ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reincarnation พันธนาการรักแห่งยมทูต

    ลำดับตอนที่ #2 : Pray 01 : เทพธิดาหลังฝนพรำ (雨上がりの天使) 20%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 283
      0
      26 มี.ค. 53



    ฉัน...นึกชิงชังในตัวพระเจ้าที่สร้างมือคู่นี้ให้ช่วงชิงชีวิต

    พระองค์สร้างมือที่แปดเปื้อนนี้ขึ้นมา

    สร้างเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ปลอมๆ นี้ขึ้นมา

    แต่กระนั้น...ฉันกลับยอมรับชะตากรรมนี้ได้อย่างง่ายดายนัก

    เพราะถ้านี่จะทำให้เราได้พบกัน

              

              แว่วยินถึงเสียงฝนเม็ดเล็กๆ กระทบเข้ากับรางรองน้ำฝนประสานกับแรงกระแทกเบาๆ ที่ปะทะเข้ากับหน้าต่างกระจกใส...ในเวลาที่ฝนตกแบบนี้แล้วนั้นราวกับว่าในหูกำลังเสียงเพรียกเรียกหาอะไรบางอย่าง...เสียงที่เรียกร้องหาบางสิ่งซึ่งไม่มีวันจะเป็นไปได้...ไม่มีวัน 

              แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เป็นเสียงที่ชวนหลงไหลเหลือเกิน

             ผมเบนสายตาออกจากภาพของอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสต์ออกมามองสภาพของท้องฟ้าสีครึ้มที่เต็มไปด้วยเมฆฝนแต่ตั้งที่เมฆนั้นมีมากเสียจนย้อมท้องฟ้าสดใสให้กลายเป็นสีเทาเศร้าแท้ๆ แต่ฝนที่ตกลงมานั้นกลับมีเพียงแค่ปรอยปรายแต่นั่น...ในห้วงความคิดลึกๆ ของผมแล้วมันกลับบอกถึงลางอะไรบางอย่าง

             อะไรบางอย่าง...ที่ผมไม่อาจจะเข้าใจ

             ดวงตาสีดำขลับหรี่ลงเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจในความรู้สึกที่อัดแน่อยู่เต็มอก 

             ทั้งที่ไม่แตกต่างอะไรกับวันที่ฝนตกเช่นปรกติในเดือนมิถุนายน

             แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น...แต่ผมก็กลับ...

             ทันใดนั้นเองผมก็ต้องชะงัไปจนแทบจะทันที เมื่อสายตาที่ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างเรื่อยๆ นั้นกลับไปสะดุดเข้ากลับดาดฟ้าของตึกเรียนแผนกการแสดงที่ดูฝั่งตรงข้าม...อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมควรจะสนใจถ้าหากว่าณ. ที่ตรงนั้นไม่ได้มีใครยืนอยู่

             เรือนร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มในวัยใกล้กันนั่งอยู่เหนือราวกรงกั้นของดาดฟ้าโดดที่มือกำเหล็กท่อนเอาไว้หลวมๆ อย่างไม่กลัวตก ใบหน้าคมคายดูโดเด่นรับกับเส้นผมสีดำขลับเปียกลู่แนบกับแก้มเพราะสายฝนที่ตกกระทบแต่กระนั้นแล้วสิ่งที่เรียกจุดสนใจของผมกับเป็นดวงตาเรียมคมคู่สีเลือดที่กำลังทอดเหม่อมองบนท้องฟ้ากว้างสีเทาราวกับกำลังทอดสายตาอาลัยถึงอะไรบางอย่าง...

             ดวงตาที่แสนเศร้ากับท้องฟ้าที่แสนเศร้า...

             ภาพเหล่านั้นที่สะกดใจผมไม่ให้หนีไปที่ใดได้เลย...

             ค...คงไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายหรอกนะ...?

             "ซางาระ ซึบาสะ!!!" เสียงเฮี้ยบโหดร้องดังแหวกอากาศจนทำให้ผมต้องสะดุ้งตื่นจากห้วงภวังค์ผมกระเด้งตัวลุกจากเก้าอีกที่นั่งอยู่อย่างรวดเร็วโดยอัตโนมัติ

              "ค...ครับ!!!"

              "เหม่ออะไรอยู่น่ะพ่อนักเรียนดีเด่นของแผนกกีฬา..." น้ำเสียงเฮี้ยบโหดจากชายหนุ่มวับสามสิบตอนต้นเอ่ยกับผมซึ่งแน่นอนว่าผมคงได้แต่เงียบอย่างไม่มีปากเสียงเพราะผมเองก็ผิดเองที่ละความสนใจออกจากการเรียน "ไหนลองตอบฉันซิว่าตอนนี้กำลังเรียนเรื่องออะไรอยู่"

             "จุดสิ้นสุดของยุคกลางและรอยต่อของสมันเรเนซองค์แห่งปัจเจกชนครับ" ผมกล่าวตอบอย่างโดยง่ายเพราะถึงจะเหม่อยังไงแต่หูก็ยังจะพอฟังอยู่แว่วๆ แหละน่า

             "ดี...งั้นนั่งลง" เขาพูดส่วนผมก็นั่งลงโดยง่ายแต่กระนั้นแล้สายตาของผมกลับรีบหันมาทางที่ดาดฟ้าของตึกฝั่งตรงข้ามเช่มเดิมราวกับถูกดึงดูดแม้นั่นจะทำให้ถูกดุก็ตาม

              แต่กลับกลายเป็นว่าคนๆ นั้นหายไปแล้ว..!?

              ผมรีบมองลงไปยังพื้นเบื้องล่างทันทีโดยเพื่อว่าถ้าเขาไม่โดดลงมาเองก็พลาดตกลงไปเพราะช่วงเวลาที่ผมถูกอาจารย์เรียกนั้นไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำไป...แต่ปรากฏว่าข้างล่างนั้นกลับไม่มีอะไรเลยนอกจากแอ่งเล็กๆ ของน้ำฝน

              ผมขมวดคิ้วแน่น...แปลก... 

              ก็เขา...เป็น 'คนที่มีชีวิต' นี่นา

              ระหว่างที่ในหัวกำลังคิดหูก็ได้ยินเสียงของกริ่งหมดเวลาเรียนที่ร้องดังขึ้นมา ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างใคร่สงสัยอย่างถึงที่สุด...ไม่มีแม้แต่เงา...ราวกับหายไปจนไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวของลมหายใจ

              "ซึบาสะคุงลงไปสนามด้วยกันนะ" เสียงนักเรียนหญิงเส้นผมสีน้ำตาลเข้มผูกเป็นหางม้าเอ่ยเรียกผมหลังจากที่อาจารย์ออกจากห้องไปแล้ว อาคิยามะ ยูเมะจังเพื่อนร่วมห้องเดินมาหยุดอยู่ที่โตะของผมแล้วระบายรอยยิ้มบนดวงหน้าสวยเพื่อชวนให้ลงไปที่สนามของแผนกกีฬาเพื่อฝึกซ้อมสมรรถภาพร่างกายในชั่วโมงโฮมรูมก่อนกลับบ้าน...แม้จะแปลกแต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องปรกติของนักเรียนห้องที่เรียนแผนพละศึกษาเป็นวิชาหลักอย่างพวกผม 

            "อ...อื้อ..." ผมรับคำก่อนจะลุกขึ้นเก็บของใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะลงไปยังสนามกีฬาในร่มของโรงเรียน...แม้ร่างกายจะทำอย่างแต่มิวายที่สายตาก็ยังคงคล้อยมองออกไปด้านนอกหน้าต่างแม้จะจะรู้อยู่แล้วว่าเขาคนนั้นไม่ได้อยู่แล้วแต่ก็ยังขวนขวายหาได้อย่างน่าประหลาดใจ...เพราะอะไรกันนะ?

             รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นมาในอก...ราวกับเค้าร่างของเมฆแห่งสายฝนที่กำลังก่อตัว

             ความเจ็บปวดที่น่าถวิลหายามที่ได้สบกับดวงตาคู่นั้น

             น่าแปลกใจจัง

             "เป็นอะไรไปเหรอ...ดูเหม่อๆ ตั้งแต่ในชัวโมงเรียนแล้วนะ" น้ำเสียงใสเอ่ยถามก่อนจะโบกมือขึ้นลงอยู่ในระดับสายตาของผมซึ่งผมก็ได้แต่สั่นศีรษะ

              เป็นอะไรไป?

              นั่นสิ...เราเป็นอะไรไป?

              "ประหลาดคนจังเลยน้า" ยูเมะจังพูดพลางลากเสียงยาว เสียงหัวเราะใสๆ ของเธอรู้สึกทำให้ผมคลายลงได้ไปไม่น้อย ผมกดเปลือกตาลงแล้วพ่นลมหายใจออกมาแผ่วๆ 

              "ใช่เรื่องที่จะต้องไปคิดมากกับคนที่เคยเจอเพียงครั้งแรกหรอกเนอะ"  ผมเปรยออกมาเบาๆ ซึ่งยูเมะจังก็ได้แต่หันมองผมด้วยสายงงๆ ซึ่งผมเองก็อยากจะให้เป็นใช่นั้น...ใช่แล้วล่ะ! ไม่ควรจะคิดมากเรื่องคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกและอาจจะไม่ได้ได้เจอกันอีก โรงเรียนออกจะกว้างขวางคงไม่ได้จะวนมาเจอะกันอีกง่ายๆ หรอก

              "อ...อ๊ะ?!" ผมหลุดเสียงอุทานเล็กน้อยเมื่อเดินถึงบันได...ภาพของกลุ่มกระไอควันหนาราวกับม่านหมอกที่บังสายตาแต่กระนั้นเองเมื่อยิ่งใกล้เรื่อยๆ ผมก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

            หญิงสาวร่างเล็กผิดสีขาวซีดเผื่อนตัดกับเส้นผมสีดำยาวรกและยุ่งรุงรังปรกใบหน้าหญดน้ำที่เปียกโชกหยดรินรินกระทบพื้นคลอด้วยสีเลืดจางๆ ตามร่างที่เคลื่อนไหวขึ้นบันไดทั้งๆ ที่ตรงส่วนขานั้นหายกลืนไปราวกับเป็นกลุ่มควัน...ผมสูดลมหายใจเล็กน้อยระหว่างที่ก้าวเดินลงบันไดด้วยท่าทีที่พยายามปรับให้ปรกติถึงที่สุด

            ยูเมะจังยังคงยิ้มยังคงพูดจาร่างเริงแจ่มใสอย่างเดิม

            เพราะมีแค่ 'ผม' เท่านั้นที่สามารถ 'มองเห็น'

             เห็นภาพของ 'เธอ' ได้อย่างชัดเจน

             ใบหน้าซูบตอบจนเห็นเคล้าร่างของโครงกระดูก เบ้าตาซ้ายลึกโบ๋กลวงไร้ซึ่งลูกนัยน์ตานั้นถูกลิ่มท่อนเหล็กเสียบจนทะลุโหลกจนโครงหน้าบิดเพี้ยนส่วนอีกข้างก็กลอกกลนกลิ้งหมุนไปมาจนแทบหลุดออกมาจาก ริมฝีปากถูกฉีกกว้างซึ่งเป็นบาดแผลที่ดูเด่นชัดที่สุดบนใบหน้า...เพราะว่ารอยฉีกขาดนั้นลึกจนมองเห็นแม้กระทั้งฟันและเหงือกกรามลามไปจนถึงกระดูกโหนกแก้ม

              ผมกลั้นใจ...กลิ่นสาบหนองและคาวเลือดลอยวนเวียนอยู่ใต้จมูกแต่กระนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากวางตัวเฉยและก้าวลงบันไดไปอย่างปรกติรอให้ 'เธอ' ก้าวสวนมาอย่างช้าๆ

              อีกสามก้าว...ที่ผมมองเห็นใบหน้าของอกฝ่ายได้ชัดเจนทั้งหมด

              อีกสองก้าว...ที่กลิ่นเหม็นคลุ้งรุนแรงจนผมแทบหยุดหายใจ

              และหนึ่งก้าว...ไหล่ของผมเสยชนกับไหล่ของเธอไปรับรู้สึกความสากของเส้นผมที่เฉียดผ่านลำคอไป ผมกลืนน้ำลายลงระหว่าเลี้ยผ่าหัวมุมบันไดได้แต่ท่องคำภาวนาในใจ

              ถึงจะไม่รู้อะไรเลย...แต่ขอให้คุณไปสู่สุขติเร็วๆ นะครับ

              เปรี้ยง!!!

              เสียงฟ้าที่ผ่าลงพื้นดังกึกก้องจนเกิดประกายแสงจ้าสะท้อนจากบานหน้าต่างกระจกสูงเสียดเพดานที่อยู่ทางด้านหลังแต่กระนั้นสิ่งที่ผมสัมผัสได้กลับความรู้สึกว่างเปล่าใต้ฝ่าเท้า...ร่างที่ไร้การทรงตัวกว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็ถลาพุ่งไปข้างหน้าและกำลังตกจากบันจากชั้นบนสุด!

              "ซึบาสะคุง!!"

              ถึงจะรู้ว่ายูเมะจังกำลังรอ้งแต่ตอนนี้ในหูก็อื้อไปหมด ผมหลับตาพยายามจะไม่คิดถึงสภาพของตัวเองหลังจากที่ตกลงมาเพราะมันคงจะไม่ใช่ภาพที่สวยงามสักเท่าไรนัก

              ฟุ่บ...

              เสียงบางอย่างที่ดังอย่าแผ่วเบาพร้อมกับความอบอุ่นที่แล่นผ่านเข้ามาในความรู้สึก เปลือกตาที่กดแน่ค่อยๆ ปรือหรี่อย่างข้าๆ ก่อนจะพบว่าที่ข้างล่างที่ควรจะเป็นพื้นกระเบื้องๆ เย็นที่อาจจะนองไปด้วยเลือดของผมกลับเป็นเรียวแขนอ่อนโยนที่กำลังโอบอุ้มผมเอาไว้ในอ้อมกอด

               ผมรีบหลุบตามองใบหน้าของคนที่ช่วยชีวิตของผมไว้ซึ่งนั่น...ก็เกือบจะทำให้ผมตกใจจนแทบสิ้นสติ

               เส้นผมสีดำขลับและดวงตาสีแดงเลือด...

               ผมกำมือลงเสื้อนอกของเขาแน่น...เพราะว่าเขาคือผู้ชายคนนั้น...คนที่อยู่บนดาดฟ้า!!

               "นาย...ลุกไปได้แล้ว" น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยดังข้างหู เขาปล่ยือที่โอบไหล่ของผมออกก่อนจะทำสีหน้าเหมือนเซ็งระคนหน่าย ผมขมวดคิ้วแน่นแต่ก็ต้องคลายออกทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองไปนั่งทับบนตักเขาเต็มๆ รัก!!

               "อ๊า!!! ข...ขอโทษนะ!" ผมร้องก่อนจะกระเด้งตัวลุกขึ้นพรวดซึ่งเหมือนเขาที่เห็นท่าทางของผมเมื่อกี้จะถอนหายใจออกมาแล้วลุกขึ้นปัดฝุ่นให้กับตัวเองส่วนผม...ก็ได้ก้มหน้าลงเม็ดเหงือพูดพรายไหลออกมาเป็นสาย

               ซุ่มซ่ามไม่พอ....ยังไปนั่งทับคนที่ช่วยตัวเองเอาไว้อีก...งี่เง่าไปแล้ว! งี่เง่านเกินไปแล้วนะซึบาสะ!

               "ซุ่มซ่าม..." เขาพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบาแต่กระนั้นผมก็ได้ยินเต็มสองหู...อ๊า!!! อยากจะก้มลงไปขอขมาเขาจังเลยอ้ะ! เสียหน้า! เสียหน้าสุดๆ!

               "ผมขอ..." แต่พอผมจะเอ่ยกล่าวคำขอโทษเขาก็จ้องผมมาตรงๆ จนริมฝีปากไม่สามารถขยับพูดได้เลย...รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกดูดกลืนด้วยดวงตาสีเลือดลึกลับคู่นั้น...ใช่...ลึกลับและน่าหลงใหลถวิลหา

               เขาเงียบงันอยู่เช่นนั้นกับดวงตาที่ต้องการจะสื่อความหมายบางอย่างที่ผมไม่สามารถรับรู้...ทั้งที่สีหน้าดูเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาแต่เขากับไม่แม้แต่จะเอ่ยปาก

               และปล่อยให้ความเงียบคลืบคลานเช่นนั้นจนกระทั้งเขาถอนหายใจออกมาแรงๆ เขาถอหายใจแล้วก้าวเดินขึ้นบันไดไป...ไม่แม้แต่จะมองหน้าของผม

               แต่กระนั้นเขากับเอ่ยถอ้ยคำบางอย่าง...แม้จะได้ยิน...แต่กลับดูเลือนลาง...แม้จะตั้งใจทบทวนเท่าไรก็ไม่อาจรับรู้

               "ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน..." 

               "เห...?" ผมพึมพำน้ำเสียงแม้จะไม่เข้าที่อีกฝ่ายซึ่งเดินหายลับไปแล้วเป็นคนพูดแต่...ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างกับแล่นวาบเขามาในอก...ความรู้สึกที่คิดถึงอย่างแรงกล้าทำให้ร่างกายชาจนไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้เลย

               ความรู้สึกแปลกประหลาดจากอ้อมกอดของคนๆ นั้นคืออะไรกันนะ

               รู้สึก...คิดถึงมากมายจนน้ำตาแทบไหล...ราวกับความปรารถนามันเอ่อล้นขึ้นมาเรื่อยๆ

               "ซึบาสะคุง! ร้องไห้ทำไมน่ะ...เจ็บตรงไหนเหรอ!?" น้ำเสียงเยกของหญิงสาวปลุกผมให้ออกจากภวังค์...ผมขมวดคิ้วเล็กเล็กน้อยเมื่อถวนคำที่ยูเมะจังพูด...ร้องไห้...?

               ปลายนิ้วสำผัสลงกับแก้มที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำที่ไหลออกจากนัยน์ตา...ผมที่กำลังร้องไห้...กำลังร้องด้วยความไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจตัวเองว่าเป็นเพราะอะไร...

               ราวกับน้ำตามันไหลออกมาจากความรู้สึกที่ซ่อนลึกอยู่ภายในจิตใจ

               ผมใช้หลังแขนเสื้อซับน้ำตากลั้นฝืนให้มันหยุดไหลแล้วหันไปยิ้มให้กลับยูเมะจังที่แสดงสีหน้าเป็นห่วง

               "แค่ผมมันเข้าตาตอนล้มพอดีน่ะ" ผมแก้ตัวข้างๆ คูๆ แล้วยิ้มโดยที่ใช้มือจับเส้นผมสีน้ำตาลทรายที่เเม้จะมัดเป็นหางม้าแต่ก็ยาวถึงบั้นเอวให้ยูเมะจังดู...ก็ไม่อยากแต่เจ้าของเองยังทึ่งเลยว่าระดับความยาวของมันมากกว่าของนักเรียนอญิงในห้องบางคนเสียอีกแหน่ะ

               "งั้นเหรอ?" เธอถามซ้ำส่วนผมก็ได้แต่พยักหน้า...อย่าทำหน้าเป็นห่วงผมอย่างนั้นสิ

               ผมไม่ชอบใจเลยนะ...

               เพราะมันจะทำให้รู้สึกผิดกับอีกฝ่ายทุกที...           


               "งั้นถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ! " ยูเมะจังพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนหล่อนจะละเลงผ้าเช็ดหน้าลูกไม่สีชมพูหวานลงเป็นหน้าผมเพื่อเช้กน้ำตาที่อาบอยู่เต็มแก้ม "แต่ว่าซึบาสะคุงนี่โชคดีจังเลยน้า..."

              "เอ๋...โชคดี?" ผมเอ่ยถามซ้ำกับสิ่งที่ยูเมะจังพูดเมื่อหล่อนเอาผ้าเช็ดหน้าออกจากหน้าของผม ดวงตาสีดำขลับหรี่ลงเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเข้าใจกับสีหน้าเคลิ้มฝันของกับออร่าสาวน้อยเธอเท่าไร่

              "ก็ได้ล้มในอ้อมอกของชิกิ อิจิรุยังไงล่ะ!!!" เธอร้องออกมาพร้อมกับประกบมือระดับอก ใบหน้ายิ้มแย้มดีใจของเธอทำให้ผมฉงน "น่าอิจฉาจังเลยน้า...วงแขนของนายแบบคนดังเนี่ยอุ่นไหมเอ่ย?" น้ำเสียงหวานถามผมอย่างขี้เล่นดวงตาคู่กลมโตของเธอมองผมอย่างเจ้าเลห์ด้วยรอยยิ้มมุมปากที่ให้ความรู้สึกเหมือนแมวนางกวัก

              แล้วผมก็ทะลึ่งหน้าแดงตามทันทีที่คิดถึงอ้อมกอดของเขาคนนั้น...ที่ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนเหลือเกิน

              "นะ...นายแบบเหรอ?" ผมพพูดพึมพำพยายามจะเปลี่ยนเรื่องคุย

              "อะไรกัน ไม่รู้จักชิกิ อิจิรุงั้นเหรอ!" เธอร้องออกมาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกให้รู้ว่าหล่อนตกใจจริงๆ ไม่ได้แกล้งแต่ก็ทำให้ผมโล่งใจได้เล็กน้อยที่สามารถเปลี่ยนเรื่องคุยได้สำเร็จ "เขาน่ะเป็นนายแบบวัยรุ่นชั้นนำเลยนะ!!"

              "หะ...หา" ผมอุทานพลางขมวดคิ้ว...ก็ใครจะไปรู้จักล่ะครับไอ้กระผมเคยเปิดนิตยสารวัยรุ่นกับเขาที่ไหนล่ะ

              "ก็เขาท็อปไอดอลที่เพิ่งย้ายเข้ามาที่สาขาการแสดงเมื่อตอนต้นเทอมไง...เป็นข่าวดังในโรงเรียนเราจะตาย ซึบาสะคุงจำไม่ได้เหรอ" ยูเมะจังว่า "แถมตอนนั้ยังเป็นนักเรียนระดับท็อบของสาขาอีกต่างหาก..ทั้งที่เพิ่งเข้าเรียนไม่ถึงเทอมแท้ๆ...คนอะไรหล่อ เลิศ เฟอร์เฟ็คขนาดนี้"

             "ห...เหรอ?" ผมพูดน้ำเสียงแผ่วเบา...จะว่าไปก็พอจำได้อยู่ลอยว่ามีนายแบบดังเข้าเรียนที่แผนกการแสดงตอนต้นเทอมม. 5 อยู่เหมือนกันแต่...แค่ผมไม่ค่อยสนใจเท่านั้นเอง...ก็แหงล่ะโรงเรียนเรามีหลายสาขาหลายเอกการรียนจะตายการที่มีคนดังๆ โดนเฉพาะสาขากการแสดงเดินกันให้ว่อนในโรงเรียนน่ะมันเรื่องปรกติจะตายไป

              "หนุ่มน้อยหน้าสวยในอ้อมกอดนายแบบสุดหล่ออย่างชิกิ อิจิรุ...ว้าย....รู้งั้น่าจะเอามือถือมาถ่ายรูปเก็บไว้จังเลย!!" แล้วยูเมะจังก็เมินอาการเอ๋อของผมหันไปสนใจกับฟิลเตอร์สาวน้อยตัวเอง หล่อนพึมพำอะไรออกมาต่อจากนี้อีกยางเหยียดแต่ผมก็ไม่สามารถจับใจความได้...แม้จะแว่วๆ ว่า 'อุเคะ' กับ 'เซเมะ' ก็ตามแต่...นั่นเป็นศัพท์ที่ผมไม่เข้าใจเอาเสียเลย

            ผมหรี่ตาลงเล็กน้อย...

            ชิกิ อิจิรุ...

            นั่นเป็นชื่อของเขาอย่างนั้นสินะ
                     
            แล้วผมก็ยิ้มออกมา


            เสียงจอแจของนักเรียนแผนกกีฬาทั้งสามระดับในสนามกีฬาในร่มและเสียงของเม็ดฝนที่กระทบกับหลังคาบอกตามตรงเลยว่ายิ่งเพิ่มอัตราการหนวกหูให้ดังขึ้นอีกเป็นเท่าตัวถึงจะเป็นเวลาเลิกเรียนแล้วก็เถอะ ผมหรี่ตาลงระหว่างที่ก้มลงเก็บลูกวอลเลย์เข้าถุงตาข่ายเพื่อเอาไปเก็บในห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาอย่างเดิม

            "ซางาระหลบหน่อย!" เสียงเรียกของเพื่อร่วมชั้นของผมร้องเรียกพร้อมกับลูกวอลเลย์บอลจำนวนมากที่เขาโอบเอาไว้ด้วยสองแขน ผมคลี่ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าก่อนจะยกถุงตาข่ายให้กว้างขึ้นอีกหน่อยเพื่อให้พอดีกับลูกบอลหลายลูก

             "ไหวไหมน่ะเซตสึคุง?" ผมเอ่ยถามส่วนเซตสึก็ได้แต่มุ่ยหน้า

             "ไหวไม่ไหวก็แบกมาตั้งเจ็ดลูกแล้วนี่" เขาบอกก่อนจะยืดตัวเต็มความสูง ชายหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะเดินจากไปทันทีโดยทิ้งผมให้ยืนเอ๋ออยู่อย่างนั้นแต่ก็โอเคะ...ผมเขาใจเซจสึคุงเขาเป็นประเภทพูดน้อยไร้อัธยาศัยพูดกับผมได้แค่นี้ก็ถือว่ามากสุดเป็นประวัตการณ์แล้วล่ะ เฮะๆ

            แต่ว่านะ!

            ถ้าจำไม่ผิดวันนี้เป็นเวรของผมกับเซตสึคุงไม่ใช่เหรอ!?

            อ๊า!! กลับมาก่อนสิเซตสึคุง...ผมไม่ยากแบกลูกบอลสามสิบแปดลูกกลับห้องเก็บอุปกรณ์คนเดียว!!!

            แต่จนแล้วจนรอดยังไงก็รั้งไม่ทันอยู่ดีแหละเพราะเจ้าตัวคนโดดเวรเดินลิ่วๆ ออกไปไกลโขจนแทบจะเรียกว่าหายไปจากสนามกีฬาไปแล้ว ผมถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจ้องเจ้าลูกกลมๆ ที่แออัดกันอยู่ในถุงตาข่ายด้วยสายตาเหม่อลอย 

            อา...ถึงเป็นผมแต่ลูกบอลสามสิบกว่าลูกมันก็ไม่ใช่ว่าจะน้อยๆ เลยนะเออ
                        
            จนแล้วจนรอดผมก็เลยได้แต่ลากถูไถแบกเจ้าตาข่ายที่เต็มไปด้วยลูกบอลนี้พาดบ่า เดินตากฝนไปที่โรงเก็บอุปกรณ์ โคลนเฉอะแฉะจากพื้นดินหอบเอาเศษหน้าติดที่รองเท้ากันให้เพียบ ถึงว่าล่ะทำไมเซตสึคุงถึงไม่ยอมมาด้วย 

             แต่เมื่อมาถึงหน้าห้องเก็บอุปกรณ์ผมก็ต้องแอบคิดหนักเล็กน้อย

             ก็กุญแจมันอยู่ที่เซตสึคุงนี่นา!!!

             ผมวางตาข่ายลงกับพื้นเเล้วเอาหัวพิงพิงกับบานประในใจนึกอยากจะร้องไห้ดังๆ รู้งี้น่าจะขออันสำรองจากอาจารย์มาด้วย โอย...เกลียดในความงี่เง่าของตัวเองจริงๆ เล้ย!

             หรือเราจะงัดมันออกดีนะ

             นั่นเป็นความคิดชั่วครู่ที่ผมคิดตแต่แล้วก็ต้องไล่มันออกทันทีด้วยการสะบัดหน้าแรงๆ ผมที่มัดหางม้าเป็นช่อกระหวัดมาตบหน้าของตัวเองจนชาไปทั้งแก้ม ฝ่ามือยกขึ้นลูกแก้มน้ำตาเม็อน้อยๆ คอลอยู่ที่เบ้า

             อา...นี่เป็นโทษของการที่ไว้ผมยาวเกินไปหรือไงกันนะ?
                   
            "เอ๊ะ?" แต่แล้วผมก็หลุดเสียงอุทานออกมาเมื่อหลุบสายตามองลงไปที่กลอนประตูผมเอื้อมมือจับที่แม่กุญแจซึ่งผมจำได้ว่าก่อนเอาลูกบอลนั้นผมล็อคเองกับมือแต่ตอนนี้...

             ตัวแม่กุญแจนั้นแค่แขวนเอาไว้เฉยๆ โดยที่มันไม่ได้ล็อค...!?


             หลังจากที่เอาลูกวอลเลย์บอลไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บอุปกรณ์และหลังงจากที่ไปอาบน้ำและเปลี่ยนจากชุดพละขาสั้นเป็นชุดนักเรียนตามเดิม...มันก็ถึงเวลาสำคัญทีสุดของวันซึ่งก็ไม่ใช่อะไรมากมายนอกจาก

              เวลากลับบ้านนั่นเอง...แหะๆ

              แถมเพราะว่าวันนี้ไม่มีซ้อมชมรมจึงได้กลับเร็วเป็นพิเศษอีกต่างหากล่ะ!

              เพราะระยะทางจากโรงเรียนกลับไปถึงบ้านใช้เวลาเดินทางไม่ทานนักนั่งรถไฟฟ้าต่อเดียวก็ถึงหน้าแมนชั่นที่ผมอาศัยอยู่

              แมนชั่นแห่งนี้เป็นแมนชั่นเพิ่งสร้างใหม่ยังไม่ถึงสองปีเลยด้วยซ้ำแต่ระดับอำนวยความสะดวกบอกกันตามตรงว่ายอดมาเลยล่ะทั้งอญุ่ติดกับสถานนีรถไฟฟ้าทั้งระบบอัลโตเล็อคแถมการรักษาความปลอดภัยก็ไม่ต่างจากหมู่บ้านย่านคนรวยของอังกฤษเลยเรียกได้ว่าถึงจะแพงแต่คุณพ่อก็ทุ่มทุนให้ผมอยู่ที่นี่คนเดียวเลยล่ะครับ

              ถามว่าทำไมถึงอยู่คนเดียว?

              นั่นสินะครับที่ผมอยู่คนเดียวที่นี่เป็นเพราะว่าทั้งคุณพ่อที่เป็นนักเขียนคุณแม่ที่เป็นอาร์ตดีไซน์ทั้งคู่เขาไปทำงานที่อังกฤษด้วยกันน่ะสิ!

              ไอ้ครั้นที่จะตามไปมันก็ใช่กระไรอยู่ไหนจะติดทำเรื่องย้ายโรงเรียนไหนจะต้องเข้าคอร์ดติวภาษาอังกฤษอีกบอกตามตรงว่ามันยุ่งยากเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจก็เลยยืนกรานกับพวกท่านไปว่าผมจะอยู่คนเดียวที่ญี่ปุ่นนี่แหละ!

              ตอนแรกคุณพ่อก็ไม่เห็นด้วยหรอกท่านโวยท่าเดียวจนคุณแม่ลากไปคุย...คุยอะไรก็ไม่รู้แหละครับแต่เท่าที่จำได้ดูเหมือนคุณพ่อจะหน้าหงอยกลับมาแล้วยอมตกลงง่ายๆ โดยมีคุณแม่ทานยืนยิ้มแบบแปลกๆ อยู่ด้านหลัง

              เพราะงั้นผมก็เลยได้มาอยุ่ที่นี่แหละครับแถมคุณพ่อก็ย้ำนักย้ำหนาว่าถ้าไม่ใช่แมนชั่นที่ระบบความปลอดภัยพร้อมจะไม่ยอมให้อยู่คนเดียวเด็ดขาด

              จะว่าไปยูเมะจังเคยพูดเอาไว้เหมือนกันนะครับว่า 'ยอมให้อยู่คนเดียวเฉพาะแมนชั่นสร้างใหม่ติดสถานีรถไฟฟ้าแถมเป็นระบบอัลโตล็อคอีก...ถ้าไม่เรียกว่าหวงลูกขั้นจัดแล้วจะเรียกว่าอะไร'

               ดูพูดเข้า....ผมไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อยจะได้หวงขนาดนั้น...

               เมื่อกลับมาถึงห้องผมเปิดไฟให้สว่างทั่วทั้งบ้าน...ถึงจะดูเปลืองไฟไปสักนิดแต่ให้อยู่มืดๆ คนเดียวแล้วมันไม่มั่นคงนี่นา พอวางกระเป๋าลงกับโต๊ะเสร็จก็สาวเท้ายาวๆ ตรงไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อทำกิจวัตรประจำวันหลังจากเลิกเรียนแล้วคือเปิดคอมพิวเอตร์และเขียนอีเมลล์ส่งไปหาคุณพ่อคุณแม่

              ทันทีหน้าจอเข้าสู่ระบบอินเตอร์เนทผมก็เปิดระบบอัลโต้เมจเซจเพื่อที่จะส่งอีเมลล์ไปที่อังกฤษ ดีจังเลยน้า...อีเมลล์เนี่ยไม่ต้องรอนานเหมือนจดหายไม่ต้องเสียเงินค่าโทรแค่แปบเดียวก็ถึงแล้ว


    ถึงคุณพ่อและคุณแม่ที่รัก

                     วันนี้ที่ญี่ปุ่นฝนตกล่ะครับ ถึงจะไม่ตกมากแต่ก็ตกตั้งนานเลยแหน่ะส่วนที่โรงเรียนวันนี่ก็เป็นเหมือนเคยแหละครับเพื่อนร่วมชั้นก็ยังน่ารักและสนิทกันดีอยู่โดยเฉพาะกับยูเมะจัง อ่า...คนที่สวยๆ มัดผมทรงหางม้าที่เคยเจอตอนงานโอบ้งเมื่อปีที่แล้วน่ะล่ะครับยังจำได้ไหมครับ?

                      พูดถึงยูเมะจังแล้วช่วงนี้เธอบ่นว่าน้ำหนักขึ้นด้วยแหละครับ! พูดประมาณว่าเพราะร้านขนมเค้กร้านใหม่ตรงหน้าสถานนีแท้ๆ เลยทำเอาน้ำหนักขึ้นตี้งสองกิโลฯแต่ผมว่าจะสองหรือห้ากิโลฯ ผมก็รู้สึกว่ายูเมะจังไม่ได้อ้วนไปกว่าเดิมเลยนะครับ จริงๆ นะ แถมเธอยังบอกว่าอิจฉาผมด้วยล่ะ...

                      ที่ผมเอวเล็กกว่าเธอ...นี่...มาอิจฉาขนาดเอวของผู้ชายแบบนี้มันแปลกหรือเปล่าครับ?

                      วันนี้สนุกมากเลยล่ะครับแถมยังได้เจอกับคุณชิกิ อิจิรุด้วยนะครับ! ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันแต่เขาน่ะนายแบบคนดังในตอนนี้เลยนะ ถ้าทำได้ผมเองก็อยากจะสนิกับเขาจังเลยน้า...

            
    พอพิมพ์ได้ถึงตรงนี้ปลายนิ้วบนแป้นคีย์บอร์ดก็ชะงักลง รู้สึกเหมือนหน้าจะร้อนไปทั้งหน้าจนแอบคิดว่าเอาไปให้แทนเตาบาร์บิคิวได้เลย ผมสะบัดใบหน้าแรงๆ จนเส้นผมไหวไปไหวมา...นี่ยังดีนะเนี่ยที่ตอนนี้ปล่อยผมแล้วไม่งั้นคงได้เจอกับช่อหางม้ามรณะอีกรอบแหงๆ ลมหายใจจำนวนมากสูดเข้าปากก่อนรีบพิมพ์คำลาลงท้ายแล้วกดส่งอีเมลล์

             ผมพ่นลมหายใจเบาๆ ออกจากทางปากไม่รู้ว่าทำไมแต่ว่าตอนเขียนอีเมลล์ฉบับนี้แล้วรู้สึกว่าถูกสูบพลังงานของตัวเองไปแบบแปลกๆ

              แต่ว่าก็ปล่อยให้พักได้ไม่นาน เสียงโทรศีพท์มือถือที่ชาร์จแบทอยู่บนโต๊ะก็แผดเสียงก้องไปทั่วจนผมต้องถลาเข้าไปรับยทั้งตัวด้วยความตกใจแถมเมื่อเปิดฝาพับออกมาก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วเมื่อเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอเป็นเบอร์ของคุณพ่อ...ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าเป็นโทรศักท์ทางไกลแบบข้ามประเทศ...

              และเมื่อเพลงในโทรศัพท์วนลูปมาถึงท่อนอุคครั้งที่สองผมจึงบต้องรีบกดปุ่มรับทันทีและเสียงแรกที่ได้ยินกลับเป็นเสียงตะโกนอย่างรีบร้อนจนต้องยกหูออกห่างก็คือ...


           "ซึบาสะพ่อไม่ยกลูกให้เจ้าอิจิรุเด็ดขาด!!!" 

           "อ...เอ๋...?" ผมพึมพำด้วยความสงสัยกับเสียงที่ราวกับสายฟ้าฟาดเข้ามากลางโสตประสาทการได้ยิน คิ้วเรียวบางขมวดมุ่นเล็กน้อยก่อนจะยกโทรศัพท์กลับมาแนบข้างหูเหมือนเดิม "เมื่อกี้นี้หมายความยังไงนะครัยคุณพ่อ" ผมถาม...ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าท่านจะพูดถึงคุณชิกิ อิจิรุอยู่หรอกแต่ว่า...

             เขาเกี่ยวอะไรล่ะเนี่ย?

             "ไม่ยอมเด็ดขาดเลยนะ! หัวเด็ดตีนขาดยังไงพ่อก็ไม่ยอมให้ลูกรู้จักกับเจ้าผู้ชายไร้ยางอายคนนั้นเด็ดขาด!!!" รุณพ่อร้องลั่นด้วยน้ำเสียงร้อนรนสุดขีด...อารมณ์คงคล้ายๆ กับพ่อที่ลูกสาวพาว่าที่ลูกเขยมาเปิดตัวอย่างไงอย่างงั้น

             เดี๋ยวสิ!! แล้วคุณชิกิเขาใช่ว่าที่ลูกเขยคุณพ่อซะที่กันไหนเล่า!

             แล้วนี่ทำไมหน้าแดงอีกแล้วล่ะเนี่ย!

             "เดี๋ยวสิครับคุณพ่อคือว่า..." ดวงตาสีดำขลับหลับลงก่อนจะพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นลงเพื่อที่จะทำให้คนที่อยู่ปลายสายเริ่มสงบเพราะตอนนี้คุณพ่อของผมท่านโดววายกรีดร้องไม่เป็นภาษาแล้ว

             "พ่อไม่ยอมยกลูกชายให้...ฮ...ฮิเมะ..." เสียงนุ่มพูดค้างได้แค่นั้นก็ชะงักไปพร้อมกับเรียกชื่อของคนๆ หนึ่งซึ่งก็คือซางาระ ฮิเมโนะคุณแม่ของผมเอง...แว่วเสียงที่ลอดมาจากโทรศัพท์บางอย่างที่ผมฟังไม่รู้เรื่องและดูเหมือนลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกผมว่าไม่รู้เรื่องนั่นแหละ 'ดี' แล้ว

             เสียงขลุกๆ ขลักๆ ดังจากอีกฝากหนึ่งรู้สึกเหมือนว่าจะดังเพราะโทรศัพท์ถูกเปลี่ยนมือคนพูด

             "ฮัลโหล...ซึคคุงเหรอจ๊ะอย่าไปฟังเรื่องไร้สาระที่พ่อเขาพูดมากเลยนะจ๊ะ...โรคขี้หวงของคุณโยชิทากะเขากำเริบน่ะ" เสียงอ่อนหวานของหญิงสาวเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงแทรกด้วยความอ่อนโยนของคุณแม่แต่ในจณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงตะโกนร้องว่า 'ไม่ได้ขี้หวงสักหน่อย' ของคุณพ่อดังแทรกเข้ามาด้วย

             "คุณโยชิทากะเนี่ยก็น้า...ถ้าลูกพาผู้หญิงเข้าบ้านจะไม่มีมีปฏิกริยาอะไรเลยแท้ๆ แต่แค่พูดเรื่องผู้ชายหน่อยเดียวล่ะแหกปากร้องลั่นเชียว" คุณแม่พูดพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาซึ่งผมก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆ เหมือนพยายามจะจับใจความแต่ก็จับไม่ได้เลยสักประโยค "แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่เนอะคนเป็นพ่อแม่ที่ดีก็ต้องเลือกเฟ้นว่าที่ลูกเขยดีๆ ให้ลูกมีความสุขอยู่แล้ว ยิ่งน่ารักๆ อย่าซึคคุงด้วล่ะก็นะ"

             คุณแม่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ

              "คราวหน้าก็พาอิจิรุคุงมาแนะนำให้แม่รู้จักด้วยนะจ๊ะ"

               แล้วผมก็ขมวดคิ้วลงกว่าเดิมรู้สึกว่าคุณพ่อกับคุณแม่จะเข้าใจอะไรกันผิดอยู่หรือเปล่านะ?

               แต่ตอนนี้ที่สำคัญกว่านั้น...ทั้งสองท่านอาจจะลืมไปแล้วว่าผมเป็นลูกชาย!!!  

               "คะ...คุณแม่ครับ" ผมเริ่มอ้าปากอยากจะทักท้วงแต่เห็นอาการเพ้อของคุณแม่แล้วออกเสียงเกือบไม่ออกด้แต่บฟังอย่างเงียบแล้วลอบปลงตกในใจอย่างไม่รู้จะสงสารตัวเองดีหรือไม่ที่เกิดมาเป็นผู้ชายแต่หาอะไรที่เหมือนผู้ชาย 'ไม่ได้' นอกจากของที่ติดตัวแต่กำเนิดเนี่ย

               "ผมเพิ่งเจอคุณชิกิครั้งแรกวันนี้นะครับ"

               "แต่อีกเดี๋ยวก็ต้องสนิทกันเองแหละจ้ะ" แม่ผมตอบรับรวดเร็วแบบสุดๆ พร้อมกับเสียฃขอฃคุณพ่อที่ตะโกนซะลั่นว่า 'ไม่ได้นะ' จนแทบทะลุหูโทรศัพท์กันเลยทีเดียว

               "จริงเหรอครับ!" ผมร้องรับแทบจะทันที...ถึงจะไม่รู้แต่เท่าที่เข้าใจคือรู้สึกดีใจมากสุดๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นสินะ...ผมอยากจะสนิทกับเขาจัง

               เพราะอะไรกันนะผมถึงได้อยากจะอยู่ใกล้ชิดกับเขาให้มากกว่านี้....แค่สักนิดหนึ่งก็ยังดี

               "ฮิเมะ! ขอฉันคุยหน่อย!" แล้วหลังจากนั้นไม่นานเสียฃคุณพ่อก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียฃขลุกขลักจากการเคลื่อย้ายเตรื่องโทรศัพท์ซึ่งที่สำคัญกว่านั้นค่อผมเดาออกเลยว่าท่าจะพูดว่าอะไร

               "พ่อไม่ยอมหรอกนะ!!" 

                นั่นไงล่ะ...

                "แต่ว่าพ่อก็ห้ามลูกไม่ได้นี่" เสียงบ่นอุบอิบอย่าฃไม่พอใจดัฃแม้จะแผ่วเบาจะเหมือนเสียงมดกระซิบแต่ผมก็พอได้ยินอยู่บ้างแต่ทว่าประโยคต่อไปผมกลับได้ยินไม่ถนัดชัดเจนเอาเสียเลยทั้งที่ได้ยินแต่ก็ไม่รู้เรื่องอยากับว่าไม่อยากให้ผมได้รับรู้อย่างนั้นน่ะ "ก็เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ลูกต้องการนี่นา"
     
                "แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่ว่าจะเมื่อไร่ลูกอย่าเสียความเป็นตัวเองไปนะ...อย่าได้ลืมว่ายังมีคนที่ลูกรักและรักลูกอยู่เสมอล่ะ" คุณพ่อยังพูดต่อด้วยประโยคบาวที่ผมไม่เข้าใจแต่กระนั้นผมก็ตอบรับออกไป...ถึงจะไม่รู้อะไรเลยแต่ในหัวใจของผมกับรู้สึกว่าคำพูดนั้นเป็นถ้อคำแสนวิเศษเหลือเกิน...

               "ครับ..." ผมครับพร้อมกับคลี่ยิ้ม

               "แต่ถ้ามันทำให้ลูกเสียใจหรือถูกใครรังแกบอกพ่อมานะ!! เดี๋ยวพ่อจะไปถลกหนังหัวมันมาทำพรมให้เอง! โอ้ย!" คาดการณ์ที่ร้อง  'โอ้ย' เมื่อครู่นี้ถ้ามีใครเหยีบเท้าคุณพ่อก็คงเป็นมือคุณแม่นี่แหละ

               "เอ่อ...คุณพ่อครับแค่นี้ก่อน...นะครับ" ผมเอ่ยบทตัดจบทันทีอย่างไม่อยากจะจินตนาการถึงอีกฝั่งของปลายสายแว่วยินเสียงคุณพ่อกับคุณแม่ตอบรับมาพร้อมๆ กัน

                แล้วผมก็วางโทรศัพท์ลฃพ้อมกับใบหน้าซีดเผื่อน

                ถ้าแฟนนิยายของคุณพ่อรู้ว่านักเขียนรูปงามของตัวเองเป็นพวก 'กลัวภรรยายที่เคารพ' ขั้นรุนแรงเนี่ยจะรู้สึกยังไงกันนะ...?

                "พูดอย่างกับว่าผมจะลาไปแต่งงานอย่านั้นแหละ" ริมฝีปากส่งเสียงพูดพึมพำเบาๆ ก่อนจะทิ้งทั้งโทรศัพท์มือถือและตัวเองลงกับโซฟาบุหนังนุ่มๆ สีครีมอ่อน ดวงตาสีดำขลับหรี่แล้วหลังลงทันทีที่หัวเอนพิงกับพนัก...แต่งงาน...สำหรับผมคงจะเป็นเรื่องอีกยาวไกลนักทั้งด้วยอายุที่ยังน้อยนิดและที่สำคัญตลอดช่วงเวลาสิบเจ็ดปีมานี่ผมยังไม่เคยคิดจะรักหรือคบใครเป็นตัวเป็นตนเลยสักที

               เหมือนกับว่าไม่ได้มีความรู้สึกรักที่จะมอบให้ใคร

               เว้นเสียแต่ว่าด้ายแดงแห่งโชคชะตาจะสานต่อให้พบกับคนๆ นั้นเสียที

               แต่มันก็คงเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน

               ผมลืมตาขึ้นมาก่อนจะซบหน้าลงกับฝ่ามือ

               "แปลกจังแหะเรา...อยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆขึ้นมาซะอย่างนั้นน่ะ" ทั้งที่เมื่อก่อนก็ไม่เคยจะเป็นแท้ๆ วันๆ เอาแต่ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนและพ่อแม่จนลืมเรื่องที่จะหาแฟนไปสนิททั้งๆ ที่คุณแม่กับยูเมะจังก็คะยั้นคะยอเสียให้หาเสียเหลือเกิน

                รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปอย่างบอกไม่ถูก

                ดวงตาสีกลมสีดำหรี่ลงเล็กน้อย ผมเม้มรมฝีปากแผ่วเบาเพียงเพราะในหัวอดได้ได้ที่จะคิดถึงเขาคนนั้น...คนที่เพิ่งพบเจอเพียงแค่ครั้งแรกด้วยระยะเวลาไม่ถึงห้านาทีกลับทำให้เอากลับมาคิดได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ?

                "เพราะว่าอ้อมกอดของเขามันอบอุ่นเกินไปหรือไงนะ?" ผมพึมพำแผ่วเบา ในห้องที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งใครนอกจากตัวของตัวเองได้สะท้อนถ้อยคำของผมกลับมาราวกับจะตอกย้ำถามคำถามนี้ให้ได้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                คำถามซึ่งไร้คำตอบ

               เสียงสายฝนที่ยังคงตกไม่ยอมหยุดได้เพิ่มทวีความรุนแรงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย กระไอเย็นลอดผ่านหน้าต่างตึกสูงจนทำให้รู้สึกหนาวยะเยือก ผมค่อยๆ ใช้สองแขนกอดตัวเองด้วยความรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ

               แต่กระนั้นความหนาวนี้กลับไม่ได้เป็นความหนาวเย็นเพราะสภาพอากาศแต่กลับเป็นความหวานเย็นที่แผ่จิตกระไอเศร้าโศกจนขาแข็ง ประสาทสัมผัสทั้งหมดเกือบตายด้าน สติเริ่มราเรือนตัวเริ่มชาลงเรื่อยๆ

              ความรู้สึกที่ผมคุ้นเคยดี...

              เมื่อผมได้เงยหน้าขึ้นมาและได้พบกับเธอคนนั้น...ที่ผมได้เจอตรงบันไดของโรงเรียน เรือนร่างไร้ช่วงขาลอยเหนือสูงกว่าหัวของผม ดวงตาปูนโปนบนใบหน้าขาวซีดจ้องผมเขม็งพร้อมกับหลั่งเลือดออกมาจากเป้าตาทั้งสอง หล่อนอ้าปากที่ถูกฉีกกว้างออกจนเห็นถึงหนอนขาวนับร้อยชักชอนไชอยู่ภายใน ของเหลวสีข้นกลิ่มค่วไหลรินออกมาจะเลอะกับพื้นพรม ไฟบนฟ้าเพดานกระพริบถี่ติดๆ ดับๆ จนกระทั้งไร้ซึ่งแสงจากกระแสไฟฟ้าที่ถูกตัดลง

             พร้อมกับภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็นก่อนไฟจะดับ

             นั่นก็คือเธออยู่ในสภาพที่อ้าปากพร้อมจะกลืนกลินผมเข้าไปทั้งตัว!

              นี่ผม...ถูก 'สิง' อีกแล้วสินะ?

              ความมืดมิดที่แทรกซึมจนสายตาไม่อาจมองเห็นซึ่งสิ่งใด เงาขยับไหวท่ามกลางความเงีบยงันดั่งสายน้ำที่รัดตรึงตัวตนจนหายใจไม่ออก ฝ่ามือยกแตะลำคอ ลมหายใจที่มีราวกับถูกดูดกลืนไปเรื่อยๆ ราวกับมีมือฉุดดึงรั้งให้ร่วงลงสูสายน้ำที่แสนวังเวง ดวงตาปรือหรี่ที่ทอดเห็นได้แค่เพียงภาพหลอนของฟองอากาศใต้น้ำจำนวนมากที่ลอยขึ้นไปอย่างเนิ่นนาน

              คือภาพสุดท้ายก่อนที่วิญญาณดวงนั้นจะหลุดออกจากร่าง

              โดยฉายให้ผมเห็น...ให้ผมรู้สึกเช่นเดียวกัน

              เพื่อให้ผมลงไปยังที่นั่นภายใต้ก้นนอนน้ำเหยียบเย็น...เพื่อคอยอยู่เป็นเพื่อนเธอ...ดวงวิญญารเดียวดายที่น่าสงสารเอ๋ย...

              แต่ทว่า...

              ผม...ผมน่ะ...

              "ผมยังไม่อยากตายตอนนี้!!" เสียงที่รวบรวมเอาสติที่มีทั้งหมดตะโกนร้องขึ้นมา น้ำตาที่คลอค่อยๆ ไหลอาบกับแก้มความรู้สึกที่มีทั้งหมดเพยายามขัดขืนการควบคุมอย่างไร้ผล

              ใครก็ได้...ได้โปรดเถอะ...ช่วยผมด้วย

              ฝ่ามือเอื้อมคว้าถึงแสงสว่างที่เรือนราง ความมืดมิดกำลังครอบครองตัวตนและกลืนกินไปเรื่อยๆ ตะเกียกตะกายดิ้นรนร้องหาชีวิตที่กำลังจะเลือนหายไป


              ยังไม่อยากตาย...ทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่รู้ว่าเกิดมาเพื่ออะไร...

              และเกิดมาเพื่อใคร

              "ก..กิ.." เสียงสุดท้ายเอ่อยออกจากริมฝีปากแต่กกระนั้นผมกลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ซึบซาบจากปลายนิ้วดุจดั่งแสงสว่างที่จางหายได้กลับคืนมา ประกายเจิดจ้าเคียวคมกระหวัดเกิดแสงเพียงเสี้ยวแต่กระนั้นก็กลับรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนอันเป็นนิจนิรันดร์ ฉับพัลันนั้นที่ดวงตาเปิดขึ้นมา

              ผมก็ได้พบกับเขา...เบื้องหน้านั้นภาพที่ทำให้น้ำตาไหลรินไม่อาจควบคุม

              เส้นผมสีดำขลับพัดพลิ้วไปตามเเรงโบกสะบัดของเคียวสีดำสนิทขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือแม้ดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นจะไม่ได้มองผมเลยแม้แต่น้อย...ทว่าผมกลับรับรู้ได้ถึงบางอย่างภายใต้อ้อมกอดของเขา ผมรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนที่แอบแฝงความอบอุ่นที่ไม่อาจเข้าใจ...แต่กระนั้นผมกลับรู้สึกอะไรบางอย่างที่แสนยิ่งใหญ่ในความหมายของมัน

              แม้จะเป็นการเข้าข้างตัวเองอยู่ฝ่ายเดียวก็ตาม...

              ผมหลุบตาลงมองที่พื้นเบื้องล่างแทบเท้าที่เย็นเฉียบเหยียบบนราวเหล็กกลั้นระหว่าระเบียงเพียงแค่อีกก้าวเดียว...ก้าวเดียวเท่านั้นผมอาจะร่วงลงจากตึกสูงสิบห้าชั้นหากเขามาช่วยไว้ไม่ทัน

              "กล้าดีนี่..." น้ำเสียงเอ่ยพึมพำไร้โทนทุ้มต่ำแต่กระนั้นกลับเจือแฝด้วยความอำมหิตเย็นยะเยียบจนผมต้องขนลุกซุ่ คิดไปเองหรือเปล่านะว่ารอยยิ้มที่แย้มอยู่ที่มุมปากของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกินโดยเฉพาะยิ่งเมื่อดวงตาคู้สีเลือดจรดจ้องมองยังวิญญาณสาวตนนั้นมันช่างแดงให้เห็นถึงความโมโหโทโส

              อื๋อ....จ้องมอง?

              งั้นก็หมายความว่าเขา 'เห็น' เธอคนนั้นงั้นเหรอ?

               นั่นเป็นสิ่งที่ผมตกใจแม้ว่าสิ่งที่ตกใจมากกว่าจะเป็นการที่ตัวเองเพิ่งจะมาสงสัยว่าเขาคนนี้เข้ามาจากที่ไหนเสียมากกว่า...

               ร่างโปรงแสงของวิญญาณผงะถอยที่ผมสาบานได้ว่าสีหน้าที่ไร้สีสันนั้นดูซีดไปยิ่งกว่าเดิมเสียอีก...อีกนัยน์หนึ่งที่ผมสงสัยบางที่เธอกลัวอะไรคงไม่ได้จะหมายถึงผู้ชายที่กำลังกอดผมอยู่คนนี้หรอกนะ เธอคนนั้นลอยตัวหนีด้วยสีหน้าอมดแรงทรุดลงกับพื้นเลือดข้นขลั่กไหลออกมาจากรอยบากด้วยคมเคียวกลางแสกหน้าอย่างไม่ขาดสาย ดวงตาโปนถลนของเธอจับจ้องคุณชิกิด้วยสีหน้าทั้งเองทั้งหวาดกลัง ปากที่ฉีกเปิงขยับพึมพำเสียงชืดเย็น

             "ค...เคียวสีดำหรือว่าแก..." น้ำเสียงนั้นดูชะงักไปครู่มือสั่นเทาชี้ไปยังเคียวด้ามใหญ่ที่ถือแน่นอยู่ในมือ คุณชิกิปล่อยละตัวออกจากและวางผมลงกับพื้นอย่างแผ่วเบา ดด้วยดวงตาคู่สีเลือดเเสนเย็นชาและหยิงผยองเปียมเต็มด้วยความั่นในตัวเองเช่นทุกที...

             ทว่าครั้งนี้กลับไปด้วยความอำมหิตไร้ปราณี...

              "ผู้พิพากษาบาป!!" เธอกรีดร้องด้วยความกลัวที่เขาปกคุมแต่กระนั้นอีกฝ่ายยังคงนิ่งก้าวเดินอย่างเชื่องช้าตรงเข้าไปหาทันที่ที่ริมฝีปากบางนันคลี่ยิ้มเขาก็เอ่ยรับ

              "เออ..."

              น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นเอ่ยเต็มด้วยความมั่นใจและเชิดหยิ่งอย่างเช่นที่เคยได้ยิน...

              เคยได้ยินอย่างนั้นเหรอ?

              ความเย็ช้าไร้ซึ่งแววแห่งความเมตาปราณีในดวงตาคู่สีแดงเลือดให้ได้เห็น...แม้เพียงแค่หนึ่งในเศษนั้นกลับทำให้ผมไม่รู้สึกหวั่นเกรงหรือกดดันดังเช่นดวงวิญยาณของเธอผู้นั้นที่ทั้งกลัวและถอยหนีตามทุกก้าวที่ย่างเยื้องอย่างเย็นใจของคุณชิกิ...ผมหลับตาลงกอดตัวเองเอาไว้ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ประดังเข้ามาอย่างไม่มีสายปลายเหตุ 

              กอดตัวเองเอาไว้...ทั้งในใจกลับปรารถนาถึงอย่างอื่น

              ...อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของคุณ...

              คมเคียวสีดำสะท้อนแสงจัทรานั้นเปล่งประกายสีเลือดเป็นรัศมีวงกว้าง เรือนร่างสูงโปร่งหยุดฝีท้าที่ก้าวเดินลง....แค่เพียงหนึ่งก้าวเท่ากับกยุดทุกอากัปกริยาหรือแม้แต่เสียงใดที่เอ่ยอ้า...เมฆมือยามราตรีมิอาจเคลื่อนไหวไปตาลสายลมหรือแม้แต่กาลเวลาก็แทบหยุดทรุดลงเพื่อเขา

               ความสง่างามที่ชวนพรั่นพรึงนั้น...

               ความผยองใจที่น่าหลงใหลนั้น...

               ทุกอย่างรวมเป็นเขา

               "สีเทาเข้ม..." คุณชิกิเอ่ยพูดยามที่ตาคู่ทับทิมเลือดนั้นจ้องไปยังวิญญาณแน่นิ่งไร้การเคลือนไหวราวกับถูกตรึงไปด้วยความหวาดกลัวที่มีต่อเขาคนนั้นที่หล่อนเรียกนามว่า 'ผู้พิพากษาบาป'

               ปลายคมเคียวสีทดนิลกาฬถูกเลือนจ่อยังหน้าของหล่อนที่เต็มไปด้วยเลือดจองเจิ่งจองจากการถูกฟันเมื่อครู่นี้...แว่วเสียงสายคล้องโซ่ที่เกี่ยวพันกับด้ามเคียวนั้นกระทับกัน...ส่งเสียงทำนอนงดุจดังดนตรีที่เอ่ยคลอเสียงบรรเลงบทเพลงสวดเรเควี่ยม

               เพลงส่งวิญญาณ

               "จะไปสู่สุขติดีๆ หรืออยากจะตายอีกรอบกันล่ะ?" 

               แล้วความเงียบงันก็กลืนกินอาณาเขตนั้น ผมได้แต่มองดูภาพตรงหน้าที่ไม่แต่ต่างจากเทวทูตผู้รับใช้จ้าวแห่งความตายกำลังเงื้อมคมเคียวเข้าหาดวงวิญญาณ ภาพลักษณ์ที่นิ่งเย็นและเงียบสงบดุดดั่งน้ำที่พัดคลื่นหมุนไว้ข้างใต้ ความรู้สึกที่ชวนให้หวั่นไหวในอก...เขาเหมือนกับเทพเจ้าแห่งนรกเสียยิ่งกว่ายมทูตผู้ส่งสารเสียอีก


                แต่พลันความเงียบงันก็กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะเมื่อวิญาณตนนั้นแพดเสียงร้องลั่นราวกับเห็นซึ่งอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่ทำให้ตนถือไพ่เหนือกว่า

                และไวกว่าความคิด

                เธอก็ปราดเข้ามาโอบรัดร่างของผม!

                ความรู้สึกที่อึดอัดจนแทบขาดใจ ห้วงภวังค์ที่หายใจไม่ออกผมรู้สึกได้ถึงกระแสน้ำที่กลับมาอีกครั้ง ความเย็นเยียบที่กลืนกินรู้สึก...เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก

                "รู้นะ...ว่าเจ้า...ไม่ทำร้ายเด็กคนนี้"

                เธอพูดเสียงเท่ห์ในขณะที่จับผมเป็นตัวประกัน...

               ดวงตาสีขลับปรือขึ้น...เธอรู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่ยอมทำร้ายผม?

                แต่ก็นั่น่ะแหละอย่างที่ผมว่า  คุณชิกิหวดเคียวเข้าใส่จังๆ ชนิดที่ไม่แคร์ผมเสียจนวิญญาณหญิงสาวคนนั้นกระเด็นถลาไปไกล ฝ่ามือเรียวยาวคว้าผมเอาไว้ก่อนจะกอดแน่น แว่วเสียงพ่นลมหายใจยาวจากชายหนุ่มที่ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะเหนื่อยใจ...ทั้งๆ ที่ผมควรจะตกใจ!

               อยู่ๆ ก็หวดเคียวเฉียดหน้าแบบนั้นใครไม่ตกใจผมขอแนะนำให้ไปเกิดไหมเลย!

               "คิดอะไรโง่ๆ" น้ำเสียงเข้มอย่างอย่างเหยียดยามรอยยิ้มที่มุมปากเต็มไปด้วยความมั่นใจและเย่อหยิ่ง "คิดว่าฉันจะใจอ่อนเพราะเจ้านี่ล่ะก็...ฝันไปเถอะ!!" 

               ครับ...แต่พูดไว้หน้ากันหน่อยก็ดีนะคุณชิกิ...


               "นายเองก็เหมือนกัน...อย่าอยู่นิ่งๆ ให้มันจับง่ายๆ ได้ไหม" น้ำเสียงกดลงพูดกับผมด้วยความรู้สึกที่ราบเรียบแต่ทรงอำนาจพาให้สยองผองขน ผมพยักหน้ารักรัวเร็วเพื่อเป็นการตอบรับคำเพราะหากไม่ทำไม่แน่ว่าคราวต่อไปคมเคียวอาจจะไม่เฉียดหน้าแต่เป็นพุดปักเข้ากลางหน้าผากแทน

               เมื่อเห็นการเคลื่อไหวจากร่างวิญญาณที่โชกนุ่มไปด้วยเลือดนอง เนื้อเละเน่าจากปากบาดแผลบ่งบอกว่าเธอไม่สามารถรักษาสภาพก่อนกตายได้อีกแล้ว กลิ่นกระไอหวานคลื่นเหียน ผมเห็นควันกลุ่มดำมืดมิดรายรอบรอบตัวเธอ...จิตสังหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น

               "ชิ" เสียงสบถรอดไรฟันอย่างหงุดหงิดของคนตรงหน้า คุณชิกิจับจ้องด้วยดวงตาที่แข็งกร้าวแล้วสั่นศีรษะ "ดื้อด้านจริง" 

               "จับ" น้ำเสียงพูดสั้นๆ แล้วกระชับเอวของผมเอาไว้แน่น เขากดหัวของผมลงแนบกับแผ่นอกก้าวงแล้วพุ่งตัวออก...ออกนอกหน้าต่าง...เดี๋ยวสินนี่มันชั้นสิบหน้านะครับ!!! 

               ระหว่างที่ผมหลับตาปี๋รอรับหายนะกับสภาพร่ายกายที่อาจเละบี้เละแบนคาพื้นคอนกรีตของลาดจอดรถกลางแจ้งของแมนชั่นอยู่นั้นผมกับรับรู้ได้ถึงความเบาหวิวที่ไร้ซึ่งการสำผัส

               และเมื่อลืมตาอีกครั้งผมก็พบว่าตัวเองกำลังลอย...ไม่สิ! คุณชิกิกำลังพาผมกรนะโดดลงงมายังพื้นด้วยึความนิ่มนวล

               "ทำหน้างั้นน่ะกลัวเหรอไง?" เขาถามพลาวเชิดคางขึ้นเหมือนไม่ใคร่สนใจ

               "เป็นใครก็กลัวทั้งนั้นแหละครับ! ชั้นสิห้าเชียวนะครับชั้นสิบห้าถ้านี่เป็นเรื่องปรกติลงมาจตากที่สูงขนาดนั้นคงได้นองเลือดกันเเล้ว!" ผมร้องที่ทำให้เขาได้แต่หัวเราะแผ่วๆ...เป็นเสียงหัวเราะที่จางและบางเบาหากทว่ากลับดูล้ำค่า

              "งั้นเหรอ" เขาตอบก่อนจะคลี่ยิ้มกลับมาให้...รอยยิ้มเล็กที่มุมปากนั้นแทบไม่ต่างจากเส้นตรงทว่า...ดูตราตรึง

               เป็นครั้งแรกหรือเปล่านพที่ผมเห็นเขายิ้ม...

               แต่ว่าครั้งแรกครั้งนี้กลับดูคุ้นเคยเหลือเกิน...

               หากแล้วทั้งหมดเป็นอันต้องพังทลายลงเพราะการระเบิดจากบนชั้นสิบห้าซึ่งเป็นห้องของผม กระไอดำกลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งไปทั่วแม้แต่คนที่อยู่ชั้นล่างอย่างอย่างผมยังได้กลิ่น...ความแค้นอัดแน่นอย่างเข้มข้าจนร่างกายเกือบทรุดหากยังดีที่ได้อ้อมแขนของคุณชิกิกช่วยประครอง

               "กะแล้วว่าต้งเป็นอย่างนี้" เขาเอ่ยพูด ดวงตาคู่สีเลือดแปรเปลี่ยนกลับเป็นความนิงเย็นชา...ที่เขาพากระโดดลงมานี่ก็เพราะว่ารู้นเหรอว่าห้วงความแค้นของวิญญาณตนนั้นจะระเบิดออกมาอย่างรุนแรงขนาดนี้ 

               เมื่อควันจางหายพร้อมกับสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ภาพที่ทำเอาผมต้อวผวาควันหาย

               แต่กลับสร้างรอยยิ้มที่เหมือนสะใจจากคุณชิกิ!

               อ้อมแขนกระชับแน่นเขาแล้วพูดโดยที่ไม่มองหน้าผม

               "อย่าอยู่ห่างจากฉัน" น้ำเสียงนั่นนิ่งดูมั่นคงอย่าบอกไม่ถูก เหมือนเขากำลังจบอกให้รู้ว่าผมจะปลอดภัยถ้าอย่ใกล้ๆ

               ควันที่เริ่มจางลงเผยให้เห็นถึงร่างการเน่าเฟะ หนอนที่ไล่ชอนไชตั้งแต่ใบหน้าจรดลูกตาทั้งสองข้าง กายท่อนบนยังคงเป็นหญิงสาวครเดิมเพียงแต่เบื้องล่านั้นกลับกลายเป็นงู...น่าจะเรียกว่าถูกบดทับจนแหลกละเอียดไม่ต่างจากงูที่กำลังเลื้อยต่างหาก ผมยกมือขึ้นแตะแผ่นอกของคุณชิกิตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ผมยอมรับว่าผมเห็นวิญญาณแปลกประหลามมานักต่อนัก ทั้งภูติผีหรือสิ่งเร้นลับแต่

               แต่ตอนนี้ผมกลัว

               กลัวอย่างเหลือเกิน

               "ไอแค้นก่อตัวจนกลับสู่สภาพตอนตาย..." แว่วเสียงพูดที่พร้อมกับการถอนหายใจยาวนาน ดวงตาคู่เสีทับทิมกดมองอย่างไน้วี่แววใด "คงต้องรีบจัดการให้จบก่อนบาปจะมากไปกว่านี้สินะ"
     
                ทันที่ที่เขาวาดมืออกเคียวสีดำสนิทนี้ก็ราวกับส่องประกาย เขากอดผมแน่นก่อนจะเอ่ยกล่าวถึงถ้อยคำบางอย่าง...ทั้งที่เอ่ยออกมาจากปากของเขาแท้ๆ แต่ผมกลับฟังไม่รู้เรื่อง

                เหมือนกับภาษาที่ไม่ใช่ของโลก

                แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ

                ว่านั่นคือเพลงเรเควี่ยมส่งวิญญาณ

                ทันทีที่เพลงสวดจบลง ประกายแล้งสีทองก็วาดขึ้นบนพื้นเบื้องล่าง ความอบอุ่นที่มีแผ่นซ่านออกมาจากตัว ....ละซึ่งความออ่นล้าที่มีราวกับได้พักผ่อนวิญญาณและจุติลงยังแดนสรวง...ราวกับนี่คือความสุขทั้งที่ชีวิตที่กำลังหลังไหลอยู่ในร่างกาย

                ผมได้ยินเสียงกรีดร้อง เสียงที่ทรมาน

                แต่เพียงชั่วครู่ก็หยุดลง...

                
    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    สภาพร่างกายไม่ดีเอาเสียเลย T^T

    อยากกลับมาฟิตเหมือนเมื่อก่อนจัง

    แง๊!!

    พล็อตนิยายมาไม่หยุดแต่เขียนไม่ได้เนี่ยมันเจ็บปวดชะมัด...อ๊ากกกกกกก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×