คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : บทที่ 2 If The Sun Not Shine ตอนที่ 1 อัศวินแห่งแสงสว่างผู้พิทักษ์รูน (3/3)
“โธ่เอ๊ย! แรคเตอร์แกก็เอาแต่พูดว่าหน้าที่ๆ บอกไว้ก่อนเลยนะถ้าไม่ใช่เพราะท่านประธานฉันไม่ยอมเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงกับหุ่นกระป๋องที่เด็กใหม่มันสร้างพลาดหรอกนะ...ตกลงแล้วหน้าที่ของเฟิร์ส คอมแมนเดอร์ที่น่าภาคภูมิใจนักหนาเนี่ยคืออย่างนี่ใช่ไหมฟระ?” เธอว่าสั่นศีรษะอย่างหัวเสียส่วนเฟทพยักหน้ารับหงึกงักเพราะนี่เป็นเรื่องเดียวตั้งแต่ที่รู้จักกับเซเรน่ากระมังที่เขาเห็นด้วย
แรคเตอร์มุ่ยหน้าลงจนอยากฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยด้วยความนึกปลงในตัวเอง...
โทษทีนะแต่...เรื่องนี้ฉันก็เห็นด้วยเหมือนกัน...
รถจี๊ปสีดำสนิทที่เป็นตอนนนี้กลายสีเทาอมแดงจากฝุ่นทรายที่เล่นเอาเจ้าของต้องนิ่วหน้าลงเพราะต้องทำความสะอาดรถต่อจากนี้ ค่อยๆ จอดเทียบหน้าอาคารที่ไม่ถึงสิบตารางวามีลักษณะคล้ายๆ บ้านหลังเล็กที่ให้คนนั่งๆ นอนๆ ระหว่างพักประจำการอย่างแออัดถึงสี่คน จนเฟทเองยังเคยเปรยๆ ไว้เคยว่าแคบกว่าบ้านสุนัขซะอีก
คนที่ก้าวลงมาคนแรกคือเซเรน่า เธอสอดสายตามองจนทั่วราวกับกำลังหาใครสักคนก่อนจะหันไปทางชายผมแดงที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ “เฟทนายเห็นน้องชายฉันไหม? ตั้งแต่วันนี้ฉันยังไม่เห็นเลย ”
เฟทนิ่วหน้าลงอย่างเห็นชัดด้วยความหมั่นไส้แล้วค่อยๆ ตอบ “ถ้าหมายถึงเจ้ารูลล่ะก็ ตั้งแต่เข้าประจำการเตอนช้าเสร็จก็สลบไม่เป็นท่าอยู่บนเตียงน่ะแล้วอีกอย่าง...มันเป็นน้องชายนายแต่ได้เมื่อไร่วะ”
“ก็น้องร่วมสถาบันไงยะ...รูลเขาน่ารักจะตายไม่มีใครไม่อยากได้รูลเป็นน้องหรอกย่ะ” เฟทแสยะยิ้มพลางหันหน้าไปทางอื่นบ่นอุบอิบรอดไรฟันที่จับการขยับปากได้ว่า ‘ก็ฉันไง’
แรคเตอร์ถอนใจยาวพลางควงกุญแจสักรอบครึ่งก่อนจะยัดลงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินนำหน้าสหายศึกทั้งสองคนเดินเข้าป้อมประจำการของตัวเองไป เขาดึงถุงมือออกก่อนจะวางนิ้วเรียวยาวลงบนแป้นแสกนนิ้วมือเพื่อให้ประตูเปิดแล้วพยักพเยิดหน้าบอกเฟทกับเซเรน่าให้เข้าไปข้างใน
นายทหารสามคนเดินเข้ามาในห้องพักก่อนเฟทจะเปิดไฟห้องที่มืดมิดเพราะเจ้าคนที่มาอยู่ก่อนเล่นเอาแต่นอนอย่างเดียวจนไม่สนใจอย่างอื่น ฉับพลันที่หลอดไปนีออนติดส่องแสงสว่างทั่วห้อง ร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงทั้งที่ยังไม่ได้ถอดเครื่องแบบและรองเท้าค่อยๆ เหลือบเปลือกตาขึ้นน้อยๆ ก่อนจะพลิกตัวเข้าหากำแพงแล้วเอาหมอนขึ้นมาปิดตาด้วยเพราะรำคาญแสง
เมื่อเฟทเห็นท่าทีดังนั้นจึงกระโดดขึ้นเตียงยืนคร่อมค้ำหัวด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะประเคนเท้าหนักๆ ลงเข้ากลางสีข้างของเด็กหนุ่มรุ่นน้องแบบเต็มๆ จังๆ ไม่มีผ่อนจ่าย จากเวลาที่รู้จักกับมันมาสี่ปีเขารู้ว่าเจ้าน้องของเขาคนนี้เวลานอนมันตื่นยากสักแค่ไหน...ถ้าไม่แรงให้ถึงใจ...ก็ไม่มีวันตื่น
“เจี๊ยกกก!!!” เสียงสบถร้องไม่เป็นภาษาคนของรูลแสดงความเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี เขาลุกพรวดพราดขึ้นมาเสียจนร่างสูงที่ยืนค้ำอยู่ตกใจจนเซล้มลงกลิ้งตกเตียง...อย่างที่เขาเรียกว่ากรรมตามทันติดจรวด...ชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาลเปลือกไม้ตัวงอกุมสีข้างที่ความเจ็บปวดแล่นจี๊ดๆ จนน้ำตาไหลเล็ดออกจากเบ้าก่อนจะเงยลำคอขึ้นแล้วตะโกนร้องดัง
“มันเจ็บนะเว้ยเฮ้ย ไอ้คุณพี่เฟท!!!”
เฟทลุกขึ้นมาจะท้ายเตียงพลางคลำศีรษะป้อยๆ เพราะลงกระแทกพื้นเข้าเต็มแรงก่อนจะพุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหันไปมองตาเขียวใส่แรคเตอร์กับเซเรน่าที่หัวเราะกันคิกคัก
“ถามหน่อยเถอะ รูลแกไปทำอะไรมาวะถึงได้เครื่องถึงได้ Error ซะขนาดนี้
.หรือว่า...” น้ำเสียงกล่าวยืดยาวและยานคางดวงหน้าคมเข้มเจือประกายความเจ้าเล่ห์อย่างคิดลึกถึงเรื่องแปลกๆ ...ก่อนคนถูกมองจะร้องขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำลามขึ้นไปจนถึงใบหู
“หยุดคิดเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้พี่บ้า ! ไอ้คนลามกเอ๊ย ! ” รูลร้องเสียงลั่นพลางคว้าหมอนรอบๆ ตัวปาใส่เฟทที่กำลังหัวเราะหน้ารื่นจนน่าหมั่นไส้ และเมื่อรู้สึกว่าหมอนนั้นมันนิ่มเกินไปสำกรับคนหน้าหนาอย่างรุ่นพี่หัวแดงเขาจึง...
“เฮ้ยๆๆๆ อย่านะเว้ยไอ้รูล ส้นคอมแบทน่ะมันทำให้หัวแตกได้นะเฟ้ย !” เสียงร้องหน้าจากเฟทเมื่อเห็นรูลตั้งท่าจะถอดรองเท้าปาใส่ เมื่อถูกห้ามเด็กหนุ่มจึงรูดซิปรองเท้าขึ้นกระแทกส้นลงพื้นเด็กหนุ่มเอามือกอดกันระดับอก “แล้วเมื่อไร่พวกพี่ๆ จะเลิกเอาห้องของผมมาเป็นแหล่งกลบดานสักทีเนี่ย...”
“ก็...จนกว่าจะปลดประจำการไม่ก็เกษียณเลยล่ะมั้ง” เฟททว่าก่อนจะก้มตัวลงเก็บหมอนข้างโยนลงกับเตียง “ก็ห้องของแกมันใกล้ที่สุดเลยนี่นาทำไงได้ล่ะ” รูลสั่นศีรษะอย่างเอือมระอาระคนหัวเสียแล้วก้มลงคว้าหมอนที่ตกอยู่แสร้งทำทีเป็นเก็บทั้งที่จริงจงใจเอาขึ้นมาขว้าง...จะเล่นทั้งที...มันก็ต้องทีเผลอนี่ล่ะวะ
หากแต่ว่า....เฟทที่หลบทันเพราะจับทางได้อย่างหวุดหวิดจึงทำให้หมอนใบนั้นพุ่งตรงเข้าอัดหน้าของคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างจัง...
โผล๊ะ!!ตุ้บ!
“อูย...” เสียงครางเบาๆ ด้วยความเจ็บปวดจากเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ เขาปิดดวงเนตรสีน้ำเงินเข้มลงคลำจมูกโด่งสันที่ขึ้นสีแดงด้วยแรงอัดกระแทกจากของต้อนรับอันไม่น่าพึงประสงค์ บลิทซ์วางสิ่งของที่ถืออยู่ก่อนไว้กับพื้นแล้วทรุดตัวลงนั่งยองๆ ที่หน้าประตู
“ว้าย!!ท่านประธาน!” เซเรน่าร้องพลีพลามตรงเข้าไปหาบลิทซ์แล้วประคองให้ลุกขึ้น หญิงสาวหันขวับค้อนมาทางเฟทนัยน์ตาสีนิลดำขลับจ้องมาเจือกระแสขุ่นเขืองอย่างไม่เก็บ “ไอ้บ้าเฟทแกดูดิ!ทำท่านประธานเจ็บเลยเห็นมั๊ย”
เฟทมุ่ยหน้าลงขมวดคิ้วแน่นพลางสบถขึ้นดังๆ อย่างรำคาญใจ
คนที่ทำน่ะมันน้องรักแกต่างหาก....
“ม...ไม่ต้องเรียกนำหน้าผมว่า ‘ท่านประธาน’ ก็ได้ครับ” คำตอบใสซื่อจากเด็กหนุ่มแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะหยิบถุงข้างตัวแล้วชูขึ้นเผยให้เห็นถึงกล่องกระดาษทรงสี่เหลี่ยมแบนสีน้ำตาลฝางสลับกับแดงสองกล่องพร้อมกับเครื่องเคียง เมื่อเห็นรูลถึงกับตาลุกวาวเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องก่อนจะรีบดี๊ด๊ารับถุงนั้นมาวาไว้บนโต๊ะตั้งตัวเล็กๆ กลางห้องแล้วนั่งลง
“โห...บลิทซ์ เจ้าคุณชาย...เล่นสั่งพิซซ่ามาประเคนถึงห้องเลยเหรอ”
“ก็เพราะว่าผมรู้น่ะสิครับว่ารูลต้องหลับทั้งวันจนไม่มีอะไรตกถึงท้องเพราะอิ่มนอน” บลิทซ์ว่าพลางถอนใจยาวเมื่อมองเจ้าเพื่อนสมัยเด็กแกะกล่องพิซซ่าแล้วเริ่มลงมือสวามปามเข้าปากอย่างไม่เกรงใจ
“โธ่ ! บลิทซ์...ก็เมื่อวานฉันใช้พลังเวทมากจนเหนื่อยนี่นา...ไม่เห็นใจหนูน้อยตัวดำๆ เอ้ย!!ตาดำๆ บ้างเลย เหรอ...อุ๊กส์!!!” รูลบ่นอุบอิบก่อนจะโดนฝ่ามือของคนซื้อของมาประเคนคว้าพิซซ่ายัดเข้าปากเพราะรำคาญ บลิทซ์ถอนหายใจอีกรอบก่อนจะยกข้อมือขึ้นมาเพื่อดูเวลาจากเรือนนาฬิกา แล้วหันไปยิ้มบางๆ ให้กับนายทหารระดับสูงทั้งสาม
“พวกพี่ๆ มาทานด้วยกันไหมครับผมสั่งมาเพื่อด้วยนะ นี่ก็เที่ยงพอดีแล้วด้วย”
เมื่อสิ้นคำเซเรน่านั่งลงตรงมุมหนึ่งของโต๊ะก่อนจะหยิบพิซซ่าจากในกล่องมาหนึ่งชิ้น มือบางดึงแรคเตอร์ลงมานั่งข้างๆ แล้วชิงยัดเข้าปากชายหนุ่มก่อนที่จะถูกสวดเรื่องมารยาท ส่วนเฟททำท่าอึกอักด้วยเพราะเกรงใจเจ้านายแต่พลันเมื่อเห็นว่าบลิทซ์จะนั่งลงกับพื้นจึงรีบกระวีกระวาดหาฟูกมาให้เด็กหนุ่มรองนั่งตอนแรกบลิทซ์ก็ทำท่าว่าจะไม่เอาแต่สุดท้ายเมื่อถูกคะยั้นคะยอจึงรับมารองอย่างเสียไม่ได้
แล้วเมื่อเห็นว่าเจ้านายนั่งลงแล้วแล้วตัวเองจึงนั่งลงตามขนาบข้าง
ช่างวุ่นวายจนดูไม่เหมือนผู้นำทัพทหารกับประธานองค์กรเลยสักนิด...
แต่ว่าพอเป็นแบบนี้...ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาเป็นแค่...เด็ก...ธรรมดาๆ ...เท่านั้น...
“ว่าแต่รูล นายไปทำอะไรมาเหรอถึงได้สภาพเหมือนซอมบี้กึ่งสำเร็จรูปซะขนาดนั้นน่ะ” แรคเตอร์เอ่ยถามเมื่อดึงพิซซ่าที่ถูกเซเรน่ายัดให้ออกมา รูลหันมามองทหารรุ่นพี่สักพักก่อนจะยัดคำสุดท้ายเข้าปาก
“ก็ไปล่าผีน่ะ...เมื่อคืนเลยนอนได้แค่ชั่วโมงครึ่งก่อนเข้าประจำการเอง”เด็กหนุ่มพูดน้ำเสียงเหนื่อยเมื่อคิดถึงก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องเมื่อคืนนี้ทั้งหมดให้ฟัง
.
แล้วหลังจากนั้นก็...
“อุ๊ส์ ! ...ฮ่าๆๆๆ ” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของบรรดารุ่นพี่แม้กระทั้งเซเรน่าที่ถือหางรูลอยู่ก็ตาม
“โอ้ย รูลเอ๊ย ! แกนี่น้า...ยังอุตส่าห์อดหลับอดนอนตามสาวถ่อไปหาเรื่องที่ตัวเองกลัว ถามหน่อยเถอะแกบ้าเปล่าวะ ” เฟทพูดน้ำเสียงหยันพลางกระแทกมือขยี้เส้นผมสีเปลือกไม้แก่แรงๆ อย่างหมั่นเขี้ยว
“โธ่ พี่เฟท...พี่ก็รู้...ผมแพ้ผู้หญิงจะตาย” รูลเอ่ยเสียงแก้ตัวพลางปัดมือของเฟทออกจากศีรษะ
“นั่นสินะฉันก็ลืมไป ว่าจุดอ่อนของแกคือ เงิน น้ำ น้ำตา เรียนหนังสือและผู้หญิง” ชายหนุ่มผมแดงเอ่ยพลางทอดดวงเนตรสีเขียวใบไม้ไปมา
“ว่าแต่ผมแล้วพวกพี่ล่ะไปทำอะไรมา ถึงได้โทรมซะขนาด”
“จะอะไรล่ะนอกจากงานประจำ จัดการตามเช็ดก้นของพวกมือใหม่...รู้ไหมกว่าจัดการได้...เกือบตาย” เฟทเอ่ยก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่เขาจะต้องจำไปจนวันตายว่าเขาเกือบจะมีหน่วยวัดเป็นไมโครกรัมเพราะหุ่นยนต์สูงเท่าตึก 5 ชั้น...
“เห...มีเรื่องอย่างนั้นกันด้วยเหรอครับ” บลิทซ์เอ่ยน้ำเสียงนุ่มติดความซื่อด้วยเพราะไม่รู้เรื่องอะไรหรือไม่ก็เพราะว่าพวกเขาไม่เคยเขียนรายงานประจำวันส่งไปที่หน่วยงานก็ได้กระมัง...ท่านประธานคนเก่งจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“เอ่อ...คราวหลังผมจะเขียนรายงานส่งให้นะครับ” เฟทว่าก่อนจะอมยิ้มแหยๆ
“ว่าแต่ไอ้เรื่องล่าผีที่โรงเรียนนี่สุดท้ายก็อุปทานกันทั้งนั้นเลยเนอะ” แรคเตอร์ว่าเพื่อพูดเปลี่ยนหัวข้อเมื่อเห็นรูลทำหน้าเหยเกราวกับจะบอกว่า ‘ทำไมไม่ชวนผมไปด้วย’ พลางเอามือวางประสานกันบนโต๊ะแล้วยื่นดวงหน้าคมเข้มเข้ามาในวงสนทนา
“ใช่ฮะๆ ” รูลสมทบพลางหยิบพิซซ่าชิ้นที่สามออกมาจากถาด “อย่าเรื่องเสียงเปียโนข้อสามนั่นก็เพราะมีนักเรียนเข้ามาแอบซ้อม คนที่มาได้ยินเข้าเปิดประตูห้องดูไม่เห็นใครเพราะคนเล่นกลัวว่าถ้าใครเห็นจะถูกลงโทษเพราะทำผิดกฎเลยแอบอยู่ใต้ลังเปียโน ไอ้คนเห็นมันก็ตกใจจนไม่ดูซะก่อนก็เลยทึกทักเอาเองเลยว่าเสียงเปียโนผี” พูดเสร็จก็หัวเราะ
“แล้วก็เรื่องที่ 4 เรื่องโครงกระดูกนั่นก็...” รูลพูดเสียงยานก่อนที่บลิทซ์จะรีบชิงอธิบายเสียก่อนด้วยรำคาญลีลา
“เหตุที่โครงกระดูกขยับได้เป็นทฤษดีลมอย่างเดียวกับในข้อสองครับเพราะมีช่องจากบางหน้าต่างที่ติดกันอยู่จึงทำให้ลมสะท้อนจนโครงกระดูกที่ปิดทับช่องนั้นไว้เคลื่อนไวตามแรงลม”
“เรื่องที่ 5 ก็คล้ายๆ ข้อ 3เหมือนกันฮะ มีนักเรียนหอแอบเอาชอล์กขีดเส้นสนามมาวาดเล่นเพราะเจ้าตัวบอกว่าเป็นสัญลักษณ์เรียกยูเอฟโอ เล่นเอายัยนั่นสนอกสนใจคุยกันซะถูกคอกันตั้งนานจนต้องนั่งปัดยุงรอ” ดวงเนตรสีแดงหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะเท้าคางกิน “ข้อ 6 บลิทซ์นายอธิบายทีสิ”
บลิทซ์เงยหน้าขึ้นก่อนจะหยิบทิชชู่ออกมาหนึ่งแผ่นแล้ววางซ้อมพลาสติกลงบนนั้นเพรากลัวโต๊ะเปื้อน “ข้อ 6 เรื่อง ก๊อกน้ำน่ะเหรอครับ?” รูลพยักหน้ารับเนื่องจากไม่สามารถพูดได้เพราะของกินเต็มปาก
“เรื่องก๊อกนั้นที่เป็นสีอมแดงมันเกิดจากสนิมครับ ก๊อกน้ำที่ข้างสนามนั้นไม่ได้เปิดใช้มานาน สนิมเลยขึ้นพอมีคนมาเปิดปุ๊บน้ำก็เลยกลายเป็นเป็นสีแดงๆ พอสะท้อนกับแดดมันก็ยิ่งเป็นสีเข้มจนเหมือนเลือดเนื่องจากผ่านปากก๊อกที่เต็มด้วยเศษสนิมยังไงล่ะครับ”
“โห...แต่ละเรื่อง” เซเรน่าลากเสียงยาวพลางเอาสองมือเกยคางมล “มีแต่ความเข้าใจผิดกันทั้งนั้นเลย เสียดาย...ที่ยังไม่ได้ไปพิสูจน์ข้อ
“ขอโทษนะครับแต่ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ” เขาว่าพลางชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือที่ชูขึ้นหันหน้าปัดออกให้ดู รูลมุ่ยหน้านิ่วราวกับนึกไม่พอใจสักเท่าไร่ เด็กหนุ่มจึงรีบยัดพิซซ่าครึ่งชิ้นที่เหลือเคี้ยวตุ้ยๆ แล้วกลืนลงคอ
“เพิ่งเที่ยงครึ่งเองไม่ใช่เหรอกว่าจะหมดเวลาพักเที่ยงก็อีกตั้งชั่วโมง” รูลว่าพลางสั่นศีระษะไปมาแล้วเงยหน้ามองบลิทซ์
“ผมยังเหลือเอกสารที่ต้องเซ็นอีกน่ะครับ พอเสร็จแล้วก็ต้องไปคุมงานพัฒนาไคซาส ตรวจสอบระบบอิมเมเทตเพียวน์ จัดพังสร้างเครื่องยนต์แฟนธ่อม วาลดิโอ รุ่นใหม่ที่หน่วยแมคคานิค CN13 จากนั้นก็ไปเข้าศูนย์วิจัยทดลองการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อเพิ่มจำนวนสัตว์อนุรักษ์ด้วย เอ่อ...แล้วก็...” บลิทซ์พึมพำไล่ปลายนิ้วมือนับงานที่ต้องทำในวันนี้ที่เยอะจัดเสียจนรวมนิ้วเท้าหรือต่อให้ยืมมือคนอื่นนับก็ไม่หมด รูลจึงยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกให้หยุดเพราะเริ่มขี้เกียจฟังงานที่ยุ่งรัดตัวมากกว่าดารา เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนขนาบข้างเจ้าชายแห่งรูน
“งั้นก็รีบไปเถอะเดี๋ยวไปส่ง”
ทันทีที่บลิทซ์กำลังจะอ้าปากพูดคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ รูลก็ขยิบตาส่งซิกบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยพลางดันหลังร่างสูงให้ออกจากห้องโดยปัดมือไล่ทิ้งพี่ๆ ให้นั่งตั้งวงกินพิซซ่าต่อไปด้วยสายตางุนงง เมื่อก้าวพ้นออกไปนอกห้อง ดวงเนตรสีแดงเลือดจึงเห็นรถสีเงินดูภูมฐานมีราคาสมฐานะที่จอดอยู่หลังรถจี๊ปสีดำมอซอเพราะฝุ่นดินแดงของแรคเตอร์เสียจนอดนึกเปรียบเทียบไม่ได้
“ไม่มีสารถี...นายขับรถมาเองเหรอ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อทอดมองในรถแล้วไม่มีคนขับรถให้เจ้าเพื่อนคุณชายของเขาอย่างปรกติ บลิทซ์พยักหน้ารับก่อนจะหยิบการ์ดที่เป็นกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงเครื่องแบบเพื่อเป็นการบอกว่าเขาขับมาเอง...ที่จริงคงต้องบอกว่า ‘แอบ’ ขับมาเองซะมากกว่าอย่างที่เข้าใจ
“แล้วเรื่อง...ที่จะคุยน่ะครับ”
รูลตีสีหน้ายุ่งเมื่อโดนทวงคำถามเด็กหนุ่มเอนตัวพิงผนังแล้วกอดอก พลางเอามือลูบเบาๆ ที่ปลายคางใต้ดวงหน้าคมเข้ม “ ที่ว่ากันไม่ให้ออก...หมายถึงใครนะ...เจ้าเนี๊ยวหรือเปล่า” บลิทซ์นิ่งชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆ ขยับริมฝีปากบางขึ้นน้อยๆ
“คงงั้นมั้งครับ...ผมว่าต้องกันทั้งไม่ให้ออกไม่ให้เข้าแหละครับเพราะว่าอาจารย์เขามีไคมิร่าแอนนิมัลล์ร่างสมบูรณ์อยู่ด้วย...ก็ต้องความคุมเรื่องการป้องกันเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครรบกวน ถึงผมจะสงสัยอยู่หน่อยๆ ก็เถอะครับว่าเขาเอาคุณเนี๊ยวออกมาได้ยังไง”
“ให้ตายสิ ยัยนั่นไม่พูดอะไรเลย...พูดแค่ ‘ถ้ามันถึงเวลา ดิฉันจะอธิบายให้ฟัง...ด้วยตัวเอง’ ว้อยยย ไอ้เวลาที่ว่านะมันเมื่อไร่วะ แถมยังไม่ทันพูดอะไรมากเลยก็เอาเรื่องทัณฑ์บนมาขู่ นี่มันอะไรกันวะเนี่ย!!!” รูลร้องดังพลางใช้ฝ่ามือใหญ่ขยี้ผมตัวเองแรงๆ ก่อนจะรีบเก็บเสียงเมื่อเพิ่งฉุกขึ้นว่าข้างในยังมีรุ่นพี่ของเขานั่งกันหน้าสลอน บลิทซ์สั่นศีรษะเบาๆ แทนคำตอบ
“ก็...ไว้ถึงเวลา...เขาก็จะบอกเองแหละครับ” แม้คำพูดจะดูนิ่งเฉยแต่ก็แฝงไปด้วยความสงสัยและครุ่นคิดอยู่ไม่น้อยในน้ำเสียง
จะเมื่อไรก็คงจะขึ้นอยู่กับเขา...นั่นแหละ...ทุกๆ อย่าง...มันต้องมีเหตุผล...ด้วยกันทั้งนั้น...เพียงแต่ต้องอยู่ที่เจ้าตัวด้วย
‘เมื่อถึงเวลา...สลักกลอนทุกอย่างก็จะคลี่คลายด้วยตัวของมันเองนั่นแหละ...บลิทซ์’
เสียงหวานอ่อนโยนเสียงหนึ่งตอบคำถามกลับมา แม้ว่าจะบางเบาเสียจนกลืนหายไปกับสายลมจนไม่สามารถสัมผัสเข้าสู่โสตของผู้ใดเลย...ก็ตาม
“อ๊ะ!!” บลิทซ์ร้องวางมือประกบกันระดับอกราวกับเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก “วันพรุ่งนี้รูลว่างไหมครับ” คนถูกถามตีคิ้วยุ่งก่อนจะโบกมือพลัดๆ ไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
“ไม่อ่ะ...ไม่มีหรอก...พรุ่งนี้ฉันไม่ต้องไปเข้าประจำการที่หน่วย...ถึงมีก็จะโดด...ทำไมเหรอ?”
“อย่างนั้นก็ช่วยตื่นให้เร็วกว่าเดิมสักชั่วโมงได้ไหมครับ...ผมคิดว่า 9 โมงเช้านายคงตื่นได้...ใช่ไหมครับ” น้ำเสียงที่กล่าวท่อนสุดท้ายดูเน้นย้ำหากแต่รูลกับทำคิ้วขมวดมากกว่าเดิมด้วยความสงสัยกึ่งๆ จะไม่พอใจเรื่องที่จะต้องให้ตื่นไวกว่าปรกติ
“ไหน...พรุ่งนี้มีเรื่องอะไรหึ ! นายถึงได้มาตัดทอนเวลานอนอันแสนมีค่าของฉันไปตั้งชั่วโมง”
“อา...” น้ำเสียงนุ่มทอดยาวด้วยเพราะแปลกใจจนเกือบเหวอรับประทาน “ลืมนัดวันพรุ่งนี้ไปแล้วอย่างนั้นเหรอครับ” รูลเลิกคิ้วเรียวสีเข้มเหนือดวงจักษุสีแดงเลือดขึ้นเป็นเชิงถาม
“หือ...ลืม?...นัด?...ตกลงคืออะไรกันแน่อ่ะเจ้าคุณชาย?”
บลิทซ์สูดลมหายใจเข้าปากแรงๆ ทดแทนที่ลอบถอนออกไปหลายๆ รอบก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ย
“ก็พรุ่งนี้นอร์เฟรเซียเขาชวนเราไปเที่ยวบ้านยังไงล่ะครับ”
ความคิดเห็น