ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic Harry Potter] [OCxDM] If Harry Potter has a sister!

    ลำดับตอนที่ #33 : บทที่ 7 : เรื่องที่บอกใครไม่ได้

    • อัปเดตล่าสุด 29 ส.ค. 64


    บทที่ 7 : เรื่องที่บอกใครไม่ได้


    นี่ไม่ใช่การท่องเที่ยวที่สนุกสนานเลยและยิ่งอยู่นานเท่าไหร่อากาศยิ่งเลวร้ายมากยิ่งขึ้น  พวกเขากระชับผ้าพันคอให้เข้าที่เข้าทางแล้วจัดถุงมือให้เรียบร้อย ทั้งสี่เดินตามแคตี้ เบลล์กับลีแอนน์เพื่อนของเธอออกไปจากร้านเหล้าและกลับไปที่ถนนใหญ่ ระหว่างเดินย่ำหิมะแฉะๆ ที่เริ่มแข็งตัวขึ้นไปตามถนนกลับสู่ฮอกวอตส์ เฮเลนคิดไปเรื่อยเปื่อยว่าตอนนี้เดรโกจะทำอะไรอยู่และอยู่กับใคร ยังไม่ได้เห็นเขาเลย

    เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง กว่าเฮเลนและคนอื่นๆ จะรับรู้เสียงของแคตี้ เบลล์และเพื่อนของเธอที่ลอยมาถึงนั้นแหลมและดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงกรีดร้องนั้นดึงความสนใจของเด็กสาวให้หลุดจากเรื่องของเดรโกในหัวได้อย่างสิ้นเชิง เฮเลนหยีตาดู มองร่างแคตี้ลอยขึ้นไปในอากาศ แขนทั้งสองข้างเหยียดออก ราวกับเธอกำลังจะเหินบิน ผมของเธอถูกลมแรงจัดตีสะบัดไปรอบๆ ดวงตาปิดสนิทและใบหน้าช่างว่างเปล่าปราศจากความรู้สึกใดๆ

    และแล้วเมื่อลอยสูงจากพื้นไปหกฟุต แคตี้ก็ส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้งอย่างน่ากลัว ดวงตาของเธอเบิกโพลง แต่ไม่ว่าเธอจะเห็นอะไรหรือไม่ว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร มันต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เธอกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลีแอนน์ก็เริ่มกรีดร้องด้วยเช่นกัน เธอพยายามคว้าข้อเท้าของแคตี้และดึงกลับลงมาที่พื้น

    ทั้งสี่คนรีบวิ่งเข้าไปเพื่อช่วยเหลือ แต่แคตี้ก็ร่วงลงมาโดยที่แฮร์รี่และรอนรับร่างของเธอไว้ได้ทันพอดี เธอดิ้นขลุกขลักจนทั้งสองคนไม่สามรถอุ้มเอาไว้ได้ ต้องวางร่างเธอลงและปล่อยให้ดิ้นอยู่อย่างนั้น แหมือนว่าเธอจะจำใครที่อยู่ตรงนี้ไม่ได้สักคน

    “ถอยไป!” เสียงของแฮกริดดังขึ้นมาจากทางหมู่บ้าน “ให้ฉันดูเขา!

    “มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ” ลีแอนน์สะอื้นและดูเสียขวัญ “ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

    แฮกริดจ้องแคตี้อยู่อึดใจหนึ่ง ไม่พูดอะไร เขาก้มลงช้อนร่างของเธอขึ้นมาในอ้อมแขนและวิ่งพาเธอมุ่งหน้าไปยังปราสาทและไม่กี่นาทีตรงนั้นก็เหลืออยู่เพียงแค่เสียงคำรามของสายลม เฮอร์ไมโอนี่วิ่งเข้าไปหาลีแอนน์และยกมือขึ้นโอบเธอเอาไว้

    “มันเกิดขึ้นได้ไง” เฮเลนเอ่ยถาม เด็กสาวพยายามนึกให้ออกว่าเธออ่านนิยายเรื่องนี้ไปเจออะไรบ้างแต่พยายามนึกเท่าไหร่เธอก็นึกไม่ออก มันเป็นมาได้สักพักแล้วตั้งแต่เริ่มขึ้นปีหกหรือจะพูดได้ว่าหลังจากสอบ ว.พ.ร.ส. ก็ได้ เฮเลนเริ่มจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่านี่เป็นเพียงหนังสือที่เธอตกลงมา ดูเหมือนว่ายิ่งอยู่นานเธอยิ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน 

    มันช่างอันตราย -- เพราะเธอคงไม่อาจแก้ไขอะไรมันได้อีกเลย

    “มันเกิดตอนที่ห่อนั่นขาด” ลีแอนน์สะอื้น มือชี้ไปที่ห่อสีน้ำตาลเปียกโชกที่อยู่บนพื้น มันขาดเปิดออกมาให้เห็นของสีเขียววาววับ รอนก้มตัวลงและยื่นมือออกไปแต่แฮร์รี่คว้าตัวเขาไว้และดึงออกมาเสียก่อน

    “อย่าแตะมันนะรอน!” แฮร์รี่ว่า รอนผงะไป สร้อยโอปอลหรูหราโผล่พ้นกระดาษออกมาให้เห็น

    “ฉันเคยเห็นมันมาก่อน มันตั้งโชว์อยู่ในร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์หลายปีก่อน มีป้ายบอกว่าเป็นของต้องคำสาป... แคตี้ได้มันมาได้ยังไง!” เขาเงยหน้ามองลีแอนน์ที่ยืนตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

    “เขาถือของนั่นมาจากห้องน้ำร้านไม้กวาดสามอัน บอกว่ามันเป็นของขวัญสำหรับให้ใครบางคนแปลกใจและเขาต้องเอามันไปส่ง” เธอสะอื้น “เขาดูแปลกมากเลยตอนที่พูดเรื่องนี้ ฉันคิดว่าเขาต้องโดนคำสาปสะกดใจ!

    “เขาไม่ได้บอกว่าใครให้มันมาใช่ไหมลีแอนน์” แฮร์รี่ยังคงถามย้ำ

    “เปล่า ไม่ได้บอกเลย” ลีแอนน์ครางอย่างสิ้นหวัง

    “เรากลับไปที่โรงเรียนกันดีกว่า” เฮอร์ไมโอนี่บอก แขนยังโอบรอบลีแอนน์ “จะได้รู้ว่าแคตี้เป็นไงบ้าง”

    แฮร์รี่และเฮเลนมองตากันอยู่อึดใจหนึ่งก่อนที่เขาจะดึงผ้าพันคอออกจากใบหน้าและใช้คลุมสร้อยคออย่างระมัดระวังก่อนจะหยิบมันขึ้นมาโดยไม่ใส่ใจกับเสียงอุทานของรอน

    “มัลฟอยต้องรู้เรื่องสร้อยนี่แน่!” แฮร์รี่คำราม “มันอยู่ในตู้โชว์ที่ร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์เมื่อสี่ปีก่อน ฉันเห็นเขามองดูมันตั้งนานตอนที่ฉันหลบเขากับพ่อ”

    “นายอย่าโทษเขามากนักจะได้ไหม!” เฮเลนเถียง “คนที่เข้าร้านนั้นมีอีกเยอะแยะ”

    “ใช่แฮร์รี่” รอนว่าต่อ “ลีแอนน์บอกว่าแคตี้ได้มันมาจากห้องน้ำหญิงไม่ใช่เหรอ”

    “เขาบอกว่าแคตี้กลับมาจากห้องน้ำพร้อมห่อนั่น ไม่จำเป็นต้องได้มัน...”

    “ศาสตราจารย์มักกอนนากัล!” รอนร้องเตือน

    ทั้งห้าคนเงยหน้าขึ้น มองเห็นศาสตราจารย์มักกอนนากัลกำลังรีบเร่งลงบันไดหินฝ่าฝนลูกเห็บมาทางพวกเขา

    “แฮกริดบอกฉันว่าพวกเธอเห็นว่าอะไรเกิดขึ้นกับแคตี้ เบลล์” เธอพูดพร้อมกับหอบเล็กน้อย “ช่วยขึ้นไปที่ห้องทำงานของฉันเดี๋ยวนี้เลย!... แล้วเธอถืออะไรอยู่น่ะพอตเตอร์”

    “นี่คือสิ่งที่แคตี้จับครับ” แฮร์รี่ตอบ

    “คุณพระ” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลร้อง ดูตื่นตกใจในขณะที่รับสร้อยไปจากแฮร์รี่ “เอาสร้อยนี่ไปให้ศาสตราจารย์สเนปทันที ระวังอย่าไปจับมันนะ ให้มันห่อไว้ในผ้าพันคอนี่ล่ะ!!

    ศาสตราจารย์มักกอนนากัลหันไปบอกฟิลช์ เขารับห่อของและวิ่งจากไปอย่างกระตือรือร้น เฮเลนและคนอื่นๆ เดินตามศาสตราจารย์มักกอนนากัลขึ้นไปที่ห้องทำงานของเธอ หน้าต่างถูกลูกเห็บซัดสั่นดังกราวๆ อยู่ในกรอบและห้องก็หนาวเย็นทั้งที่ไฟจากเตาผิงก็ลุกสว่าง ศาสตราจารย์มักกอนตากัลปิดประตูก่อนจะเดินอ้อมไปอยู่หลังโต๊ะทำงาน

    “ว่าไง” เธอพูดเสียงเข้ม “เกิดอะไรขึ้น”

    ลีแอนน์เล่าให้ศาสตราจารย์มักกอนนากัลฟังด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เธอเล่าเรื่องที่แคตี้ไปเข้าร้านไม้กวาดสามอันและกลับมาพร้อมถือห่อของที่ไม่มีป้ายบอกติดมือมาด้วย เธอว่าแคตี้ดูแปลกๆ ไป และเล่าเรื่องที่เธอสองคนโต้เถียงกันและยื้อแย่งของสิ่งนั้น

    “เอาล่ะ” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดอย่างมีเมตตา “ไปห้องพยาบาลได้แล้วลีแอนน์ ขอให้มาดามพรอมฟรีย์จ่ายอะไรที่ช่วยบรรเทาอาการตกใจให้เธอด้วย”

    เมื่อลีแอนน์ออกไปจากห้องแล้ว ศาสตราจารย์มักกอนนากัลก็กันกลับมาหาสี่สหายที่ยืนมองหน้ากันไปมา

    “ทำไมต้องเป็นพวกเธอสี่คนทุกทีเลยนะ” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลว่า

    “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมองก็เฝ้าถามตัวเองมาหกปีแล้ว” รอนตอบด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม

    “เกิดอะไรขึ้นตอนที่แคตี้แตะสร้อย” ดูเหมือนศาสตราจารย์มักกอนนากัลจะทำเป็นไม่สนใจเขา

    “เธอลอยขึ้นไปในอากาศครับ” แฮร์รี่บอก “แล้วก็เริ่มกรีดร้องและเป็นลมไปเลยครับ... อาจารย์ ผมขอพบศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ได้ไหมครับ”

    “อาจารย์ใหญ่ไม่อยู่จนกว่าจะถึงวันจันทร์ พอตเตอร์” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลว่าและมีสีหน้าประหลาดใจ

    “ไม่อยู่เหรอครับ” แฮร์รี่ทวนคำ

    “ใช่ พอตเตอร์ ไม่อยู่” เธอตอบ “แต่ถ้ามีอะไรที่เธอต้องการจะบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องร้ายกาจครั้งนี้ล่ะก็ เธอบอกฉันได้! ฉันแน่ใจ!!” 

    แฮร์รี่มีที่ท่าลังเล “ผมคิดว่าเดรโก มัลฟอยให้สร้อยแคตี้ครับอาจารย์”

    “แฮร์รี่!” เฮเลนมองเขาตาเขียว “นี่นายยังไม่เลิกคิดเรื่องนี้อีกเหรอ”

    “นั่นเป็นคำกล่าวหาที่รุ่นแรงมากนะ แฮร์รี่ พอตเตอร์” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดหลังจากนิ่งไปเพราะความตกใจ “เธอมีหลักฐานรึเปล่า”

    “ไม่มีครับ...” แฮร์รี่พูดเสียงอ่อย หลุบตาลงมองพื้นทันที

    “พอตเตอร์ เราไม่สามารถชี้นิ้วกล่าวโทษคุณมัลฟอยได้หรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้นคุณมัลฟอยไม่ได้อยู่ที่ฮอกส์มี้ดวันนี้” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดเสียงเรียบเป็นเชิงว่าให้แฮร์รี่หยุดได้แล้ว

    “อาจารย์รู้ได้ไงครับ” แฮร์รี่อ้าปากค้าง

    “เพราะว่าเขาถูกกักบริเวณอยู่กับฉันน่ะสิ เขาทำการบ้านวิชาแปลงร่างไม่เสร็จมาสองครั้งติดต่อกันแล้ว” เธอพูดขณะที่ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา “แต่ตอนนี้ฉันต้องไปห้องพยาบาลเพื่อตรวจดูแคตี้ เบลล์กับเพื่อนของเขา สวัสดีเธอทุกคน”

    เธอเปิดประตูห้องทำงานให้ พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากเดินเรียงกันออกมาจากห้องโดยไม่พูดอะไรอีก

    “เธอว่าใครกันที่แคตี้ต้องเอาสร้อยไปให้” รอนถามเมื่อพวกเขาเดินขึ้นไปที่ห้องนั่งเล่นรวม

    “พระเจ้าเท่านั้นที่รู้” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ “แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาก็โชคดีจริงๆ ไม่มีใครเปิดห่อนั่นได้โดยไม่ถูกสร้อยนั่นหรอก”

    “ฉันคิดว่าดัมเบิลดอร์” เฮเลนพูดเสียงเรียบ ไม่รู้ว่าอะไรบังคับให้เธอพูดขึ้นมา เฮอร์ไมโอนี่กับรอนหันควับมามองหน้าเธอพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเชิงสงสัย “พวกผู้เสพความตายคงจะดีใจที่กำจัดเขาไปได้ เขาต้องเป็นหนึ่งในเป้าหมายของพวกมันเลย”

    “หรือไม่ก็คงเป็นซลักฮอร์น” แฮร์รี่พูดต่อ

    “หรือบางทีคงเป็นพวกเธอ” เฮอร์ไมโอนี่พูด มีสีหน้ากังวล

    “ไม่ใช่เราหรอก” แฮร์รี่ตอบ “ถ้าพวกเขาอยากจะหาของอะไรให้ฝาแฝด บางทีมันก็ต้องเป็นของที่มีสองชิ้นไม่ใช่รึไงล่ะ ฉันก็ยังสงสัยว่าทำไมมัลฟอยถึงให้แคตี้เอาเข้ามาในปราสาทกัน...”

    “แฮร์รี่! เดรโกไม่ได้อยู่ในฮอกส์มี้ดนะ!!” เฮเลนพูดพลางเดินลงส้นอย่างหมดความอดทน

    “เลิกเรียกชื่อหมอนั่นอย่างสนิทสนมสักทีเถอะน่า!” แฮร์รี่หัวเสีย “ทำไมเธอต้องเข้าข้างคนที่ไม่ได้สนใจเธอด้วยล่ะ! เขาคบกับแพนซี่อยู่ เขาพูดกับเธอเองไม่ใช่รึไง!!

    เฮเลนเงียบ ใบหน้าเจือไปด้วยความเจ็บปวดทันทีเมื่อแฮร์รี่พูดจบ เฮอร์ไมโอนี่ถลึงตาใส่เขาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพาเฮเลนเดินนำขึ้นไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนโดยปล่อยรอนและแฮร์รี่ยืนอยู่ด้วยกันตรงบันได ในห้องนั่งเล่นรวมเต็มไปด้วยนักเรียนจำนวนมากที่กลับมาจากฮอกส์มี้ดเนื่องจากอากาศไม่ดี

    เฮเลนปัดมือเฮอร์ไมโอนี่ออกและเดินขึ้นหอนอนไปพียงลำพังก่อนที่แฮร์รี่กับรอนจะเดินเข้ามา หลังจากแผ่นหลังบางลับสายตาไปรอนและแฮร์รี่ก็เข้ามานั่งที่หน้าเตาผิงพร้อมกับเฮอร์ไมโอนี่ที่ทำหน้าขุ่นเคืองมองแฮร์รี่อย่างไม่พอใจ

    “เธอไม่ควรพูดแบบนั้นเลย!” เฮอร์ไมโอนี่เอ่ย “เธอรู้ไหมมันทำให้เขารู้สึกแย่”

    “ฉันจำเป็นต้องทำแบบนั้นเฮอร์ไมโอนี่!” แฮร์รี่กระซิบ กวาดตามองไปรอบห้องเพื่อดูว่ามีใครกำลังแอบฟังพวกเขาอยู่ไหม “ฉันต้องย้ำเรื่องนั้นให้เฮเลนฟังจนกว่าจะหยุดสนใจเดรโก เธอไม่เข้าใจเหรอ”

    “เพราะอะไรล่ะ!” เฮอร์ไมโอนี่ยังคงไม่พอใจ

    “มันเป็นเรื่องที่ฉันได้คุยกับเดรโกบนรถไฟนั่นแหละ” เขาพูดต่อ “ดีแล้วที่เดรโกบอกเฮเลนไปแบบนั้น มันจะทำให้เธออยู่ห่างจากเขามากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

    “เพราะว่าเรื่องที่มัลฟอยบอกว่าเขาเป็นผู้เสพความตายใช่ไหมล่ะ” รอนว่าต่อ “นายไม่มีหลักฐาน...”

    “ฉันบอกใครไม่ได้! ดัมเบิลดอร์สั่งห้ามไม่ให้ฉันบอก” แฮร์รี่กระซิบอีกครั้ง “มีแค่เรื่องที่ฉันไปหาเขาเท่านั้นที่ฉันบอกพวกนายได้ ขอโทษด้วยแล้วกันที่ฉันไม่มีหลักฐานมากพอนอกจากคำพูดลอยๆ”

    รอนและเฮอร์ไมโอนี่ไม่ตอบอะไร เพียงแต่มองขึ้นไปทางประตูขึ้นหอหญิงอย่างเงียบๆ

     


    ร่างสูงโปร่งยืนพิงประตูห้องน้ำชายอย่างเงียบเชียบ หูทั้งสองข้างได้ยินเสียงของหยดน้ำร่วงหล่นลงจากก๊อกที่เหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ ดวงตาคมเหม่อมองไม้กายสิทธิ์ในมือด้วยสายตาว่างเปล่า ริมฝีปากบางพ่นลมหายใจอุ่นๆ ออกมาเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกร้อนรุ่มที่มีอยู่เต็มอกให้สลายหายไป

    สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ มันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย...

    เด็กหนุ่มเก็บไม้กายสิทธิ์ลงไปในเสื้อคลุม ค่อยๆ เดินออกจากห้องน้ำชั้นเจ็ดอย่างเงียบเชียบ ตอนนี้ที่บริเวณนี้ไม่มีใครอยู่เพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็นทำให้พวกนักเรียนชื่นชอบที่จะอยู่ในห้องนั่งเล่นและผิงไฟอุ่นๆ มากกว่าออกมาเดินเล่นกันตามระเบียงทางเดิน มือเรียวยาวเสยผมสีบลอนด์ของตัวเองไปมาอย่างใช้ความคิดก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่หน้ากำแพงว่างเปล่า ในหัวนึกถึงห้องที่สามารถซ่อนของทุกอย่างเอาไว้ได้โดยไม่มีใครล่วงรู้

    ประตูบานใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ร่างสูงไม่รอช้าที่จะผลักบานประตูเพื่อเข้าไปภายในห้องต้องประสงค์ ภายในห้องนั้นมีอุปกรณ์และสิ่งของหลายอย่างมากมายจนเขาไม่อาจบอกได้เลยว่าใครช่างขนย้ายพวกมันมาเก็บเอาไว้ที่นี่ ดวงตาคมสีฟ้าซีดกวาดมองหาสิ่งของที่เขาต้องการและหยุดอยู่ที่ตู้ใบหนึ่ง

    มันถูกผ้าผืนเก่าคลุมเอาไว้และเต็มไปด้วยฝุ่นที่จับกันหนาเตอะ มือเรียวยื่นออกไปดึงผ้าผืนนั้นออกไปทันที เศษฝุ่นกระจายออกมาบ่งบอกให้รู้ว่านานเพียงใดที่มันถูกเก็บเอาไว้ที่นี่ ถ้าเมื่อปีที่แล้วมอนทาคิวไม่ถูกฝาแฝดวีสลีย์จับยัดเข้าไปในตู้นี้ที่ชั้นหนึ่งล่ะก็เขาคงไม่มีวันล่วงรู้ได้แน่นอนว่ามันเอาไว้ใช้ทำอะไร

    ฝ่ามือลูบไปยังประตูตู้อย่างแผ่วเบา เดรโกเหม่อมองตู้สีดำสูงเหนือศีรษะ เขาเปิดมันออกเพื่อตรวจสอบสภาพภายในและภายนอกอย่างละเอียด ลวดลายที่สลักเอาไว้อย่างประณีตบ่งบอกให้รู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากแค่ไหน พลังเวทมนตร์จางๆ ที่เขาสัมผัสได้พอจะทำให้เขารู้ว่าเขาควรซ่อมแซมมันอย่างไร

    เขาดึงแอปเปิ้ลลูกหนึ่งออกมาจากเสื้อคลุมพร้อมกับวางมันลงในตู้นั้น ดวงตาสีฟ้าซีดมองมันอยู่พักหนึ่งก่อนจะปิดประตูลงและท่องคาถาโดยที่ยังไม่ปล่อยมือออกจากประตูตู้

    “ฮาร์โมเนีย เนคเตอร์ พาสซัส”

    เสียงกระซิบที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องต้องประสงค์ สะท้อนอยู่ภายในนั้นไม่มีวันที่ใครจะได้ยิน...

    มือเรียวเปิดประตูตู้ออกอีกครั้งหนึ่ง แอปเปิ้ลที่เขาวางเอาไว้ได้อันตรธานหายไปเรียบร้อยแล้ว ในตอนนั้นมอนทาคิวเล่าให้ทุกคนในทีมควิดดิชฟังว่ามันส่งเขาไปที่ไหนสักแห่งที่เขาไม่คุ้นตา ก่อนที่เขาจะหายตัวออกมาปรากฏอีกทีในห้องน้ำฮอกวอตส์ทั้งที่ความจริงเขาไม่น่าทำมันได้

    “ฮาร์โมเนีย เนคเตอร์ พาสซัส”

    เดรโกปิดประตูลงอีกครั้งและร่ายคาถา พยายามตั้งสมาธิไปยังตู้อันตรธานและนึกถึงร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์ ที่ร้านนั้นมีตู้ที่ยังสามารถใช้ได้อีกตู้หนึ่งและเขา ต้อง พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตู้อันตรธานตู้นี้และตู้ในร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์เชื่อมต่อกันให้จงได้...


    ฉันคิดถึงเธอ


    ร่างสูงสะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที ประโยคหนึ่งที่เขาเคยพูดออกมาดังขึ้นในหัวเมื่อเขานึกถึงร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์ เจ้าของใบหน้าเรียวและดวงตากลมโตสีเขียวมรกตสดใสอยู่เสมอ ร่างบางที่เขาดึงเข้ามาสวมกอดมักจะเต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างที่เขาไม่เคยได้สัมผัสจากหญิงสาวคนไหน เขาไม่อาจพูดได้เลยว่าความต้องการที่เขามีต่อเธอมันมากมายเพียงใด

    “ไม่ใช่ตอนนี้ เดรโก!

    เขาพูดเตือนสติตัวเอง พยายามท่องคาถาอีกครั้งและนึกถึงตู้ในร้านบอร์เจ็น... นึกถึงตู้...


    เมื่อกี้เธอทำอะไรนะ?

    ก็...ดวงตากลมโตเสมองไปทางอื่นพร้อมใบหน้าแดงระเรื่อ

    แบบนั้นไม่เรียกจูบหรอก ถ้าจะจูบต้องแบบนี้


    ภาพของหญิงสาวเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเหลือบดำปรากฏขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง ภาพตอนทีเขาและเธอนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงลานปราสาทที่ประจำของพวกเขา ริมฝีปากนุ่มและหอมหวาน รอยสัมผัสที่ตอกย้ำเข้าไปในความรู้สึกและเสียดแทงเข้าไปหยั่งรากลึกจนถึงก้นบึ้งในหัวใจ ขาทั้งสองข้างเหมือนกับกำลังจะไร้เรี่ยวแรงเขาพยายามทรงตัวเอาไว้ มือทั้งสองข้างจับประตูตู้เอาไว้แน่น สะบัดหน้าแรงๆ หลายครั้งเพื่อไล่ภาพพวกนั้นออกไปจากสมอง พยายามคิดถึงสิ่งที่ตัวเองจะต้องทำและหน้าที่ของเขาที่ได้รับมาเพราะความตายอันน่าสมเพชของพ่อ


    มันไม่ใช่ความผิดนาย รู้ใช่ไหมเดรโก


    สัมผัสจากฝ่ามือนุ่มที่วางลงบนใบหน้าของเขายังคงรู้สึกได้ราวกับว่ามันไม่เคยหายไปไหน เดรโกหงายหลังล้มตัวลงนั่งบนพื้นห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นที่จับหนาเตอะ ฟุบหน้าลงกับหัวเข่าและพยายามสลัดภาพเหล่านั้นออกจากหัว เขารู้สึกว่าตัวเองช่างอ่อนแอเหลือเกิน เมื่อไม่มีเธออยู่เคียงข้าง

    “ตั้งสติหน่อยเดรโก มัลฟอย”

    เขาพูดย้ำกับตัวเองเงยหน้าขึ้นมองไปยังตู้อันตรธานอีกครั้งหนึ่งและยันตัวลุกขึ้นมายืนให้มั่นคง มือเรียวเอื้อมไปสัมผัสกับประตูตู้อีกครั้งพยายามนึกถึงเพียงตู้อันตรธานในร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์และตั้งสมาธิที่มันให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

    “ฮาร์โมเนีย เนคเตอร์ พาสซัส”

    เสียงพึมพำคาถาดังกึกก้องในห้องโถงอีกครั้ง เดรโกพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ หนึ่งครั้งก่อนจะเปิดประตูตู้ออกมา แอปเปิ้ลผลเดิมกลับมาแล้วพร้อมกับรอยกัดแปลกๆ เหมือนกับเป็นรอยเขี้ยวสัตว์ขนาดใหญ่ เขาเดาว่าบางทีอาจจะเป็นรอยฟันของเฟ็นเรีย เกรย์แบ็คมนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งที่เคยได้พบ มันคงอยู่ที่ร้านนั่นตอนนี้

    “เหมือนจะสำเร็จสินะ”

    เดรโกพึมพำ เขาโยนแอปเปิ้ลลูกนั้นทิ้งไปอีกทางและปิดประตูตู้ลงอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้มีใครผิดสังเกตที่เขาหายตัวออกมาจากห้องนั่งเล่นนานจนเกินไป ร่างสูงก้าวออกจากห้องต้องประสงค์อย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ขาทั้งสองข้างรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูกเมื่อต้องเดินลงบันไดผ่านรูปภาพต่างๆ มากมายยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเห็นรูปภาพของสุภาพสตรีอ้วนที่เขาเคยแอบดอดตามเธอมาสมัยเรียนปีสาม...

    เดรโกสะบัดหัวอีกครั้ง เข้าพยายามใช้ขาที่หนักอึ้งวิ่งลงบันไดไปจนถึงห้องนั่งเล่นบ้านของตัวเอง เสียงหอบดังก้องเบาๆ เมื่อเขาเดินลงมาถึงชั้นใต้ดิน เนื่องจากห้องนั่งเล่นรวมของบ้านสลิธีรินนั้นตั้งอยู่ในคุกใต้ดิน ตรงเพดานที่เริ่มต่ำลงเขาบอกรหัสผ่านประตูทางเข้าของห้องนั่งเล่นรวมที่ถูกซ่อนอยู่หลังกำแพงที่ชื้นและว่างเปล่า เดรโกรีบสาวเท้าเข้าไปข้างในห้องนั่งเล่นอย่างรวดเร็ว ผิดคาดที่นักเรียนบ้านสลิธีรินที่อยู่ในห้องนั่งเล่นนั้นมีจำนวนน้อยมากจนแทบนับคนได้

    อากาศเย็นกำลังพอดีภายในห้องนั่งเล่นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลงไปเล็กน้อย มือขวาเลื่อนขึ้นไปเสยผมสีบลอนด์ของตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินขึ้นไปถอดเสื้อคลุมออกในหอชายด้านบน ภายในห้องนอนเขาพบว่าวินเซนต์และเกรกอรี่หลับไปพร้อมกับส่งเสียงครวญครางออกมาเบาๆ และละเมอเล็กๆ

    เดรโกกลับลงไปยังห้องนั่งเล่นอีกครั้งและนั่งลงบนโซฟ้าสีเขียวแก่หน้าเตาผิงโดยที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเพียงตัวเดียวกับกางเกงนักเรียนสีดำและรองเท้ามันเลื่อม ดวงตาเหม่อมองเข้าไปในเปลวไฟสีส้มออกเขียวโดยที่พยายามทำให้สมองของตนว่างเปล่าและทำใจให้สบายที่สุดก่อนขึ้นไปนอน แต่ดูเหมือนมันจะยากเย็นเหลือเกิน ยิ่งพยายามที่จะไม่คิดถึงมัน กลับยิ่งทำให้คิดถึงอย่างช่วยไม่ได้ ราวกับว่าเรื่องราวถูกบันทึกเทปเอาไว้กรอไปกรอมาอยู่ในหัวของเขาโดยไม่อาจสลัดมันออกไปได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว


    ฉันกำลังคบกับแพนซี่

    ว่าอะไรนะ?

    ฉันกำลังคบกับแพนซี่ เลิกถามสักที

    ทำไม

    ฉันบอกให้เลิกถามสักทีไง ฉันจะไปซ้อม หวังว่าคงไม่เจอเธออีก


    เขารู้สึกเหมือนกับมีก้อนอะไรสักอย่างจุกอยู่ในคอ อยากจะเอามันออกมาแต่ก็ไม่สามารถทำได้ สองมือเลื่อนขึ้นมากุมขมับโดยไม่ตั้งใจ เขารู้สึกว่ามันดีเหลือเกินที่เขาไม่ได้หันกลับไปมองหน้าเธอ และมันคงยากมากที่จะต้องทนเห็นใบหน้าเจ็บปวดของเธอในตอนนั้น มันคงจะเหมือนกับถูกหินก้อนมหึมาถล่มใส่ เจ็บและทรมานเหลือเกิน

    ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ เฮเลนเลิกยุ่งกับเขาไปเลยนับจากนั้น ดวงตากลมโตสีเขียวมรกตแสนสดใสที่เคยจ้องมองใบหน้าของเขานั้นบัดนี้มันช่างไร้ความรู้สึกและเต็มไปด้วยความว่างเปล่า เขาเลือกที่จะไม่สบดวงตาคู่นั้นทุกครั้งที่รู้ตัว เพราะในบางความคิดเขาก็อยากจะได้ความสดใสนั้นกลับคืนมา ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่เห็นว่ามีใครใกล้เธอ เขาก็รู้สึกเหมือนอยากจะสาปมันมันตายไปเสียเดี๋ยวนั้น!

    แต่เขาทำไม่ได้ ไม่มีวันทำได้เพราะเขาไม่เหลือสิทธิ์อะไรในตัวเธออีกต่อไปแล้ว

    “มานั่งทำอะไรตรงนี้เดรโก”

    ริมฝีปากบางสีกุหลาบแสนคุ้นเคย เจ้าของร่างบางสมส่วนที่เขาพบเจอทุกวันจนชินตา เรือนผมสีดำสนิททำให้เจ้าของร่างนั้นดูมีเสน่ห์มากขึ้นและยิ่งไปกว่านั้นยามที่ใบหน้าเรียวต้องแสงของเปลวไฟ เขาสามารถบอกได้เลยว่าไม่ว่าชายใดก็ต้องตกหลุมรักเธออย่างแน่นอน

    แต่คนนั้นคงไม่ใช่เขา คนที่รู้จักกับเธอมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

    “เปล่า” เขาตอบ “มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ”

    “งั้นให้ฉันนั่งด้วยจะได้ไหม” แพนซี่ว่าแล้วเดินเข้ามานั่งข้างกายเขาทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบ เดรโกไม่คิดจะพูดอะไรตอบเธอไปอยู่แล้ว เพราะในหัวของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องของเฮเลนเต็มไปหมด และเขาไม่อาจสลัดมันทิ้งไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว

    “ดูนายไม่ค่อยดีเลยนะ” เธอว่า “แล้วที่นายบอกกับคนในทีมนั่นเรื่องจริงรึเปล่า”

    เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมกริบเหล่มองเจ้าของริมฝีปากบางสีกุหลาบนั้นทันที

    “เรื่องที่ฉันพูดกับเฮ... พอตเตอร์น่ะเหรอ”

    “ใช่” หญิงสาวยิ้มอย่างพอใจ “นายพูดจริงเหรอที่จะคบกับฉัน”

    “ไม่รู้สิ” เขาส่ายหน้า มีเรื่องที่เขาบอกผู้หญิงคนนี้ไม่ได้อยู่เต็มไปหมด ถ้าเกิดว่าจะบอกว่ามันเป็นเพียงข้ออ้าง เขาก็คงสามารถใช้คนอื่นที่ไม่ใช่เธอก็ได้ “เธอคิดว่าไง”

    “ก็ดีสิ!” น้ำเสียงของเธอฟังดูร่าเริงขึ้นมาทันที “ฉันรู้อยู่แล้วว่านายจะต้องกลับมาหาฉัน เดรโก!

    เขาหัวเราะในลำคอ ก้มหน้าลงอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร

    “ไหนลองเงยหน้าขึ้นทีสิ” เสียงดัดให้หวานดังขึ้นและมือเรียวเล็กของเธอค่อยๆ ช้อนใบหน้าของเดรโกให้เงยขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตากลมโตสีดำสนิทที่เขามองกี่ครั้งก็รู้สึกว่ามีเสน่ห์อยู่เสมอ ในฐานะเพื่อนในวัยเด็กเขาไม่เคยโกหกแพนซี่เลยว่าเธอสวยขึ้นมากเพียงใดในระยะเวลาที่เราเติบโตมาด้วยกัน

    แต่ในเวลาเดียวกันภาพใบหน้าของแพนซี่กลับถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของใครบางคนที่เขาคุ้นเคยดี ใบหน้าเรียวหวาน ดวงตากลมโตสีเขียวมรกตสดใสและร่าเริง จมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากบางสีส้มอมชมพูน่าสัมผัส ไม่มีภาพใดที่สามารถเข้ามาแทนที่ได้เลย ไม่ว่าจะมีใครที่สวยกว่าหรือน่ารักกว่าเขาก็ไม่เคยลืมภาพใบหน้าของเธอได้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว

    ริมฝีปากบางสัมผัสเขากับริมฝีปากของเขาอีกครั้ง สัมผัสที่นุ่มละมุนแต่ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม...

    “พอ!” มือเรียวผลักไหล่แพนซี่ออกทันทีที่เขารู้สึกตัว เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์จางกัดริมฝีปากล่างแรงๆ จนรู้สึกได้ถึงเลือดอุ่นๆ ที่ไหลซึมออกมา “ฉัน...ทำไม่ได้

    “หมายความว่าไง!” ร่างบางขึ้นเสียงแหลมสูง มันทำให้เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที

    “ไม่ได้!” เดรโกย้ำ “ฉันทำไม่ได้... ได้โปรดไปจากตรงนี้เถอะ”

    “แล้วที่นายพูดล่ะ!” แพนซี่อ่อนเสียงลงและมีน้ำเสียงเหมือนคนจะร้องไห้ “แล้วที่นายพูดเมื่อกี้ล่ะ”

    “ขอโทษ”

    มีเพียงคำสั้นๆ ที่เขาเอ่ยออกไป เขาไม่หันไปมองใบหน้าเธอด้วยซ้ำ ดวงตาคมเสกลับไปมองเปลวไฟด้านในเตาผิงอีกรอบพร้อมกับพยายามกับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เสียงลงส้นปึงปังทำให้เขารู้ว่าแพนซี่เดินขึ้นหอนอนไปแล้ว เดรโกถอนหายใจออกมาเบาๆ ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในหัวเขาไม่ได้จางหายไปเลย ความรู้สึกอยากจะสัมผัสยังคงติดตรึงอยู่ในใจ


    เพราะพ่อของแกทำให้เรื่องมันยุ่งยากเดรโก


    เสียงอีกเสียงหนึ่งดังอื้ออึงให้หัวของเขาอีกครั้ง ไม่ใช่เสียงเขาและไม่ใช่เสียงเธอ...


    แกต้องรับผิดชอบแทนมัน... หน้าที่สำคัญที่ฉันจะรับมอบหมายให้แกจะทำให้ครอบครัวของแกมีเกียรติ

    ครับ

    รับภารกิจนี้ไป แล้วฉันจะ... ไม่ทำอะไร


    เดรโกรู้สึกราวกับว่าร่างของเขากำลังจมอยู่ในความมืดมิดไม่เหลือแสงสว่างใดๆ อีกแล้วในชีวิต คำพูดของ 'เขา' ยังทำให้รู้สึกกลัวอยู่เสมอ ไม่ใช่กลัวว่าตนเองจะต้องตายแต่กลัวว่าจะต้องสูญเสียทุกอย่างไป

    สูญเสียแม่... สูญเสียเธอ  


    มันไม่ใช่ความผิดนาย รู้ใช่ไหมเดรโก


    “ไม่... ฉันไม่รู้” ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยออกไปอย่างเลื่อนลอยกับเสียงหวานที่ดังก้องขึ้นมาอีกครั้งในหัวสมอง “มันอาจจะเป็นความผิดฉันทั้งหมดเลยก็ได้”

    “คุณมัลฟอย” เสียงเรียกจากใครบางคนทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้น มองเจ้าของเสียงที่เขาจำได้ว่าเป็นเพียงรุ่นน้องปีหนึ่งที่เพิ่งเข้าทีมควิดดิชมาและถูกคัดเลือกให้เป็นตัวสำรองในตำแหน่งเดียวกับเขาโอไรฮาร์ท แสตนด์ฟอร์ด

    “ว่าไง” เขาตอบกลับด้วยท่าทีเมินเฉย

    “มีจดหมายถึงคุณ” โอไรฮาร์ทพูด “จากดัมเบิลดอร์”

    มือเรียวรับมันไว้และไล่โอไรฮาร์ดขึ้นไปบนหอนอน เขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกพร้อมกับอ่านข้อความข้างใน


    คืนวันจันทร์ตอนสองทุ่ม


    เดรโกพับกระดาษใบนั้นลวกๆ แล้วโยนมันเข้าไปในกองไฟเพื่อทำลายหลักฐาน สูดหายใจเข้าเต็มปอดและเดินขึ้นหอนอนทั้งๆ ที่เรื่องของเธอไม่ได้จางหายไปจากหัวของเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว


    ติดตามตอนต่อไป...

    ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่เข้ามาอ่านและขอบคุณที่คอมเมนต์นะคะ

    ไรท์มีกำลังใจขึ้นมาในการเขียนและกำลังวางพล็อตต่อในซีซั่นสาม

    เขียนไปเขียนมาเพิ่งรู้ว่าซีซั่นสองใกล้จะจบแล้ว 5555 ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ค่ะ ♥

    ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับท่านที่คอมเมนต์ให้

    สำหรับนักอ่านเงาก็อย่างน้อยไรท์ก็เข้าใจเรื่องการให้กำลังใจอย่าเงียบๆ ขึ้นมาบ้าง 555

    ขอบคุณทุกท่านค่ะ ♥

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×