ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Undertale] FANFIC ภายใต้ผืนดินอันลึกลับ (Sans x Frisk)

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 หนูอยากกลับบ้าน (Re.1)

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ค. 59


    Up lode : 28/04/2016

    Re Write No.1 : 13/05/2016

    บทที่ 2

    หนูอยากกลับบ้าน


    “เฮ้! ใจเย็นนะพวก ใครบอกว่าเธอจะมาขยับฉันง่ายๆ ได้แบบนั้นกันล่ะ”

    เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่อฉันทำท่าจะเอามือไปผลักก้อนหินก้อนใหญ่ตรงหน้า ฉันหันซ้ายหันขวามองหาต้นตอของเสียงยกใหญ่จนมั่นใจแล้วว่าที่จริงเจ้าของเสียงทุ้มนั่นไม่ใช่ใครอื่น...

    “แล้วนายจะให้ฉันทำยังไงล่ะ”

    “ขอฉันสิ ถามความเห็นฉันสิว่าฉันอยากจะไปไหม?”

    ใช่! มันคือก้อนหินที่ไม่มีหน้า ไม่มีตา หู จมูกหรือแม้กระทั่งปาก!! มันสามารถพูดกับฉันแล้วตอบคำถามฉันได้ทั้งที่ความจริงไม่น่าทำได้... ฉันยืนกอดอกจ้องมองมันอยู่พักใหญ่เพื่อหาวิธีผลักมันให้ไปอยู่บนปุ่มขนาดพอดีตัวของมัน

    หือ? ฉันอยู่ไหนตอนนี้น่ะเหรอ?

    ที่จริงหลังจากคุณแม่โทเรียลเดินออกจากห้องไปไม่ถึงสิบนาที ฉันก็ไม่อาจทราบว่าอะไรดลใจให้ฉันกดโทรศัพท์โทรหาเธอเพื่อส่งเสียงฮัลโหลใส่ไป -_-^ และก็ยังไม่ทราบอีกว่าอะไรดลใจครั้งที่สองให้โทรไปถามขอเรียกเธอว่าแม่!

    ที่ฉันคิด... มันคงจะเป็นเพราะความรู้สึกอบอุ่นที่ฉันสัมผัสมันได้ก่อนหน้านี้ล่ะมั้ง?

    กลับมาเข้าสู่คำถามข้างบน ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนสักแห่งในซากโบราณสถาณซึ่งฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือที่ไหน -_-; หลังจากที่ฉันโทรหาคุณแม่โทเรียลครั้งสุดท้ายฉันก็นั่งรอได้ไม่นานนัก สงสัยเหลือเกินว่าจริงๆ แล้วฉันเป็นคนสมาธิสั้นรึเปล่าถึงได้ตัดสินใจเดินพรวดพราดออกมาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนั้น -_-;

    แต่ก็เอาเถอะ! ออกมาแล้ว จะให้เดินย้อนกลับไปมันก็กระไรอยู่นั่นล่ะ...

    “งั้น คุณก้อนหินคะ ขยับให้ฉันหน่อยได้ไหมมม?”

    กลับมาที่เจ้าก้อนหินตรงหน้าของฉันต่อ หลังจากฉันพูดประโยคเมื่อครู่ออกไปแล้วมันก็นิ่งไปโดยไม่ปริปากพูดอะไรต่อ ฉันยืนมองมันอยู่พักใหญ่ๆ ดูราวกับว่าก้อนหินนี่กำลังครุ่นคิดและพิจารณาว่าคำพูดของฉันมีค่าพอให้มันขยับตัวหรือไม่ -_-;

    เจ้าหินนี่ไม่รู้หรอก! ว่ากว่าฉันจะเดินมาถึงตรงนี้ได้ฉันต้องผ่านพวกปิศาจที่อยู่ๆ ก็โผล่มาโจมตีใส่ฉันอย่าง งงๆ มาได้มันยากลำบากขนาดไหน ฉันต้องใช้สกิลในการพูดเกลี้ยกล่อมแทบตายเลยนะจะบอกให้ T^T

    “ก็ได้! เพื่อเธอนะ”

    ในขณะที่ฉันกำลังจะเอื้อมมือไปผลักมันอีกครั้ง เจ้าก้อนหินนั่นก็พูดขึ้นแล้วทำท่าเหมือนจะขยับตัว ฉันยิ้มกว้างให้กับมัน (ที่ไม่รู้ด้วยว่ามันมองเห็นรึเปล่า - -*) ก่อนที่โทรศัพท์เครื่องจ้อยในกระเป๋าคาดเอวจะดังขึ้น เบอร์โทรเพียงเบอร์เดียวในเครื่องกำลังโทรเข้ามา...

    “สวัสดีค่ะคุณแม่”

    [แหม เรียกแบบนี้ให้ได้ตลอดนะเด็กน้อย]

    “คิกๆ” ฉันหัวเราะเบาๆ

    [ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่จะถามว่าเธอชอบอะไรมากกว่ากันเหรอ ระหว่างอบเชย กับเนยถั่วน่ะ]

    “หืม? หนูเหรอ อืม... อบเชยล่ะมั้งคะ”

    [โอเค ขอบใจมากจ้ะ]

    แล้วสายก็ตัดไป ฉันหันกลับไปมองก้อนหินเจ้าปัญหานั่นอีกครั้งและพบว่ามันขยับไปเพียงแค่หนึ่งในสามของเส้นทางเท่านั้นเอง -_-^ ขอบคุณมากค่าาาาาา!

    “เอ่อ... คุณหินน ขยับอีกกกกก” ก้อนหินขยับไปอีกทาง -_-*

    “ไม่ใช่ทางนี้นะคะ T^T

    “อ้าว งั้นเหรอ โอเคคคค ฉันพอจะเข้าใจล่ะ”

    ก้อนหินเคลื่อนตัวไปทับอยู่บนปุ่มขนาดพอดีกับตัวมัน ฉันยิ้มให้กับมันนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ

    “อยู่ตรงนี้นะคะ ห้ามขยับล่ะ”

    ฉันเดินออกไปจากตรงนั้นเพื่อผ่านไปยังอีกห้องหนึ่ง ก่อนจะออกไปนั้นก็ได้ยินเสียงก้อนหินก้อนนั้นตะโกนตามหลังมา

    “มันดีใช่ไหมล่ะ! แค่เธอขอน่ะ”

    จ้า ดีจ้าดี =_= ฉันกุมขมับแล้วเดินต่อไปก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นอีกครั้ง

    "สวัสดีค่ะ...?"

    [นี่ เธอจะปฏิเสธไหมถ้ามีเนยถั่วอยู่ในอาหาร ฉันหวังว่าเธอจะไม่ได้เกลียดมันนะ]

    “ก็... ไม่นะคะ”

    [โอเคจ้ะ ขอบคุณนะ]

    แล้วสายโทรศัพท์ก็ตัดไป ฉันมองมันอย่างงงๆ ตลอดการเดินทางจนมาถึงตรงนี้ สิ่งที่ปลายสายโทรมาถามมักจะเป็นอะไรที่ไม่ค่อยจะมีเหตุผลสักเท่าไหร่นัก -_-* ฉันเดินไปตามทางอย่างอ้อยอิ่งและมองไปรอบๆ ซากโบราณสถานแห่งนี้ไปด้วยก่อนที่การเดินทางของฉันจะต้องหยุดชะงักเมื่อพบว่าตรงหน้าของฉันมี...

    zZZ

    คุณผีตัวหนึ่งนอนขวางทางอยู่!!

    “ไปรึยังนะ” ผีตรงหน้าของฉันพึมพำ (แต่มันดังพอให้ฉันได้ยิน!) ฉันขมวดคิ้วและเดินเข้าไปใกล้ๆ ดูเหมือนว่ามันกำลังแกล้งหลับด้วยเหตุผลที่ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!

    “เอ่อ... นี่คุณผีคะ?”

    หลังจากที่ฉันยืนจ้องมันอยู่นานก็ตัดสินใจที่จะเอื้อมมือไปจับร่างโปรงใสตรงหน้า แต่เป็นไปตามที่คาดมือของฉันทะลุผ่านร่างนั้นไปและสิ่งที่ฉันทำก็ทำให้ผีตรงหน้าฉันลอยขึ้นมาจ้องหน้าฉันเขม็ง!

    รู้สึกเหมือนกำลังจะซวย -_-;

    “เธอกล้ามากนะ ที่มาปลุกนับสทรับลุคตนนี้!"

    "ฉันเปล่านะ! ก็นาย..."

    ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็มีน้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาของร่างโปร่งใส ฉันขยับตัวหลบมันแต่โชคร้ายที่ไม่พ้น โดนเข้าที่หัวไหล่เต็มๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นเข้ามาถึงโสตประสาท

    มันปวดแสบปวดร้อนไปหมดราวกับว่ามันคือ...

    น้ำกรด!!

    "นี่มันอะไรน่ะ!?"

    "เธอไม่เคยเห็นเหรอ? ก็ฝนกรดยังไงล่ะ!!"

    ฉันมองหน้านับสทรับลุคอย่างทึ่งๆ เดี๋ยวนะ... ผีร้องไห้เป็นฝนกรด? เรื่องบ้าแบบนี้มันมีจริงๆ น่ะเหรอ!

    "ฝนกรดเนี่ยนะ?"

    “ใช่สิ!"

    "ขอฉันดูอีกรอบได้ไหม?"

    "ได้! ฉันจะโชว์ให้เธอดูเอง"

    นับสทรับลุค (ชื่อเรียกยากชะมัด =_=) ยิ้มร่าก่อนจะปล่อยน้ำตากรดให้ไหลย้อนขึ้นไปบนหัวของมัน เพียงแว้บเดียวก็มีหมวกปรากฏขึ้นบนหัวของเขา ฉันปล่อยมือออกจากการลูบไปมาที่แผลบนไหล่ขวามาปรบมือให้กับการแสดงของนับสทรับลุค

    “ว้าว! ทึ่งชะมัดเลย"

    “มันเรียกว่า Dapper Blook น่ะ! นี่รู้อะไรไหม ฉันชักจะถูกใจเธอซะแล้วสิ ไปกินขนมด้วยกันหน่อยนะ"

    “หา? ขนม?”

    นับสทรับลุคใช้พลังที่มองไม่เห็นดันร่างของฉันให้ไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นทางแยกก่อนจะเดินไปยังห้องถัดไป ภายในห้องนั้นมีใยแมงมุมอยู่รกรุงรังไปหมดพร้อมกับป้ายที่เขียนเอาไว้ว่า ร้านขนมแมงมุม

    มันจะกินได้ไหมนั่นน่ะ =_=

    นับสทรับลุคยื่นอะไรบางอย่างมาให้ (ฉันรู้ว่าบางทีฉันไม่ควรใช้คำว่ายื่น เพราะมันลอยเข้ามาหามากกว่าจะเป็นการหยิบยื่นมาให้) มันคือโดนัทหน้าตาประหลาดที่ทำขึ้นด้วยอะไรสักอย่าง -_-; ฉันรับมันมาถือเอาไว้โดยไม่แตะมันแม้แต่นิดเดียว

    “โดนัทนั่นอร่อยนะ ถ้าเธอได้ชิมแล้วจะติดใจ”

    เจ้าผีว่าแล้วหยิบโดนัทอีกชิ้นขึ้นมากิน ฉันมองโดนัทในมือพลางลังเลใจว่าจะกินมันดีไหม แต่ฉันตัดสินใจที่จะไม่กินแล้วเก็บมันใส่กระเป๋าคาดเอวเอาไว้ก่อน ก็แน่ล่ะ! ขนมแมงมุม กินได้รึเปล่าก็ไม่รู้ แถมจะปฏิเสธน้ำใจผีมันก็ยังไงอยู่ -_-; หลังจากนับสทรับลุคกินเสร็จเขาก็พาฉันมาส่งอีกห้องหนึ่งก่อนจะหายตัวไป

    เอาล่ะ! ส่วนฉันก็ได้เวลาเดินทางต่อแล้ว!!

    เดินไปได้สักพักฉันก็พบทางแยกเป็นทางเลี้ยวซ้ายและตรงไป ฉันตัดสินใจเลือกเดินตรงไปก่อน จนมาถึงหน้าประตูบานหนึ่ง ข้างประตูบานนั้นมีกบตัวหนึ่งเฝ้าอยู่ ฉันไม่ได้สนใจมันแล้วเดินเข้าไปด้านใน ภายในเป็นแค่ห้องแคบๆ ที่ว่างเปล่า มีเพียงมีดเล่มหนึ่งถูกวางทิ้งไว้

    ฉันหยิบมันขึ้นมาและเหน็บใส่ไว้ข้างเอวก่อนจะเดินออกไป ฉันไม่เข้าใจตัวเองว่าจะเก็บมันมาทำไมแต่ในเมื่อเก็บมาแล้วฉันก็คงจะมีโอกาสใช้มันในสักวัน ฉันเดินเลี้ยวเข้าไปในทางแยก สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนกำลังบ่นพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ข้างหน้า

    “โอ้ตายล่ะ นี่ฉันใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย”

    เจ้าของเสียงพูด ฉันเดินเข้าไปแอบหลังต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ในห้องนั้นแต่ทว่าเสียงโทรศัพท์ของคุณแม่โทเรียลก็ดังขึ้น!

    เอิ่ม...แย่ล่ะ!

    “อ๊ะ! หนูน้อย เธอมาที่นี่ได้ยังไงกัน แล้วนี่เจ็บตรงไหนรึเปล่า”

    “เอ่อ... เปล่าค่ะ”

    ฉันลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงนั่นคือคุณแม่โทเรียลนั่นเอง

    “เข้าไปข้างในกันเถอะ ฉันจะดูแลเธอเองนะ ขอโทษที่ปล่อยให้เธอต้องรอนาน”

    คุณแม่โทเรียลว่าแล้วจับมือฉันเดินต่อไปจนถึงหน้าประตูใหญ่บานหนึ่ง สร้อยรูปหัวใจที่ฉันแอบคิดจะถอดออกมาได้สักพักใหญ่ๆ เกิดส่องแสงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ฉันรีบยกมือขวามากำมันเอาไว้แน่นเพราะเกรงว่าคุณแม่โทเรียลจะหันมาและเห็นมัน ไม่นานนักแสงนั้นก็หายวับไปพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่หัวไหลได้หายไปราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น

    สร้อยนี่มันมีอะไรกันแน่นะ? 

    “เซอรไพรซ์!” ฉันสะดุ้ง

    “อ๊ะ! มีอะไรงั้นเหรอคะ?” 

    “ได้กลิ่นนั่นไหม? นั่นคือพายอบเชยผสมเนยถั่ว”

    “หอมจังเลยค่ะ”

    “ฉันคิดว่าเราควรจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ต้อนรับการมาของเธอน่ะนะ ฉันอยากให้เธอรู้สึกดีที่จะมาพักที่นี่น่ะ”

    คุณแม่โทเรียลยิ้มและฉันก็ยิ้มตอบ กลิ่นพายหอมๆ นั่นทำให้ฉันลืมเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเองไปชั่วครู่แล้วหันมาคิดถึงแต่เรื่องการอาศัยอยู่ในบ้านเล็กๆ หลังนี้แทน

    “เอาล่ะ ตามมาทางนี้ ฉันมีอะไรจะให้ดู”

    คุณแม่โทเรียลเดินมาจับมือฉันและพาเดินไปยังห้องที่อยู่ทางขวามือ คุณแม่ยิ้มแล้วลูบหัวฉันเบาๆ

    “นี่คือห้องของเธอ ฉันหวังว่าเธอคงจะชอบนะ”

    “ขอบคุณนะคะ คุณแม่”

    “พักผ่อนให้สบายนะ”

    เธอส่งฉันเข้าห้องก่อนจะปิดประตูแล้วเดินออกไป ฉันทิ้งตัวนอนลงบนเตียงแล้วนอนยิ้มอย่างมีความสุข...

    ฟริคส์ตื่นสิ!

    เฮือก!

    เสียงที่ดังสะท้อนในหัวทำให้ฉันสะดุ้ง

    เธอเป็นอนาคตของเหล่ามนุษย์และปิศาจนะ!

    ฉันกระเด้งตัวขึ้นจากที่นอน และนึกขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่ฉันลืมไปก็คือฉันจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ ไม่ใช่มานอนเล่นอยู่ตรงนี้! เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้วฉันก็ลุกออกจากเตียงไปเดินตามหาคุณแม่โทเรียลและพบว่าเธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าเตาผิงอย่างสบายใจ

    ฉันเดินเข้าไปหาคุณแม่โทเรียลอย่างช้าๆ พลางนึกประโยคสนทนาดีๆ ที่จะสามารถบอกคุณแม่ได้ว่าฉันต้องการอะไร แต่รู้อะไรไหม? กลิ่นพายหอมๆ บวกกับสิ่งที่เธอเพิ่งทำให้กับฉัน มันทำให้ฉันคิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว...

    “เอ่อ... คุณแม่คะ”

    “ว่าไงจ้ะ”

    “เอ่อ... คือ...”

    “คิก... ฉันอยากให้เธอรู้เอาไว้นะ ว่าฉันดีใจมากเลยที่เธอยอมมาอยู่ที่นี่และเรียกฉันว่า คุณแม่น่ะ จะว่าไปเธออยากฟังเรื่องนี้ไหม?”

    คุณแม่โทเรียลว่าแล้วดึงฉันขึ้นไปนั่งบนตักของเธอแล้วเปิดหนังสือเล่มหนาออกมาอ่านให้ฉันฟัง ฉันนั่งลงบนตักของเธออย่างว่าง่าย แต่ในหัวก็ยังคงคิดเรื่องจะพูดยังไงให้เธอบอกทางออกของที่นี่ ฉันจึงตัดสินใจที่จะพูดมันออกไปในทันที โดยที่ไม่ได้เตรียมประโยคสนทนาดีๆ เลยสักประโยคเดียว!

    “เดี๋ยว... เดี๋ยวค่ะ! คือที่จริง หนูอยากกลับบ้าน...” คุณแม่โทเรียลชะงักไป

    “นี่... ที่นี่ก็คือบ้านของเธอไงตอนนี้ จะว่าไปเธออยากได้ยินเรื่องของหอยทากไหม? มันน่าสนใจมากเลยนะ”

    “คะ คุณแม่คะ คือหนูอยากออกไปจากที่นี่...”

    “อ่า... ฉันว่าเธอควรไปนอนพักผ่อนก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปทำธุระสักพักหนึ่ง”

    คุณแม่ว่าแล้วอุ้มฉันขึ้นมาก่อนเธอจะพาฉันไปที่ห้องนอน เธอวางฉันลงบนเตียงนุ่มก่อนจะห่มผ้าและลูบหัวฉันเป็นเชิงบอกราตรีสวัสดิ์ แววตาของเธอบ่งบอกว่าเธอกำลังรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่ฉันเอ่ยออกไป

    เฮ้อออออ!! ฉันควรจะทำยังไงต่อไปดีล่ะเนี่ย!

    ในขณะที่กำลังคิดไปเรื่อยๆ สมองของฉันก็ทำการชัตดาวน์ลงโดยไม่รู้ตัว... zZZ

     

    [Special of Toriel]

    ร่างสูงมองเด็กสาวตัวเล็กที่ผลอยหลับไปใต้ผ้าห่มผืนหนาอย่างครุ่นคิด เธอควรจะทำอย่างไรไม่ให้ฟริคออกไปจากสถานที่แห่งนี้ เด็กสาวตัวน้อยๆ คนนี้คงไม่มีทางสู้กับพวกปิศาจข้างนอกนั่นได้แน่ๆ ในขณะเดียวกันเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าพายที่อยู่ในห้องครัวน่าจะเริ่มเย็นลงแล้ว โทเรียลเดินผละออกไปจากห้องของเด็กสาวเพื่อไปหยิบพายออกมาสักชิ้นและนำมาให้เธอ

    โทเรียลวางจานพายลงบนโต๊ะข้างๆ กับเตียงที่เด็กสาวนอนหลับตาพริ้มอยู่ มือใหญ่เอื้อมไปลูบผมนุ่มๆ ของเธออย่างแผ่วเบา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองไปยังชั้นวางรองเท้าและในตอนนั้นใบหน้าของใครบางคนก็โผล่เข้ามาในหัว

    แอสเรียล...

    “คุณแม่คะ...”

    เสียงหวานพึมพำๆ ขึ้นมา โทเรียลมองใบหน้าของเด็กสาวมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่นอนอยู่ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องนั้นไป... 

    ฉันจะต้องทำอะไรสักอย่าง...

    เธอคิด พลันวินาทีนั้นโทเรียลก็ได้นึกถึงเด็กหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามประตูบานนั้นขึ้นมาได้ ถ้าหากเธอไม่อาจห้ามฟริคไม่ให้ออกไปจากซากโบราณสถานแห่งนี้ได้ ก็ยังมีอีกทางหนึ่งที่เธอจะสามารถช่วยปกป้องฟริคจากเหล่าปิศาจที่จะเข้ามาทำร้ายเธอเอาไว้ได้!

    ก๊อก ก๊อก

    นั่นใครครับบ?

    โทเรียลมุ่งหน้าไปยังประตูบานเดิมที่เธอมักจะมาหัวเราะอยู่ตรงนี้เป็นประจำ เธอเคาะประตูนั้นเบาๆ สองครั้ง เสียงของเด็กหนุ่มฝั่งตรงข้ามขานรับกลับมาอย่างอารมณ์ดี แต่ทว่าตอนนี้โทเรียลไม่ได้มีอารมณ์ร่วมที่จะฟังมุกของเขาเท่าไรนัก

    “ผู้หญิงแก่ๆ คนหนึ่ง” (Old lady)

    ‘ใครคือผู้หญิงแก่ๆ ?’ (Old lady who?)

    "ฮะๆ ฉันไม่คิดนะว่าเธอจะโยเดลเป็นด้วย"

    'โอ้! วันนี้มุกคุณเจ๋งนะ ฮ่าๆ'

    เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงดังผิดกับโทเรียลที่ไม่เปล่งเสียงหัวเราะออกมาเลยสักแอะเดียว จนทำให้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเริ่มรู้สึกแปลกใจ เขาจึงเอ่ยถามโดยไม่เล่นมุกของเขาอีก

    '... มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอครับ?'

    เด็กหนุ่มน้ำเสียงดูตึงเครียดขึ้น เธอไม่อาจมองเห็นได้ว่าเด็กหนุ่มฝั่งตรงข้ามทำสีหน้าประมานไหน แต่ก็คงเดาได้ไม่ยากนัก โทเรียลหันหลังพิงเข้ากับประตูบานนั้นพลางนึกถึงใบหน้าของลูกชายของเธอขึ้นมา ถ้าหากเขาโตขึ้นแล้วจะมีหน้าตาอย่างไรนะ? ฮึ...

    โทเรียลนึกขอบคุณเด็กหนุ่มที่ช่วยเข้ามาเติมเต็มเธอในเรื่องนี้ตั้งแต่วันนั้น เพราะถ้าหากไม่มีเขา ในตอนนี้เธอเองก็คงคิดไม่ออกว่าจะจัดการเรื่องนี้ต่อไปได้ยังไง...

    “ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องเธอ...”

    ‘…’

    และตอนนี้มีเพียงคนเดียวที่จะช่วยเธอได้

    “หนุ่มน้อย... ถ้าหากมีมนุษย์ออกไปจากประตูบานนี้... ได้โปรด...”

    เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น!


    โปรดติดตามตอนต่อไป...

    O W E N TM.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×