คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 1 Before Crisisตอนที่ 3 ท่วงลีลาแห่งบทลำนำ(2/3)
ห้องสีขาวสะอาดสไตล์โรม รูปปั้นเทพธิดาบนเสาสี่เสาตามมุมทอประกายสีมุขเมื่อต้องแสงแดง
ที่ลอดจากผ้าม่านสีเขียวอมฟ้าประดับด้วยผู่สีเหลืองเหลือบทอง ร่างสูงนั่งยกถ้วยชากระเบื้องเคลือบสีอ่อนๆ
อยู่บนโซฟาหน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ข้างกายขนาบด้วยชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาลเข้มที่ยืนตรงสองมือไพล่
หลังตาระเบียบพัก หลังยืดตรงไม่ค่อม สองไหล่ยกเล็กน้อยเชิดคางขึ้นมองตรงหากแต่งสังเกตุมองรอบข้าง
โดยรอบอย่างระแวดระวังเป็นท่างทางที่ดูสง่าและแข็งแร่งราวกับผู้ทำถูกฝึกมาอย่างดี
"ขอบคุณนะครับ ที่ท่านประธานอุตส่าห์มาถึงที่นี่" เสียงเข้มๆเริ่มแหบพร้าของชายวัยกลางๆ เส้น
ผมสีน้ำตาลเข้มมีสีเทาขาวแซมประปรายหากแต่ตรงสวนปลายของเส้นผมกับถูกขัดด้วยเม็ดสีจากน้ำยาย้อม
เขามองเด็กหนุ่มเรือนผมสีขลับตรงหน้าลอดกรอบเลนท์แว่นสายตา
บลิทซ์ขมวดคิ้วแน่นยกถ้วยชาออกจากริมฝีปากบางๆ "เรียก 'คุณซีซัส' หรือ 'บลิทซ์' ก็ได้ครับ ท่าน
รองผู้อำนวยการ" เสียงที่ตอบกลับแสดงถึงความซื่ออย่างเห็นชัด ชายหนุ่มขยับรอยยิ้มบางอย่างไม่ถือตัว
"เพราะอย่างไรเสีย ตั้งแต่ผมก้าวเข้ารั้วโรงเรียนมาผมก็เป็นนักเรียนของวัลฮัลลาแล้วนะครับ"
"อะ..ครับ ท่าน
.เอ่อ
คุณซีซัส" รองผอ. ราเซนทร์ กล่าวตะกุกตะกักจนนายทหารตรงหน้า
หันไปทางอื่นและอมยิ้มกลั้นหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้
ประจบผิดคนแล้วล่ะอีตารองผอ.เอ๊ย
ชายสูงศักดิ์ปรายตามองรอบๆห้องก่อนจะขยับริมผีปากพูด " ถ้าหากจะถามถึงเรื่องโครงการ
Revenant Complex แล้วละก็ ผมยังไม่สามรถชี้แจงอะไรได้มากมายนักหรอกนะครับ ถึงวัลฮัลลา
จะเป็นเครือเดียวกับรูนก็จริงแต่เรื่องนี้น่ะ
.เป็นความลับเฉพาะในองกรณ์น่ะครับ คงจะบอกอะไรไม่ได้
นอกจากเป็นงานเกี่ยวกับการฟื้นฟูสภาพพลังเวทร่วมประสานกับพลังชีวิตและเทคโนโลยีก็เท่านั้นครับ" ราเซ
นทร์ชงักนิด
ทั้งที่ไม่ทันพูดอะไรเด็กเด็กคนนี้กลับรู้หมดว่าเขาต้องการจะพูดอะไร
.ฉลาด
เด็กคนนี้
ฉลาด
.จนน่ากลัว
บลิทซ์วางถ้วยชาลงกับโต๊ะ ก่อนจะพุดลุกขั้นยืน "เช่นนั้นผมขอตัวครับ ขอบคุณสำหรับน้ำชา"
ชายหนุ่มโค้งกายลงก่อนจะเหยียดขึ้นตรงเดินออกจากห้องโดยมีรูลเดินตามออกไป
Revenant Complex โครงงานที่ฟื้นฟูสภาพพลังเวทร่วมประสานกับพลังชีวิตและ
เทคโนโลยีเพื่อมอบ
.ชีวิตใหม่
.
รูลทอดตามองตามร่างสูงที่เดินนำอย่างอดสงสัยไม่ได้
..กับชื่อที่ไม่คุ้นหู..ไม่สิ! ไม่เคยได้ยินเลย
ต่างหาก
.รูลเบนสายตาหนีไปทางอื่นพยายามตัดใจเมื่อเจ้าปากเฮงซวยดันคันยิกๆอยากถามใจแทบขาดตาม
ประสาคนช่างสอดรู้
.
แต่ถ้าในเมื่อ
.เรื่องนี้เป็นความลับถึงขนาดที่ชื่อยังไม่โผล่
.รายนามไม่เคยเห็นขนาดหน่วยงาน
ทหารหรือวัลฮัลลาที่เป็นส่วนหนึ่งของรูนยังไม่มีใครที่จะได้ยินชื่อหรือตัวงานแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นโครงงาน
เฉพาะของหน่วยวิจัย
หน่วยงานอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกันก็คงจะ
..ไม่อาจให้รู้ได้
ล่ะมั๊ง
รูลถอนใจคล้อยหลัง เห็นแล้วลำบากใจแทน
.การที่เด็กอายุสิบหกที่เพิ่งจะขึ้นม.ปลายต้องมารับ
ภาระอะไรต่างๆนานาที่เกินกำลัง
.การที่
บลิทซ์มีความสามารถและความรู้มากมายกว่าคนธรรมดาทั่วไป
เพราะการปูพื้นฐานที่ยัดเยียดให้อย่างเอาเป็นเอาตายตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อ
.เป็นหมากตัวหนึ่งบนกระดานที่กุม
ชะตากรรมของโลก
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นก่อนจะยิ้มบางที่มุมปาก
.ชะตากรรมของมนุษย์ทุกคนที่กำหนดเอาไว้ไม่มี
ทางเปลี่ยนได้
.ไม่มีทาง
.พยายามเดินตามสิ่งที่ไม่อยากทำมันก็เจ็บปวด
.ถึงแม้จะฝืนไม่ทำตามมันก็รัง
แต่จะเจ็บปวดมากกว่าเดิมเสียอีก
.มันเจ็บ
เจ็บทั้งสองทางโดยที่ไม่มีทางเลือกใดๆเลย แต่
สิ่งที่แบกรับ
อยู่มัน
.ก็สามารถแบ่งเบามาบ้างก็ได้นี่นา
.เขาคนหนึ่งล่ะ
.ที่ยอมสละบ่าเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของหมอ
นั่น..อย่างเต็มใจ
และเต็มความสามารถ
เขายอมเป็นเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานที่ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายโดยมีชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อคอยคุ้
มครองพระราชา ดีกว่าการที่ต้องเอาแต่ทนมองเห็นหมอนั่นเอาแต่จมปลักกับความผิดและความมืดหม่นแห่ง
โชคชะตาอยู่เฉยๆโดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้
..
ฉันน่ะนะ
.ฉันน่ะ
จะปกป้องนายเอง
บลิทซ์
.ฉันสัญญา
ร่างสูงที่เกินนำหยุดนิ่งก่อนจะหันมาทางรูล ชายหนุ่มหยุดนิดหนึ่งก่อนจะสาวเท้ายาวๆเดินขนาบ
คนที่เดินตาม "เขาบอกว่าคืนนี้จะมีงานเลี้ยงเต้นรำ ที่เป็นประเพณีต้อนรับนักเรียนใหม่ด้วยใช่ไหมครับ?"
บลิทซ์เอ่ยถามน้ำเสียงฟังดูเหนื่อยระอา
"ก็
น่าจะใช่นะ ทำไมเหรอ" รูลว่าตีสีหน้าครุ่นคิด "ได้ยินว่าที่วันนี้ไม่มีการเรียนการสอนเพราะจะ
ต้องจัดเตรียมงานเลี้ยงนี่"
ตามธรรมเนียมที่สืบต่อกันมานานของวัลฮัลลา วันแรกของเทอมจะมีงานเลี้ยงต้อนรับนักเรียนใหม่ที่
เพิ่งจะเข้ามาเรียนเป็นครั้งแรกและนักเรียนเก่าเพื่อรับวันเปิดเทอมของชั้นปีใหม่ เหตุเพื่อให้รุ่นพี่-กับรุ่น
น้องในแต่ละระดับทั้งนักเรียนเกรดความสามารถพิเศษสูงอย่างไวท์สูทและนักเรียนธรรมดาๆคือแบล็คฟอร์
มที่นานๆครั้งจะโคจรมาพอกันสักทีได้สนิทสนมกันไว้
.
"คืนนี้ผมขอไม่ไปไม่ได้เหรอครับ?" เสียงนุ่มๆเจือกระแสสั่นเครือ จนคนข้างๆสั่นศรีษะ ไม่ว่าจะ
ยังไงโรคเกลียดที่ๆมีคนมากของบลิทซ์ก็แก้ไม่หายสักที รูลสอดแขนคล้องระหว่างอกกว้างๆ ก่อนจะกล่าว
"ดูปากฉันดีๆนะบลิทซ์ ไม่ ได้" เสียงเข้มๆตอบเน้นย้ำคำตอบ บลิทซ์หลุบตาลงต่ำแอบถอนใจนึกปลงใน
สังขาร
งานเลี้ยง
ทำไม
ต้องเป็นงานเลี้ยง
.เต้นรำ
ด้วยล่ะ?
ท้องฟ้าสีมืดในยามราตรีกาล ช่วงเวลานี้ เวลาอันแสนเงียบเหงา และสงบงัน หากแต่คืนนี้ที่ดารา
รายเต็มฟ้า กลับแว่วเสียงคล้อยเบาๆแห่งคีตาแห่งบทบรรเลงเพลงชั้นเลิศ มวลละอองเกสรที่ถูกโอบอุ้มพัด
พลิ้วปลิวมาราวกับลงมาจากสรวงส่งกลิ่นหอมจางๆ ฝ่ามือบางๆยื่นออกไปด้านหน้ารับกลีบดอกไม้สีอ่อนที่
บรรจงลงมาสู่อย่างจับวาง
บลิทซ์ขยับรอยยิ้มจางๆก่อนริมฝีปากบางจะพ่นลมหายใจอุ่นส่งต่อให้กลีบดอกไม้พัดปลิวไปยังที่
ไกล
แสนไกล
.
ดวงหน้าคมหันไปยังบรรยากาศน่าอึดอัดของงานเลี้ยงที่บทเพลงคลาสสิคจากเครื่องดนตรีชั้นยอดเริ่ม
เล่นเพลงเปิดฟลอร์ เด็กชาย-หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาเริ่มจับคู่เดินออกไปเต้นรำกันกลางพื้นที่
กว้างๆสำหรับเป็นพื้นฟลอร์ บลิทซ์ลอบถอนใจอย่างปลงวิตก หลังจากเดินมาทั่วงานก็ตามหาเจ้าตัวดีที่คงป้อ
สาวทั่วงานจนขาแทบทรุด ใครกันที่อยากมาตัวแทบสั่นจนต้องลากเขามาเป็นเพื่อน ใครกันที่พอเดินเข้างาน
แล้วก็หายวับเข้ากลีบเมฆทิ้งให้เขาต้องอยู่คนเดียว
คำตอบง่ายๆ
รูล อบิสซอลล์ ไง
..
ฝ่ามือนุ่มๆสอดเข้ากระเป๋าเสื้อหยิบเอาหนังสือเล่มเล็กซึ่งฉวยมาจากชั้นหนังสือบนห้อง ที่มีชื่อว่า
'สารเคมีชีวภาพ' ขึ้นมาอ่านราวกับรู้ว่าต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ บลิทซ์ไล่สายตาอ่านไปเรื่อยๆจมอยู่กับตัว
หนังสือพลันเสียงดนตรีดังๆก็ค่อยจางลงเรื่อยๆ
.อยู่กับโลกส่วนตัวที่มีเพียงเขาเละหนังสือเท่านั้น
พลันโลกส่วนตัวก็พังทลายลงเมื่อฝ่ามือบางอ่อนนุ่มดึงฉวยหนังสือเล่มเล็กในมือเขาออก บลิทซ์กระหวัดตา
มองราวกับขัดใจก่อนจะชะงักค้าง
..
สตรีร่างเล็กในชุดสีขาวประกายชมพูมุข เสื้อแขนกุดเพยให้เห็นถึงผิวไหล่นวลเนียน กระโปรงสั้นๆ
สีเดียวกันจับจีบเป็นระบายพลิ้วๆดูสวยสง่า กับสายริบบิ้นยาวที่ผูกคล้องกันระหว่าอก คอเรียวระหงสวมด้วย
สร้อยคอไม้กลางเขนสีเงิน เส้นผมสีแดงพระเพลิงถูกมัดรวบเป็นหางม้าทรงสูงดัดเป็นลอนหยักศกราวเกลียว
คลื่น ทิ้งปอยผมด้าหน้าให้ปิดทับใบหูที่สวมต่างหูรูปหยดน้ำ ดวงหน้าหวานๆตกแต่งด้วยเครื่องสำอางอ่อน
ขับให้ความงดงามที่มีอยู่นั้นเพิ่มพูนเป็นทวี
"น
นอร์เฟรเซีย
.?" บลิทซ์กล่าวคำพูดที่อยากพูดถูกกลืนหายไปในลำคอ ยิ่งเมื่อมุมปากบากสี
ชมพูสวยขยับรอยยิ้มเขาก็รู้สึกราวกับตัวเองเป็นใบ้ถ้อยคำอันใดมิสามารถเอ่ยผ่านออกมาจากลำคอได้แม้แต่
น้อย
"มายืนเบื่ออะไรอยู่ตรงนี้กันคะ?" เสียงหวานๆกล่าวอย่างรื่นเริงโน้มหน้าเข้าใกล้ ก่อนจะประกบมือ
ขึ้นระหว่างอกราวกับนึกบางอย่างออก " ไปเต้นรำกันเถอะค่ะ"
ความคิดเห็น