ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Until The End Of Time

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 1 Before Crisisตอนที่ 3 ท่วงลีลาแห่งบทลำนำ(2/3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 220
      0
      12 ก.พ. 50

                 ห้องสีขาวสะอาดสไตล์โรม รูปปั้นเทพธิดาบนเสาสี่เสาตามมุมทอประกายสีมุขเมื่อต้องแสงแดง

    ที่
    ลอดจากผ้าม่านสีเขียวอมฟ้าประดับด้วยผู่สีเหลืองเหลือบทอง ร่างสูงนั่งยกถ้วยชากระเบื้องเคลือบสีอ่อนๆ

    อยู่บนโซฟาหน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ข้างกายขนาบด้วยชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาลเข้มที่ยืนตรงสองมือไพล่

    หลังตาระเบียบพัก
    หลังยืดตรงไม่ค่อม สองไหล่ยกเล็กน้อยเชิดคางขึ้นมองตรงหากแต่งสังเกตุมองรอบข้าง

    โดยรอบอย่างระแวดระวังเป็นท่างทางที่ดูสง่าและแข็งแร่งราวกับผู้ทำถูกฝึกมาอย่างดี


                  "ขอบคุณนะครับ
    ที่ท่านประธานอุตส่าห์มาถึงที่นี่" เสียงเข้มๆเริ่มแหบพร้าของชายวัยกลางๆ เส้น

    ผมสีน้ำตาลเข้มมีสีเทาขาวแซมประปรายหากแต่ตรงสวนปลายของเส้นผมกับถูกขัดด้วยเม็ดสีจากน้ำยาย้อม


    เขามองเด็กหนุ่มเรือนผมสีขลับตรงหน้าลอดกรอบเลนท์แว่นสายตา


                บลิทซ์ขมวดคิ้วแน่นยกถ้วยชาออกจากริมฝีปากบางๆ
    "เรียก  'คุณซีซัส' หรือ 'บลิทซ์' ก็ได้ครับ ท่าน

    รองผู้อำนวยการ
    " เสียงที่ตอบกลับแสดงถึงความซื่ออย่างเห็นชัด ชายหนุ่มขยับรอยยิ้มบางอย่างไม่ถือตัว

    "เพราะอย่างไรเสีย
    ตั้งแต่ผมก้าวเข้ารั้วโรงเรียนมาผมก็เป็นนักเรียนของวัลฮัลลาแล้วนะครับ"


                
    "อะ..ครับ ท่าน.เอ่อคุณซีซัส" รองผอ. ราเซนทร์ กล่าวตะกุกตะกักจนนายทหารตรงหน้า

    หันไปทางอื่นและอมยิ้มกลั้นหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้


                       ประจบผิดคนแล้วล่ะอีตารองผอ
    .เอ๊ย


                      ชายสูงศักดิ์ปรายตามองรอบๆห้องก่อนจะขยับริมผีปากพูด
    " ถ้าหากจะถามถึงเรื่องโครงการ

    Revenant Complex  
    แล้วละก็ ผมยังไม่สามรถชี้แจงอะไรได้มากมายนักหรอกนะครับ ถึงวัลฮัลลา

    จะเป็นเครือเดียวกับรูนก็จริงแต่เรื่องนี้น่ะ
    .เป็นความลับเฉพาะในองกรณ์น่ะครับ คงจะบอกอะไรไม่ได้

    นอกจากเป็นงานเกี่ยวกับการฟื้นฟูสภาพพลังเวทร่วมประสานกับพลังชีวิตและเทคโนโลยีก็เท่านั้นครับ
    " ราเซ

    นทร์ชงักนิด
    ทั้งที่ไม่ทันพูดอะไรเด็กเด็กคนนี้กลับรู้หมดว่าเขาต้องการจะพูดอะไร .ฉลาดเด็กคนนี้

    ฉลาด
    .จนน่ากลัว


                    บลิทซ์วางถ้วยชาลงกับโต๊ะ
    ก่อนจะพุดลุกขั้นยืน "เช่นนั้นผมขอตัวครับ ขอบคุณสำหรับน้ำชา"

    ชายหนุ่มโค้งกายลงก่อนจะเหยียดขึ้นตรงเดินออกจากห้องโดยมีรูลเดินตามออกไป


              Revenant Complex
    โครงงานที่ฟื้นฟูสภาพพลังเวทร่วมประสานกับพลังชีวิตและ      

    เทคโนโลยีเพื่อมอบ
    .ชีวิตใหม่.


                   รูลทอดตามองตามร่างสูงที่เดินนำอย่างอดสงสัยไม่ได้
    ..กับชื่อที่ไม่คุ้นหู..ไม่สิ! ไม่เคยได้ยินเลย

    ต่างหาก
    .รูลเบนสายตาหนีไปทางอื่นพยายามตัดใจเมื่อเจ้าปากเฮงซวยดันคันยิกๆอยากถามใจแทบขาดตาม

    ประสาคนช่างสอดรู้
    .


                    แต่ถ้าในเมื่อ
    .เรื่องนี้เป็นความลับถึงขนาดที่ชื่อยังไม่โผล่.รายนามไม่เคยเห็นขนาดหน่วยงาน

    ทหารหรือวัลฮัลลาที่เป็นส่วนหนึ่งของรูนยังไม่มีใครที่จะได้ยินชื่อหรือตัวงานแบบนี้
    ก็เท่ากับเป็นโครงงาน

    เฉพาะของหน่วยวิจัย
    ……หน่วยงานอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกันก็คงจะ..ไม่อาจให้รู้ได้ล่ะมั๊ง


                  รูลถอนใจคล้อยหลัง
    เห็นแล้วลำบากใจแทน.การที่เด็กอายุสิบหกที่เพิ่งจะขึ้นม.ปลายต้องมารับ

    ภาระอะไรต่างๆนานาที่เกินกำลัง
    .การที่บลิทซ์มีความสามารถและความรู้มากมายกว่าคนธรรมดาทั่วไป

    เพราะการปูพื้นฐานที่ยัดเยียดให้อย่างเอาเป็นเอาตายตั้งแต่เยาว์วัย
    เพื่อ.เป็นหมากตัวหนึ่งบนกระดานที่กุม

    ชะตากรรมของโลก


                      เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนจะยิ้มบางที่มุมปาก
    .ชะตากรรมของมนุษย์ทุกคนที่กำหนดเอาไว้ไม่มี

    ทางเปลี่ยนได้
    .ไม่มีทาง.พยายามเดินตามสิ่งที่ไม่อยากทำมันก็เจ็บปวด.ถึงแม้จะฝืนไม่ทำตามมันก็รัง

    แต่จะเจ็บปวดมากกว่าเดิมเสียอีก
    .มันเจ็บเจ็บทั้งสองทางโดยที่ไม่มีทางเลือกใดๆเลย แต่สิ่งที่แบกรับ

    อยู่มัน
    .ก็สามารถแบ่งเบามาบ้างก็ได้นี่นา.เขาคนหนึ่งล่ะ.ที่ยอมสละบ่าเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของหมอ

    นั่น
    ..อย่างเต็มใจและเต็มความสามารถ


                     เขายอมเป็นเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานที่ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายโดยมีชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อคอยคุ้

    มครองพระราชา
    ดีกว่าการที่ต้องเอาแต่ทนมองเห็นหมอนั่นเอาแต่จมปลักกับความผิดและความมืดหม่นแห่ง

    โชคชะตาอยู่เฉยๆโดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้
    ..


                   ฉันน่ะนะ
    .ฉันน่ะจะปกป้องนายเองบลิทซ์


                  …
    .ฉันสัญญา


                  ร่างสูงที่เกินนำหยุดนิ่งก่อนจะหันมาทางรูล
    ชายหนุ่มหยุดนิดหนึ่งก่อนจะสาวเท้ายาวๆเดินขนาบ

    คนที่เดินตาม
    "เขาบอกว่าคืนนี้จะมีงานเลี้ยงเต้นรำ ที่เป็นประเพณีต้อนรับนักเรียนใหม่ด้วยใช่ไหมครับ?"

    บลิทซ์เอ่ยถามน้ำเสียงฟังดูเหนื่อยระอา


                 "ก็น่าจะใช่นะ
    ทำไมเหรอ" รูลว่าตีสีหน้าครุ่นคิด "ได้ยินว่าที่วันนี้ไม่มีการเรียนการสอนเพราะจะ

    ต้องจัดเตรียมงานเลี้ยงนี่
    "


                 ตามธรรมเนียมที่สืบต่อกันมานานของวัลฮัลลา
    วันแรกของเทอมจะมีงานเลี้ยงต้อนรับนักเรียนใหม่ที่

    เพิ่งจะเข้ามาเรียนเป็นครั้งแรกและนักเรียนเก่าเพื่อรับวันเปิดเทอมของชั้นปีใหม่
    เหตุเพื่อให้รุ่นพี่-กับรุ่น

    น้องในแต่ละระดับทั้งนักเรียนเกรดความสามารถพิเศษสูงอย่างไวท์สูทและนักเรียนธรรมดาๆคือแบล็คฟอร์

    มที่นานๆครั้งจะโคจรมาพอกันสักทีได้สนิทสนมกันไว้
    .


                 "คืนนี้ผมขอไม่ไปไม่ได้เหรอครับ
    ?" เสียงนุ่มๆเจือกระแสสั่นเครือ จนคนข้างๆสั่นศรีษะ ไม่ว่าจะ

    ยังไงโรคเกลียดที่ๆมีคนมากของบลิทซ์ก็แก้ไม่หายสักที
    รูลสอดแขนคล้องระหว่างอกกว้างๆ ก่อนจะกล่าว

    "ดูปากฉันดีๆนะบลิทซ์
      ไม่ ได้" เสียงเข้มๆตอบเน้นย้ำคำตอบ บลิทซ์หลุบตาลงต่ำแอบถอนใจนึกปลงใน

    สังขาร


                งานเลี้ยง
    ทำไมต้องเป็นงานเลี้ยง.เต้นรำด้วยล่ะ?


               ท้องฟ้าสีมืดในยามราตรีกาล
    ช่วงเวลานี้ เวลาอันแสนเงียบเหงา และสงบงัน หากแต่คืนนี้ที่ดารา

    ราย
    เต็มฟ้า กลับแว่วเสียงคล้อยเบาๆแห่งคีตาแห่งบทบรรเลงเพลงชั้นเลิศ มวลละอองเกสรที่ถูกโอบอุ้มพัด

    พลิ้วปลิวมาราวกับลงมาจากสรวงส่งกลิ่นหอมจางๆ
    ฝ่ามือบางๆยื่นออกไปด้านหน้ารับกลีบดอกไม้สีอ่อนที่

    บรรจงลงมาสู่อย่างจับวาง


                 บลิทซ์ขยับรอยยิ้มจางๆก่อนริมฝีปากบางจะพ่นลมหายใจอุ่นส่งต่อให้กลีบดอกไม้พัดปลิวไปยังที่

    ไกล
    แสนไกล.


                  ดวงหน้าคมหันไปยังบรรยากาศน่าอึดอัดของงานเลี้ยงที่บทเพลงคลาสสิคจากเครื่องดนตรีชั้นยอดเริ่ม

    เล่นเพลงเปิดฟลอร์
      เด็กชาย-หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาเริ่มจับคู่เดินออกไปเต้นรำกันกลางพื้นที่

    กว้างๆสำหรับเป็นพื้นฟลอร์
    บลิทซ์ลอบถอนใจอย่างปลงวิตก หลังจากเดินมาทั่วงานก็ตามหาเจ้าตัวดีที่คงป้อ

    สาวทั่วงานจนขาแทบทรุด
    ใครกันที่อยากมาตัวแทบสั่นจนต้องลากเขามาเป็นเพื่อน ใครกันที่พอเดินเข้างาน

    แล้วก็หายวับเข้ากลีบเมฆทิ้งให้เขาต้องอยู่คนเดียว
    ……คำตอบง่ายๆ


                ……รูล
      อบิสซอลล์ ไง..


                  ฝ่ามือนุ่มๆสอดเข้ากระเป๋าเสื้อหยิบเอาหนังสือเล่มเล็กซึ่งฉวยมาจากชั้นหนังสือบนห้อง
    ที่มีชื่อว่า

    'สารเคมีชีวภาพ'
    ขึ้นมาอ่านราวกับรู้ว่าต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ บลิทซ์ไล่สายตาอ่านไปเรื่อยๆจมอยู่กับตัว

    หนังสือพลันเสียงดนตรีดังๆก็ค่อยจางลงเรื่อยๆ
    .อยู่กับโลกส่วนตัวที่มีเพียงเขาเละหนังสือเท่านั้น


    พลันโลกส่วนตัวก็พังทลายลงเมื่อฝ่ามือบางอ่อนนุ่มดึงฉวยหนังสือเล่มเล็กในมือเขาออก
    บลิทซ์กระหวัดตา

    มองราวกับขัดใจก่อนจะชะงักค้าง
    ..


                 สตรีร่างเล็กในชุดสีขาวประกายชมพูมุข
    เสื้อแขนกุดเพยให้เห็นถึงผิวไหล่นวลเนียน กระโปรงสั้นๆ

    สีเดียวกันจับจีบเป็นระบายพลิ้วๆดูสวยสง่า
    กับสายริบบิ้นยาวที่ผูกคล้องกันระหว่าอก คอเรียวระหงสวมด้วย

    สร้อยคอไม้กลางเขนสีเงิน
    เส้นผมสีแดงพระเพลิงถูกมัดรวบเป็นหางม้าทรงสูงดัดเป็นลอนหยักศกราวเกลียว

    คลื่น
    ทิ้งปอยผมด้าหน้าให้ปิดทับใบหูที่สวมต่างหูรูปหยดน้ำ ดวงหน้าหวานๆตกแต่งด้วยเครื่องสำอางอ่อน

    ขับให้ความงดงามที่มีอยู่นั้นเพิ่มพูนเป็นทวี


                "นอร์เฟรเซีย
    .?" บลิทซ์กล่าวคำพูดที่อยากพูดถูกกลืนหายไปในลำคอ ยิ่งเมื่อมุมปากบากสี

    ชมพูสวยขยับรอยยิ้มเขาก็รู้สึกราวกับตัวเองเป็นใบ้ถ้อยคำอันใดมิสามารถเอ่ยผ่านออกมาจากลำคอได้แม้แต่

    น้อย
     


                "มายืนเบื่ออะไรอยู่ตรงนี้กันคะ
    ?" เสียงหวานๆกล่าวอย่างรื่นเริงโน้มหน้าเข้าใกล้ ก่อนจะประกบมือ

    ขึ้นระหว่างอกราวกับนึกบางอย่างออก
    " ไปเต้นรำกันเถอะค่ะ"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×