ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic Harry Potter] [OCxDM] If Harry Potter has a sister!

    ลำดับตอนที่ #24 : บทที่ 23 : คำพยากรณ์(Re.02)

    • อัปเดตล่าสุด 8 ส.ค. 64


    TB

    UP : 16/08/60

    Re-write : 24/08/60

    Re-write 2 : 10/08/64

    บทที่ 23 : คำพยากรณ์ 

      “ถ้าคุณลงไปข้างล่างที่กองปริศนา คอร์นีเลียส” ดัมเบิลดอร์เอ่ย ปรายตามองร่างของเด็กทั้งสอง ดูเหมือนพอใจมากที่พวกเขายังสบายดี “คุณจะพบผู้เสพความตายหลายคนถูกจับเอาไว้ที่ห้องมรณะ มัดเอาไว้ด้วยคำสาปต่อต้านการหายตัว ถึงจะมีบางคนหลบหนีไปได้ คุณก็ตัดสินใจเอาเองว่าต้องทำอะไรกับพวกนั้น”

    “ดัมเบิลดอร์!” ฟัดจ์อ้าปากค้าง “คุณอยู่ที่นี่? ผมเอ่อ... ผม...”

    เขามองไปยังมือปราบมารที่เขาพามาด้วยอย่างดื่นตระหนก และเห็นได้ชัดว่าเขากำลังสองจิตสองใจว่าควรจะทำอะไรดี จับดัมเบิลดอร์หรือจะปล่อยตัวเขาไป

    “คอร์นีเลียส ผมพร้อมจะสู้กับคนของคุณอีกนะและผมมั่นใจว่าต้องชนะเสียด้วย” ดัมเบิลดอร์พูดเสียงดังสนั่น “แต่เมื่อกี้นี้คุณก็เห็นด้วยตาของคุณเอง ว่าผมเฝ้าบอกความจริงกับคุณมานานแค่ไหนว่าลอร์ดโวลเดอมอร์กลับคืนมาแล้ว คุณไล่ตามจับคนผิดมาตลอดและถึงเวลาที่คุณจะต้องฟังแล้ว!

    “ผม... ไม่เอ่อ...” ฟัดจ์ทำเสียงวางก้าม หันไปมองรอบๆ ราวกับว่าจะมีใครสักคนช่วยเขาได้ “ดีมากเลยดอว์ลิชลงไปที่กองปริศนาแล่วดูที่นั่นที... ดัมเบิลดอร์ คุณต้องเล่าให้ผมฟังทุกอย่าง เกิดอะไรขึ้น?”

    “เราจะพูดกันหลังจากที่เราส่งฝาแฝดกลับไปที่ฮอกวอตส์แล้ว” ดัมเบิลดอร์ตอบ

    “ฝะ แฝดพอตเตอร์เหรอ” ฟัดจ์หมุนตัวกลับมาและจ้องดูเด็กหนุ่มสวมแว่นตาทรงกลมกำลังนั่งประคองร่างของน้องสาวฝาแฝดที่นอนอยู่กับพื้นดวงตาสะลืมสะลือและเลือดสีแดงข้นไหลเต็มฝ่ามือ “นี่มันอะไรกัน”

    “ผมจะอธิบายให้คุณฟังทุกอย่าง” ดัมเบิลดอร์ทวนคำ “เมื่อทั้งสองคนกลับไปที่โรงเรียนแล้ว”

    เขาเดินไปที่บริเวณสระน้ำ หยิบเศษหินและนำไม้กายสิทธิ์ชี้ไปที่มันและพึมพำร่ายคาถาอะไรบางอย่าง หินก้อนนั้นเรืองแสงเป็นสีเงินและสั่นเขย่าเสียงดังอยู่สองสามวินาที

    “แล้วกันสิดัมเบิลดอร์!” ฟัดจ์ร้อง “คุณไม่ได้รับอนุญาตให้มีอำนาจเสกกุญแจนำทางได้นะ คุณทำแบบนี้ต่อหน้ารัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ได้ยังไงกัน คุณ...”

    ดัมเบิลดอร์ถือหินก้อนนั้นเดินมาหาแฮร์รี่ เสียงของฟัดจ์สะดุดทันทีที่ดัมเบิลดอร์จ้องมองดูเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจผ่านกรอบแว่นตารูปครึ่งวงพระจันทร์

    “คุณจะออกคำสั่งให้ย้ายโดโรเรส อัมบริดจ์ออกขากฮอกวอตส์” ดัมเบิลดอร์พูด “คุณจะบอกมือปราบมารของคุณให้เลิกยุ่งกับอาจารย์สอนวิชาการดูแลสัตว์วิเศษของผม ผมจะให้เวลาคุณครึ่งชั่วโมงของเวลาผมคืนนี้ ผมคิดว่าเรามีเวลาเกินพอที่จะพูดครอบคลุมประเด็นสำคัญต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ หลังจากนั้นผมจำเป็นที่จะต้องกลับไปโรงเรียนของผม ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลืออื่นๆ จากผม แน่นอนผมยินดีให้คุณติดต่อผมได้ที่ฮอกวอตส์เสมอ จดหมายจ่าหน้าถึง ‘อาจารย์ใหญ่’ ก็จะหาผมเจอเอง”

    ฟัดจ์อ้าปากค้างในขณะที่ดัมเบิลดอร์ยังคงพูดต่อราวกับว่าไม่ได้ยินเขา

    “รับกุญแจนี่ไป” เขายัดก้อนนั้นใส่มือแฮร์รี่ “อีกครึ่งชั่วโมงฉันจะไปเจอพวกเธอ”

    ความรู้สึกที่เหมือนเบ็ดเกี่ยว พื้นขัดมันหายไปจากสายตา ห้องโถง ฟัดจ์และดัมเบิลดอร์ รวมไปถึงมือปราบมารคนอื่นๆ ได้หายไปหมดส่วนเด็กทั้งสองบินพุ่งไปที่ไหนสักแห่ง อยู่ในลมหมุนที่เต็มไปด้วยสีสันแปลกตา...

    เท้าของแฮร์รี่แตะถูกพื้นแข็งๆ เขาประคองร่างเล็กๆ ของเฮเลนเอาไว้มั่นเพื่อไม่ให้เธอล้มลง ดูเหมือนว่าสติของเธอจะเหลืออยู่น้อยนิดเต็มที เขาฉีกเสื้อนอกเอาไปพันบาดแผลที่มีเลือดไหลซึมที่มือของเธอเอาไว้และพยายามเรียกสติของน้องตัวเองให้ได้มากที่สุด จนในที่สุดเฮเลนก็ใช้ตาปรือๆ นั้นมองมายังเขาและพยายามยิ้ม

    “ยิ้มอะไร ยัยเพี้ยน!” เขาตบหน้าเฮเลนเบาๆ ก่อนจะดันร่างของเธอไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะอาจารย์ใหญ่ที่ว่างเปล่า ดัมเบิลดอร์ยังคงไม่ปรากฏตัว รูปภาพเหมือนของอาจารย์ใหญ่ทั้งชายและหญิงต่างหลับอยู่ในกรอบรูป หัวเอนพิงเก้าอี้นวมหรือพิงขอบรูปอยู่อย่างนั้น แฮร์รี่มองผ่านหน้าต่างและพบว่ารุ่งอรุณใกล้เข้ามาแล้ว

    แฮร์รี่อดไม่ได้ที่จะคิดว่ามันเป็นความผิดเขาที่ซีเรียสตายแถมยังทำให้น้องสาวต้องมาตกอยู่ในอันตราย ถ้าเกิดว่าเขาไม่โง่พอที่จะหลงกลโวลเดอมอร์และเชื่อคำที่เฮเลนหรือเฮอร์ไมโอนี่เตือนสักหน่อย ถ้าเขาเพียงปักใจยอมรับความเป็นไปได้ที่ว่าโวลเดอมอร์เขามาในใจเขาได้อย่างที่เฮอร์ไมโอนี่เคยพูดไว้หรือที่เฮเลนบอกว่าไม่ให้เขาเชื่อทุกอย่างในความฝันที่เห็น ตอนนี้มันพิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ได้เพ้อเจ้อ

    เขาจะต้องไม่คิดเรื่องนี้ เขาพยายามบอกตัวเองและมองใบหน้าซีดเซียวของเฮเลนที่ยังคงเหม่อมองโต๊ะอาจารย์ใหญ่อย่างเลื่อนลอย แฮร์รี่รู้ดีว่าเธอเองก็คงจะเจ็บปวดไม่ต่างจากเขาเลยที่ซีเรียสตาย รวมไปถึงคนที่เธอไม่คาดฝันว่าเขาจะเข้ามาช่วยอย่างลูเซียสอีกคน สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถช่วยใครเอาไว้ได้เลย

    “อ้าว... แฝดพอตเตอร์” ฟินีแอส ไนเจลลัสอ้าปากหาวยาวๆ ยืดแขนและบิดขี้เกียจในระหว่างที่เขาจับตาดูเด็กทั้งสองด้วยดวงตาเล็กๆ แสนฉลาดเฉลียว

    “อะไรพาพวกเธอมาที่นี่ในตอนเช้าแบบนี้ล่ะ” ฟินีแอสสถามในที่สุด “ห้องทำงานนี้ปิดกั้นตัวเองกับทุกคนยกเว้นแต่อาจารย์ใหญ่ที่ชอบธรรม ไม่ต้องบอกหรอกว่าดัมเบิลดอร์ส่งพวกเธอมาที่นี่”

    “ข่าวของซีเรียสค่ะ” เฮเลนพูดทั้งที่ดวงตายังมองไปยังโต๊ะทำงานของดัมเบิลดอร์อย่างเลื่อนลอย

    “โอ้ งั้นเหรอเขาไปทำอะไรล่ะ” ฟินีแอสถามพร้อมกับจ้องมองทั้งสองคนด้วยสายตาเบื่อๆ แฮร์รี่และเฮเลนมองหน้ากัน ฟินีแอสไม่รู้ว่าซีเรียสตายแล้ว ทั้งสองไม่อาจบอกเขาได้ การพูดออกมาอาจทำให้เรื่องจบแต่มันไม่สามารถเรียกเอาความรู้สึกที่เสียไปกลับคืนมาได้

    “ฉันหวังว่านี่จะหมายความว่า” พ่อมดจมูกแดงร่างอ้วนใหญ่ที่แขวนอยู่บนกำแพงหลังโต๊ะทำงานของอาจารย์ใหญ่เอ่ยขึ้น “ดัมเบิลดอร์จะกลับมาอยู่กับพวกเราแล้วงั้นสินะ”

    ทั้งสองพยักหน้าเงียบๆ พ่อมดจับตาดูเขาด้วยความสนใจอย่างยิ่ง

    “โอ้ ดี” เขาว่า “มันไม่สนุกเลยเวลาเขาไม่อยู่”

    พ่อมดนั่นอยู่บนเก้าอี้ที่ดูเหมือนบัลลังก์และยิ้มให้ทั้งสองอย่างมีเมตตา

    “ดัมเบิลดอร์คิดนะว่าพวกเธอเก่งมาก เรื่องนี้ฉันแน่ใจว่าทั้งสองคนคงรู้แล้ว” เขาพูดสบายๆ “เขาชอบพวกเธอมากจริงๆ”

    ประโยคนั้นไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นเลย เฮเลนเริ่มรู้สึกไม่อยากอยู่ที่นี่แต่เธอก็ไม่อาจทิ้งคนที่ยังอยู่ไปได้ เธอไม่เคยรู้สึกอยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแบบนี้มาก่อน ความพยายามที่จะช่วยไม่ให้ซีเรียสตายกลับทำให้ต้องมีคนตายเพิ่มขึ้นแถมนอกจากนั้นยังทำให้เดรโก...

    เตาผิงที่ว่างเปล่าระเบิดเปลงไฟสีเขียวขึ้นมา ทำให้เฮเลนหยุดความคิดของตัวเองไปชั่วครู่ ดวงตาของทั้งสองจ้องไปยังชายที่ก้าวออกมาจากเตาผิง ร่างของดัมเบิลดอร์ออกมาจากกองไฟ พ่อมดและแม่มดที่อยู่บนกำแพงรอบๆ สะดุ้งตื่นขึ้น หลายคนส่งเสียงร้องต้อนรับ

    “ขอบคุณมาก” ดัมเบิลดอร์พูดอย่างอ่อนโยน เขาไม่ได้มองมาที่ทั้งสองแต่เดินตรงไปยังคนที่อยู่ข้างประตู ดึงฟอกซ์ที่ไร้ขนตัวน้อยออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมและวางลงเบาๆ บนขี้เถ้านุ่มๆ ข้างใต้เสาสีทองที่ฟอกส์ที่โตสมบูรณ์แล้วมักจะเกาะอยู่ทุกวัน

    “เอาล่ะ” ดัมเบิลดอร์พูด เขาหันกลับมาหาทั้งสอง “พวกเธอคงจะดีใจที่ได้ยินว่าไม่มีเพื่อนนักเรียนคนไหนที่บาดเจ็บถาวรจากเหตุการณ์ในคืนนี้นะ”

    แฮร์รี่อ้าปากแต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ดูเหมือนว่าดัมเบิลดอร์พยายามจะบอกว่าให้รู้ตัวว่าคืนนี้สองคนก่อความเสียหายเอาไว้มากมายเพียงใด ถึงแม้ว่าสีหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยความเมตตามากกว่ากล่าวโทษก็ตาม

    “มาดามพรอมฟรีย์กำลังพยาบาลทุกคนอยู่” ดัมเบิลดอร์ว่าต่อ “นิมฟาดอร่า ท็องส์อาจจะต้องไปอยู่ที่เซนต์มังโก้สักพัก ดูเหมือนว่าเธอคงจะดูแลตัวเองให้หายดีได้”

    “ถึงขั้นต้องเขาโรงพยาบาลเลยเหรอคะ” เฮเลนพูดขึ้น ดัมเบิลดอร์พยักหน้าให้เธอเบาๆ ดูเหมือนว่ารูปเหมือนทั้งห้องกำลังตั้งใจฟังทุกคำที่ดัมเบิลดอร์พูดอย่างใจจดใจจ่อ สงสัยว่าพวกเขาไปทำอะไรกันมาทำไมถึงบาดเจ็บ

    “ฉันรู้ว่าพวกเธอรู้สึกยังไง” ดัมเบิลดอร์พูดต่อด้วยเสียงที่เบาราวกระซิบ

    “ไม่ครับ อาจารย์ไม่รู้หรอก” แฮร์รี่ตอบ เสียงของเขาดังและดูแข็งกร้าว ความโกรธปะทุขึ้นในใจ

    “แฮร์รี่อย่าพูดแบบนี้นะ” เฮเลนส่งเสียงเตือน “เธอคิดว่า...”

    “ไม่เขาไม่มีทางรู้!! เขาไม่รู้ด้วยว่าเธอรู้สึกยังไงเรื่องมัลฟอย!!

    เฮเลนสะดุ้งเฮือก หันกลับไปมองโต๊ะทำงานดัมเบิลดอร์อีกครั้งโดยไม่พูดอะไรต่อ เธอรู้ว่าดัมเบิลดอร์มีอดีตที่เจ็บปวดแค่ไหนและเขาต้องพบเจออะไรมาบ้างจนถึงกระทั่งวันนี้... ถ้ามีมีก็คงแค่แฮร์รี่ที่ยังไม่ได้รับรู้ว่าเขาเป็นยังไง

    “เห็นไหมดัมเบิลดอร์” ฟินีแอส ไนเจลลัสพูดแทรกขึ้นมา “อย่าพยายามเข้าใจพวกนักเรียนเลย พวกเขาน่ะพอใจที่จะถูกเข้าใจผิดอย่างเศร้าระทม ชอบที่จะอยู่ในความน่าสมเพชของตัวเอง...”

    “พอแล้วฟินีแอส” ดัมเบิลดอร์ปราม “ไม่ต้องละอายเลยเรื่องเธอรู้สึกยังไงแฮร์รี่ ตรงกันข้ามความจริงที่ว่าพวกเธอสามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้นี่ล่ะคือความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ของพวกเธอ”

    “ความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่?” แฮร์รี่ทวนคำเสียงสั่นเทา “อาจารย์ไม่เข้าใจ อาจารย์ไม่รู้อะไรเลย...”

    “อะไรที่ฉันไม่รู้ล่ะ” ดัมเบิลดอร์ถามอย่างสงบ เฮเลนมองใบหน้าเขาสลับกับแฮร์รี่ไปมา อยากจะไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ต้องอยู่ระหว่างทั้งสองคน มันอึดอัดเกินกว่าจะพูดออกมาได้ ภาพของลูเซียสและซีเรียสที่ตายไปลอยวนเวียนอยู่ในหัว ความเจ็บปวดที่ฝ่ามือดูเบาไปเลยถ้าเกิดว่าเทียบกับความเจ็บปวดในหัวใจตอนนี้

    “แฮร์รี่ ความทุกข์นั่นหมายถึงว่าเธอยังเป็นมนุษย์...”

    “งั้นผมก็ไม่ต้องการเป็นมนุษย์!” แฮร์รี่คำรามเสียงดัง “ผมทนมามากแล้ว ผมเจอมาพอแล้ว ผมอยากให้มันจบ”

    เฮเลนผงะถอยเมื่อแฮร์รี่สะบัดแขนไปมาราวกับอยากอาละวาด เด็กสาวผุดลุกขึ้นกระโจนเข้าไปจับแขนของแฮร์รี่เอาไว้แต่บาดแผลที่มือทำให้เธอทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก แต่ว่าแรงของเธอก็ไม่อาจสู้แฮร์รี่ได้ ร่างบางถูกผลักจนล้มลงไปนอนกองที่พื้นได้แผลถลอกตามร่างกายเพิ่มขึ้นมาอีก

    “เธอสนใจ” ดัมเบิลดอร์พูดต่อ “เธอรักมากเสียจนเธอรู้สึกเหมือนว่าเธอจะตายเพราะเรื่องนี้”

    “ผม.. ไม่!!” เขาตะโกนลั่น เฮเลนรู้ว่าเขาอยากจะกระโจนเข้าใส่ดัมเบิลดอร์ใจจะขาด เด็กสาวยันตัวลุกขึ้นยืน

    “พอได้แล้ว!!” เฮเลนตะโกนเสียงดัง “พอสักทีแฮร์รี่เธอกำลังจะทำให้เรื่องแย่ลง ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ!!

    แฮร์รี่เงียบลง เขาหมุนตัวกลับหลังและพยายามกระชากประตูห้องให้เปิดออก แต่มันไม่ขยับ

    “ให้ผมออกไป” เขาพูด น้ำเสียงเย็นเฉียบ

    “ไม่ จนกว่าเธอจะฟังสิ่งที่ฉันพูด” ดัมเบิลดอร์ตอบ

    “ผมไม่สนว่าอาจารย์มีอะไรจะพูด!” แฮร์ร่ตะคอก “ผมไม่ต้องการได้ยินอะไรก็ตามที่อาจารย์พูด!!

    “ยังไงเธอก็ฟัง” ดัมเบิลดอร์พูดต่อ เขาเรียกให้เฮเลนกลับมานั่งที่เดิม “เพราะเธอไม่ได้โกรธฉันมากเท่าที่เธอควรจะโกรธ ฉันรู้ว่าเธอต้องทำร้ายฉันถ้าเกิดว่าเฮเลนไม่ได้ฉุดเอาไว้จนโดนผลักล้มลง”

    “นี่คุณกำลัง...”

    “มันเป็นความผิดของฉันที่ซีเรียสตาย” ดัมเบิลดอร์พูดชัดเจน “หรือฉันจะพูดว่าทุกอย่างมันเป็นความผิดฉันทั้งหมดเลย ซีเรียสเป็นคนกล้าหาญ ฉลาดและเข้มแข็ง เขาคงไม่พอใจที่จะนั่งอยู่ที่บ้านในระหว่าที่คนอื่นตกอยู่ในอันตราย ถ้าฉันพูดตรงๆ กับพวกเธอทั้งสองคนว่าโวลเดอมอร์อาจจะพยายามหลอกล่อเธอไปที่กองปริศนา เธอจะไม่หลงกลไปที่นั่นคือนนี้เลย แล้วซีเรียสก็จะไม่พยายามตามเธอไปที่นั่น ฉันผิดเพียงคนเดียว”

    แฮร์รี่ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาได้ยิน ต่างจากเฮเลนที่เข้าใจทุกอย่าง เธอพยายามทำเหมือนที่ดัมเบิลดอร์พยายามแต่มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ดังนั้นตอนนี้เด็กสาวเข้าใจความรู้สึกของคนตรงหน้าเธอมากที่สุด ความรู้สึกของความอยากปกป้องแต่มันกลับแย่ลงอย่างช่วยไม่ได้

    “นี่ฉันต้องเข้าใจว่า” ฟินีแอส ไนเจลลัสพูดขึ้นช้าๆ “โหลนของฉัน ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลแบล็ก... ตายแล้วงั้นเหรอ”

    “ใช่ ฟินีแอส” ดัมเบิลดอร์ตอบ

    “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” ฟินีแอสพูด เฮเลนเหลือบตาไปมองทันเห็นฟินีแอสเดินออกไปจากรูปภาพของเขา บางทีเขาคงไปหาภาพเหมือนของเขาอีกภาพที่อยู่ที่กริมม์โมเพลซและเรียกร้องหาซีเรียส โหลนจอมกบฏไปทั่วบ้าน

    ดวงอาทิตย์ขึ้นมาแล้วตอนนี้ แสงแดดฉายลงมาที่ดัมเบิลดอร์ต้องคิ้วและเคราสีเงิน จับอยู่บนเส้นที่เป็นร่องลึกบนใบหน้า

    “เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน” เขาพูด “เมื่อฉันเห็นรอยแผลบนหน้าผากของพวกเธอ ฉันก็เข้าใจว่ามันคืออะไร ความสามารถของพวกเธอคือการที่สามารถรับรู้ถึงเขาได้แม้กระทั่งเมื่อเขากำลังปลอมตัว และความรู้สึกเมื่ออารมณ์ของเขาถูกกระตุ้นจะเพิ่มมากขึ้นทุกทีนับตั้งแต่โวลเดอมอร์กลับคืนสู่ร่างเดิมและได้อำนาจเต็มที่คืนมา”

    เฮเลนจ้องมองใบหน้าของดัมเบิลดอร์อย่างเงียบๆ

    “เมื่อเร็วๆ นี้” ดัมเบิลดอร์พูดต่อ “ฉันรู้ว่าโวลเดอมอร์รู้สึกได้ถึงความเชื่อมต่อกับพวกเธอ มีบางเวลาที่พวกเธอเข้าไปอยู่ในใจและความคิดของเขาได้ลึกมากเสียจนกระทั่งเขารู้ว่าพวกเธอไปอยู่ที่นั่น แน่นอนว่าฉันพูดถึงคืนที่แฮร์รี่เห็นการทำร้ายนายวีสลีย์”

    “ใช่ สเนปบอกผมแล้ว” แฮร์รี่พึมพำ

    “ศาสตราจารย์สเนป แฮร์รี่” ดัมเบิลดอร์แก้ “แต่เธอไม่สงสัยเหรอว่าทำไมฉันถึงไม่อธิบายพวกนี้ให้เธอฟัง หรือพูดกับเฮเลนตรงๆ ตอนที่เขาอยู่ในห้องนี้กับฉันหลังจากที่เธอไป ทำไมฉันถึงไม่สนใจพวกเธอเลยเป็นเดือนๆ”

    แฮร์รี่เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของเฮเลนมองไปยังใบหน้าของดัมเบิลดอร์ที่ดูเศร้าและอ่อนเพลีย

    “ฉันเชื่อว่าไม่นานหรอกที่โวลเดอมอร์จะพยายามเข้ามาในใจของพวกเธอเพื่อจัดการและเปลี่ยนแปลงหรือแนะนำความคิดให้พวกเธอไปในทางผิดๆ อย่างน้อยเห็นชัดเจนในเธอแฮร์รี่และยิ่งกว่านั้นมันก็เห็นได้น้อยมากในตัวแฝดของเธอ ฉันคิดว่าโวลเดอมอร์อาจจะฉวยโอกาสใช้พวกเธอมาสอดแนมฉัน ฉันเชื่อว่าโวลเดอมอร์ใช้พวกเธอด้วยวิธีนั้น โอกาสไม่กี่หน ฉันเห็นเงาของเขาขยับอยู่ข้างหลังดวงตาของเธอ แฮร์รี่”

    เฮเลนสะดุ้ง เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจทันทีที่ได้ยิน

    “จุดมุ่งหมายของเขา ในคืนนี้ไม่ใช่การทำลายฉันแต่เป็นการทำลายเธอและแฝดของเธอ เขาหวังว่าฉันจะยอมเสียหนึ่งในพวกเธอเพื่อฆ่าเขา” ดัมเบิลดอร์ถอนหายใจ “และฉันเกรงว่าครีเชอร์จะรับใช้เจ้านายมากกว่าหนึ่งคน”

    “ทำได้เหรอคะ” เฮเลนพูดขึ้นบ้างหลังจากที่นั่งเงียบอยู่นาน

    “มันไม่เคยออกจากกริมม์โมเพลซมาเป็นปีๆ” แฮร์รี่พูดอย่างมึนงง

    “ครีเชอร์ฉวยโอกาสไม่นานก่อนวันคริสมาสต์” ดัมเบิลดอร์ตอบ “ดูเหมือนจะเป็นตอนที่ซีเรียสตะโกนใส่มันว่าออกไป และมันก็จัดแจงทำตามคำสั่งและตีความว่าให้มันออกจากบ้าน มันตรงไปหาสมาชิกตระกูลแบล็กคนเดียวที่มันนับถือ... ลูกพี่ลูกน้องของแบล็ก นาร์ซิสซาน้องสาวของเบลาทริกซ์และเขาเป็นภรรยาของลูเซียส มัลฟอย”

    “อาจารย์รู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ” แฮร์รี่ถาม เขารู้สึกคลื่นไส้ เขาจำได้ว่ากลุ้มใจเรื่องครีเชอร์หายตัวไปอย่างประหลาดเมื่อตอนคริสมาสต์ และมันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ห้องใต้หลังคา

    “ครีเชอร์บอกฉันเมื่อคืน” ดัมเบิลดอร์ตอบ “เธอเข้าใจไหม เมื่อเธอเตือนศาสตราจารย์สเนปด้วยรหัสลับนั่น เขาก็รู้ทันทีและพบว่าซีเรียสยังมีชีวิตอยู่แถมยังปลอดภัยดีที่กริมม์โมเพลซ ยังไงก็ตาม ศาสตราจารย์สเนปเริ่มกังวลใจเมื่อเห็นว่าเฮเลนและเดรโก มัลฟอยวิ่งแล่นมาบอกว่าพวกเธอหนีไป เขาจึงรีบติดต่อสมาชิกของภาคีบางคนให้เตรียมพร้อมทันที แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคืดเดรโกตื้อตามพวกเขาไปจนได้”

    ดัมเบิลดอร์ถอนหายใจอีกครั้งและพูดต่อ “อลาสเตอร์ แม้ด-อาย มูดดี้ นิมฟาดอร่า ท็องส์ คิงสลีย์ ชักเคิลโบลด์และรีมัส ลูปินอยู่ที่กองบัญชาการตอนเขาติดต่อไป ทุกคนตกลงไปช่วยเธอทันทีแต่ศาสตราจารย์สเนปขอให้ซีเรียสคอยอยู่ข้างหลังเพราะเขาต้องการให้คนอยู่ที่กองบัญชาการเพื่อเล่าให้ฉันฟังว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าซีเรียสไม่ต้องการอยู่ข้างหลังระหว่างที่คนอื่นๆ ไปค้นหาตัวพวกเธอ เขามอบหน้าที่ให้ครีเชอร์เล่าให้ฉันฟังแทนว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อฉันไปที่กริมม์โมลเพลซ เอลฟ์จึงเล่าให้ฉันฟังพร้อมหัวเราะไปด้วยว่าพวกเขาไปที่กระทรวง”

    “หัวเราะ?” เฮเลนทวนคำ “มันหัวเราะงั้นเหรอคะ”

    “ใช่” ดัมเบิลดอร์ตอบ “ครีเชอร์ไม่สามารถทรยศพวกเราได้ทั้งหมด เขาไม่ใช่ผู้รักษาความลับ เขาจึงไม่สามารถบอกพวกมัลฟอยได้ว่าเราอยู่ที่ไหนหรือบอกเกี่ยวกับแผนของภาคีที่ถูกสั่งไม่ให้เปิดเผย เขาถูกพันธนาการด้วยมนตราของเผ่าพันธุ์ด้วยที่เขาไม่สามารถขัดคำสั่งโดยตรงของเจ้านาย หรือก็คือซีเรียสได้ แต่เขาให้ข้อมูลนาร์ซิสซาได้ ข้อมูลที่มีค่าเอามากๆ สำหรับโวลเดอมอร์ มันคงเป็นเรื่องเล็กที่ซีเรียสจะสั่งห้ามเขาไม่ให้บอกใคร”

    “เช่นเรื่องอะไรครับ” แฮร์รี่ถาม

    “ความจริงที่ว่าคนที่ซีเรียสรักมากกว่าใครในโลกคือพวกเธอ” ดัมเบิลดอร์พูดเสียงเบา "ความจริงที่พวกเธอนั้นเห็นซีเรียสเป็นเหมือนพ่อและพี่ชาย โวลเดอมอร์รู้แน่นอนว่าซีเรียสอยู่ในภาคี แต่ข้อมูลแน่นหนาที่ครีเชอร์ทำให้เขารู้ว่าพวกเธอจะต้องไปหาเขาแน่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนนั่นก็คือ ซีเรียส แบล็ก”

    เฮเลนเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ดวงตาสีเขียวมองไปยังใบหน้าของแฮร์รี่ที่มีท่าทางช็อคอยู่มาก

    “ครีเชอร์บอกอาจารย์เรื่องนี้แล้วหัวเราะเหรอครับ” เขาพูดเสียงแหบห้าว

    “มันไม่ได้ต้องการบอกหรอก” ดัมเบิลดอร์ตอบ “ฉันมีความสามารถในการพินิจใจก็เลยรู้ว่าใครกำลังจะโกหก ฉันเกลี้ยกล่อมให้มันเล่าทุกอย่างให้ฉันฟังก่อนที่ฉันจะเดินทางไปกองปริศนา”

    “แต่...” เฮเลนหันกลับไปมองหน้าดัมเบิลดอร์อีกครั้ง ถ้อยคำของเฮอร์ไมโอนี่เพื่นสาวผมฟูที่คอยพูดอยู่เป็นประจำลอยวนไปวนมาในหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เฮอร์ไมโอนี่บอกให้เราคอยทำดีกับมัน”

    “เธอพูดถูก” ดัมเบิลดอร์ว่า “ฉันเตือนซีเรียสแล้วว่าต้องมีเมตตาและปฏิบัติต่อครีเชอร์อย่างนับถือด้วย เพราะมันอาจจะเป็นอันตรายต่อเราได้ ฉันไม่คิดว่าซีเรียสจะสนใจคำพูดของฉันนัก ครีเชอร์ถูกบังคับให้ทำตามคำสั่งของซีเรียสเพราะซีเรียสเป็นคนสุดท้ายในครอบครัวที่มันเป็นทาสรับใช้ แต่มันไม่ได้จงรักภัคดีต่อเขาอย่างแท้จริงและไม่ว่าครีเชอร์จะมีความผิดอะไรบ้าง เราก็ต้องยอมรับว่าซีเรียสไม่ได้ทำอะไรให้ครีเชอร์ดีขึ้น”

    “อย่าพูดถึงเขาแบบนั้น!” แฮร์รี่ตะเบ็งเสียง เฮเลนรู้สึกว่าเสียงของเขาเบาลงอย่างช่วยไม่ได้ เธอขยับมือที่เริ่มเปียกชุ่มไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แขนทั้งข้างเริ่มชาจนไร้ความรู้สึก เด็กสาวพยายามเพ่งมองใบหน้าของแฮร์รี่ที่เลือนรางเหลือเกิน

    “ซีเรียสไม่ใช่คนโหดเหี้ยม เขาปฏิบัติกับเอลฟ์ประจำบ้านทั่วไปอย่างมีเมตตา แต่เขาไม่มีความรักให้กับครีเชอร์เพราะมันเป็นสิ่งที่คอยเตือนใจให้เขาคิดถึงบ้านที่ตัวเองเกลียดและฉันพยายามจะช่วยให้เขารอดตาย” ดัมเบิลดอร์ผ่อนเสียงลง เสียงของเขาเจือไปด้วยความรู้สึกผิดอยู่เต็มไปหมด ตอนนี้เฮเลนเริ่มไม่ได้ยินและเริ่มจับใจความสิ่งที่พวกเขาพูดได้แล้ว

    “ฉันเป็นห่วงพวกเธอมากเกินไป” ดัมเบิลดอร์บอกเรียบๆ “ฉันเป็นห่วงความสุขของพวกเธอมากกว่าแผนการของตัวเอง ห่วงชีวิตของพวกเธอมากกว่าชีวิตของคนอื่นถ้าหากว่าแผนของฉันล้มเหลวไป พูดอีกอย่างฉันทำตัวเหมือนที่โวลเดอมอร์คาดว่าคนโง่ๆ อย่างพวกเราชอบทำกัน”

    “ผมไม่เข้าใจ” แฮร์รี่พูด สายตาเขายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของชายตรงหน้า

    “โวลเดอมอร์พยายามที่จะฆ่าพวกเธอเมื่อยังเป็นเด็กเพราะมีคำพยากรณ์ทำนายเอาไว้ก่อนที่พวกเธอจะเกิด แต่เขารู้เนื้อหามันไม่สมบูรณ์ทั้งหมด เขาออกเดินทางไปฆ่าพวหเธอทั้งที่ยังเป็นทารก เขาพบว่าเขาผิดพลาดเมื่อคำสาปนั้นตีกลับใส่เขา ดังนั้นนับตั้งแต่เขาคืนร่างและโดยเฉพาะเมื่อเธอหนีเขามาได้อย่างมหัสจรรย์เมื่อปีที่แล้วเขาจึงตั้งใจแน่วแน่ว่าอยากจะได้ยินคำพยากรณ์ทั้งหมด แต่เพราะว่าเขามัวแต่สาละวนอยู่กับเธอเขาจึงไม่ได้เข้ามาวุ่นวายอยู่ในจิตใจของเฮเลน เด็กสาวที่เขาคิดว่าเธอไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยในตอนนั้น”

    ดัมเบิลดอร์ปรายตามองไปยังเฮเลนที่เริ่มหายใจแรงขึ้น เด็กสาวพยายามตั้งสติและจ้องมองผ่านเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าและขยับแขนข้างที่เริ่มชามากขึ้นกว่าเดิม ดวงอาทิตย์ขึ้นมาเต็มแล้วเลานี้ ห้องทำงานของดัมเบิลดอร์อาบไปด้วยแสงแดด ฟอกซ์ที่ยังคงเป็นลูกนกส่งเสียงร้องอย่างร่าเริงในกองขี้เถ้า

    “ลูกแก้วพยากรณ์นั่นแตกไปแล้ว เฮเลนทำมันแตกไปแล้ว” แฮร์รี่ตอบอย่างเฉยเมย

    “สิ่งนั้นเป็นแค่บันทึกของคำพยากรณ์ที่กองปริศนาเก็บรักษาเอาไว้ แต่คำพยากรณ์นั้นมีคนหนึ่งที่ได้รับรู้และมีอีกคนหนึ่งที่สามารถทำนายมันออกมาได้”

    “ใครทำสามารถทำนายมันได้ครับ” แฮร์รี่ถาม

    “แฝดของเธอ” ดัมเบิลดอร์ตอบ “ส่วนคนที่เคยฟังนั่นคือฉัน”

    “แล้วสิ่งที่ทำนายนั้นหมายความว่าอะไรครับ” แฮร์รี่พูดเสียงเบายิ่งขึ้น

    “หมายความว่า” ดัมเบิลดอร์ตอบ “คนที่มีโอกาสเดียวที่จะเอาชนะลอร์ดโวลเดอมอร์ได้แน่ๆ นั้นเกิดเมื่อวันสุดท้ายของเดือนกรกฏาคมเมื่อเกือบสิบเจ็ดปีมาแล้ว เด็กคนนั้นจะเกิดกับพ่อแม่ที่เคยท้าทายโวลเดอมอร์มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง”

    แฮร์รี่ขยับเข้าไปหาเฮเลน คุกเข่าลงแล้วดึงเธอเข้ามาหา ดวงตาสีเขียวมองไปยังผ้าที่พันมือของเธอเอาไว้ซึ่งตอนนี้มันเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม เฮเลนยังพยายามที่จะอดทนฟังทุกอย่างที่ดัมเบิลดอร์บอก ถึงเธอจะรู้ความหมายทั้งหมดของมันอยู่แล้วก็ตาม

    “มันหมายถึง” เฮเลนพูดเสียงแผ่ว “ใครสักคนในตอนนั้น ฉัน เธอ เนวิลล์ เขาจะทำเครื่องหมายสุดท้ายเอาไว้เป็นการบอกว่าเราเท่าเทียมกับเขาและมันก็ใช่ เขาเลือกเราสองคนไม่ใช่เนวิลล์ รอยแผลบนหน้าผากนี่”

    เด็กสาวเลื่อนมือข้างที่ไม่เจ็บขึ้นมาลูบรอยแผลบนหน้าผากของตน

    “มันเป็นทั้งคำอวยพรวันเกิดและคำสาป เขาเลือกเพราะพวกเธอไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์เหมือนกับเขาเอง พวกเธอรอดจากเขามาสี่ครั้งแล้ว และเพราะคนที่ได้ยินคำทำนายไม่ได้ยินมันทั้งหมดเขาได้ยินมันแค่ตอนต้น” ดัมเบิลดอร์พูด “ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่ได้เตือนเจ้านายของเขาว่าเขาจะต้องส่งถ่ายอำนาจของเขาให้พวกเธอ”

    “และตอนท้ายของคำพยากรณ์” เฮเลนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้วที่จะยื้อให้ตัวเองยังมีสติอยู่ในสถานการณ์นี้ “มันบอกว่าทั้งสองจะไม่อาจอยู่ได้ ถ้าอีกคนยังรอดและผู้ถูกเลือกเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง”

    “แบบนั้นหมายความว่า” แฮร์รี่พยายามขุดหาถ้อยคำมาพูด “หมายความว่าใครคนใดคนหนึ่งจะต้องฆ่าอีกคนแล้วผู้ถูกเลือกเพียงคนเดียวนั่นก็หมายถึง...”

    “ใช่แฮร์รี่” ดัมเบิลดอร์กล่าวด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้า

    “หรือว่า...” แฮร์รี่มองใบหน้าซีดเผือดของเฮเลนที่ยังพอมีสติอยู่นิดหน่อย เด็กสาวยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะพูดต่อบเขา

    “ผู้ถูกเลือกเพียงหนึ่งเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ หนึ่งในเราสองคนจะต้องตายและใครคนนั้นอาจจะเป็น...” เฮเลนพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ฉันเอง”

     

     

    ดวงตากลมโตค่อยๆ ปรือขึ้นมาอย่างช้าๆ ร่างบางถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าห่มฝืนหนา เฮเลนใช้มือขวายกขึ้นมาขยี้ตาไปมาก่อนจะค่อยๆ ปรับภาพรอบกายให้ชัดขึ้นและพบว่าตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่ที่ห้องพยาบาลในโรงเรียนฮอกวอตส์โดยมีมาดามพรอมฟรีย์ยืนเก็บของอยู่ที่เตียงถัดไปจากเธอไม่ไกลนัก

    เด็กสาวค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นแต่ทว่าความเจ็บปวดก็แล่นปลาบเข้าสู่สมองทันทีที่เธอใช้มือซ้ายยันตัว เฮเลนหันไปมองฝ่ามือที่ถูกผ้าพันแผลพันเอาไว้แน่น มาดามพรอมฟรีย์ไม่ได้ปิดแผลสำเร็จในสิบวินาทีเหมือนอย่างเคยหรอกเหรอ? คนตัวเล็กยักไหล่นิดหน่อยกับความคิดนั้นก่อนจะใช้มือขวามือเดียวยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียง

    แต่แรงขยับคงจะแรงพอให้คนที่นอนฟุบอยู่ข้างๆ รู้สึกได้ เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์จางเงยหน้าขึ้นจากการฟุบหลับข้างๆ เตียงของเฮเลน เดรโกเงยหน้ามองใบหน้าของเด็กสาวที่เขามานั่งเฝ้าอยู่ร่วมค่อนคืนจนเผลอหลับไป

    “ตื่นแล้วเหรอ” คำถามที่ดูเรียบง่ายแต่มันแฝงเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงมากมาย

    “อื้ม... ขอโทษนะ ทำให้นายตื่นไปด้วยเลย”

    “ไม่หรอก”

    “เสียใจด้วยเรื่องพ่อของนายนะเดรโก... ฉันขอโทษ”

    “อย่าพูดถึงมันเลย” ฉันยังทำใจไม่ได้

    เดรโกจำต้องกลืนประโยคหลังลงคอไปเพื่อไม่ให้คนตรงหน้าต้องเป็นห่วง เขารู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่ความผิดเธอ ถึงแม้ว่าตัวเขาจะพยายามโทษอีกฝ่ายอยู่เต็มหัวใจ ถ้าเกิดว่าเธอไม่ไปที่นั่นเขาก็คงไม่ต้องห่วงเธอ และถ้าหากว่าแฮร์รี่ไม่หลงกลของโวลเดอมอร์ เขาก็คงไม่ต้องตามไปปกป้องเธอ

    แต่ใครจะเลือกไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ล่ะ... ถ้าหากตอนนั้นเขาไม่ไป เฮเลนอาจจะต้องตาย

    คงเป็นเขาเองที่อ่อนแอและปกป้องใครไม่ได้เลย

    “เลิกโทษตัวเองสักที” เสียงหวานเอ่ยขึ้นหลังจากที่เฮเลนเห็นว่าเดรโกเงียบไปนาน “ขอบคุณที่ปกป้องฉันนะเดรโก”

    “ไม่เป็นไร”

    “ขอโทษนะ...”

    เด็กสาวเอ่ยพร้อมกับเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำพร้อมกับน้ำใสๆ ที่รื้นขึ้นมาที่ขอบตา เดรโกมองใบหน้าของเฮเลนพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาของเด็กสาวออกไปอย่างเบามือ เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะก้มลงจูบซับน้ำตาให้คนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา

    เขาสูญเสียสิ่งสำคัญไปแล้วหนึ่งสิ่งและมันคงไม่มีอะไรมาแทนมันได้ ยกเว้นเสียเพียงแต่เขาจะต้องปกป้องสิ่งสำคัญที่เหลืออยู่ของเขาเอาไว้ให้ได้ ทั้งแม่ของเขาและเฮเลนอีกคน ไม่ว่าใครเขาก็จะไม่ยอมที่จะสูญเสียมันไปอีก

    “ฉันจะไม่ยอมให้เธอเป็นอะไรไปแน่”

    “เดรโก...”

    แม้ว่าสุดท้ายฉันจะต้องกลายเป็นคนเลวก็ตาม”

    “...”

    “ฉันจะปกป้องเธอเอง”

     

    ติดตามตอนต่อไป...

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×