่าว ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ในตัวเขาตลอดกาล (แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีความผิดในเรื่องเหล่านี้เลยสักนิด)

    ผมกลับมาที่บ้านและพบชายหนุ่มผู้เผชิญกับความทุกข์ที่หนักหนาเกินอายุ อัลบัสเก็บตัวมากกว่าเดิมและรื่นเริงน้อยลงไปมาก ความทุกข์ของเขาเพิ่มขึ้นเพราะการสูญเสียแอนรีอานนาไม่ได้ช่วยฟื้นฟูความใกล้ชิดระหว่างอัลบัสและอาเบอร์ฟอร์ธ แต่กลับนำไปสู่ความบาดหมาง (ซึ่งในที่สุดก็เลิกรากันไปในเวลาต่อมา ทั้งสองกลับมาปรองดองกันอีกครั้ง แม้จะไม่ใช่ความสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่แน่นอนว่าเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรี) อย่างไรก็ตาม นับแต่นั้นมา เขาแทบจะไม่พูดถึงพ่อแม่หรือแอนรีอานนาเลยและเพื่อนฝูงก็เรียนรู้ที่จะไม่เอ่ยชื่อคนเหล่านี้

    ปากกาขนนกด้ามอื่นๆ จะบรรยายถึงชัยนะต่างๆ ในปีต่อๆ มา งานเขียนนับไม่ถ้วนของดัมเบิลดอร์ที่มอบให้แก่คลังวิทยาการของพ่อมด รวมถึงค้นพบวิธีใช้เลือดมังกรสิบสองวิธี ได้ให้ประโยชน์ให้แก่คนรุ่นหลังสืบมา เช่นเดียวกับภูมิปัญญาที่เขาแสดงในการตัดสินคดี ระหว่างดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้วิเศษแห่งศาลสูงวิเซ็นกาม็อต จนถึงเดี๋ยวนี้ ผู้คนก็ยังคงพูดกันว่า ไม่มีการประลองพ่อมดครั้งใดที่จะเทียบเท่าการต่อสู้ระหว่างดัมเบิลดอร์กับกรินเดวัลด์เมื่อปี ค.ศ. 1947 ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ได้เขียนถึงความหวาดกลัวและเกรงชามที่ตนรู้สึก ระหว่างที่ดูพ่อมดผู้เหนือชั้นทั้งสองประลองยุทธ์กัน ชัยชนะของดัมเบิลดอร์และผลลัพธ์ที่เกิดต่อโลกผู้วิเศษ ถือกันว่าเป็นจุดพลิกผันในประวัติศาสตร์เวทมนตร์ เทียบได้กับการออกกฎหมายปกปิดความลับนานาชาติ หรือการสิ้นอำนาจของคนที่ไม่เอ่ยนาม

    อัลบัส ดัมเบิลดอร์ไม่เคยเย่อหยิ่งหรือถือตัวเลยแม้แต่น้อย เขาพบว่าทุกคนมีคุณค่าอยู่ในตัว แม้จะดูไร้ความสำคัญหรือชั่วร้ายเพียงใดและผมเชื่อว่าความสูญเสียเมื่อวัยเยาว์ได้ประสิทธิ์ประสาทความเมตตาและเห็นอกเห็นใจให้เขาจนเต็มเปี่ยม ผมอาลัยมิตรภาพของเขาเกินกว่าจะบรรยายได้ แต่ว่าความสูญเสียของผมก็มิอาจเทียบกับความสูญเสียของโลกผู้วิเศษ 

    ในบรรดาอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนฮอกวอตส์ทั้งหมดเขาเป็นที่รักที่สุดและเป็นแรงบันดาลใจมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เขาตายเพื่อประโยชน์สุข เพื่อคนส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับที่ทำเมื่อมีชีวิตอยู่จนชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต อัลบัสก็ยังเต็มอกเต็มใจที่จะยื่นมือออกมาหาเด็กชายเล็กๆ ที่เปรอะไปด้วยฝีมังกรเช่นเดียวกับวันที่เขาทำเมื่อตอนที่เราสองคนพบกัน


    ดวงตากลมจ้องมองรูปภาพประกอบบทความมรณกรรมนี้ ดัมเบิลดอร์มีรอยยิ้มใจดีอันแสนคุ้นตา เฮเลนต้องยอมรับว่าตัวเองแทบจะไม่ได้รู้จักชายคนนี้เลย เธอนึกภาพไม่ออกเสียด้วยซ้ำว่าดัมเบิลดอร์ในวัยเด็กหรือวัยรุ่นจะเป็นอย่างไร การคิดถึงดัมเบิลดอร์ในช่วงวัยรุ่นคงจะเป็นเหมือนการจินตนาการถึงเดรโกที่งี่เง่าเสียยิ่งว่าตอนนี้หรืออะไรสักอย่างที่ไม่ค่อยน่ามอง

    เธอไม่เคยคิดถึงอดีตของดัมเบิลดอร์ มันคงจะดูแปลกๆ หรือไม่ก็คงจะลามปามถึงชีวิตส่วนตัวของเขามากจนเกินไป แต่เรื่องที่ดัมเบิลดอร์ปะทะกับกรินเดวัลด์จนเป็นตำนานนั่นก็มีคนรู้อยู่ทั่วไป อย่างไรก็ตาม เฮเลนก็ไม่เคยเอ่ยปากถามเขาเรื่องนั้นหรือแม้แต่เรื่องที่เป็นความสำเร็จของเขาด้วย ในตอนนี้เหมือนจะมีแต่คนพูดกันแต่เรื่องของสองพี่น้องโดยไม่ทันได้สนใจบทความพวกนี้ด้วยซ้ำ

    แผนการของพวกเขาในการโค่นล้มโวลเดอมอร์ อดีตของทั้งสองคน อนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น และในตอนนี้ถึงแม้ว่าอนาคตของเธอและแฮร์รี่จะอันตรายและแทบจะไร้ซึ่งแสงสว่าง ผู้คนในโลกผู้วิเศษก็ยังคงสนใจเพียงแค่เรื่องที่พวกเขาจะใช้วิธีการอย่างไรในการล้มล้างโวลเดอมอร์หรือโวลเดอมอร์จะกำจัดสองพี่น้องไปได้ก่อนหรือไม่เท่านั้น

    “แกแค่ต้องการให้ฉันรู้เรื่องนี้งั้นเหรอลาเมีย” เฮเลนกระซิบถามฟินิกซ์ที่นอนอยู่บนตัก “ฉันรู้เรื่องราวในอดีตของดัมเบิลดอร์ไปแล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะ”

    ลาเมียส่งเสียงร้องเบาๆ ก่อนที่อยู่ๆ มันจะกางปีกสะบัดพึบพับจนทำให้เฮเลนทำหนังสือพิมพ์หลุดจากมือ ร่างบางถอนหายใจเล็กน้อย เธอคิดว่าบางทีนกตัวนี้อาจจะไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนักก็ได้ มันก็แค่อาจจะบังเอิญพบเดลี่พรอเฟ็ตฉบับนี้แล้วคาบมันมาเจอเธอพอดี คงไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นแน่นอน เฮเลนก้มตัวลงเพื่อหยิบหนังสือพิมพ์ที่กองอยู่บนพื้นหินอ่อน ดวงตากลมเหลือบไปเห็นเศษกระดาษอีกใบหนึ่งแฉลบออกมาจากหนังสือพิมพ์ มันเป็นพาดหัวข่าวที่ดูเหมือนจงใจฉีกออกเพื่อสอดเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้


    ดัมเบิลดอร์ ความจริงจะเผยในที่สุดแล้วอย่างนั้นหรือ


    เฮเลนขมวดคิ้ว มองพาดหัวข่าวขนาดกลางที่พาดเอาไว้เหนือรูปภาพของดัมเบิลดอร์ซึ่งกำลังก้าวเท้ายาวๆ ท่าทางเหมือนกำลังถูกรบกวน


    เรื่องน่าตื่นตกใจของอัจฉริยะผู้มีตำหนิ ผู้ที่คนมากมายคิดว่าเป็นพ่อมดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเขา จะออกวางตลาดสัปดาห์หน้า ริต้า สกีตเตอร์ ฉีกภาพลักษณ์เฉลียวฉลาด เคราสีเงินและอารมณ์เย็น ที่ผู้คนชื่นชอบแล้วเผยถึงวัยเด็กที่ว้าวุ่น วัยรุ่นที่นอกคอก เรื่องวิวาทที่ยืดยาวตลอดชีวิตและความผิดลับๆ ที่ดัมเบิลดอร์ปกปิดจนกระทั่งลงหลุม ทำไมคนที่ใครๆ เชื่อกันว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ถึงพอใจที่จะเป็นแค่อาจารย์ใหญ่ อะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงขององค์การลับที่รู้จักกันในนามภาคีนักฟินิกซ์ ดัมเบิลดอร์พบจุดจบจริงๆ อย่างไร

    คำตอบนี้ของคำถามอีกมากมาย สำรวจได้ในชีวิประวัติเล่มใหม่ที่อันตรายประดุจลูกระเบิด “ชีวิตและเรื่องโป้ปดมดเท็จของอัลบัส ดัมเบิลดอร์ โดยริต้า สกีตเตอร์ บทสัมภาษณ์พิเศษโดย เบ็ตตี้ เบรทเวท” หน้า 13 ข้างใน


    ปัญหาของเฮเลนตอนนี้ก็คือกระดาษใบนั้นไม่มีหน้าต่อทำให้เธอไม่สามารถอ่านสิ่งที่ริต้าสกีตเตอร์เขียนในบทต่อไปได้ โชคร้ายที่สุดคือตอนนี้เดรโกทำภารกิจอยู่ภายนอก ทำให้เป็นเรื่องยากที่สุดที่จะหาว่าใครคือผู้ที่จะยอมออกไปตามหาหนังสือพิมพ์หรือหนังสือที่ริต้า สกีตเตอร์เป็นคนเขียนมาให้กับเธอและจะใช้เหตุผลอะไรในการหว่านล้อมให้นาร์ซิสซาหรือเบลาทริกซ์ยอมออกไปหามันมาให้

    เฮเลนอุ้มลาเมียขึ้นมาและพับหนังสือพิมพ์สอดเอาไว้ใต้ตัวของมันเพื่อซ่อนไม่ให้นาร์ซิสซาหรือเบลาทริกซ์เห็น เธอเกรงว่าถ้าหากทั้งสองคนรู้ว่าเธอมีหนังสือพิมพ์ เบลาทริกซ์คงจะทรมานเพื่อให้เธอบอกความจริงแน่ๆ ว่าไปได้มันมาได้อย่างไร ถึงความจริงจะเป็นเพราะลาเมียนำมันมาให้ก็ตาม

    เฮเลนพาลาเมียและหนังสือพิมพ์ไปที่ห้องนอน เธอโยนหนังสือพิมพ์ไปไว้บนเตียงข้างๆ กับชุดอุปกรณ์ปรุงยาที่เคี่ยวทิ้งไว้ ลาเมียบินกลับไปนอนบนรังของมัน ยังไม่มีคำตอบสำหรับข้ออ้างในการขอหนังสือจากนาร์ซิสซาหรือเบลาทริกซ์ เฮเลนเดินวนไปวนมาในห้องอย่างใช้ความคิด ความรู้สึกอยากรู้ทำให้เธอไม่เป็นสุขจนกระทั้งถึงเวลาที่เดรโกกลับมาที่คฤหาสน์ในตอนเย็น

    “เดรโก!” ร่างบางพุ่งเข้าใส่เขาทันทีที่ชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาในห้อง “ฉัน ฉันมีของที่อยากได้ ช่วยฉันหน่อยได้ไหม”

    เขามีท่าทางงุนงง เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงสงสัยก่อนที่ริมฝีปากจะทาบลงมาบนแก้มใสเบาๆ

    “อยากได้อะไร” เดรโกถาม “ไม่ใช่อยากได้ลูกใช่ไหม”

    “ตลก!” มือเล็กๆ ฟาดลงบนไหล่ของเขาอย่างแรง ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะคิดเรื่องแบบนั้นได้อีก “ฉันอยากได้ชีวประวัติของดัมเบิลดอร์ที่ริต้า สกีตเตอร์เป็นคนเขียน ตอนนี้มันวางขายแล้วใช่ไหม”

    “ชีวประวัติ” เดรโกทวนคำ “ทำไมไม่บอกแม่ฉันหรือป้าเบลาทริกซ์ พวกเขาถูกจอมมารสั่งให้ดูแลเธออยู่แล้ว”

    “จอมมาร?” เฮเลนมองหน้าเดรโกเล็กน้อย “ทำไม...”

    “ชื่อของเขาถูกคำสาป” ชายหนุ่มกระซิบเสียงเบา แววตาเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ถ้าเกิดว่าใครเอ่ยชื่อเขาจะทำให้รู้ทันทีว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหน ฉันเองก็หวังว่าแฮร์รี่จะไม่พูดชื่อเขาออกมาในระหว่างนั้น เธอด้วย ห้ามพูดชื่อจอมมารเด็กขาด อย่างน้อยถ้าไม่เรียกอย่างยกย่อง เรียกแค่คนที่เธอก็รู้ว่าใครก็พอ”

    เฮเลนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ โวลเดอมอร์กำลังทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อค้นหาคนในภาคีนกฟินิกซ์อย่างแน่นอน เพราะนอกจากคนในภาคี ดัมเบิลดอร์หรือพวกเธอแล้วก็คงไม่มีใครกล้าพูดชื่อของเขา ข้อมูลนี้โวลเดอมอร์คงได้มาจากแท็ค เพียงคนเดียวที่อยู่กับภาคีมาตลอดและเขายังรู้อะไรหลายๆ อย่างในภาคีอีกด้วย ขนาดตัวไม่ได้อยู่ที่นี่ยังสามารถทำเรื่องได้อีกงั้นสินะ

    “ฉันเข้าใจแล้ว” เฮเลนตอบดวงตากลอกไปมาอย่างสิ้นหวัง “เรื่องหนังสือ พรุ่งนี้ฉันจะลองไปขอแม่ของนายดูก็แล้วกันนะ”



    ติดตามตอนต่อไป...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×