คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : บทที่ 7 : เรื่องที่บอกใครไม่ได้
บทที่
7
: เรื่องที่บอกใครไม่ได้
นี่ไม่ใช่การท่องเที่ยวที่สนุกสนานเลยและยิ่งอยู่นานเท่าไหร่อากาศยิ่งเลวร้ายมากยิ่งขึ้น
พวกเขากระชับผ้าพันคอให้เข้าที่เข้าทางแล้วจัดถุงมือให้เรียบร้อย ทั้งสี่เดินตามแคตี้ เบลล์กับลีแอนน์เพื่อนของเธอออกไปจากร้านเหล้าและกลับไปที่ถนนใหญ่
ระหว่างเดินย่ำหิมะแฉะๆ ที่เริ่มแข็งตัวขึ้นไปตามถนนกลับสู่ฮอกวอตส์
เฮเลนคิดไปเรื่อยเปื่อยว่าตอนนี้เดรโกจะทำอะไรอยู่และอยู่กับใคร
ยังไม่ได้เห็นเขาเลย
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง กว่าเฮเลนและคนอื่นๆ จะรับรู้เสียงของแคตี้ เบลล์และเพื่อนของเธอที่ลอยมาถึงนั้นแหลมและดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงกรีดร้องนั้นดึงความสนใจของเด็กสาวให้หลุดจากเรื่องของเดรโกในหัวได้อย่างสิ้นเชิง เฮเลนหยีตาดู มองร่างแคตี้ลอยขึ้นไปในอากาศ แขนทั้งสองข้างเหยียดออก ราวกับเธอกำลังจะเหินบิน ผมของเธอถูกลมแรงจัดตีสะบัดไปรอบๆ ดวงตาปิดสนิทและใบหน้าช่างว่างเปล่าปราศจากความรู้สึกใดๆ
และแล้วเมื่อลอยสูงจากพื้นไปหกฟุต
แคตี้ก็ส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้งอย่างน่ากลัว ดวงตาของเธอเบิกโพลง
แต่ไม่ว่าเธอจะเห็นอะไรหรือไม่ว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร มันต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
เธอกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลีแอนน์ก็เริ่มกรีดร้องด้วยเช่นกัน
เธอพยายามคว้าข้อเท้าของแคตี้และดึงกลับลงมาที่พื้น
ทั้งสี่คนรีบวิ่งเข้าไปเพื่อช่วยเหลือ แต่แคตี้ก็ร่วงลงมาโดยที่แฮร์รี่และรอนรับร่างของเธอไว้ได้ทันพอดี เธอดิ้นขลุกขลักจนทั้งสองคนไม่สามรถอุ้มเอาไว้ได้
ต้องวางร่างเธอลงและปล่อยให้ดิ้นอยู่อย่างนั้น
แหมือนว่าเธอจะจำใครที่อยู่ตรงนี้ไม่ได้สักคน
“ถอยไป!” เสียงของแฮกริดดังขึ้นมาจากทางหมู่บ้าน “ให้ฉันดูเขา!”
“มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ”
ลีแอนน์สะอื้นและดูเสียขวัญ “ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
แฮกริดจ้องแคตี้อยู่อึดใจหนึ่ง
ไม่พูดอะไร เขาก้มลงช้อนร่างของเธอขึ้นมาในอ้อมแขนและวิ่งพาเธอมุ่งหน้าไปยังปราสาทและไม่กี่นาทีตรงนั้นก็เหลืออยู่เพียงแค่เสียงคำรามของสายลม
เฮอร์ไมโอนี่วิ่งเข้าไปหาลีแอนน์และยกมือขึ้นโอบเธอเอาไว้
“มันเกิดขึ้นได้ไง” เฮเลนเอ่ยถาม เด็กสาวพยายามนึกให้ออกว่าเธออ่านนิยายเรื่องนี้ไปเจออะไรบ้างแต่พยายามนึกเท่าไหร่เธอก็นึกไม่ออก มันเป็นมาได้สักพักแล้วตั้งแต่เริ่มขึ้นปีหกหรือจะพูดได้ว่าหลังจากสอบ ว.พ.ร.ส. ก็ได้ เฮเลนเริ่มจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่านี่เป็นเพียงหนังสือที่เธอตกลงมา ดูเหมือนว่ายิ่งอยู่นานเธอยิ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน
มันช่างอันตราย -- เพราะเธอคงไม่อาจแก้ไขอะไรมันได้อีกเลย
“มันเกิดตอนที่ห่อนั่นขาด”
ลีแอนน์สะอื้น มือชี้ไปที่ห่อสีน้ำตาลเปียกโชกที่อยู่บนพื้น
มันขาดเปิดออกมาให้เห็นของสีเขียววาววับ
รอนก้มตัวลงและยื่นมือออกไปแต่แฮร์รี่คว้าตัวเขาไว้และดึงออกมาเสียก่อน
“อย่าแตะมันนะรอน!” แฮร์รี่ว่า รอนผงะไป สร้อยโอปอลหรูหราโผล่พ้นกระดาษออกมาให้เห็น
“ฉันเคยเห็นมันมาก่อน
มันตั้งโชว์อยู่ในร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์หลายปีก่อน
มีป้ายบอกว่าเป็นของต้องคำสาป... แคตี้ได้มันมาได้ยังไง!” เขาเงยหน้ามองลีแอนน์ที่ยืนตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
“เขาถือของนั่นมาจากห้องน้ำร้านไม้กวาดสามอัน
บอกว่ามันเป็นของขวัญสำหรับให้ใครบางคนแปลกใจและเขาต้องเอามันไปส่ง” เธอสะอื้น
“เขาดูแปลกมากเลยตอนที่พูดเรื่องนี้ ฉันคิดว่าเขาต้องโดนคำสาปสะกดใจ!”
“เขาไม่ได้บอกว่าใครให้มันมาใช่ไหมลีแอนน์”
แฮร์รี่ยังคงถามย้ำ
“เปล่า ไม่ได้บอกเลย”
ลีแอนน์ครางอย่างสิ้นหวัง
“เรากลับไปที่โรงเรียนกันดีกว่า”
เฮอร์ไมโอนี่บอก แขนยังโอบรอบลีแอนน์ “จะได้รู้ว่าแคตี้เป็นไงบ้าง”
แฮร์รี่และเฮเลนมองตากันอยู่อึดใจหนึ่งก่อนที่เขาจะดึงผ้าพันคอออกจากใบหน้าและใช้คลุมสร้อยคออย่างระมัดระวังก่อนจะหยิบมันขึ้นมาโดยไม่ใส่ใจกับเสียงอุทานของรอน
“มัลฟอยต้องรู้เรื่องสร้อยนี่แน่!” แฮร์รี่คำราม
“มันอยู่ในตู้โชว์ที่ร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์เมื่อสี่ปีก่อน
ฉันเห็นเขามองดูมันตั้งนานตอนที่ฉันหลบเขากับพ่อ”
“นายอย่าโทษเขามากนักจะได้ไหม!” เฮเลนเถียง “คนที่เข้าร้านนั้นมีอีกเยอะแยะ”
“ใช่แฮร์รี่”
รอนว่าต่อ “ลีแอนน์บอกว่าแคตี้ได้มันมาจากห้องน้ำหญิงไม่ใช่เหรอ”
“เขาบอกว่าแคตี้กลับมาจากห้องน้ำพร้อมห่อนั่น
ไม่จำเป็นต้องได้มัน...”
“ศาสตราจารย์มักกอนนากัล!” รอนร้องเตือน
ทั้งห้าคนเงยหน้าขึ้น
มองเห็นศาสตราจารย์มักกอนนากัลกำลังรีบเร่งลงบันไดหินฝ่าฝนลูกเห็บมาทางพวกเขา
“แฮกริดบอกฉันว่าพวกเธอเห็นว่าอะไรเกิดขึ้นกับแคตี้
เบลล์” เธอพูดพร้อมกับหอบเล็กน้อย “ช่วยขึ้นไปที่ห้องทำงานของฉันเดี๋ยวนี้เลย!... แล้วเธอถืออะไรอยู่น่ะพอตเตอร์”
“นี่คือสิ่งที่แคตี้จับครับ”
แฮร์รี่ตอบ
“คุณพระ”
ศาสตราจารย์มักกอนนากัลร้อง ดูตื่นตกใจในขณะที่รับสร้อยไปจากแฮร์รี่
“เอาสร้อยนี่ไปให้ศาสตราจารย์สเนปทันที ระวังอย่าไปจับมันนะ
ให้มันห่อไว้ในผ้าพันคอนี่ล่ะ!!”
ศาสตราจารย์มักกอนนากัลหันไปบอกฟิลช์
เขารับห่อของและวิ่งจากไปอย่างกระตือรือร้น เฮเลนและคนอื่นๆ
เดินตามศาสตราจารย์มักกอนนากัลขึ้นไปที่ห้องทำงานของเธอ
หน้าต่างถูกลูกเห็บซัดสั่นดังกราวๆ
อยู่ในกรอบและห้องก็หนาวเย็นทั้งที่ไฟจากเตาผิงก็ลุกสว่าง
ศาสตราจารย์มักกอนตากัลปิดประตูก่อนจะเดินอ้อมไปอยู่หลังโต๊ะทำงาน
“ว่าไง”
เธอพูดเสียงเข้ม “เกิดอะไรขึ้น”
ลีแอนน์เล่าให้ศาสตราจารย์มักกอนนากัลฟังด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
เธอเล่าเรื่องที่แคตี้ไปเข้าร้านไม้กวาดสามอันและกลับมาพร้อมถือห่อของที่ไม่มีป้ายบอกติดมือมาด้วย
เธอว่าแคตี้ดูแปลกๆ ไป และเล่าเรื่องที่เธอสองคนโต้เถียงกันและยื้อแย่งของสิ่งนั้น
“เอาล่ะ”
ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดอย่างมีเมตตา “ไปห้องพยาบาลได้แล้วลีแอนน์
ขอให้มาดามพรอมฟรีย์จ่ายอะไรที่ช่วยบรรเทาอาการตกใจให้เธอด้วย”
เมื่อลีแอนน์ออกไปจากห้องแล้ว
ศาสตราจารย์มักกอนนากัลก็กันกลับมาหาสี่สหายที่ยืนมองหน้ากันไปมา
“ทำไมต้องเป็นพวกเธอสี่คนทุกทีเลยนะ”
ศาสตราจารย์มักกอนนากัลว่า
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ
ผมองก็เฝ้าถามตัวเองมาหกปีแล้ว” รอนตอบด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม
“เกิดอะไรขึ้นตอนที่แคตี้แตะสร้อย”
ดูเหมือนศาสตราจารย์มักกอนนากัลจะทำเป็นไม่สนใจเขา
“เธอลอยขึ้นไปในอากาศครับ”
แฮร์รี่บอก “แล้วก็เริ่มกรีดร้องและเป็นลมไปเลยครับ... อาจารย์
ผมขอพบศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ได้ไหมครับ”
“อาจารย์ใหญ่ไม่อยู่จนกว่าจะถึงวันจันทร์
พอตเตอร์” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลว่าและมีสีหน้าประหลาดใจ
“ไม่อยู่เหรอครับ”
แฮร์รี่ทวนคำ
“ใช่
พอตเตอร์ ไม่อยู่” เธอตอบ “แต่ถ้ามีอะไรที่เธอต้องการจะบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องร้ายกาจครั้งนี้ล่ะก็
เธอบอกฉันได้! ฉันแน่ใจ!!”
แฮร์รี่มีที่ท่าลังเล
“ผมคิดว่าเดรโก มัลฟอยให้สร้อยแคตี้ครับอาจารย์”
“แฮร์รี่!” เฮเลนมองเขาตาเขียว “นี่นายยังไม่เลิกคิดเรื่องนี้อีกเหรอ”
“นั่นเป็นคำกล่าวหาที่รุ่นแรงมากนะ
แฮร์รี่ พอตเตอร์” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดหลังจากนิ่งไปเพราะความตกใจ “เธอมีหลักฐานรึเปล่า”
“ไม่มีครับ...”
แฮร์รี่พูดเสียงอ่อย หลุบตาลงมองพื้นทันที
“พอตเตอร์
เราไม่สามารถชี้นิ้วกล่าวโทษคุณมัลฟอยได้หรอกนะ
ยิ่งไปกว่านั้นคุณมัลฟอยไม่ได้อยู่ที่ฮอกส์มี้ดวันนี้”
ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดเสียงเรียบเป็นเชิงว่าให้แฮร์รี่หยุดได้แล้ว
“อาจารย์รู้ได้ไงครับ”
แฮร์รี่อ้าปากค้าง
“เพราะว่าเขาถูกกักบริเวณอยู่กับฉันน่ะสิ
เขาทำการบ้านวิชาแปลงร่างไม่เสร็จมาสองครั้งติดต่อกันแล้ว”
เธอพูดขณะที่ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“แต่ตอนนี้ฉันต้องไปห้องพยาบาลเพื่อตรวจดูแคตี้ เบลล์กับเพื่อนของเขา
สวัสดีเธอทุกคน”
เธอเปิดประตูห้องทำงานให้
พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากเดินเรียงกันออกมาจากห้องโดยไม่พูดอะไรอีก
“เธอว่าใครกันที่แคตี้ต้องเอาสร้อยไปให้”
รอนถามเมื่อพวกเขาเดินขึ้นไปที่ห้องนั่งเล่นรวม
“พระเจ้าเท่านั้นที่รู้”
เฮอร์ไมโอนี่ตอบ “แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาก็โชคดีจริงๆ ไม่มีใครเปิดห่อนั่นได้โดยไม่ถูกสร้อยนั่นหรอก”
“ฉันคิดว่าดัมเบิลดอร์”
เฮเลนพูดเสียงเรียบ ไม่รู้ว่าอะไรบังคับให้เธอพูดขึ้นมา
เฮอร์ไมโอนี่กับรอนหันควับมามองหน้าเธอพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเชิงสงสัย
“พวกผู้เสพความตายคงจะดีใจที่กำจัดเขาไปได้ เขาต้องเป็นหนึ่งในเป้าหมายของพวกมันเลย”
“หรือไม่ก็คงเป็นซลักฮอร์น”
แฮร์รี่พูดต่อ
“หรือบางทีคงเป็นพวกเธอ”
เฮอร์ไมโอนี่พูด มีสีหน้ากังวล
“ไม่ใช่เราหรอก”
แฮร์รี่ตอบ “ถ้าพวกเขาอยากจะหาของอะไรให้ฝาแฝด
บางทีมันก็ต้องเป็นของที่มีสองชิ้นไม่ใช่รึไงล่ะ ฉันก็ยังสงสัยว่าทำไมมัลฟอยถึงให้แคตี้เอาเข้ามาในปราสาทกัน...”
“แฮร์รี่! เดรโกไม่ได้อยู่ในฮอกส์มี้ดนะ!!”
เฮเลนพูดพลางเดินลงส้นอย่างหมดความอดทน
“เลิกเรียกชื่อหมอนั่นอย่างสนิทสนมสักทีเถอะน่า!” แฮร์รี่หัวเสีย “ทำไมเธอต้องเข้าข้างคนที่ไม่ได้สนใจเธอด้วยล่ะ! เขาคบกับแพนซี่อยู่ เขาพูดกับเธอเองไม่ใช่รึไง!!”
เฮเลนเงียบ ใบหน้าเจือไปด้วยความเจ็บปวดทันทีเมื่อแฮร์รี่พูดจบ
เฮอร์ไมโอนี่ถลึงตาใส่เขาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพาเฮเลนเดินนำขึ้นไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนโดยปล่อยรอนและแฮร์รี่ยืนอยู่ด้วยกันตรงบันได
ในห้องนั่งเล่นรวมเต็มไปด้วยนักเรียนจำนวนมากที่กลับมาจากฮอกส์มี้ดเนื่องจากอากาศไม่ดี
เฮเลนปัดมือเฮอร์ไมโอนี่ออกและเดินขึ้นหอนอนไปพียงลำพังก่อนที่แฮร์รี่กับรอนจะเดินเข้ามา
หลังจากแผ่นหลังบางลับสายตาไปรอนและแฮร์รี่ก็เข้ามานั่งที่หน้าเตาผิงพร้อมกับเฮอร์ไมโอนี่ที่ทำหน้าขุ่นเคืองมองแฮร์รี่อย่างไม่พอใจ
“เธอไม่ควรพูดแบบนั้นเลย!” เฮอร์ไมโอนี่เอ่ย “เธอรู้ไหมมันทำให้เขารู้สึกแย่”
“ฉันจำเป็นต้องทำแบบนั้นเฮอร์ไมโอนี่!” แฮร์รี่กระซิบ
กวาดตามองไปรอบห้องเพื่อดูว่ามีใครกำลังแอบฟังพวกเขาอยู่ไหม
“ฉันต้องย้ำเรื่องนั้นให้เฮเลนฟังจนกว่าจะหยุดสนใจเดรโก เธอไม่เข้าใจเหรอ”
“เพราะอะไรล่ะ!” เฮอร์ไมโอนี่ยังคงไม่พอใจ
“มันเป็นเรื่องที่ฉันได้คุยกับเดรโกบนรถไฟนั่นแหละ”
เขาพูดต่อ “ดีแล้วที่เดรโกบอกเฮเลนไปแบบนั้น
มันจะทำให้เธออยู่ห่างจากเขามากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“เพราะว่าเรื่องที่มัลฟอยบอกว่าเขาเป็นผู้เสพความตายใช่ไหมล่ะ”
รอนว่าต่อ “นายไม่มีหลักฐาน...”
“ฉันบอกใครไม่ได้! ดัมเบิลดอร์สั่งห้ามไม่ให้ฉันบอก” แฮร์รี่กระซิบอีกครั้ง
“มีแค่เรื่องที่ฉันไปหาเขาเท่านั้นที่ฉันบอกพวกนายได้
ขอโทษด้วยแล้วกันที่ฉันไม่มีหลักฐานมากพอนอกจากคำพูดลอยๆ”
รอนและเฮอร์ไมโอนี่ไม่ตอบอะไร
เพียงแต่มองขึ้นไปทางประตูขึ้นหอหญิงอย่างเงียบๆ
ร่างสูงโปร่งยืนพิงประตูห้องน้ำชายอย่างเงียบเชียบ
หูทั้งสองข้างได้ยินเสียงของหยดน้ำร่วงหล่นลงจากก๊อกที่เหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่
ดวงตาคมเหม่อมองไม้กายสิทธิ์ในมือด้วยสายตาว่างเปล่า ริมฝีปากบางพ่นลมหายใจอุ่นๆ
ออกมาเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกร้อนรุ่มที่มีอยู่เต็มอกให้สลายหายไป
สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ มันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย...
เด็กหนุ่มเก็บไม้กายสิทธิ์ลงไปในเสื้อคลุม
ค่อยๆ เดินออกจากห้องน้ำชั้นเจ็ดอย่างเงียบเชียบ
ตอนนี้ที่บริเวณนี้ไม่มีใครอยู่เพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็นทำให้พวกนักเรียนชื่นชอบที่จะอยู่ในห้องนั่งเล่นและผิงไฟอุ่นๆ
มากกว่าออกมาเดินเล่นกันตามระเบียงทางเดิน
มือเรียวยาวเสยผมสีบลอนด์ของตัวเองไปมาอย่างใช้ความคิดก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่หน้ากำแพงว่างเปล่า
ในหัวนึกถึงห้องที่สามารถซ่อนของทุกอย่างเอาไว้ได้โดยไม่มีใครล่วงรู้
ประตูบานใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ร่างสูงไม่รอช้าที่จะผลักบานประตูเพื่อเข้าไปภายในห้องต้องประสงค์
ภายในห้องนั้นมีอุปกรณ์และสิ่งของหลายอย่างมากมายจนเขาไม่อาจบอกได้เลยว่าใครช่างขนย้ายพวกมันมาเก็บเอาไว้ที่นี่
ดวงตาคมสีฟ้าซีดกวาดมองหาสิ่งของที่เขาต้องการและหยุดอยู่ที่ตู้ใบหนึ่ง
มันถูกผ้าผืนเก่าคลุมเอาไว้และเต็มไปด้วยฝุ่นที่จับกันหนาเตอะ มือเรียวยื่นออกไปดึงผ้าผืนนั้นออกไปทันที เศษฝุ่นกระจายออกมาบ่งบอกให้รู้ว่านานเพียงใดที่มันถูกเก็บเอาไว้ที่นี่ ถ้าเมื่อปีที่แล้วมอนทาคิวไม่ถูกฝาแฝดวีสลีย์จับยัดเข้าไปในตู้นี้ที่ชั้นหนึ่งล่ะก็เขาคงไม่มีวันล่วงรู้ได้แน่นอนว่ามันเอาไว้ใช้ทำอะไร
ฝ่ามือลูบไปยังประตูตู้อย่างแผ่วเบา
เดรโกเหม่อมองตู้สีดำสูงเหนือศีรษะ เขาเปิดมันออกเพื่อตรวจสอบสภาพภายในและภายนอกอย่างละเอียด
ลวดลายที่สลักเอาไว้อย่างประณีตบ่งบอกให้รู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากแค่ไหน
พลังเวทมนตร์จางๆ ที่เขาสัมผัสได้พอจะทำให้เขารู้ว่าเขาควรซ่อมแซมมันอย่างไร
เขาดึงแอปเปิ้ลลูกหนึ่งออกมาจากเสื้อคลุมพร้อมกับวางมันลงในตู้นั้น ดวงตาสีฟ้าซีดมองมันอยู่พักหนึ่งก่อนจะปิดประตูลงและท่องคาถาโดยที่ยังไม่ปล่อยมือออกจากประตูตู้
“ฮาร์โมเนีย
เนคเตอร์ พาสซัส”
เสียงกระซิบที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องต้องประสงค์
สะท้อนอยู่ภายในนั้นไม่มีวันที่ใครจะได้ยิน...
มือเรียวเปิดประตูตู้ออกอีกครั้งหนึ่ง
แอปเปิ้ลที่เขาวางเอาไว้ได้อันตรธานหายไปเรียบร้อยแล้ว
ในตอนนั้นมอนทาคิวเล่าให้ทุกคนในทีมควิดดิชฟังว่ามันส่งเขาไปที่ไหนสักแห่งที่เขาไม่คุ้นตา
ก่อนที่เขาจะหายตัวออกมาปรากฏอีกทีในห้องน้ำฮอกวอตส์ทั้งที่ความจริงเขาไม่น่าทำมันได้
“ฮาร์โมเนีย
เนคเตอร์ พาสซัส”
เดรโกปิดประตูลงอีกครั้งและร่ายคาถา
พยายามตั้งสมาธิไปยังตู้อันตรธานและนึกถึงร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์
ที่ร้านนั้นมีตู้ที่ยังสามารถใช้ได้อีกตู้หนึ่งและเขา ‘ต้อง’
พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตู้อันตรธานตู้นี้และตู้ในร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์เชื่อมต่อกันให้จงได้...
‘ฉันคิดถึงเธอ’
ร่างสูงสะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที
ประโยคหนึ่งที่เขาเคยพูดออกมาดังขึ้นในหัวเมื่อเขานึกถึงร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์
เจ้าของใบหน้าเรียวและดวงตากลมโตสีเขียวมรกตสดใสอยู่เสมอ
ร่างบางที่เขาดึงเข้ามาสวมกอดมักจะเต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างที่เขาไม่เคยได้สัมผัสจากหญิงสาวคนไหน
เขาไม่อาจพูดได้เลยว่าความต้องการที่เขามีต่อเธอมันมากมายเพียงใด
“ไม่ใช่ตอนนี้
เดรโก!”
เขาพูดเตือนสติตัวเอง
พยายามท่องคาถาอีกครั้งและนึกถึงตู้ในร้านบอร์เจ็น... นึกถึงตู้...
‘เมื่อกี้เธอทำอะไรนะ?’
‘ก็...’ ดวงตากลมโตเสมองไปทางอื่นพร้อมใบหน้าแดงระเรื่อ
‘แบบนั้นไม่เรียกจูบหรอก ถ้าจะจูบต้องแบบนี้’
ภาพของหญิงสาวเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเหลือบดำปรากฏขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง ภาพตอนทีเขาและเธอนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงลานปราสาทที่ประจำของพวกเขา ริมฝีปากนุ่มและหอมหวาน รอยสัมผัสที่ตอกย้ำเข้าไปในความรู้สึกและเสียดแทงเข้าไปหยั่งรากลึกจนถึงก้นบึ้งในหัวใจ ขาทั้งสองข้างเหมือนกับกำลังจะไร้เรี่ยวแรงเขาพยายามทรงตัวเอาไว้ มือทั้งสองข้างจับประตูตู้เอาไว้แน่น สะบัดหน้าแรงๆ หลายครั้งเพื่อไล่ภาพพวกนั้นออกไปจากสมอง พยายามคิดถึงสิ่งที่ตัวเองจะต้องทำและหน้าที่ของเขาที่ได้รับมาเพราะความตายอันน่าสมเพชของพ่อ
‘มันไม่ใช่ความผิดนาย
รู้ใช่ไหมเดรโก’
สัมผัสจากฝ่ามือนุ่มที่วางลงบนใบหน้าของเขายังคงรู้สึกได้ราวกับว่ามันไม่เคยหายไปไหน
เดรโกหงายหลังล้มตัวลงนั่งบนพื้นห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นที่จับหนาเตอะ ฟุบหน้าลงกับหัวเข่าและพยายามสลัดภาพเหล่านั้นออกจากหัว
เขารู้สึกว่าตัวเองช่างอ่อนแอเหลือเกิน เมื่อไม่มีเธออยู่เคียงข้าง
“ตั้งสติหน่อยเดรโก
มัลฟอย”
เขาพูดย้ำกับตัวเองเงยหน้าขึ้นมองไปยังตู้อันตรธานอีกครั้งหนึ่งและยันตัวลุกขึ้นมายืนให้มั่นคง
มือเรียวเอื้อมไปสัมผัสกับประตูตู้อีกครั้งพยายามนึกถึงเพียงตู้อันตรธานในร้านบอร์เจ็นและเบิร์กส์และตั้งสมาธิที่มันให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
“ฮาร์โมเนีย
เนคเตอร์ พาสซัส”
เสียงพึมพำคาถาดังกึกก้องในห้องโถงอีกครั้ง
เดรโกพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ หนึ่งครั้งก่อนจะเปิดประตูตู้ออกมา
แอปเปิ้ลผลเดิมกลับมาแล้วพร้อมกับรอยกัดแปลกๆ เหมือนกับเป็นรอยเขี้ยวสัตว์ขนาดใหญ่
เขาเดาว่าบางทีอาจจะเป็นรอยฟันของเฟ็นเรีย เกรย์แบ็คมนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งที่เคยได้พบ
มันคงอยู่ที่ร้านนั่นตอนนี้
“เหมือนจะสำเร็จสินะ”
เดรโกพึมพำ
เขาโยนแอปเปิ้ลลูกนั้นทิ้งไปอีกทางและปิดประตูตู้ลงอย่างเบามือ
เพื่อไม่ให้มีใครผิดสังเกตที่เขาหายตัวออกมาจากห้องนั่งเล่นนานจนเกินไป ร่างสูงก้าวออกจากห้องต้องประสงค์อย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
ขาทั้งสองข้างรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูกเมื่อต้องเดินลงบันไดผ่านรูปภาพต่างๆ
มากมายยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเห็นรูปภาพของสุภาพสตรีอ้วนที่เขาเคยแอบดอดตามเธอมาสมัยเรียนปีสาม...
เดรโกสะบัดหัวอีกครั้ง
เข้าพยายามใช้ขาที่หนักอึ้งวิ่งลงบันไดไปจนถึงห้องนั่งเล่นบ้านของตัวเอง
เสียงหอบดังก้องเบาๆ เมื่อเขาเดินลงมาถึงชั้นใต้ดิน เนื่องจากห้องนั่งเล่นรวมของบ้านสลิธีรินนั้นตั้งอยู่ในคุกใต้ดิน ตรงเพดานที่เริ่มต่ำลงเขาบอกรหัสผ่านประตูทางเข้าของห้องนั่งเล่นรวมที่ถูกซ่อนอยู่หลังกำแพงที่ชื้นและว่างเปล่า
เดรโกรีบสาวเท้าเข้าไปข้างในห้องนั่งเล่นอย่างรวดเร็ว
ผิดคาดที่นักเรียนบ้านสลิธีรินที่อยู่ในห้องนั่งเล่นนั้นมีจำนวนน้อยมากจนแทบนับคนได้
อากาศเย็นกำลังพอดีภายในห้องนั่งเล่นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลงไปเล็กน้อย
มือขวาเลื่อนขึ้นไปเสยผมสีบลอนด์ของตัวเองเบาๆ
ก่อนจะเดินขึ้นไปถอดเสื้อคลุมออกในหอชายด้านบน
ภายในห้องนอนเขาพบว่าวินเซนต์และเกรกอรี่หลับไปพร้อมกับส่งเสียงครวญครางออกมาเบาๆ
และละเมอเล็กๆ
เดรโกกลับลงไปยังห้องนั่งเล่นอีกครั้งและนั่งลงบนโซฟ้าสีเขียวแก่หน้าเตาผิงโดยที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเพียงตัวเดียวกับกางเกงนักเรียนสีดำและรองเท้ามันเลื่อม
ดวงตาเหม่อมองเข้าไปในเปลวไฟสีส้มออกเขียวโดยที่พยายามทำให้สมองของตนว่างเปล่าและทำใจให้สบายที่สุดก่อนขึ้นไปนอน
แต่ดูเหมือนมันจะยากเย็นเหลือเกิน ยิ่งพยายามที่จะไม่คิดถึงมัน
กลับยิ่งทำให้คิดถึงอย่างช่วยไม่ได้
ราวกับว่าเรื่องราวถูกบันทึกเทปเอาไว้กรอไปกรอมาอยู่ในหัวของเขาโดยไม่อาจสลัดมันออกไปได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
‘ฉันกำลังคบกับแพนซี่’
‘ว่าอะไรนะ?’
‘ฉันกำลังคบกับแพนซี่
เลิกถามสักที’
‘ทำไม’
‘ฉันบอกให้เลิกถามสักทีไง
ฉันจะไปซ้อม หวังว่าคงไม่เจอเธออีก’
เขารู้สึกเหมือนกับมีก้อนอะไรสักอย่างจุกอยู่ในคอ
อยากจะเอามันออกมาแต่ก็ไม่สามารถทำได้ สองมือเลื่อนขึ้นมากุมขมับโดยไม่ตั้งใจ
เขารู้สึกว่ามันดีเหลือเกินที่เขาไม่ได้หันกลับไปมองหน้าเธอ
และมันคงยากมากที่จะต้องทนเห็นใบหน้าเจ็บปวดของเธอในตอนนั้น
มันคงจะเหมือนกับถูกหินก้อนมหึมาถล่มใส่ เจ็บและทรมานเหลือเกิน
ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์
เฮเลนเลิกยุ่งกับเขาไปเลยนับจากนั้น
ดวงตากลมโตสีเขียวมรกตแสนสดใสที่เคยจ้องมองใบหน้าของเขานั้นบัดนี้มันช่างไร้ความรู้สึกและเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
เขาเลือกที่จะไม่สบดวงตาคู่นั้นทุกครั้งที่รู้ตัว
เพราะในบางความคิดเขาก็อยากจะได้ความสดใสนั้นกลับคืนมา
ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่เห็นว่ามีใครใกล้เธอ
เขาก็รู้สึกเหมือนอยากจะสาปมันมันตายไปเสียเดี๋ยวนั้น!
แต่เขาทำไม่ได้ ไม่มีวันทำได้เพราะเขาไม่เหลือสิทธิ์อะไรในตัวเธออีกต่อไปแล้ว
“มานั่งทำอะไรตรงนี้เดรโก”
ริมฝีปากบางสีกุหลาบแสนคุ้นเคย
เจ้าของร่างบางสมส่วนที่เขาพบเจอทุกวันจนชินตา
เรือนผมสีดำสนิททำให้เจ้าของร่างนั้นดูมีเสน่ห์มากขึ้นและยิ่งไปกว่านั้นยามที่ใบหน้าเรียวต้องแสงของเปลวไฟ
เขาสามารถบอกได้เลยว่าไม่ว่าชายใดก็ต้องตกหลุมรักเธออย่างแน่นอน
แต่คนนั้นคงไม่ใช่เขา
คนที่รู้จักกับเธอมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
“เปล่า” เขาตอบ
“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ”
“งั้นให้ฉันนั่งด้วยจะได้ไหม” แพนซี่ว่าแล้วเดินเข้ามานั่งข้างกายเขาทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบ เดรโกไม่คิดจะพูดอะไรตอบเธอไปอยู่แล้ว เพราะในหัวของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องของเฮเลนเต็มไปหมด และเขาไม่อาจสลัดมันทิ้งไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ดูนายไม่ค่อยดีเลยนะ”
เธอว่า “แล้วที่นายบอกกับคนในทีมนั่นเรื่องจริงรึเปล่า”
เขาเงยหน้าขึ้น
ดวงตาคมกริบเหล่มองเจ้าของริมฝีปากบางสีกุหลาบนั้นทันที
“เรื่องที่ฉันพูดกับเฮ...
พอตเตอร์น่ะเหรอ”
“ใช่” หญิงสาวยิ้มอย่างพอใจ
“นายพูดจริงเหรอที่จะคบกับฉัน”
“ไม่รู้สิ”
เขาส่ายหน้า มีเรื่องที่เขาบอกผู้หญิงคนนี้ไม่ได้อยู่เต็มไปหมด
ถ้าเกิดว่าจะบอกว่ามันเป็นเพียงข้ออ้าง เขาก็คงสามารถใช้คนอื่นที่ไม่ใช่เธอก็ได้
“เธอคิดว่าไง”
“ก็ดีสิ!” น้ำเสียงของเธอฟังดูร่าเริงขึ้นมาทันที “ฉันรู้อยู่แล้วว่านายจะต้องกลับมาหาฉัน
เดรโก!”
เขาหัวเราะในลำคอ
ก้มหน้าลงอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร
“ไหนลองเงยหน้าขึ้นทีสิ”
เสียงดัดให้หวานดังขึ้นและมือเรียวเล็กของเธอค่อยๆ
ช้อนใบหน้าของเดรโกให้เงยขึ้นอย่างช้าๆ
ดวงตากลมโตสีดำสนิทที่เขามองกี่ครั้งก็รู้สึกว่ามีเสน่ห์อยู่เสมอ
ในฐานะเพื่อนในวัยเด็กเขาไม่เคยโกหกแพนซี่เลยว่าเธอสวยขึ้นมากเพียงใดในระยะเวลาที่เราเติบโตมาด้วยกัน
แต่ในเวลาเดียวกันภาพใบหน้าของแพนซี่กลับถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของใครบางคนที่เขาคุ้นเคยดี ใบหน้าเรียวหวาน ดวงตากลมโตสีเขียวมรกตสดใสและร่าเริง จมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากบางสีส้มอมชมพูน่าสัมผัส ไม่มีภาพใดที่สามารถเข้ามาแทนที่ได้เลย ไม่ว่าจะมีใครที่สวยกว่าหรือน่ารักกว่าเขาก็ไม่เคยลืมภาพใบหน้าของเธอได้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
ริมฝีปากบางสัมผัสเขากับริมฝีปากของเขาอีกครั้ง
สัมผัสที่นุ่มละมุนแต่ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม...
“พอ!” มือเรียวผลักไหล่แพนซี่ออกทันทีที่เขารู้สึกตัว
เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์จางกัดริมฝีปากล่างแรงๆ จนรู้สึกได้ถึงเลือดอุ่นๆ
ที่ไหลซึมออกมา “ฉัน...ทำไม่ได้”
“หมายความว่าไง!” ร่างบางขึ้นเสียงแหลมสูง มันทำให้เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
“ไม่ได้!” เดรโกย้ำ “ฉันทำไม่ได้... ได้โปรดไปจากตรงนี้เถอะ”
“แล้วที่นายพูดล่ะ!” แพนซี่อ่อนเสียงลงและมีน้ำเสียงเหมือนคนจะร้องไห้ “แล้วที่นายพูดเมื่อกี้ล่ะ”
“ขอโทษ”
มีเพียงคำสั้นๆ ที่เขาเอ่ยออกไป เขาไม่หันไปมองใบหน้าเธอด้วยซ้ำ ดวงตาคมเสกลับไปมองเปลวไฟด้านในเตาผิงอีกรอบพร้อมกับพยายามกับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เสียงลงส้นปึงปังทำให้เขารู้ว่าแพนซี่เดินขึ้นหอนอนไปแล้ว เดรโกถอนหายใจออกมาเบาๆ ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในหัวเขาไม่ได้จางหายไปเลย ความรู้สึกอยากจะสัมผัสยังคงติดตรึงอยู่ในใจ
‘เพราะพ่อของแกทำให้เรื่องมันยุ่งยากเดรโก’
เสียงอีกเสียงหนึ่งดังอื้ออึงให้หัวของเขาอีกครั้ง
ไม่ใช่เสียงเขาและไม่ใช่เสียงเธอ...
‘แกต้องรับผิดชอบแทนมัน... หน้าที่สำคัญที่ฉันจะรับมอบหมายให้แกจะทำให้ครอบครัวของแกมีเกียรติ’
‘ครับ’
‘รับภารกิจนี้ไป
แล้วฉันจะ... ไม่ทำอะไร’
เดรโกรู้สึกราวกับว่าร่างของเขากำลังจมอยู่ในความมืดมิดไม่เหลือแสงสว่างใดๆ อีกแล้วในชีวิต คำพูดของ 'เขา' ยังทำให้รู้สึกกลัวอยู่เสมอ ไม่ใช่กลัวว่าตนเองจะต้องตายแต่กลัวว่าจะต้องสูญเสียทุกอย่างไป
สูญเสียแม่... สูญเสียเธอ
‘มันไม่ใช่ความผิดนาย
รู้ใช่ไหมเดรโก’
“ไม่...
ฉันไม่รู้” ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยออกไปอย่างเลื่อนลอยกับเสียงหวานที่ดังก้องขึ้นมาอีกครั้งในหัวสมอง
“มันอาจจะเป็นความผิดฉันทั้งหมดเลยก็ได้”
“คุณมัลฟอย”
เสียงเรียกจากใครบางคนทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้น
มองเจ้าของเสียงที่เขาจำได้ว่าเป็นเพียงรุ่นน้องปีหนึ่งที่เพิ่งเข้าทีมควิดดิชมาและถูกคัดเลือกให้เป็นตัวสำรองในตำแหน่งเดียวกับเขาโอไรฮาร์ท แสตนด์ฟอร์ด
“ว่าไง”
เขาตอบกลับด้วยท่าทีเมินเฉย
“มีจดหมายถึงคุณ”
โอไรฮาร์ทพูด “จากดัมเบิลดอร์”
มือเรียวรับมันไว้และไล่โอไรฮาร์ดขึ้นไปบนหอนอน
เขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกพร้อมกับอ่านข้อความข้างใน
คืนวันจันทร์ตอนสองทุ่ม
เดรโกพับกระดาษใบนั้นลวกๆ
แล้วโยนมันเข้าไปในกองไฟเพื่อทำลายหลักฐาน
สูดหายใจเข้าเต็มปอดและเดินขึ้นหอนอนทั้งๆ
ที่เรื่องของเธอไม่ได้จางหายไปจากหัวของเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ติดตามตอนต่อไป...
ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่เข้ามาอ่านและขอบคุณที่คอมเมนต์นะคะ
ไรท์มีกำลังใจขึ้นมาในการเขียนและกำลังวางพล็อตต่อในซีซั่นสาม
เขียนไปเขียนมาเพิ่งรู้ว่าซีซั่นสองใกล้จะจบแล้ว 5555 ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ค่ะ ♥
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับท่านที่คอมเมนต์ให้
สำหรับนักอ่านเงาก็อย่างน้อยไรท์ก็เข้าใจเรื่องการให้กำลังใจอย่าเงียบๆ ขึ้นมาบ้าง 555
ขอบคุณทุกท่านค่ะ ♥
ความคิดเห็น