คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 5 Back to black
กรี๊ดดด!!!
ซาคัสสะดุ้งตัวตามเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมาอย่างชัดเจนท่ามกลางฝนตกหนักอีกครั้งราวกับตอกย้ำถึงภัยอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา ดวงหน้าเยาว์ที่คลายลงกลับมีรอบเครียดเกิดขึ้นมาอีกครั้ง เด็กชายก้มตัวผูกโซ่คล้องกุญแจมือของเซกัลล์เข้ากับเสาไฟฟ้า มณีสีไพลินกระหวัดมองกลุ่มคนที่เหลือแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้วิ่งตามกัน โดยมีเฟนริร์ควบเท้านำ
“บ้าชะมัด! ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะก่อคดีติดๆ กันแบบนี้!” ซาคัสตะคอกเสียงใส่ตัวเองด้วยถ้อยคำสบถที่ทำให้คนที่เหลือพาแปลกใจกับสิ่งที่เขาพูดออกมา
“มัน...?” วิลเลี่ยมทวนคำ ชายหนุ่มชะงักตัวไปครู่ด้วยความตกใจในสิ่งที่ตัวเองรับรู้จากปากของร่างตรงหน้าก่อนจะเริ่มละลักละล่ำพูดด้วยหวังว่าสิ่งเขากำลังคิดอยู่นี้มันจะไม่ใช่เรื่องจริง “ม...หมายถึงแจ็ค เดอะ ริบเปอร์...”
“ก็ใช่น่ะสิ!” ซาคัสกระแทกเสียงตอบอย่างไม่ใส่ใจ นึกหัวเสียกับความสามารถในฐานะมนุษย์ของตัวเองขาสั้นๆ นี่มันวิ่งได้ไม่ทันใจเอาเสียเลย
“บ้าน่าก็นายจับได้แล้วไม่ใช่เหรอไง” ชาร์ล็อตเค้นเสียงพูดสวนขึ้นมา การวิ่งแข่งท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักมันเป็นสิ่งที่ไม่พิสมัยพอๆ กับการที่ต้องว่ายน้ำในที่ตื้นแค่เข่าถึง ยิ่งจะวิ่งแรกผลักกระแทกของลมฝนก็จะยิ่งต้านรั้งเอาไว้และกลืนกินแรงของตัวเขาเอง
“ถ้าหมายถึงคุณหมอล่ะก็ไม่ใช่ตัวจริงหรอก” ซาคัสตอบถ้าไม่ติดที่ว่าต้องรีบเจ้าตัวก็อยากจะระบายความโมโหใส่กำแพงข้างๆ ตัว “นั่นน่ะก็แค่เอาหนังเสือมาสวมเท่านั้นแหละ”
“หนังเสือ?” วิลเลี่ยมทวนคำหากแต่ไม่ทันได้ทำอะไรต่อคุณหนูตัวเล็กก็โวยเสียงเขียว
“โวย! ช้าชะมัดไม่มีทางที่ไปไวกว่านี้เลยเหรอไงกัน...!?” เสียงที่แหกร้องไม่ทันจบดีอยู่ๆ ฝ่าเท้าก็ลอยหวือขึ้นจากพื้น ดวงตาสีน้ำเงินเบิกขึ้น รับรู้ถึงความอบอุ่นจากร่างที่แนบชิด ดวงตาสีน้ำเงินเข้มกระหวัดมองเจ้าของแผ่นอกที่โอบอุ้มเขาไว้แล้วพาตัวเขาวิ่งไปพร้อมกัน
“ทำอะไรน่ะ ฟาส?” เสียงเล็กเอ่ยถามอย่างงุ่นงงก่อนที่ดวงตาสีเขียวใสจะก้มลงมาทอดมองพร้อมรอยยิ้มระบายบนใบหน้าคมคาย
“ที่ๆ เฟนริร์มุ่งไปคือจตุรัสมิตรครับ” ฟราเรสว่าก่อจะจัดการอุ้มนายน้อยในท่าทางที่ถนัดกับการวิ่งมากที่สุด “ถ้าไปทางตรงจากเบอร์เนอร์นั้นต้องใช้เวลาราวสิบนาที” ได้ยินเสียงร่างในอ้อมกอดเดาะลิ้นอย่างไม่พึงพอใจกับระยะเวลาที่มันมากเกินไป เจ้าของเส้นผมสีดำขลับขยับยิ้มก่อนจะ...
วิ่งเลี้ยวเข้าไปในอีกตรอกหนึ่งซึ่งเป็นคนละทาง!!
“จะ...จะไปไหนน่ะ!” ซาคัสส่งเสียงดุใส่พ่อบ้านหนุ่มแต่กระนั้นฟราเรสก็ยังนิ่งวิ่งต่อไปไม่หยุด
“ทางลัดครับ” เสียงทุ้มเอ่ยนิ่งๆ ก่อนที่ร่างโปร่งจะกระโดดขึ้นบนกำแพงอิฐหยาบๆ ที่สูงเกือบสองเมตรโดยให้กล่องลังที่วางกองแถวนั้นเป็นฐาน แว่วเสียงหัวเราะจากตัวพ่อบ้านหนุ่ม “คุณหนูอย่าลืมสิครับ ว่าผมเป็นเด็กที่โตมาในโบสถ์ขาวน่ะ”
ซาคัสก้มหน้าหงุดลงกลับเสื้อสูทพ่อบ้านสีดำสนิท
ไม่ได้ลืม...
แต่แค่ไม่อยากให้นึกถึงต่างหากล่ะ
“หวา...คุณฟราเรสเร็วเกินไปแล้วนะครับ” วิลเลี่ยมพูดเสียงปนหอบอย่างพยายามวิ่งตามร่างของพ่อบ้านหนุ่มซึ่งวิ่งทิ้งห่างไปจนเห็นเป็นเพียงเงารางๆ
“แหม...อุ้มนายน้อยวิ่งด้วยท่าเจ้าสาวซะด้วยสิ” ชาร์ล็อตพูดน้ำเสียงระรื่น ชื่นบานจนดูไม่เหมือนคนที่กำลังวิ่งเลยสักนิด...น่าจะพูดให้ถูกคือเห็นหน้าแล้วเดาไม่ออกว่าไม่เหนื่อยหรือต่อมเหงื่อไม่ทำงานกันแน่ “ร้ายไม่เบาเลยน้า...คุณพ่อบ้าน”
“นั่นสิครับ” วิลเลี่ยมพูดตอบชาร์ล็อตก่อนจะสะดุดกึกนิ่งไปครัน ชายหนุ่มหันไปส่งเสียงดุใส่ กับคำพูดแพลงๆ ไม่เข้าท่าแถมยังไม่เข้ากับสถานการณ์อีกต่างหาก “มันใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ซะที่ไหนล่ะครับ! ”
วิลเลี่ยมชะงักเท้าเล็กน้อยราวกับโสตประสาทจะได้ยินเสียงผิวปากเบาๆ ลอยมาตามสายลมทันทีกับที่เงาร่างของหมาป่าดำเฟนริร์ซึ่งหายไปโฉบมาควบนำหน้าพวกเขาราวกับจะนำทางให้ ดวงตาสีดำใสที่เบิกขึ้นด้วยความแปลกใจค่อยๆ หรี่ลดลงก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้ม
เสียงผิวปากของคุณซาคัสสินะ?
“เรียกเฟนริร์มานำทางพวกคุณวิลเลี่ยมเหรอครับ?” ฟราเรสส่งเสียงถามคุณหนูท่ามกลางลมปะทะจากการวิ่งก่อนที่ซาคัสจะพยักหน้ารับช้าๆ
“ก็นายเล่นไม่รอเจ้าพวกนั้นเลยนี่นา...ได้ร้อยเอาหนึ่งเชื่อเลยว่าเจ้าวิลล์มันต้องหลงชัวร์” ซาคัสว่าไหวไหล่บางน้อยๆ ก่อนจะเกือบส่งเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจเมื่อฟราเรสกระโดดลงจากกำแพงสูงสู่พื้นดินแบบไม่ทันตั้งตัว
ห...หัวใจจะวาย เล่นโดดหวือลงมาแบบไม่บอกกล่าวกันเลย!!!
แสงสว่างจากโคมดวงไฟเก่าคร่ำคร่ากระพริบหรี่ลงราวกับถูกความมืดมิดจากเงาฝนกลืนกินไปเสีย ทันทีที่พื้นรองเท้าแตะลงกับอิฐหยาบเจิ่งนองน้ำฟราเรสค่อยๆ วางร่างเล็กของเจ้านายลงอย่างแผ่วเบา
ดวงตาสีน้ำเงินไพลินกระหวัดหันมองรอบตัว แอ่งน้ำเจิ่งนองรอบตัวแผ่เป็นวงกว้างยาวฝ่าเท้าก้าวเหยียบย่ำ...การอยู่ก้ำกึ่งระหว่างแสงสว่างกับความมืดมิดเรียกให้รู้สึกอึดอัดยุ่งยากใจอย่างบอกไม่ถูก เสียงรองเท้าดังเบาๆ ท่ามกลางความเงียบสงบยามราตรี
เงียบเกินไปหรือเปล่านะ...?
แว่วเสียงฝีเท้าที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นในโสตประสาท ซาคัสหรี่ดวงตาคู่สวยลงเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจวิ่งไปด้วยสัญชาตญาณลางสังหรณ์ของตนเอง
ซาคัสชะงักเท้าที่กำลังวิ่งของตัวเองลงเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับหมวกฟางสีดำที่ตกอยู่ใกล้ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเพ่งมองตรง เจ้าของดวงหน้าเยาว์ติดรอยเครียดหนัก
เพิ่งจะรู้สึกเกลียดลางสังหรณ์ของตัวเองก็วันนี้นี่แหละ
ลูกปัดสีดำสนิทตกกระจาดกระจายออกจากสายร้อยเกลือนกลาดเต็มพื้นสีเลือด เส้นเลือดปูดโปนในดวงตาสีฟ้าเข้าเบิกค้าง ลำคอยาวถูกกรีดจากขากรรไกรล่างจนถึงไหปลาร้า กระโปรงยาวสีฟ้าและผ้ากันเปื้อนขาวถูกย้อมด้วยเลือดถกให้เห็นถึงลำแผลภายในที่ถูกควักจนลำไส้โชกเลือดปลิ้นออกมาจะบาดแผลมั่นใจว่าภายในนั้นต้องไร้ซึ่งมดลูกอีกอย่างเคย ซาคัสเบนสายตาสายตามองกำแพงเหนือร่างของหญิงสาว ปรากฏรอยสลักไว้ลงกับผิวอิฐกร้านเอาไว้
The Juwes are the men that will not be blamed for nothing
[ชาวยิวนั้นมิใช่คนผิดที่สมควรจะได้รับถ้อยคำตำหนิ]
“ข...” แว่วเสียงกระตุกสั่นๆ อย่างไร้เรี่ยวแรงดังขึ้นมาจากร่างของหญิงสาวที่ถูกย้อมด้วยเลือด ซาคัสขยับก้าวเท้าให้เร็วทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างร่างก่อนจะคว้ามือที่ไขว่หาอะไรบางอย่างของเธอเอาไว้มากุม ดวงตาสีน้ำเงินไพลินจับจ้องริมฝีปากเจิ่งเลือดที่ขยับขึ้นลงราวกับจะขาดใจ
“ว...วิคเตอร์...แอนนี่...แอน...ฉัน...ขอโทษ”
แล้วลมหายใจของเธอก็ดับลงทันทีที่ถ้อยคำนั้นหมดไป ดวงตาว่าเปล่าค่อยๆ ปรือหรี่และปิดสนิทจมสู่ห้วงความมืดมิดอันเป็นนิจนิรันดร์
เสียงรองเท้าของคนที่วิ่งตามมาหยุดอยู่ใกล้ๆ ดวงตาสีน้ำเงินไพลินมาสีหน้าเหนื่อยอ่อนของคนที่เหลือฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ
วิลเลี่ยมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ราวกับจะไล่ความเหนื่อยล้าในตัวออกไปก่อนฝ่าเท้าจะขยับก้าวเข้าไปหาร่างเล็กของเด็กชายร่างสูงของตำรวจสันติบาลหนุ่มค่อยๆ ทรุดลงขนาบข้าง ฝ่ามือกดศีรษะสีทองแนบเข้ากับตัว ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ
“คุณ...ไม่ผิดหรอกครับที่ช่วยเธอไม่ทัน” วิลเลี่ยมพูดน้ำสียงนิ่งๆ เสียง...ที่สงบราบเรียบแต่กลับดังกังวานในห้วงความรู้สึกดั่งหยดน้ำที่แผ่ขยายเป็นวงรัศมีบนพื้นน้ำ ซาคัสหลับตาลงรับรู้และซึมซับความอบอุ่นอย่างน่าประหลาดรอยยิ้มบางพุดบนดวงหน้าเยาว์...ทั้งๆ ที่เป็นแค่วิลเลี่ยมแท้ๆ
แผ่นอกที่ไม่กว้างแถมยังบอบบางจนเป็นที่พึ่งแทบไม่ได้แต่กระนั้นแล้วเขากลับได้สัมผัสลึกถึงความอ่อนโยนได้อย่างเต็มที่
ขอบใจนะ...วิลล์
เสียงวักน้ำอุ่นๆ จากรางไม้เนื้อดีชโลมล้างเท้าเล็กๆ ของซาคัสอย่างแผ่วเบาท่ามกลางไฟเตาพิงที่ส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ของไม้ฟืนสอดแทรกเป็นระยะๆ ความอบอุ่นของน้ำซึมซาบเข้าสู่ผิวขาวซีดเพราะความหนาวเย็นของสายฝน
ฟราเรสไล้มือชะล้างรอยโคลนสกปรกตามฝ่าเท้าขอผู้เป็นนายอย่างเบามือ ดวงตาสีเขียวใสเงยขึ้นจับจ้องดวงหน้าอ่อนเยาว์เบื้องหน้า...นับตั้งแต่ที่ได้เรียกตำรวจสันติบาลมาที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบจนกระทั้งแยกย้ายกับพวกคุณชาร์ล็อตแล้วนั้นคุณหนูของเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยสักคำ
ชายหนุ่มทอดเสียงลมหายใจ
มิลค์ทีในมือไม่พร่องลงเลยสักนิด...
“อย่างที่คุณวิลเลี่ยมว่าไว้แหละครับ...คุณหนูไม่ผิดหรอก” เสียงพูดแผ่วเบาที่ดังออกมาจากริมฝีปากของพ่อบ้านเรียกให้ใบหน้าเยาว์ยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำเงินเข้มทอดลงจับจ้องดวงหน้าผู้ที่ทรุดตัวนั่งอยู่เบื้องต่ำกว่า ฟราเรสยิ้มจางๆ รับกับสายตาคู่นั้น
“ผมเชื่อในตัวคุณหนู...เพราะฉะนั้นผมก็อยากให้คุณเชื่อมั่นกับความคิดของตัวคุณเอง” น้ำอุ่นชโลมซึมซับเช้าผิวเนื้อประหนึ่งถ้อยคำอ่อนโยนรินรดสู่ใจ ซาคัสกดดวงตาลงมองฟราเรส ดวงตาสีไพลินหรี่ลงมือบางวางแก้วมิลค์ทีลงก่อนจะถลาตัวเองเข้ากอดคนที่อยู่ตรงหน้า
“ฉันสงสัยมาตลอด...ว่าทำไมมนุษย์นั้นถึงได้ตายง่ายดายนัก” น้ำเสียงเยาว์แผ่วจาง ดวงหน้าหวานกดลงกับบ่ากว้าง “ตัวฉันที่มีชีวิตอยู่มานานกว่าพวกนาย...แต่ตัวฉันกลับยังคงเป็นเพียงแค่เด็กในสายตาของ ‘พวกเขา’ และตัวฉันที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย...ไม่ว่าจะเมื่อไร่ฉันก็ยังไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่า ‘มนุษย์’ สักที”
ฟราเรสค่อยๆ ไล้มือตามแนวเส้นผมสีทองสวยของนายผู้อยู่เหนือหัวของตนเองอย่างแผ่วเบา ดวงตาสีมรกตใส่หรี่หลับตาลง
“มนุษย์อย่างเราเองก็มีสิ่งที่ไม่เข้าใจอยู่มากครับ” ฟราเรสยิ้ม “ทั้งเหตุผลที่เกิดมาหรือแม้แต่เหตุผลที่ต้องตาย...ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีเหตุผลแต่เรากลับไม่เข้าใจและไม่เคยรับรู้กันทั้งนั้นแหละครับ” ชายหนุ่มดันร่างเล็กกว่าออกจากอ้อมแขนดวงตาคู่มรกตสบมองมณีสีไพลิน
“หรือแม้แต่เรื่องของพวกคุณ...” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มช้อนมองพ่อบ้าน ฝ่ามือบางวางทับมือที่สัมผัสใบหน้าของตัวเอง
“นายจะบอกว่าต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจกันงั้นสิ?” ซาคัสพูดพลางส่งเสียงหัวเราะในคอเบาๆ ก่อนจะหวิดส่งเสียงร้องด้วยความตกใจเมื่อถูกมือของพ่อบ้านดึงตัวเองมาแนบกับอก มือบางกำสูทพ่อบ้านสีดำ “อ...อะไรของนายน่ะฟาส...?”
“ตลอดสองเดือนมานี่คุณยังไม่ได้ดื่มเลยไม่ใช่เหรอครับ แถม...วันนี้คุณหนูยังเห็นการนองเลือดมาสองรายซ้อนๆ กันอีกผมว่า...ต่อให้เป็นคุณก็คงทนไม่ไหวหรอกใช้ไหมล่ะครับ?” เสียงนุ่มเอ่ยถามส่วนซาคัสก็กระชากตัวเองออกจากฟราเรสทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ พ่อบ้านหนุ่มจับจ้องดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่พยายามจะปรับเปลี่ยนปั้นสีหน้าไม่พอใจเป็นสีหน้าอื่น
“ตอนนี้ที่ตัวเมืองลอนดอนมันก็หามาไม่ได้ง่ายๆ เสียด้วย...นอกเสียจากว่าจะใช้ผม”
“ม...หมายถึงอะไรงั้นเหรอ” ซาคัสยกมือจับกำปลายเส้นผมสีทองของตัวเอง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเบนเฉไฉมองไปทางอื่นราวกลับกำลังกลบเกลื่อน ได้ยินฟราเรสส่งเสียงถอนหายใจและสั่นศีรษะเหมือนกับจะบอกให้รู้ว่าอย่าเบี่ยงเบนประเด็น
“ก็ฉันไม่อยากดื่ม...ไม่อยาก ‘ดื่มเลือด’ ของนายนี่นา!” ดวงตาสีน้ำเงินไพลินกดลงต่ำ ซาคัสกดฟันลงกับริมฝีปาก “ไม่ใช่แค่นาย แต่กับทุกคน...ฉันไม่อยากให้เลือดของใครแตะกับปากของฉัน” ฝ่ามือบางสอดประสานกันแน่นจนเล็บจิกหนังจนขึ้นสีเลือด
ถึงแม้ว่าอย่าง ‘พวกเขา’ ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘สายเลือดแท้’ จะไม่ได้ปรารถนาต้องการโลหิตเป็นอาหารให้กับตัวเองขนาดที่ว่าขาดไม่ได้สักวินาทีเดียวก็ตามแต่
แต่ตัวเขาไม่สามารถขาดเลือดเพื่อที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตของตัวเองได้ การที่เขาอดทนไม่ยอมดื่มกินเลือดมาตอลดสองเดือนนั้นก็ไม่ใช่ว่ามันจะทนไหว
ริมฝีปากบางเม้มลึก ดวงตาสีน้ำเงินไพลินกดมอมือของตัวเอง
ก็มันกลัวนี่นา...กลัวรสชาติคาวขมฝาดของเลือดที่ตลบอบอวลอยู่ในปาก
กลัวเสมอ...กลัวตลอดมา
“มนุษย์ขาดปัจจัยที่เรียกว่าอาหารไม่ได้หรอกนะครับ พวกคุณเองก็เช่นกันในเมื่อสิ่งที่หล่อเลี้ยงคุณให้มีชีวิตอยู่ได้ไม่ใช่อาหารแต่เป็นเลือดแล้วล่ะก็” ฟราเรสยิ้ม ฝ่ามือค่อยๆ เคลื่อนปลดเนคไทสีดำออกก่อนที่อีกข้างจะเชิดใบหน้าเยาว์ให้มองมาตรงๆ “ชีวิตของผมเป็นของคุณ...ทั้งเลือดเนื้อทุกสิ่งในร่างกายนี้ทุกอย่างผมมอบให้คุณอย่างไม่ลังเล”
ฟราเรสกดดวงหน้าเยาว์ลงกับลำคอของตัวเอง
“ฉะนั้นคุณก็อย่าลังเลในสิ่งที่ผมเต็มใจจะมอบให้คุณเลยครับ”
ซาคัสนิ่งชะงัก เขารู้ดี...ลองฟราเรสพูดออกมาอย่างนี้ต่อสรรหาวิธีปฏิเสธยังไงถ้าอีกฝ่ายไม่ยอม...เสียงจะไม่มีทางเกิดได้ด้วยการตบมือเพียงข้างเดียว
ก็มีแต่...จะต้องยอม
เด็กชายกัดฟัน ฝ่ามือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดแรกออก ดวงหน้าอ่อนเยาว์กดริมฝีปากลงกับลำคอเรียวขาว เขี้ยวยาวที่งอกพ้นริมฝีปากออกมาพร้อมกับดวงตาสีไพลินแปรเปลี่ยนไปเคลือบด้วยสีเลือด น้ำลายถูกกลืนลงคอด้วยความลังเลยุ่งยากก่อนจะตัดใจกดเขี้ยวลงฝังเข้ากับผิวเนื้อทันที
กลิ่นคาวเลือดลอยแตะจมูกที่ทำให้ห้ามใจใฝ่ปรารถนากระหายซึ่งรสชาติขมแสนเกลียดนี้ไม่ได้ เล็บจิกลงกับเสื้อเชิ้ตชาวย้อมเลือด ยามสัญชาตญาณดิบในตัวที่มีตื่นขึ้นมาเหตุใดกันกลิ่นที่แสนน่าชิงชังนี้กลับหอมหวนประดุจดั่งน้ำหอมเลอเลิศ
เหมือนอยากจะร้องไห้ทั้งๆ ที่ไม่มีน้ำตา
ฟราเรสกดเปลือกตากัดฟันแน่น ความเจ็บปวดไหลแล่นออกมาจากบาดแผลอย่างต้านทานไม่ได้ เลือดยังคงไหลอย่างไม่ยอมหยุดเพื่อให้ผู้เขาเต็มใจยกร่างกายนี้ให้ดื่มกิน ฝ่ามือสั่นระริก
เจ็บปวดจนอยากหาที่จิกปลดระบายมันออกมา
หากกระนั้นขาไม่อาจยอมให้มือนี้จิกกดลงกับแผ่นหลังของเรือนร่างเบื้องหน้าเขาได้...แม้เพียงไหมของเสื้อเขาก็ไม่อาจเอื้อมมากพอที่จะทำเช่นนั้น
ฝ่ามืออุ่นสั่นระริกค่อยๆ ขยับกอดแผ่นหลังบอบบางเอาไว้แน่น อย่างน้อยแม้เพียงแค่นี้...คงจะไม่ผิดสินะนะครับ?
คาวเลือดคละเคล้าในปาก คมเขี้ยวกดลึกลงกับผิวเนื้ออย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ ซาคัสถอนริมฝีปากตัวเองออกก่อนที่จะฟุบหน้าลงกับบ่าที่เต็มไปด้วยเลือด ฟราเรสขยับสายตามองร่างที่สลบสไลไปแล้วฝืนยิ้มออกมา มือใหญ่ไล้สัมผัสเส้นผมสีทองสว่างอย่าแผ่วเบา...หรือเพราะไร้เรี่ยวแรง
คุณคงจะเหนื่อยสินะครับ
“ราตรีสวัสดิ์นะครับ...คุณหนู”
ผู้ที่มีชีวิตอยู่มายืนยาวกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป ผู้ที่ดื่มกินเลือดของมนุษย์เป็นอาหาร ตระกูลขุนนางสูงส่งที่มีชีวิตอยู่ในเงามืดมิด
ริธคือหนึ่งผู้สืบเชื่อสายของผู้กระหายโหยโลหิต...
เผ่าพันธุ์เร้นลัพธ์แสนศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์ไม่อาจรู้...ความจริงแล้วมนุษย์ผู้ซึ่งไม่เคยสนใจสิ่งอื่นนอกจากตัวเองไม่อยากรับรู้ว่ามีมากกว่า
ผู้ที่กระหายยากและทนทรมานราวกับได้รับคำสาปจากพระเจ้า..
แวมไพร์...
พระอาทิตย์ที่ส่องสว่างจัดจ้าบาดสายตาให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ความฝัน ดวงตาสีน้ำเงินไพลินลืมตื่นจากความมืดมิด ร่างเล็กถลันตัวขึ้นจะหมอนทันทีที่สติกลับมา ใบหน้าเยาว์กดลงฝ่ามือแตะลงกับริมฝีปากที่ทำให้ตาคู่สวยหมองลงเรื่อยๆ ราวกับกำลังทบทวนความทรงจำเพื่อตอกย้ำ
เรา...ทำแบบนั้นลงไป
แว่วเสียงเคาะเบาๆ ดังมาจากประตูบานไม้สลักลวดลาดดอกไอริสก่อนที่จะถูกเปิดออกมาพร้อมกับร่างของคนที่ไม่อยากจะเจอมากที่สุดตอนนี้ ฟราเรสดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคุณหนูผมทองตื่นก่อนที่เขาจะเข้ามาปลุก ซึ่งแน่นอน...มันเป็นไปได้ยาก
“น่าแปลกนะครับที่คุณตื่นก่อนผมมาปลุกได้” ฟราเรสพูดด้วยท่าทีขบขัน เรือนร่างโปร่งลากรถเข็นเครื่องชาไว้ใกล้ๆ เตียงก่อนจะก้าวเดินตรงไปยังหน้าตาบานสูงจรดเพดาน ฝ่ามืออุ่นชักสายผ้าม่านให้เปิดแสงสว่างเข้าห้องเต็มที่แล้วกลับมาที่รถเข็นอีกครั้ง
“วันนี้ดอกกุหลาบในสวนบานสวยเชียวครับ...ผมเลยคิดว่าจะนำมาจัดคู่กับดอกซินเซียที่คุณหนูชอบ ดีไหมครับ?” พ่อบ้านหนุ่มว่าก่อนจะจัดแจงดอกกุหลาบสีแดงสดปักประจับจัดลงบนแจกันไปกับดอกไม้ช่อเล็กๆ สีขาวประกายชมพู
ซาคัสเงียบนานจนพ่อบ้านนั้นจัดแจงรินชาอัสสัมลงถ้วยชาขาวเหลื่อมสีเบจตวัดลวดลายรอบๆ ก้นถ้วยชา กลิ่นหวานฝาดๆ คละเคล้ากับกลิ่นเบอร์รี่แยมในพาย
“ฟาสเมื่อวานฉันขอ...” พูดได้แค่นั้นก็ชะงักไปเมื่อถ้วยชาลายหรูถูกยื่นส่งให้เบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มของคนเป็นพ่อบ้าน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองไล่ลงถึงลำคอของพ่อบ้านหนุ่มที่ถูกผ้าพันแผลผืนยาวพันทับรอยคมเขี้ยวที่เขาได้สร้างเอาไว้
“คุณหนูอย่ากล่าวอะไรเลยครับ” ฟราเรสว่าก่อนจะส่งถ้วยชาวางลงบนฝ่ามือที่เล็กกว่า ร่างสูงทรุดตัวลงนั่นชันเข่าข้างเตียง เขายิ้มเมื่อดวงตาสีมรกตทอดมองลึกเข้าไปหาไพลินคู่กลมตรงหน้า “ผมเต็มใจและพึงใจที่เป็นเช่นนั้นครับ...หากอยากจะกล่าวถ้อยคำอะไร ผมอยากให้คุณร่าเริงเหมือนเดิมมากกว่า”
“ฟาส แต่ว่าฉัน...” ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ ฟราเรสสั่นศีรษะเบาๆ ก่อนจะยิ้มสบดวงตาสีไพลินตรงๆ อย่างแน่วแน่และตั้งมั่นจนทำเอาร่างเล็กถึงกับพูดอะไรไม่ออก ซาคัสหรี่นัยน์ตาลงพลันรอยยิ้มจางๆ ก็ผุดบนดวงหน้าหวานอ่อนเยาว์
“เข้าใจแล้ว...” ซาคัสพูดเสียงแผ่วที่ทำให้ฟราเรสยิ้มตอบ ร่างสูงพุดลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวขาเดินไปจัดแจงขนมอบที่ทานเคียงคู่กับชา
“ผมได้รับผลแบลคเบอร์รี่จากบ้านใหญ่ในอิตาลีมาเมื่อตอนเช้าตรู่...ก็เลยนำมาทำเบอร์รี่พายที่คุณหนูชอบทานคู่กับชายามเช้าครับ” พ่อบ้านหนุ่มพูด ดวงตาสีมรกตจับจ้องแบลคเบอร์รี่พายที่อบออกมาอย่างสวยหรู พายเบอร์รี่ส่งกลิ่นหอมหวานและกรอบจนได้ยินเสียงตัดของมีด
ดวงตาสีน้ำเงินทอดมองฟราเรสที่อยู่เบื้องหน้าตน แสงแดดสว่างกระจ่างตาสาดส่องกระทบเรือนร่างสูงในสูทสีดำสนิททั้งตัว...มันเจิดจ้าเกิดไปจนเขาต้องเบนสายตาหลบ
ถ้านายต้องการให้ฉันร่าเริง...ฉันก็จะทำ
เพราะนั่นมันเป็นความต้องการของนายที่ฉัน...สามารถจะทำให้นายได้
ซาคัสยกถ้วยชาอัสสัมจรดริมฝีปาก กลิ่นหอมละมุนแตะปลายจมูกพร้อมกับรสชาติฝาดหวานด้วยนมที่ใส่มาอย่างเต็มที่ ราวกับกำลังลบล้างความอ่อนล้าที่ก่อเกิด รสหวานหอมที่ช่วยทำให้ผ่อนคลายขจัดจิตใจร้อนรนให้สงบลงได้อย่างน่าประหลาด
เพราะรสชาติของชานั้นมีหลากหลาย...และแต่ละรสกลิ่นนั้นก็กระตุ้นความรู้สึกของมนุษย์ให้ดีขึ้นได้
เวทมนต์มหัศจรรย์ของรสชาที่ขนาดตัวเขายังสามารถรับรู้ได้
ซาคัสขยับเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ
หนึ่งในข้อดีของประเทศอังกฤษสินะ
หรือเขาควรจะชมว่าคนชง ชงออกมาได้ดีกันน้า...
“อร่อยมากเลยล่ะฟาส”
แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดหรือทำอะไรต่อหลังจากที่ได้รับแบลคเบอร์รี่พายมาอยู่ในมือ เสียงเคาะเบาๆ ก็ดังมาจากหน้าต่างบานใกล้ตัว ซาคัสชะโงกหน้ามองก่อนจะพบนกเหยี่ยวสีขาวหิมะแซมขนสีน้ำตาลกำลังให้จะงอยปากของตัวเองเคาะกึกๆ กับกระจกหน้าต่างจนเสียวว่าจะแตก
ถ้าเป็นนกตัวอื่นก็ไม่เป็นไรหรอก
แต่นี่น่ะ...มันนกคุ้นหน้าของคนโคตรคุ้นเคยต่างหากล่ะ
ฟราเรสเปิดบานหน้าต่างรับนกเหยี่ยวตัวนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ก่อนที่เจ้าตัวจะเบี่ยงตัวหลบได้อย่างสวยงามเมื่อนกเฮงซวยถลากรงเล็บหมายขย้ำหัวของเขาแบบจะๆ เน้นๆ
ก็คิดจะเล่นกับใครไม่เล่นดันมาเล่นกับพ่อบ้านของคุณหนูริธทำไมล่ะ?
ซาคัสเบ้ปากพลางขยับส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ไอ้เรื่องที่เขาว่ากันว่าสัตว์เลี้ยงมักจะมีนิสัยเหมือนเจ้าของอันนี้เป็นความจริงที่เขาไม่คิดเถียงแต่ถึงขนาดเขม่นคนเดียวกันกับเจ้าของอีกนี่...ชักอยากรู้แล้วสิว่าไอ้เจ้าบ้านั่นมันเลี้ยงด้วยอะไร
“มานี่ เอลิเบล” ซาคัสว่าเหมือนกับกำลังห้ามสงครามพิสดารระหว่างคนกับนกก่อนที่เหยี่ยวหิมะจะบินถลามาหยุดตรงหน้าเขาพร้อมกับยื่นเท้าของตัวเองมาด้านหน้า...เท้านกที่มีจดหมายม้วนเล็กๆ ผูกติดมาด้วย หัวคิ้วเรียวทองย่นเข้ามาชิดกันระหว่างแกะจดหมายออกจากขานกมาเปิดอ่าน
ปรกติเขามีแต่นกพิราบสื่อสารแต่ไอ้บ้านี่เล่นส่งเหยี่ยวสื่อสารมา สมกับเป็นเจ้านักสืบเพี้ยนแห่งเบเกอร์สตรีท ชาร์ล เรนวอลซ์จริงๆ !
ดวงตาสีน้ำเงินไล่อ่านข้อความสั้นๆในกระดาษสีฝางด้วยลายมือหวัดๆ ใกล้จะเป็นอักขระโบราณระยะสุดท้ายแล้วขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
ถึงคุณหนู
รีบมาด่วนๆ เลย
ชาร์ล็อต
ซาคัสเอียงคอก่อนจะจัดการกินเบอร์รี่พายในจานให้หมด ใบหน้าอ่อนเยาว์เงยมองพ่อบ้านหนุ่ม ริมฝีปากบางขยับเอ่ยพูด “เอาเอลิเบลไปเข้ากรงทีนะ แล้วตอนสิบโมงเราจะไปเบเกอร์สตรีทกัน”
ฟราเรสโค้งตัวเป็นเชิงรับก่อนจะเดินมารับเอลิเบลออกไปข้างนอกเพื่อจัดการเอาแม่นกตัวดียัดเข้ากรง ซาคัสมองภาพพ่อบ้านหนุ่มออกไปนอกห้องก่อนจะกดสายตาจับจ้องจดหมายที่อยู่ในมือ
อะไรที่ทำให้คนอย่างหมอนี่ส่งจดหมายด่วนมาหาเราได้หว่า?
ร่างเล็กนั่นชันเข่าสองข้างบนโซฟามือวางสอดใต้คางพลางทอดดวงตาน้ำเงินเข้มมองสลับกันระหว่างสีหน้าเคร่งเครียดของพ่อบ้านส่วนตัวและนักสืบบ้า ซาคัสส่งเสียงถอนหายใจรางๆ หลังจากที่ได้โผล่หน้ามาที่บ้านรังหนูของชาร์ล็อตอีกครั้ง สองคนนี้ก็นั่งเล่นเกมส์จ้องตากันไม่เลิก
จะครึ่งชั่วโมงแล้วนะ...พวกนายสองคนคุยกันด้วยโทรจิตเหรอไง?
แล้วว่าแต่...มนุษย์มันคุยผ่านทางจิตได้ซะที่ไหนล่ะ?
“สรุปว่าที่เรียกมา...เพียงเพราะเหยื่อที่จับมัดเอาไว้หลับไม่ตื่นเลยงั้นหรือครับ?” ฟราเรสเอ่ยถาม ดวงตาสีเขียวมรกตทอดมองร่างของชายสูงวัยที่นอนหลับเท้งเต้งอยู่บนโซฟายาวโดยมีผ้านวมที่ดูดีที่สุดในบ้านห่มไว้ คิ้วเรียวสีขลับมุ่ยลง ความจริงก็ไม่ได้จับมัดเอาไว้หรอก...เพราะถึงคุณหมอแกอยากจะหนีก็คงได้แต่ถอดจิตเพราะเจ้าตัวยังไม่ฟื้นตั้งแต่โดนสอยร่วงเมื่อคืน...
ฟราเรสถอนหายใจยาวยืด...
คุณหนูครับ...ทำอีท่าไหนกันครับ?
“ฉันออมแรงแล้วนา...” ซาคัสพูดเหมือนกับจะตอบสิ่งที่พ่อบ้านกำลังคิด เด็กชายเงยดวงหน้าขึ้นมามองชาร์ล็อตที่กำลังโคลงหัวไปมาระหว่างแทะคุกกี้จากโหลที่อยู่ในมือคล้ายจะถามซ้ำที่ฟราเรสพูดอีกที
“แหม...ถ้าแค่นั้นฉันอยู่รอคุณหนูมาดีหว่า...ไม่ต้องส่งเอลิเบลไปหาหรอก” ชายหนุ่มว่า ร่างสูงโปร่งของคนเป็นนักสืบเดินตรงไปทางกรงนกเหยี่ยวสีขาวแซมน้ำตาลที่อยู่ติดกับทางออกไประเบียงแล้วไล้มือระหว่างลูกกรงดัดลวดลายเถาไอวี่ “ว่าแต่ให้ข้าวเช้านกของฉันเป็นค่าเหนื่อยแล้วใช่ไหมอ่ะ...?”
“ชาร์ลอย่านอกเรื่อง...” ซาคัสว่าเสียงเอื่อยๆ อย่างเหนื่อยใจเต็มที่ ดวงหน้าเยาว์กดลงกับฝ่ามือเมื่อเบื่อที่จะฟังเสียงเป่าปากบู่ๆ แสร้งทำเป็นไม่พอใจของชาร์ล็อต เรือนร่างสูงโปร่งของนักสืบหนุ่มเดินอ้อมหลังลอบส่งสายตาจิกกัดให้ฟาเรสแล้วเอียงตัวลงพิงเสาข้างๆ คุณหนู
“แล้วตกลงมันเรื่องอะไร?” ซาคัสถามซ้ำอีกครั้งก่อนจะได้ยินเสียงเจ้าของเส้นผมสีดำถอนหายใจ
“รอสักแป๊บเถอะ...รู้ไหมว่ามันเล่นเอาซะฉันนอนไม่ลงเลยแต่ก็หลับล่ะนะ” ชาร์ล็อตพูดแบบตอบคำของตัวไปไหนตัว เขาโยกไหล่น้อยๆ ที่ทำให้ดวงตาสีน้ำเงินจ้องกลับอย่างไม่เข้าใจเท่าไรนักก่อนร่างเล็กจะสะดุ้งตัวแรงเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างแว่วเข้าหาในหูให้ได้ยิน
เสียงครางแหบโหยหวนดังอื้ออึงจากร่างที่นอนสลบไม่ได้สติตนทำเอาซาคัสที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ต้องถอยตัวออกห่าง ดวงตาสีน้ำเงินไพลินเข้มจับจ้องร่างของเซอร์กัลล์ สีหน้าจองชายชราดูราวกับกำลังทรมาน เม็ดเหงื่อกาฬไหลพุดพรายทั่วร่างกาย เขากัดฟันก่อนจะส่งเสียงหอบหายใจหนักราวกับกำลังหนีอะไรสักอย่างอยู่ในห้วงฝัน
ฟราเรสกระหวัดหันสายตาหนีภาพและเสียงอันชวนขนลุกหันมาทางชาร์ล็อตที่ดูเหมือนจะชินแล้ว คิ้วเรียวขมวดมุ่น
“หมายความว่าอย่างไรกันครับ?” พ่อบ้านหนุ่มเอ่ยถามที่ทำให้เจ้าของดวงตาสีฟ้าใสไหวไหล่เบาๆ
“ก็...โดนของลงไง” ชาร์ล็อตพูดกดน้ำเสียงก่อนจะเอนศีรษะลงกับเสาปูนเย็นๆ “หมอนั่นร้องโหยหวนอย่างนั้นทั้งคืน...ชวนสยองมิล่ะ” เอ่ยอีกครั้งก่อนจะส่งสายตามาทางพ่อบ้านหนุ่มแล้วฉีกยิ้มที่ชวนให้สันถาดน้ำชาในมือฟาดลงกลางหัวตะหงิดๆ
ฟราเรสขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินชาร์ล็อตพูด
“ก็หมายความว่าคงโดนมนต์อะไรสักอย่างสะกดใจก็ได้ล่ะ” ชายหนุ่มพูดเสียงเรื่อยๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา นักสืบหนุ่มยังคงพูดต่อโดยไม่ใส่ใจว่าฟราเรสจะจ้องหน้าด่าว่าอย่าเฉออกไปเรื่องอื่น “ไม่แน่ว่าเรื่องที่ปลอมตัวเป็นเดอะริบเปอร์ก็อ่านจะเป็นเรื่องนี้ด้วยก็ได้นะ”
ฟราเรสจับจ้องดวงหน้าคมเข้มของชาร์ล็อตก่อนเจ้าตัวจะพ่นลมหายใจ “เห็นสภาพอย่างนี้แล้วผมเองก็รู้สึกไม่แน่ใจเหมือนกัน” พ่อบ้านหนุ่มโคลงหัวเล็กน้อย “ยิ่งลอนดอนเป็นศูนย์รวมศาสตร์แปลกๆ มากที่สุดในโลกอีกต่างหาก...ผมว่าบางทีแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสิทธิ์เหมือนกันนะครับ”
“ยังไงก็ดีฉันว่าคุณหนูไปช่วยถอน...เจ้ย!!” ชาร์ล็อตหลุดเสียงร้องอันชวนหน่ายหนาระอาจิตเมื่อหันหน้าไปหาซาคัสแล้วกลับพบว่า...คุณหนูผมทองแกกำลังปลุกคุณหมอที่กำลังนอนครางหงิงๆ บนโซฟาด้วยการกระโดดกระแทกเข่าคู่!!!
ลำไส้ทะลักออกปากแน่คุณหมอ...
“ท...ทำอะไรน่ะครับคุณหนู!” ฟราเรสร้องอย่างตกใจกับการกระทำที่เหมือนกับจะทรมานคนแก่ของคุณหนูก่อนที่ซาคัสซึ่งโยกย้ายที่นั่งจากโซฟามาเป็นอกของคุณหมอจะฉีกยิ้มให้
“แทนที่จะช่วยถอนมนต์ที่ไม่ชัวร์ว่าใช่ ฉันว่าเราปลุกเขามาถามก่อนซะจะดีกว่า” ซาคัสพูดฝ่ามือบางดึงเนคไทคอเสื้อของเซอร์กัลล์ซึ่งกำลังสะลึมสะลือตาจากการปลุกแบบชนิดกะจะฆ่ากันให้ตายไปข้าง รอยยิ้มหวานๆ ที่หวานเสียจนน่าขนลุกขยับพราวบนใบหน้า
“เน้อ...คุณหมอเนอะ...?”
ฟราเรสกับชาร์ล็อตหน้ามายิ้มเจื่อนใส่กันกับความเห็นพ้องแบบไม่ต้องนัด
คุณหนู...โหดร้ายเกินไปแล้ว...
หลังจากจัดการดัดให้คุณหมอที่ดูจะวิญญาณเข้าร่างมาไม่ครบจะไม่ว่าเพราะมนต์อาคมบ้าบอคอเหวที่ชาร์ล็อตว่าหรือการที่โดนคุณหนูสุดโหดกระโดดกระแทกเข่าแบบชวนปวดลำไส้หรืออะไรก็ตามแต่ให้นั่งกับที่ได้เป็นผลสำเร็จ ซาคัสยื่นหน้าเข้าใกล้จับจ้องพลางโบกไม้โบกมือขึ้นลงระหว่างใบหน้าอีกฝ่าย เหมือนว่าเซอร์กัลล์จะดูเหม่อลอยจนน่ากลัว...ดวงตาสีซีดไร้วี่แววราวกับหุ่นตุ๊กตาชักไม่มีผิด
อย่างกับว่า...มีบางอย่างที่รัดตรึงไม่ให้สติกลับมาอย่างสมบูรณ์
“เอาล่ะ...มาเล่นเกมส์ถามคำตอบคำกันเถอะครับ...คุณหมอ” ซาคัสเอ่ยถามอย่างยียวน ร่างเล็กทิ้งตัวเองนั่งลงบนโซฟา มือบางวางเท้าคางนั่งไขว่ห้างแล้วยิ้มเชิด
ดวงตาสีมรกตของพ่อบ้านหนุ่มจับจ้องคุณหนูของเขาอย่างไม่ใคร่เข้าใจกับอะไรก็ตามแต่ที่ร่างเล็กๆ ตรงหน้ากำลังจะทำ ฟราเรสมุ่นคิ้วหนัก...คุณหนูกำลังคิดอะไรอยู่หรือเปล่าครับ?
“คำถามแรก...นายไม่ใช่เดอะริบเปอร์สินะ อ้อ...ไม่ใช่สิต้องบอกว่าไม่ใช่เลยมากกว่า” ซาคัสเอ่ยถามทื่อๆ แบบรวดเดียวจนทำเอาฟราเรสแทบจะล้มครืนทั้งยืน พ่อบ้านยกมือขึ้นเสยเส้นผมหยักศกสีขลับของตัวเองเหมือนเกือบจะเครียด
ข...ขอถอนคำพูดครับ!! ไม่ใช่ว่าคุณหนูกำลังคิดอะไรแต่คุณหนูกลับไม่ได้คิดอะไรเลยต่างหาก! ถามแบบเถรตรงไม่พอยังจะตอบแบบเออออเอาเองอีกต่างหาก...คุณหนู!!!
“ไม่...ใช่...” เสียงตอบแบบเลื่อนลอยที่ทำให้ฟราเรสเงยหน้าขึ้นมาจากมือ ดวงตาสีมรกตกระหวัดมองหน้าของเซอร์กัลล์สลับกับซาคัสที่กำลังยิ้มกระหยิ่มแบบพึงใจสุดๆ “ฉัน...ไม่ใช่...” มณีคู่สีไพลินหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนกำลังจับหาอะไรบางอย่าง ร่างเล็กถอดถุงมือ ย่องตัวออกจากโซฟาแล้วตรงไปวางมือสัมผัสหน้าผากของคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา
“งั้น...เพราะ...อะไรล่ะ?” เด็กชายเอ่ยคำถามซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงเล็กที่เข้มกว่าเดิม ดวงตาคู่กลมเพ่งมองตรงอย่างไม่ปล่อยไปง่ายๆ เสียงภายในห้องเงียบเฉียบไปถนัดเมื่อทุกสายตาสังเกตเห็นตราสัญลักษณ์ดาวหกแฉกสลักลายอักขระบนหน้าผากรอบๆ มือบอบบางอย่างชัดเจน
ตราแห่งผู้ถวายวิญญาณเพื่อขืนชัดคำบัญชาแห่งพระเจ้า...ปฏิปักษ์ตลอดกาลของเพียวน์ที่พวกเราต่างขนานนามกันตามความประพฤติว่า...
พวกนอกรีต
“คำสั่ง...คำสั่ง...คำ...” พร่ำพูดถ้อยคำเดิมๆ วนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลือดชาดค่อยๆ ซึมไหลผ่านรอยตราประทับบนหน้าผากราวกับบาดแผลไหม้ที่กดจารึกลึกแน่น ความร้อนแทรกซึมเข้าฝ่ามือจนรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่แผดเผาหากแต่เจ้าของฝ่ามือเล็กก็ยังคงไม่ยอมปล่อย
เหยื่อชั้นดีจ่ออยู่ตรงหน้าแล้วนี่...
“นายไม่ได้ฆ่าใครสินะ?” ซาคัสเอ่ยถามถ้อยคำที่ทำให้เซอร์กัลล์พยักหน้ารับช้าๆ แผ่วเบา ซาคัสเปล่าลมหายใจเหมือนโล่งอกหากแต่แค่เพียงชั่วครู่...
ก่อนที่ดวงตาสีน้ำเงินใสเคลือบแคลงด้วยสีเลือด...กระไอมืดราวกลับความเป็นปีศาจได้หวนคืน...
ใช่...ปิศาจอีกาแห่งเงาสีเลือด...
ฟราเรสกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากอยากดวงตาสีเขียวกระหวัดหันมองชาร์ล็อตที่อาการไม่ได้แตกต่างกัน...บรรยากาศดูแปรเปลี่ยนไปอย่างถนัดตา ความกดดันกระอักกระอวนจนเข่าแทบทรุด มัน...หนักหน่วงเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาๆ อย่างพวกเขารับได้ไหว
ดวงตาสีเขียวจับจ้องเรือนร่างเล็กที่ดูราวกับกำลังเปลี่ยนไป
คุณหนูกำลังต่อสู้อยู่...แม้ว่าสิ่งที่คุณหนูกำลังเผชิญหน้ากลับไม่มีตัวตนราวกับสู้โดยที่ถูกกระจกบังกั้นเอาไว้...
แต่เขารู้ว่า...คุณหนูกำลังเอาจริง!
และจะไม่มีทางแพ้แน่นอน
“งั้นฉัน...ขอคุยคนที่อยู่อีกฝากหนึ่งของนายได้ไหมล่ะ” ซาคัสเอ่ยถามเสียงต่ำ ดวงตาสีน้ำเงินเคลือบด้วยประกายแสงสีเลือดกดมองอย่างน่าหวั่นหวาด ดวงหน้าเยาว์เชิดขึ้นก่อนจะขยับยิ้มเหยียดจนมองเห็นเขี้ยวยาวที่งอกออกมา
เพียงแค่สิ้นถ้อยคำราวกับรหัสต้องห้าม ภายใต้ฝ่ามือร้อนจัดราวกับเพลิงพร้อมจะเผาทำลายมือของเขา ซาคัสกัดฟันรับความเจ็บปวด เรื่องเจ็บน่ะช่างมันหากแต่ที่ห่วงคือเลือดที่ไหลทะลักออกมาราวกับสายน้ำไหลกรากออกมาจากรอยสลักดาวหกแฉกบนหน้าผากของอีกฝ่ายมากกว่า เด็กชายกดมือแน่นลง กัดฟันกรอดอย่างเคืองแค้น
ลั่นไกสลักไม่ให้จับหางไว้แน่นเชียวนะ
เหมือนกับสัมผัสอะไรได้ซาคัสกระตุกตัวเองสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจก่อนจะหยุดชะงักไปแล้วก็กลับมาตัวสั่นหงึกๆ ราวกับเจ้าเข้า...ด้วยความโมโห?
มือบางกำแน่นจนเหมือนกับจิกลงกับหนังหน้าผากของเซอร์กัลล์ เล็บยาวคมกดจนเลือดชาดไหลกระอีกมากกว่าเดิมก่อนจะกดกระชากอะไรบางอย่างออกมา ดาวห้าแฉกหายไปแล้ว...พร้อมๆ กับรอยครบเลือดที่หายไปราวกับไม่เกิดอะไรขึ้น ดวงตาสีซีดของหมอหลวงปิดสนิทลงร่างทรุดกับโซฟา
“ชิ...ดันตัดสายหนีไปซะก่อน” ซาคัสสบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อดวงตาแปรกลับเป็นดังเดิม เด็กชายมองสิ่งที่ชโลมด้วยเลือดในมือของตัวเองแล้วยิ้มออกมา...เหรียญสลักรูปดาวหกแฉกสลักลากอักขระภาษาอาเคสโบราณชุ่มโชกไปด้วยเลือด...ไม่ใช่ของเขา...ไม่ใช่ของคุณหมอ
แต่เป็นของผู้อยู่เบื้องกลังม่านสนทนาต่างหากล่ะ
Sreiy ety fromegis
[ซีเรีย อเต ฟารอไมกิส ตุ๊กตาผู้ถูกชักใย]
ถ้อยสลักภาษาอาเคสบนเหรียญบ่งบอกถึงสถานะของอดีตผู้ที่ให้มันเคยอาศัยได้เป็นอย่างดี...ตุ๊กตาตัวแทนที่รับรอยบาปกรรมหนักหนามาอย่างไม่ได้รู้เรื่องราว ซาคัสดีดเหรียญขึ้นลงไปมาพลางทอดตามองร่างไร้สติของเซอร์กัลล์
ฉันลบบาปของนายให้แล้วนะ...
แต่ก่อนจะกว่าอะไรต่อร่างเล็กก็ลอยหวือเพราะมือถูกคว้าไปโดยร่างสูงของพ่อบ้าน ฟราเรสจบจ้องฝ่ามือขาวที่เต็มไปด้วยรอยไหม้แล้วหมุ่นใบหน้าลงระหว่างควานหาผ้าเช็ดหน้าฝ้ายของตนขึ้นมาซับเลือดรอยแผลบนมือของคุณหนูผมทองเบาๆ
“ทำไหมถึงชอบทำให้ตัวเองเจ็บนักครับ?” ฟราเรสเอ่ยถาม ดวงตาสีเขียวช้อนมองหน้าของซาคัสตรงๆราวกับจะตำหนิให้คนผมทองก้มหน้าหงุดๆ อย่างไม่รู้จะตอบอย่างไรและควรจะเอาตาไปไว้ไหน
“โทษทีนะที่ฉันมันพวกชอบหาเรื่องเจ็บตัว” แต่ถึงยังไงแค่ข้ามวันมันก็หายเป็นเหมือนเดิม...อันที่จริงก็อยากจะพูดแต่พอเห็นสายตาที่เหมือนพ่อตำหนิลูกแถมยังเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยจนเขาพูดอะไรไม่ออก แต่พลันไม่ทันไรร่างเล็กก็กระชากตัวออกจากฟราเรสทันที
เพราะ...
“จะเล่นฉากพระนางกันอีกนานไหมเอ่ย...?”
เพราะไอ้นักสืบบ้าเฮงซวยนี่คนเดียว!
“แกว่าใครเป็นพระใครเป็นนางฟระเจ้าบ้าชาร์ล!” ซาคัสโวยร้องก่อนจะมือเล็กจะคว้าหมอนรองบนโซฟาขว้างอัดเข้าหน้าชาร์ล็อตชนิดที่ถ้าเปลี่ยนเป็นสันถาดคงจะช็อคสลบเป็นวัน นับสืบหนุ่มดันหมอนออกจากหน้าที่ติดรอยแดงเป็นเถือกๆ แล้วฝืนยิ้มเจือนๆ
นี่ขว้างมาด้วยแรงระดับมนุษย์จริงเหรอครับเนี่ยนายน้อย?
“ได้เรื่องไหม?” ชาร์ล็อตเอ่ยถามก่อนที่ซาคัสซึ่งอยู่นิ่งๆ ให้ฟราเรสจัดการทำแผลบนมือจะส่ายหน้าเป็นพัดเป็นการปฏิเสธอย่างเยี่ยมยอด
“ได้เลือดล่ะสิไม่ว่า” ซาคัสพูดเรียบเอื่อยอย่างไม่ใคร่สนใจก่อนจะโยนเหรียญสลักดาวหกแฉกไปให้ทางชาร์ล็อตที่รับได้อย่างอย่างสวยงาม นับสืบหนุ่มผมดำเอียงคอลงเล็กน้อย...ไอ้เลือดที่ว่ามันก็เลือดนายมิใช่เหรอไงกันขอรับ
แต่ก่อนที่จะได้บ้า...นักสืบหนุ่มก็ดึงตัวเองมาเครียดได้
“นี่มัน?” ชาร์ล็อตพึมพำน้ำเสียง ปลายนิ้วมือไล้ตามภาษาอาเคสโบราณจับจ้องมองความหมายที่ปรากฏบนรอยสลัก อาเคส...ภาษาโบราณเก่าแก่มีมาก่อนภาษาลาตินหรือว่ารูน...หากแต่กลับเป็นภาษาที่ถูกลืมซึ่งมีคนจำน้อยเพียงหยิบมือที่จะอ่านมันออกได้ง่ายๆ...รวมถึงเขาที่อ่านได้แต่แค่เพียงบางตัว “ฝีมือพวกนอกรีตงั้นเหรอ”
“มาถึงอย่างนี้ถ้าบอกไม่ใช่ก็คงโง่แล้วล่ะ” ซาคัสตอบโดยไม่สบมองหน้าชาร์ล็อตเพราะสายตากำลังจับจ้องฝ่ามือที่ถูกผ้าพันแผลสีขาวพันยาวจนถึงข้อแล้วหมุนไปมา “ศาสตร์มืดงี่เง่าแบบนี้น่ะยังไงก็คงหนีไม่พ้นเจ้าพวกบ้านั่นอยู่ดี...แถมยังแค่ระดับล่างที่พอจะสาวไปถึงตัวก็หางจุกก้นหนีไปอีกต่างหาก!!!” พูดแล้วใช่มืออีกข้างทุบลงกับโต๊ะอย่างหัวเสีย ได้ยินเสียงช้อนกับจานรองชากระทบกัน...ท่าทางจะแรงน่าดูชม
“แล้วท่านเซอร์กัลล์ล่ะครับเกี่ยวข้องกับพวกนอกรีตด้วยหรือเปล่า?” ฟราเรสก้มตัวลงระดับเดียวกับที่ซาคัสนั่ง น้ำเสียงนุ่มลึกเอ่ยถามก่อนที่ซาคัสจะสั่นศีรษะตอบ
“จากสลักอักษรบนเหรียญที่บอกว่าเป็น ‘ผู้ถูกชักใย’ นี่น่ะก็บอกชัดแล้วว่าคุณหมอแกไม่เกี่ยวข้องแน่ๆ เพียงแต่ว่า...” คุณหนูผมทองพูดรับเหรียญจากมือของชาร์ล็อตส่งให้พ่อบ้านก่อนที่ร่างเล็กจะลุกขึ้นยืนตรงไปยังร่างของเซอร์กัลล์ที่สลบเป็นรอบสอง หน้าผากย่นยังคงติดรอยเล็บแดงๆ อยู่แต่ก็ดูเหมือนคนที่ฝารอยไว้จะไม่ใส่ใจ...หรือไม่ก็ไม่สนใจ “ฉันยังมีเรื่องข้องใจอยู่อย่าง...”
ซาคัสยกมือขึ้นแตะแขนซ้ายของเซอร์กัลล์แล้วดึงแขนเสื้อยาวที่ปกปิดผ้าพันแผลที่ยาวมาจนถึงฝ่ามือก่อนจะจัดการดึงรื้อมันออกโดยไม่ต้องการคำอนุญาตจากเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย ซาคัสมองสิ่งที่อยู่บนหลังฝ่ามือแล้วยิ้มกระหยิ่ม
“อ่า...ฮะ” ซาคัสทอดเสียงยาวดวงหน้าเยาว์ยิ้มอย่างเด็กน้อยพึงพอใจกับคะแนนข้อสอบที่ออกมาดีอย่างที่คาดเพียงแต่ในกรณีนี้ออกจะผิดแผกไปนิดหน่อย
รอยมีดที่ฝังลึกบนหลังฝ่ามือเป็นรอยเส้นตรงสองเส้นไขว่ทับกันถ้ามองตามสายตาคนปรกติก็คือรอยกากบาทหากแต่ถ้ามองจากสายตาของเขา...ของเพียวน์แล้วล่ะก็มันคือสัญลักษณ์กางเขนกลับหัว ซาคัสไล้ปลายนิ้วสัมผัสรอยบาดแผลพลางคลี่รอยยิ้ม ไม้กางเขนกลับหัว ความหมายคือสร้างพันธะสัญญา
“ได้ตัวต่อเพิ่มขึ้นมาอีกชิ้นแล้วสิ” ซาคัสพึมพำเสียงเบาก่อนจะจัดการพันผ้าพันแผลให้กลับมาเป็นอย่างเดิมที่ดูชุ่ยกว่าเก่าไม่น้อยก็มากและพันเสร็จพอดีกับที่เจ้าตัวคุณหมอซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นตัวจริงไร้การควบคุม...หรือเปล่าตื่นมาพอดีเฉียดฉิว
เซอร์กัลล์ปรือตาเล็กน้อยกระพริบถี่ๆ ให้เข้ากับแสงสว่างยามสายใกล้เที่ยง เขาหันมองรอบตัวอย่างแปลกใจกลับทัศนาที่ผิดแปลกไม่เคยเห็นก่อนที่ร่างของคุณหมอจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อสติเข้าที่เข้ามองเห็นบุคคลทำหน้าตาไม่สมควรไว้ใจยืนรายล้อมรอบตัว
“อ๊ะ...ตื่นซะแล้วเหรอ” ซาคัสพูดพลางด้วยรอยยิ้มตอแหลแบบเด็กน้อยไร้เดียงสา “อรุณสวัสดิ์นะครับคุณหมอ...แต่ เอ...ตอนนี้มันเที่ยงแล้วนี่นา”
“ท่านเอิร์ลริธ?” เซอร์กัลล์พูด ดวงตาสีซีดจับจ้องร่างเล็กของเด็กชายผมทองที่ยิ้งชสนขนลุกอยู่ครงหน้า เขาหันรีหันขวางมองรอบตัว “ที่นี่มันที่ไหน แล้วทำไมฉันถึงอยู่ที่นี่...?” เขาเอ่ยถามทั้งที่ตามความจริงแล้วเขาควรจะตื่นมาบนเตียงในห้องนอนของตัวเองไม่ใช่บนโซฟาแช็งทื่อในห้องรับแขกบ้านใครก็ไม่รู้
“ที่นี่คือสำนักงานนักสืบเอกชนเรนวอลซ์ครับ” ยังไม่ทันที่คนถูกถามจะได้ง้างปากเพราะไม่รู้จะตอบยังไง ฟราเรสก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน “เมื่อคืนวานเราพบท่านที่บาร์เรเวียในสภาพที่ไร้สติครับ การที่เราจะปล่อยให้ท่าเซอร์กัลล์นั้นสลบอยู่กลางสายฝนคนเดียวโดยไม่ได้ให้การช่วยเหลือเกรงว่ามันคงจะไม่ดีอีกทั้งเราไม่ทราบว่าท่านนั้นพักอาศัยอยู่ที่ไหนเราจึงนำมาพักกับคุณนักสืบเรนวอลซ์เสียก่อน” พ่อบ้านหนุ่มร่ายคำยาวเหยียดจนแทบจะไม่มีช่องไฟเว้นว่างให้หายใจแต่ที่น่าสนใจมากกว่าคือสีหน้าของอีกสองคนที่เหลือ...
อึ้ง...ล่ะสิ....
ซาคัสกับชาร์ล็อตกระหวัดหันมองหน้าสื่อสายตากันอย่างไม่ต้องนัดหมายกับความคำแหลแถไปเนียนๆ ของฟราเรสที่ไหลลื่นคล่องปรี้ดราวกับแบ่งเป็นพล็อตให้ท่องอยู่ในหัวมาแถมยัง...พูดด้วยสีหน้ายิ้มปรกติไร้กังวลอีกต่างหาก!
โกหกไฟแลบแหลเนียนหน้าตายเกินไปแล้วนะคุณพ่อบ้าน!!!
“อย่างนั้นหรอกเหรอ” และดูท่าว่าคุณหมอจะไม่ได้สงสัยอะไร แม้ไม่แน่ว่าการโกหกของฟราเรสมันเนียนเทพจนน่ากลัวหรือว่าเพราะคำแหลยาวเหยียดที่พ่นออกมาจากปากหรือเพราะทั้งสองอย่างรวมกันก็ตามแต่ดูเหมือนจะได้ผลที่น่าพึงพอใจ
“ถึงจะงงนิดหน่อยแต่ฉันควรจะพูดว่าขอบใจสินะ” เซอร์กัลล์ว่าพลางไหวไหล่ด้วยท่าทีที่น่าหมั่นไส้ ซาคัสกระตุกคิ้ว คิดไปเองหรือเปล่านะว่าตอนโดนควบคุมยังจะดูน่ารักกว่าเลยให้ตาย... ร่างสูงของคุณหมอลุกขึ้น คว้าเสื้อนอกที่พาดไว้เหนือโซฟา “แต่ผมคงไม่ว่างมากพอที่จะมานอนในบ้านใครก็ไม่รู้หรอกนะครับ” พูดพร้อมทำท่าจะเดินจากไป ชาร์ล็อตหันหน้ามองซาคัสแล้วยิ้มแห้ง
ขนาดคนบ้าอย่างชาร์ลยังระอาเลยนะนั่น
หลังจากบานประตู ‘สำนักงานักสินสืบเรนวอลซ์’ ปิดลงพร้อมๆกับที่ร่างของคุณหมอจอมขวางโลกได้ออกไปแล้ว แน่นอน...เซอร์กัลล์ปฏิเสธการที่พวกซาคัสจะไปส่งหน้าอาคารบ้านเช่าอย่างไร้เยื่อใย
ซาคัสกระแทกตัวลงนั่ง เหยียดแขนไปด้านหน้าแล้วพ่นลมหายใจยาวยืดอย่างนึกว่าคิดถูกแล้วที่ไม่ถอนมนต์ก่อนถามไม่งั้นอาจจะเท้ากระตุกระหว่างสอบสวนก็เป็นไปได้ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มกวาดมองหน้าอีกสองคนที่เหลือแล้วเอนหัวลงพิงพนัก
“แล้วหลังจากนี้ไปจะทำยังไงต่อ” ชาร์ล็อตถามทื่อๆ ซึ่งซาคัสก็ตอบแบบทื่อเหมือนกัน...
“ตามบุญตามกรรม” ซาคัสเท้าคางตอบเรียบเฉยแต่ดูเหมือนว่าจะจับความหมายของสายตาที่มองมาทางตัวเองได้จึงได้ยกตัวเองขึ้นเบะปากบางทีบางครั้งการรับกระไอสังหารมันก็น่าขนพองใช่เล่น “แต่ฉันก็พอจะสรุปอะไรมาได้บ้างแล้วล่ะน่ะ” หากแต่ไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อมันก็...
ก๊อก ๆๆ
เสียงรัวเคาะประตูหน้าห้องอย่างไม่กลัวว่าจะพังครืนติดมือ ซาคัสยกตัวเองขึ้นจากพนักโซฟาราวกับจะย้อนนึกถึงอะไรบางอย่างที่พอจะคาดเดาได้ว่าคนเบื้องหลังม่านประตู...ลองสไตล์การเคาะประตูเป็นอย่างนี้คงหนีไม่พ้นเจ้านั่น
ขนาดอยู่ห่างมาในห้องรับแขกยังได้ยินชัดแจ๋วแบบนี้มันจะเป็นใครไปได้..
ฟราเรสขยับก้าวขาเพื่อเดินไปเปิดประตูต้อนรับแขกหากแต่ร่างสูงพ่อบ้านหนุ่มก็กระตุกหยุดไปเสียก่อนเมื่ออยู่ดีๆ ความเจ็บแปลบจากปากบาดที่ฝังลึกบนลำคอก็แล่นวาบขึ้นมาจนทำเอาชะงักไปทั้งทั้งตัวจนหลุดอาการออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ซาคัสหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางขยับทอดเสียงถอนหายใจยาว มือบางจับแขนของพ่อบ้านหนุ่มดวงตาสีน้ำเงินเข้มจับจ้องใบหน้าคมคายเป็นเชิงสั่งให้หยุดก่อนร่างเล็กผมทองกระโดดตัวลงจากโซฟามุ่งตรงไปยังประตูเพื่อเปิดเอง
ฟราเรสหลุบตาลง ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นแตะลำคอของตน...เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังฝืนกับบาดแผลที่พูดได้เต็มปากว่าสาหัส มันเจ็บ...เจ็บจนอยากจะร้องไห้ เพียงแต่เขานั้นเต็มใจที่จะยอมรับมันในเมื่อสิ่งนี้คือความเจ็บปวดที่เขาต้องการด้วยเพียงเพราะผู้ที่มอบมันมานี้เป็นเจ้าของร่างกายและเลือดเนื้อทุกหยาดทุกหยดในตัวของเขา
หากคุณเป็นผู้สร้างรอยบาดแผลนี้แม้จะทรมานแสนสาหัส...แต่ผมก็ปรารถนาเต็มใจและน้อมรับมันอย่างยินดี
“บริจาคเลือดให้เขามาล่ะสิท่า แหม...ทำเพื่อคุณหนูอันเป็น ‘ที่รัก’ ได้ทุกอย่างเลยน้า พ่อบ้านผู้แสนดี” อยู่ดีๆ ชาร์ล็อตก็เอ่ยพูดขึ้นมาจนร่างสูงโปร่งถลาถอยไปชนโต๊ะที่อยู่ด้านหลัง ดวงหน้าคมขึ้นสีแดงจัดอย่างหลุดมาพ่อบ้านผู้สง่าเรียบร้อยไปโดยสิ้นเชิง เจ้าของดวงตาสีฟ้าส่งเสียงหัวเราะในลำคอกับท่าทางของอีกฝ่ายซึ่งกำลังแสดงออกมาได้ดีกว่าที่คิด
“ก...ก...กล่าวอะไรมาน่ะครับ!!!” ฟราเรสเอ่ยน้ำเสียงติดขัดแถมยังรัวเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาสีเขียวใสเหล่หลบสายตาคู่ฟ้าที่จ้องมาอย่างจับผิด ชาร์ล็อตขยับยิ้มที่มุมปากราวกับกำลังจะต้อนร่างตรงหน้าให้จนมุม
“ก็นะ...ในมุมมองของฉันแล้วความภักดีของนายมันดูไม่ธรรมดาเลยนี่นา” ชาร์ล็อตเอ่ยย้ำด้วยน้ำเสียงระรื่นหากแต่สายตากลับเอาจริง มือใหญ่คว้าถ้วยชาอุ่นๆ ระดับอุณหภูมิห้องซึ่งสำหรับลิ้นคนอังกฤษนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับน้ำเปล่าชืดๆ ขึ้นมาจิบเล็กน้อย
“ถ้าจะพูดจาเพ้อเจ้อก็ควรจะมีขอบเขตบ้างครับ...!” อยู่ดีๆ ก็หยุดชะงักไปเมื่อมองดวงตาสีฟาใสถ้อยคำที่จะคิดเถียงพาลจะหายไปหมด...ดวงตาที่มองตรงๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของสายตาคู่นั้นไม่ได้กำลังล้อเล่น
“แหม แต่พวกนายสองคนใช่ว่าจะเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ซะที่ไหน” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยพูดที่ทำให้พ่อบ้านหนุ่มนิ่งไป เจ้าของเส้นผมสีดำขยับยิ้มอย่างผู้ถือหางเหนือกว่า ชาร์ล็อตวางแขนเท้ากับที่วางแขนก่อนจะกระเถิบดวงหน้าเข้าใกล้
“นายก็น่าจะรู้นะ...ว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเรามันแตกต่างกัน” เขายิ้มนิ่งๆ ที่ดูเยือกเย็นจนดูราวกับเป็นคนละคนอย่างน่าประหลาดใจ “และยิ่งเรื่องเพศสำหรับแวมไพร์แล้วนั้นมันเสรีเสียยิ่งกว่าอะไร...ยิ่งกับมนุษย์อย่างพวกเราจะแวมไพร์ที่มีลักษณ์ภายนอกเป็นชายหรือว่าหญิงมันก็ไม่ได้มีความแตกต่างเลยสักนิด”
ฟราเรสเบนใบหน้าหนีราวกับถูกแช่แข็งไปทั้งตัว เสียงที่อยากจะเปล่งออกมากลับสลายหายไม่สามารถออกมาเป็นคำ ความกระอักกระอวนที่ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรมันทำให้เขาอึดอัดจนอยากจะหนีออกไปจากตรงนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด
“สรุปง่ายๆ ก็คืออย่างคุณหนูน่ะจะทำเขาท้องก็ได้จะท้องเองก็ได้ยังไงล่ะ” ว่าแล้วก็หัวเราะระรื่นจนสันถาดฟาดเข้ากลางกบาลชนิดเน้นๆ อย่างที่คนฟาดอดทนไม่ไหว...จะเครียดจะบ้าก็เลือกเอามันสักอย่างได้ไหมครับ!!!
“กรุณาอย่าพูดจาไร้แก่นสาร...ต่อให้คุณหนูนั้นเป็นแวมไพร์ซึ่งสำหรับพวกเราแล้วมีเพศที่ไม่ตายตัวแต่อย่าเหมารวมว่าคุณหนูจะมีรสนิยมวิปริตอย่างคุณนะครับ” ฟราเรสพูดราวกับความอึดอัดที่มีจะหายไปเพียงเพราะบรรยากาศรอบตัวของอีกฝ่ายที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“แล้วก็อย่าเหมาเอาการกระทำของผมที่มีต่อคุณหนูไปตีความในแง่ผิดๆ ด้วยครับ” ฟราเรสเอ่ยย้ำแน่นหนาที่จัดการเก็บถาดชาของกลางมาวางไว้บนโต๊ะตามเดิม ชาร์ล็อตยกหน้าขึ้นมาฝ่ามือลูบคลำหัวต้อยๆ
“โธ่...แค่มีอะไรต่อมิอะไรเกินมานิดหน่อยก็ตัดใจแล้วเหรอ...” แล้วก็โดนถาดมรณะหวดอีกรอบอย่างไม่ต้องสงสัย ในเมื่อทั้งบ้าทั้งหื่นแบบนี้ก็สมควรโดน...นี่คิดจะพูดคำอะไรส่อเค้าสองแง่สองง่ามให้เด็กฟังแล้วเสียคนไปเพื่ออะไรกันน่ะครับ!!
ก่อนที่มันจะติดเรทไปมากกว่านี้...มันน่าจะหาคนมาตรวจทานคำพูดของคนๆ นี้สักคน!
ฟราเรสถอนหายใจ...
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้กระทำลงไปนั้นไม่ได้มีความมายอะไรแอบแฝงมากไปกว่าความจงรักภักดีที่มอบให้คุณหนูอยย่างสุดหัวใจ...และการผมยอมแลกทุกสิ่งเพียงเพื่อความสุขเล็กๆ ของคุณหนูเพราะว่ามันสามารถสร้างความสุขแสนยิ่งใหญ่ให้กับตัวของผมได้ ใช่...ความสุขของคุณหนูก็คือความสุขของผม ก็คุณหนูน่ะเป็นเจ้าของชีวิต...และทุกสิ่งทุกอย่างของผม
ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณหนูกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณหนูมอบให้ล้วนเปล่งประกายเลอค่า
ถึงแม้ประกายแสงจะสาดส่องมาอย่างริบรี่...แต่ผมก็น้อมรับที่มีจะความสุขกับมัน
แค่เพียงได้ยืนอยู่ ณ. จุดๆ นี้ ผมก็ไม่ปารภนาซึ่งสิ่งใดอีกต่อไป
พอใจแล้วที่ได้อยู่ตรงนี้...
แว่วเสียงดังมาจากหน้าประตูที่ทำให้ฟราเรสละออกจากห้วงความคิด เสียงสนทนาที่ดูจะรีบร้อนพร้อมกับเสียงเท้าเดินกึ่งวิ่งบนพื้นตรงมาทางห้องรับแขก
ร่างเล็กของเด็กชายผมทองโผล่พรวดเข้ามาให้ห้องรับแขกพร้อมๆ กับชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบสก็อตแลนด์ยาร์ต เรือนผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิง ดวงตากลมสีดำขลับกวาดมองรอบๆ ห้องดูเหนื่อยอ่อนเหมือนคนที่เพิ่งทำเรื่องรีบร้อนมามาดๆ
“ทุกคน....ดะ...ได้เรื่องแล้วครับ!!” วิลเลี่ยมกลั้นเสียงหอบหายใจของตัวเองร้องออกมาก่อนที่มือของตำรวจสันติบาลหนุ่มจะคว้าขอบประตูแล้วทรุดลงไปทั้งร่างเพราะความเหนื่อยอ่อนเพราะหลังจากที่ได้มันมาเขาก็ต้องจัดการหลายๆ เรื่องทั้งจนแทบไม่ได้พัก
“ได้อะไรมาหรือครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของพ่อบ้านเอ่ยถามก่อนจะเดินไปประคองร่างของวิลเลี่ยมให้ไปนั่งพักบนโซฟา ดวงตาสีดำขลับแหงนมองหน้าฟราเรสสลับกับชาร์ล็อตก่อนจะชี้ไปที่ซองจดหมายสีน้ำตาลฝางในมือของซาคัสที่เขาเพิ่งส่งมอบให้ที่หน้าประตูเมื่อครู่
ทุกสายตาจับจ้องร่างเล็กผมทองก่อนที่ซาคัสจะมองแบบตอบคำถามในสายตาเรียงคน มือบางชูของที่อยู่ในมือขึ้นมา ริมฝีปากค่อยๆ เหยียดรอยยิ้ม
“จดหมาย...ฉบับที่สองจากแจ็ค เดอะ ริบเปอร์ไงล่ะ”
+++++++++++++++
ต่ออีก 40 % ที่เหลือ รู้สึกว่าเขียนตอนนี้แล้วกลิ่นวายมันออกพิกลๆ และนอร์มอลแบบพิการๆ ยังไงบอกไม่ถูกแหะ...
อีกไม่นานก็จะจบบทหนึ่ง (สักที) แล้วล่ะ
รอลุ้นคนร้ายได้เลยค่ะ
(ว่าแต่อีกกี่ตอน?)
ความคิดเห็น