คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 Rosaria Cross
“นี่มาสเตอร์ไรวิช เธอร์เนอร์ เขาเป็นคนรู้จักฉันเองล่ะ” ชาร์ล็อตพายมือเป็นเชิงแนะนำมาสเตอร์หนุ่มของบาร์เรเวียให้รู้จัก เขาเป็นชายหนุ่มผมดำร่างสูงโปร่ง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มดูอบอุ่นเข้ากับรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ไรวิชว่าก่อนจะส่งยิ้มให้แต่ไม่พลันจะได้พูดอะไรต่อก็ถูกเจ้าของตาสีไพลินจ้องเขม็งชวนกระตุก “ม...มีอะไรครับ?” มาสเตอร์หนุ่มถามซ้ำเมื่อรับรู้ถึงกระไอน่ากลัวอันไม่น่าไว้วางใจมาจากคุณหนูซาคัส
“ตาของนาย...?” เด็กชายพูดเมื่อจ้องมองลึกในดวงตาสีอ่อนโยนนั้น...มันดูหม่นเสียจนมองไม่เห็นถึงประกายแสง
“ยอดเลยแฮะ...นายน้อยเป็นคนแรกเลยนะเนี่ยที่ไม่บอกแล้วรู้เลยว่าไรว์ตาบอดเนี่ย” ชาร์ล็อตพูดอย่างทึ่งๆ แต่เพราะพูดตรงเกินไปเนี่ยแหละที่ทำให้โดนศอกของคุณมาเตอร์แหวกอากาศพุ่งเข้าชนสีข้างด้วยความรัก จนกระอักว็อดก้าที่ซดไปเมื่อครู่
“ตอนแรกก็ไม่สังเกตหรอก...” ซาคัสพูดเสียงอ่อยๆ ไหล่บางหยักขึ้นเล็กน้อย “ก็เล่นเป็นมาสเตอร์ร้านแถมทำท่าทางเหมือนมองเห็นอีกต่างหากนี่นา”
“อันที่จริงก็ไม่เชิงบอดหรอกครับ...เห็นแค่รางๆ” ไรวิชตอบก่อนซาคัสจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วซดมิลด์ทีอึกใหญ่
อร่อย...พอๆ กับที่ฟาสทำเลยแหะ
“นี่...” เหมือนเสียงของคนที่ใกล้จะอยู่วงนอกสนทนาเอ่ยแทรกขึ้น ดวงตากลมสีดำใสกระหวัดหันมองคนที่นอกจากจะมีชื่อเดียวกับตัวเองแล้วชะตากรรมบทลดถอยหวืดลงอย่างน่าใจหายก็ยังคุกคามเข้ามาเหมือนกัน วิลเลี่ยมเอียงคอลงเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่าเขากำลังฟังอยู่
“เหตุผลที่รั้งฉันไว้ล่ะ?” มาแชลถามซ้ำ
“ก็แค่...อยากจะถามอะไรเล็กน้อยน่ะครับ” เสียงดังแผ่วๆ จากพ่อบ้านหนุ่มที่ช่างนิ่งสงบราบเรียบจนชวนปวดมวนกระเพาะยามที่ถูกดวงตาสีเขียวมรกตหยั่งลึกจับจ้องมา...ว่าก็ว่าเถอะฟราเรสจะมอบดวงตาอ่อนโยนให้กับเจ้านายของเขาแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นแหละ
“เกี่ยวกับเดอะริบเปอร์...”
ได้ยินเสียงถอนใจยาวยืดจากกรรมกรหนุ่มเขาไหวไหล่เล็กน้อย...กะแล้วเชียว
“ฉันไม่รู้อะไรหรอกนะ” เขาตอบทื่อๆ ก่อนจะสะดุ้งตัวเองเมื่อดวงตาสีมรกตหรี่มองเขาอย่างไม่เชื่อ “เออ...รู้แล้ว บอกก็ได้”
“ฉันรู้จักแอนนี่และแมรี่...หมายถึงเหยื่อสองคนนั้นนั่นแหละ” มาแชลเอ่ยพูดที่เรียกให้ดวงตาทุกคู่ส่งประสานมาทางเขาโดยอัตโนมัติ ร่างใหญ่สะดุ้งเล็กน้อย “เพราะพวกหล่อนชอบอยู่กันเป็นกลุ่มแถมยังทำตัวเด่น เอ่อ...” เขานิ่งไปเล็กน้อยเพราะทำว่า ‘เด่น’ ที่ว่านั้นมีความหมายไม่ค่อยเหมาะที่จะให้เด็กรับรู้สักเท่าไร่
แต่ไอ้เด็กที่ว่าไม่ควรรับรู้น่ะ...รู้ซึ้งถึงความหมายดีกว่านายซะอีกนะเออ...
“พวกหล่อน...แสดงว่าไม่ได้มีแค่สองคนสินะครับ” วิลเลี่ยมถามซ้ำ ดวงตาสีขลับของคนเป็นตำรวจสันติบาลขยับจ้องมองคนร่างสูงกว่าที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ...บางทีบทจะเอาจริงก็ทำตัวเหมือนตำรวจได้เหมือนกันนี่วิลล์
มาแชลถอนไหล่นึกในใจว่าคนรวยพวกนี้น่ากลัวเป็นบ้า
“ทั้งกลุ่มนั่นน่ะนอกจากสองคนนั้นก็มี อลิซาเบธ สไตรค์กับแคทรีน เอ็ดโดว์สแล้วก็แมรี่ เคลลี่” เขาว่าก่อนจะรับเบียร์เหยือกจากมาสเตอร์ร้านมาซดอึก “แต่ว่าก็ว่าเถอะคนทั้งโบสถ์ขาวน่ะไม่ค่อยอยากจะเข้าใกล้พวกหล่อนเท่าไร่หรอก”
“เพราะอะไร” ซาคัสว่า “อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้คิดแบบนั้นกัน”
“ฉันไม่อยากจะพูดจาดูหมิ่นคนตาย” มาแชลเอ่ยอย่างระอาเขาคงไม่อาจจะสรรหาคำอธิบายดีๆ ยังไงให้ฟังได้เพราะหากพูดออกไปเขาเองไม่แคล้วว่าจะถูกหาว่าพูดจาไม่เคารพศพเอาได้ “ถึงยันพวกนั้นจะสวยแต่ก็แค่ภายนอกเท่านั้นแหละ”
“งั้นเหรอครับ...” วิลเลี่ยมพูดเสียงนิ่งๆ “ขอบคุณมากครับ”
“ฉันกลับล่ะ” มาแชลพูดเสียงเหนื่อยๆ ก่อนที่จะเห็นว่าคุณหนูจะสะบัดๆ มืออย่างกับจะไล่ ร่างสูงหมุ่นคิ้วถึงจะรู้จักกันไม่ถึงชั่วโมงแต่ก็รู้สึกว่าไอ้เด็กเปี๊ยกนี่เชิดจนน่าตบจริงๆ ให้ตาย ชายหนุ่มคว้าเสื้อนอกที่คลุมอยู่บนเก้าอี้ก่อนเขาจะชะงักนิดเหมือนกับคิดอะไรได้
“อาจจะช่วยอะไรไม่ได้แต่...ลองตามหาผู้ชายที่ชื่อวิคเตอร์ดูสิ” ร่างสูงว่าก่อนจะผินกายหันมาเพราะรู้ดีว่าเจ้าคนผมทองจะต้องขยับปากถามต่อ “เพราะก่อนที่แมรี่ นิโคล จะตายฉันได้ยินสองคนนั้นคุยอะไรสักอย่างเกี่ยวกับคนชื่อนี้”
ซาคัสหมุ่นคิ้วสักพักเด็กชายก็ยิ้ม
“ขอบใจนะ” พูดพร้อมกับที่ร่างของชายหนุ่มเดินหายออกไปจากประตูร้าน
แต่ไม่พลันที่เสียงกระดิ่งประตูจะสงบนิ่งดี ร่างสูงชะงักเล็กน้อยเมื่อถูกหญิงสาวที่พุดสวนออกมาพร้อมกันเซถลาเข้ามาชนอย่างเต็มรัก ดวงตาสีฟ้าหลุบมองคนที่ตัวเล็กกว่าแต่แรงผลักเวลาชนมันหนักหน่วงจนปวดตับ เขาพ่นลมหายใจยาวเหยียด
พอพูดถึงก็มาเลยเรอะ?
“ระวังหน่อยสิอลิซาเบธ”หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไรได้แต่พยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอย ใบหน้าสวยแดงซ่านแถมกลิ่นเหล้าก็ลอยหึ่งก่อนสาวเจ้าจะเดินเอียงๆ ไปหาคนๆ หนึ่งซึ่งยืนรออยู่หน้าร้าน...ก็ไม่พ้นลูกค้าหล่อนแกนั่นแหละ
มาแชลเบ้ปาก เมาขนาดงูเลื้อยตรงกว่าแล้วยังจะ ‘ทำงาน’ อีกเชื่อเขาเลย
ก็เชื่อเขาหน่อยเถอะพ่อคุณ...
หลังจากที่มาแชลออกไปแล้วอีกซ้ำลูกค้าในบาร์เรเวียก็เริ่มจะจางหาย เงียบเฉียบเสียจนได้ยินเสียงพัดลมโคมไฟพัดคลอกับเสียงเช็ดแก้วไวน์ของมาสเตอร์ไรวิช ซาคัสหงุดหน้าลงกับฝ่ามือ ดวงตาสีไพลินทอดมองหยดน้ำเกาะขอบแก้วว็อดก้าค่อยๆ ไหลลงโต๊ะไม้เนื้อหยาบก่อนจะถูกเจ้าของแก้วคว้าไปดื่ม
“คนที่ชื่อวิคเตอร์ทั้งไวท์แชพเพลมีทั้งหมด...หกสิบสี่คนถ้วน นี่ยังไม่ได้นับคนนอกที่มาเที่ยวบริการอีกนะ” ชาร์ล็อตเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบชวนอึกอัด ฟราเรสเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเล็กน้อย ดวงตาสีมรกตเหลือบมองร่างสูงซึ่งยกน้ำเมาดีกรีแรงจัดขึ้นจิบ
“ทราบได้เช่นไรครับ?” เสียงนุ่มเอ่ยถามก่อนที่จะถูกดวงตาสีท้องฟ้าสดใสจ้องกลับ
“มันอยู่ในนี้ไง” ปลายนิ้วชี้เรียวยาวชี้เข้าที่ข้างขมับที่เจ้าตัวคงหมายถึงสมอง “อย่าคิดสิว่าข้อมูลมันจะเก็บได้แต่แค่ในกระดาษอย่างเดียวน่ะ” แว่วเสียงฮัมเพลงแผ่วๆ ที่ดังมาจากริมฝีปากบางของชายหนุ่มนักสืบที่คนเป็นพ่อบ้านอยากยกรองเท้าหนังอัดเข้าปากอย่างบอกไม่ถูก
“สมองปิศาจชัดๆ” ซาคัสพึมพำเบาๆ ก่อนจะถูกแก้ไขในความหมายที่ถูกต้องโดยพ่อบ้านที่ก้มลงมากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า...
“เขาเรียกสมองนิ่มจนกักข้อมูลได้ได้มากกว่าคนปรกติต่างหากครับ” ว่าแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะคิกคักกันอยู่สองคนฉันท์เจ้านายกับคนรับใช้
“อย่าบอกนะครับว่าจะไล่ตามหาคุณวิคเตอร์ทั้งหกสิบสี่คนน่ะครับ” วิลเลี่ยมถามซ้ำก่อนไวน์แดงรสดีของฝรั่งเศสจะถูกรินจากมือไรวิชลงแก้วตรงหน้า สก็อตแลนยาร์ตหนุ่ม...ควรจะตกใจไหมว่าวิลเลี่ยมนั้นคอแข็งผิดกับหน้า
“ไม่มากขนาดนั้นหรอกน่า” คุณหนูว่าก่อนที่ร่างเล็กของเด็กชายจะพุดลุกขึ้นยืนเมื่อไวน์หยดสุดท้ายในแก้วจะถูกวิลเลี่ยมดื่มจนหมดเป็นเชิงบอกว่าให้ละสังขารกลับบ้านได้แล้ว ฟราเรสคว้าเสื้อโค้ทหนังของตัวเองลงสวมให้เจ้านายน้อยของตัวเองอย่างรู้หน้าที่
“ไว้จะกลับมาอุดหนุนอีกนะไรว์” ชาร์ล็อตเอ่ยโบกมือลาเป็นการทิ้งท้ายที่ทำให้ไรวิชถึงกับพ่นลมหายใจยาวเหยียดอย่างคนรู้จักกันดี
แปะโป้งค่าว็อดก้าอีกล่ะสิท่า
เสียงกระดิ่งจากประตูร้านดังขึ้นท่ามกลางสายลมเย็นยะเยียบของถนนในโบสถ์ขาว ซาคัสพวยพ่นลมหายใจออกมาจนกระไอควันขาวขึ้น ดวงตาสีน้ำเงินไพลินแหวมองร่างของตำรวจสันติบาลข้างตัวแล้วจัดการคว้าแขนวิลเลี่ยมขึ้นมากอดแล้วซุกหน้า
“คะ...คุณซาคัส?” วิลเลี่ยมเอ่ยเสียงสั่นจะว่าตกใจหรืออะไรดีแต่วันนี้รู้สึกเหมือนตัวเองจะโดนลวนลามหลายรอบเหลือเกิน
ถึงแม้ว่าตอนถูกคุณซาคัสควงแขนจะไม่สยองปนขนลุกเท่ากับตอนคุณชาร์ล็อตก็เถอะ
“หนาวอ่ะ” พูดแล้วก็เสียดหน้าลงกับแขนเสื้ออุ่นๆ ที่ทำเอาวิลเลี่ยมถึงกับอยากจะร้องไห้...คุณน่ะแค่หาที่ซุกเพื่อไม่ให้หนาวแต่ไอ้กระผมน่ะร้อนจนจะสุกแล้วครับ
“หึงอ่ะสิ...” เสียงพูดเรียบๆ จากนักสืบหนุ่มที่ทำเอาฟราเรสถึงกับสะดุ้งกึก ดวงหน้าคมที่ไม่รู้จะปั้นไปอารมณ์ไหนกระหวัดหันมองหน้าชาร์ล็อตที่เชิดเหมือนกับผู้กำหางเขาแล้วสาวไปถึงชัยชนะที่ไม่ค่อยจะมีนับตั้งแต่วางตัวเป็นอริกัน
“ใช่ที่ไหนกันครับ” ดวงหน้าคมคายสะบัดหันกลับกดดวงตามองไปทางอื่นเพราะไม่รู้จะเอาตาไว้ไหน
“อ๋อ...เหรอ” ชาร์ล็อตลากเสียงยาวเหมือนไม่ค่อยเชื่อกับท่าทางของพ่อบ้านสักเท่าไร ไม่ทันไรเจ้าตัวก็หลุดหัวเราะออกมาจะเรียกว่าเอ็นดูหรือจับหางรู้ทันหรืออะไรสักอย่างก็ไม่อาจทราบ “ความคิดมันออกมาจากหน้าหมดแล้วนา...คุณหมาหวงเจ้านาย”
“ผมไม่ได้วิปริตเหมือนกับคุณหรอกนะครับ” ฟราเรสพูดเสียงต่ำ ดวงตาสีเขียวใสฟาดมองนักสืบหนุ่มด้วยหางตาอย่างไม่ใคร่พอใจจัด
หรือโมโหอยู่ก่อนแล้วหาที่ระบายหว่า...?
ซาคัสละมือออกจากวิลเลี่ยมเมื่อรู้สึกเหมือนกระไอมาคุว่อนๆ ใกล้จะประทุอยู่ข้างหลังตัวเอง ร่างเล็กยกมือเท้าเอวแล้วขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ...เจ้าพวกนี้นี่นะพอปล่อยให้คาดสายตาไม่ดูแลเข้าหน่อยก็พองหางขู่แฟ่ๆ ตั้งท่าจะกระโจนเข้าใส่กันทุกที
“ถ้าพวกนายไม่หยุดฉันจะ...”ได้แค่นั้นเสียงของคุณหนูผมทองก็หยุดชะงัก เด็กชายหันหน้าจนหมุนไปทั้งตัวอย่างสะดุ้งตกใจกับอะไรบางอย่าง ดวงหน้าหวานซีดเผื่อนลงก่อนจะกลับมาขึ้นสีอีกครั้งเมื่อสองเท้าเริ่มก้าววิ่ง
“คุณหนู!!” ฟราเรสส่งเสียงร้อง ร่างสูงของคนเป็นพ่อบ้านจะวิ่งตามเจ้านายที่กำลังหายลับไปในหลืบหมอก...ถึงจะไม่ทราบเหตุผลแต่ขาก็ออกก้าวไปตามสัญชาติญาณที่มี
เมื่อเป็นดังนั้นทั้งสองคนที่เหลือจึงหันมามองหน้ากันเป็นเชิงรับรู้แล้ววิ่งตามๆ กัน
รองเท้าเล็กๆ วิ่งย่ำลงบนพื้นที่เจิ่งนองด้วยน้ำฝนที่ถูกกักขังให้เป็นแอ่งหย่อม เด็กชายกัดฟันเผชิญหน้ากับสายลมเย็นเยียบประพรมอายฝนที่พุ่งกระทบเข้าใส่ใบหน้า ดวงตาสีน้ำเงินไพลินค่อยๆ แปรเป็นเรียบสงบนิ่งอย่างคนกำลังใช้สมาธิ
ชั่วครู่ของเสี้ยววินาทีนั้นเสียงบางอย่างได้หวีดขึ้นมาในโสตประสาท
และครู่เดียวกันที่ทำให้ตัดสินใจก้าววิ่งไปตามเสียงๆ นั้น
ร่างเล็กหยุดวิ่งกระแทกฝ่าเท้าลงกับแอ่งจนน้ำแตกกระจายไปรอบๆ เสียงหอบหายใจดังแผ่วๆ หากแต่ไม่เท่ากับสีหน้าซีดเผื่อนของเด็กชาย แว่วดังเสียงเท้าที่ตามกันมาหลายคู่ ซาคัสยกมือขึ้นราวกับใช้เรียวแขนน้อยๆ กำบังห้ามไม่ให้อีกสามคนที่เหลือก้าวล้ำไปมากกว่านี้
ทั้งที่เหงื่อกาฬไหลออกมาอย่าไม่ขาดเมื่อมองภาพตรงหน้าหากแต่เด็กชายก็กัดฟันยิ้มแล้วพูด
“ท่าทางลางสังหรณ์ของนายจะแม่นกว่าฉันอีกนะฟาส”
แล้วฝนก็ตกลงมา...
ณ. มุมหนึ่งที่สายตาไม่อาจมองเห็นที่ๆ พวกเขาอยู่ได้นั้น...
พื้นถนนสีน้ำตาลชืดถูกย้อมด้วยเลือดแดงที่ชะล้างลงกับสายฝน เลือดสีแดงฉานไหลเจิ่งนองคละเคล้ากับน้ำใสสะอาดราวกับตรามลทินที่ย้อมลงในความบริสุทธิ์ ร่างไร้วิญาณกระตุกเคลื่อนไหวตามแรงของมีในมือสกปรกที่กระหน่ำแทง
แม้ห่างไกลเสียจนมองเห็นได้แค่เงาเลือนรางแต่ก็เห็นชัดดีว่าร่างสกปรกเลือดนี้กำลังยิ้ม
ซาคัสกดฟันของตัวเองขยับยิ้มที่มุมริมฝีปาก
เจอตัวแกจนได้ แจ็ค เดอะ ริบเปอร์!!!
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวตัวของวิลเลี่ยมซาคัสดันมือกั้นบนแผ่นอกของชายหนุ่ม ดวงตาสีไพลินเข้มสบมองลูกแก้วสีดำขลับบนใบหน้าของสก็อตแลนด์ยาร์ตหนุ่มเด็กชายกดสายตาพลางสั่นศีรษะเบาๆ เป็นเชิงปรามห้าม
“อันตรายเกินไปวิลล์” ซาคัสว่ากดปืนที่วิลเลี่ยมชักออกมาจากกระเป๋าเสื้อกลับคืนที่เดิม เด็กชายค่อยๆ ถอดเสื้อโค้ทตัวยาวของฟราเรสออกจากตัวแล้วยื่นส่งคืนให้กับเจ้าของก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นเสยเส้นผมสีทองเปียกโชกน้ำฝน
“ฉันจะไปเอง” เสียงเล็กกล่าวสั้นๆ หากแต่ไม่ทันที่จะก้าวขาไปฝ่ามือก็ถูกรั้งเอาไว้จากตัวของวิลเลี่ยม ดวงตาสีไพลินเหลือบมองร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลที่กำลังสั่นสะท้าน
“อันตรายที่ว่า...กับเด็กอย่างคุณน่ะมันอันตรายกว่าไม่ใช่เหรอครับ?” เสียงนุ่มที่เปล่งออกมาสั่นเครือไม่แพ้กับตัว ซาคัสยิ้มเล็กน้อยก่อนจะผลักมือของวิลเลี่ยมออก เด็กชายเขย่งตัวเพิ่มความสูงอันน้อยนิดของตัวเองตบๆ ข้างแก้มของชายหนุ่มผมน้ำตาลเบาๆ
ซาคัสผละตัวออกขาที่ก้าวเดินเหยียบย่ำแอ่งน้ำฝนสะดุดหันหลังกลับมาเอ่ยพูดถ้อยคำ
“คิดว่าฉันเป็นใครกัน...คุณหนูบ้านริธเชียวนะ” ซาคัสพูดพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่เคยเห็นอย่างปรกติ เงาร่างเล็กวิ่งลัดหายไปกับม่านฝนราวกับถูกกลืนกินให้หายไปห้วงวังวนสีเทาแสนเศร้า
วิลเลี่ยมขยับก้าวขาด้วยความตั้งใจว่าจะวิ่งตามหากแต่ก็ถูกความเห็นพ้องเป็นครั้งแรกของฟราเรสกับชาร์ล็อตดึงรั้งแขนทั้งสองข้างเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลแหวมองคนทั้งคู่ ประกายวูบเดียวที่เห็นว่ามันกร้าวขึ้นได้อย่างน่าตกใจ
“ห้ามทำไมครับ?” วิลเลี่ยมถามที่ทำให้ชาร์ล็อตต้องส่ายหน้า
“ตามนายน้อยริธไปมันก็เท่านั้นแหละ” ชาร์ล็อตว่าชายหนุ่มไหวไหลน้อยๆ อย่างไม่ยี่หระ มือเรียวหยิบเม็ดลูกกวาดที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาแล้วแกะเข้าปากก่อนจะถูกรอยฟันกัดเขี้ยวจนกลืนหายไปในชั่วพริบตา ดวงตาสีน้ำกดลงมองกับพื้น
“พาลแต่จะเกะกะซะเปล่าๆ” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงราบเรียบจนยากจะเดาความรู้สึก ที่ทำเอาวิลเลี่ยมส่งเสียงไม่พอใจเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลกระหวัดตาหันมองฟราเรส
ก่อนที่ริมฝีปากบางที่จะขยับเอ่ยเอื้อนจะชะงักไปครัน
ดวงตาสีมรกตใสนิ่งสงบงันแข็งกร้าวขึ้นราวกับห้วงผืนน้ำนิ่งที่ลึกลงแฝงความเชี่ยวกราด สายตาที่ไม่ได้จับจ้องที่อื่นใดนอกจากเส้นทางที่เจ้านายคนสำคัญได้ออกเท้าก้าวเข้าไป...ห้วงหมอกฝนภวังค์ไร้สีสันกำลังกลืนกินทั่วอาณาบริเวณ
วิลเลี่ยมชะงักตัวลงครันดวงตาสีดำขลับกดมองพื้น...สายฝนสาดเทเกิดเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ คลอรองเท้า ชายหนุ่มกดริมฝีปากแน่น
เรา...ยังไม่ได้เข้าใจอะไรเลยสินะ
เสียงฝีเท้าก้าวย่ำในความมืดมิดแห่งสายหมอก เสียงกระทบกันของน้ำกับสายฝนประคลอ ดวงตาสีน้ำเงินไพลินส่องประกายสะท้อนในความมืดมิดราวกับส่องนำทาง
“ผู้มีความรู้ด้านการแพทย์ชั้นสูงแถมยังถนัดด้านซ้าย...” เสียงเล็กเอ่ยเอื้อนท่ามกลางความมืดมิด รอยเท้าเล็กๆ ก้าวเดินหยุดอยู่เหนือแอ่งน้ำฝน แสงกระพริบหรี่ถี่ของเสาไฟสาดส่องใบหน้าในความมืดมิด ซาคัสกดดวงตาลง
“ใช่ไหมครับ?” เสียงที่ออกจากริมฝีปากอ่อนลง
แสงไฟสาดส่องจากโคมส่องประกายหรี่แผ่ว
“คุณหมอเซอร์กัลล์...”
ใบหน้าชราเปรอะเปื้อนรอยเลือดสีแดงชาดนั้นไม่อาจจะถูกชะล้างไปกับสายฝน แว่นตากรอบเดียวถูกย้อมด้วยโลหิตที่สาดกระทบ ฝ่ามือกำด้ามมีดส่องสะท้อนประกายหากภาพในดวงมณีสีไพลินนั้นมองไม่ผิดไป...เขาเห็นว่าในดวงหน้านั้นกำลังยิ้ม
“รออยู่เชียว...ท่านเอิร์ล”
“แหม...” ซาคัสลากเสียงยาว ดวงตาสีไพลินทอดมองดูร่างชราที่ลุกขึ้นยืนเช็ดคราบเลือดที่ประอาบใบหน้า ความนิ่งสงบครอบคลุมห้วงความรู้สึกคิด “ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยนะครับว่าผมจะได้พบกับคุณหมอนอกงานเลี้ยงแบบนี้น่ะ...ท่าทางความหวังของคุณคงพังทลายซะแล้วสิ”
“นั่นสินะครับ” แว่วเสียงหัวเราะแห้ง จากหมอหลวงประจำพระองค์ซึ่งกำลังเช็ดแว่นเลนท์เดียว “ก็คิดอยู่แล้วว่าผมมันเป็นคนไม่มีโชค”
“ผู้รับเคราะห์ในคดีสังหารรายที่สามของเดอะริบเปอร์ก็ยังคงเป็นโสเภณีเหมือนเดิม” น้ำเสียงเล็กกล่าวนิ่งๆ อย่างเยียบเย็น “ไม่คิดจะเปลี่ยนแนวความคิดบ้างเลยเหรอครับ?” เด็กชายถามต่อส่วนคนเป็นหมอได้แต่ไหวไหล่
“ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมแหละครับ” เซอร์กัลล์ตอบเรียบๆ ที่ทำให้ซาคัสเบ้ปาก...จะนิ่งไปไหนน่ะ
“รสนิยมแปลกดีนะ”
ซาคัสขยับฝ่าเท้า ดวงตาสีน้ำเงินส่องประกายไหววูบตามแสงโคมไฟ น่าแปลกใจ...ที่เห็นว่าคนตรงหน้านั้นกลับไม่มีอาการหวั่นหวาดกลัวหรือถอยหนีแสดงออกมาให้เห็นดั่งเช่นผู้ร้ายควรพึงกระทำยามความผิดถูกค้นพบ
เด็กชายเรือนผมทองเอียงคอลงเล็กน้อย ดวงหน้าเยาว์ติดรอยหยิ่งอย่างเช่นเคยดูจะสงบลงไปในทันทีเมื่อมองผสานรวมกับสายตาและรอยยิ้มเย็นเยียบจนสายฝนก็ไม่อาจเปรียบเทียบ
ซาคัสทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างศพของหญิงสาวรอยเลือดถูกชะล้างในสายฝนย้อมหยดน้ำให้กลายเป็นสีชาด มือบางวางบนใบหน้าก่อนจะเคลื่อนปิดดวงตาที่เบิกค้างให้หลับลง
“ด้วยนามของสี่ดยุคแห่งเพียวน์และตัวแทนแห่งดวงตาขององค์ราชินี...” ร่างเล็กค่อยๆ ยืดตัวลุกขึ้นยืน น้ำเสียงเยาว์เอ่ยออกจากริมฝีปากบางกระไอเย็นยะเยียบที่ส่งผ่านราวกับจะแทรกซึมสู่ผิวเนื้อ ดวงตาสีน้ำเงินไพลินสงบนิ่งเมื่อจับจ้องร่างไม่ไหวติงกับปฏิกิริยาราวกับไร้ชีวิตของเซอร์กัลล์
“ฉันขอจับกุมชายที่อยู่ตรงหน้านี้ ด้วยชื่อของ ซาคัส ริธ!!”
เสียงที่ประกาศก้องอย่างแน่วแน่ ดวงตาสองสีสบปะทะกันอย่างนิ่งงันยะเยียบไร้ความรู้สึกพร้อมกับประกายสายฟ้าประกาศประกาศิตลงสู่ผิวดิน
ความเงียบกินกลืนอาณาเขตราวกับม่านสายฝนก่อตัวเป็นกระจกกักกั้นเสียงใดๆ ให้เล็ดรอดผ่านออกมา เซอร์กัลล์เหยียดสายตาสีอ่อนซีดมองร่างของเด็กชาย...
ที่ความจริงก็ไม่น่าจะเรียกว่าเด็กชายได้อย่างเต็มปากเท่าไรนัก
กับความน่าเกรงขามกดดันทุกสิ่งอย่างให้สยบและสงบนิ่งภายใต้บัญชาแค่เพียงปราดปรายสายตามองของร่างเล็กตรงหน้านั้น
ช่างน่าพรั่นพรึงเกินกว่าที่เด็ก...ไม่สิ มนุษย์....สามารถจะกระทำได้
ชายสูงวัยไหวมีดในมือให้กระชับตามสัญชาติญาณป้องกันตนเองอาจจะเพราะบรรยากาศกระอักกระอวนที่ถูกส่งมาอย่างผิดฝ่ายผิดตัวราวกับว่าผู้ได้ชื่อว่าเป็น...คนร้ายในตอนนี้อย่างเขาเสียเองที่ถูกกดดันอย่างหนักหน่วง
ซาคัสเลิกคิ้ว เด็กชายกัดถุงมือแล้วใช้ฟันคาบดึงมันออกจากมือ ดวงหน้าเยาว์แสยะยิ้มเอียงคอลงเล็กน้อย ดวงตาสีไพลินหรี่อย่างเย่อหยิ่ง
ถ้าไม่ได้ผะบู๊สักหน่อยคงไม่ได้สินะ
ประกายไฟในโคมหรี่ลง กระพริบถี่ๆ แล้วดับลงนิ่งทิ้งเพียงความเรือนรางที่ส่องสะท้อนในความมืดเด็กชายขยับเท้า แม้สายฝนจะหลั่งไหลสร้างฉากกั้นให้มองเห็นร่างของอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนแต่กระนั้นแล้วในดวงตาสีน้ำเงินไพลินกับไหววูบด้วยแสง
ทันทีที่เงากัดกินแสงสว่างไปจนเหลือแค่เพียงเศษเสี้ยว
ฉันจะทำให้มันจบลงในความมืดนี้เอง
เซอร์กัลล์ก้าวท้าวถอย มือกำด้ามมืดแน่นขึ้นจนมือเห็นสืเลือด ชายสูงวัยกัดริมฝีปากสายตาแหวดระแวงระวังทั่ว...กลัว...ทั้งที่เป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งแต่แล้วทำไมแค่เพียงดวงตาที่จ้องกลับมากลับทำให้รู้สึกหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้
ดวงตาเย็นชาเยียบเย็นราวกับเป็น
ดวงตา...
ของปิศาจ...
“แล้วคิดว่าอะไรล่ะ”
เสียงที่แว่วดังจากความมืดมิดราวกับสะท้อนถ้อยความคิดในใจของเขาออกมาจนหมดสิ้น ดวงตาสีเทาเบิกกว้างกับภาพที่ปรากฏแก่สายตา...ภาพที่เขาไม่อาจจะเชื่อได้เลยว่าทั้งชีวิตนี้เขาจะได้เห็น
เงาสีดำมืดทอดยาวล้อมรอบตัว ความมืดมิดไต่ไล่ขึ้นมาจากข้อเท้าตรึงตัวจนไม่จะไปไหนได้ มืดคมถูกปลดออกจากมือร่วงลงกับพื้น
ดวงตาสีเทากระหวัดมอง ใบหน้าขาวซีดเผื่อนไร้สีเลือดยามที่พบกับใบหน้าเยาว์ที่ส่งร้อยยิ้มดังเด็กน้อยไร้เดียงสาให้เขาอยู่เบื้องหลัง ทันทีที่มือเล็กสะบัดเบาๆ เงาที่แผ่ขยายก็รวบรวมร่างปรากฏเป็นหมาป่าเส้นขนสีดำสนิทตลอดทั้งตัวขึ้นมา
“ขอโทษทีนะครับคุณหมอที่เล่นขี้โกงไปหน่อย” ซาคัสเอ่ยอย่างทุกทีแต่กระนั้นกลับทำให้รู้สึกสั่น ดวงตาสีน้ำเงินไพลินที่กดมองใบหน้าหวาดกลัวของชายสูงวัยดูราวกับเคลือบด้วยประกายสีแดงเลือด ริมฝีปากบางกลับมีเขี้ยวคมเล็ดรอดออกมา
ร่างของเซอร์กัลล์ทรุดลงพร้อมๆ กันที่เท้าของซาคัสแตะลงกับพื้น...ได้ยินเสียงลั่นกร็อบแกร็บของนิ้วมือตบท้ายด้วยรอยยิ้มที่มีแบล็คกราวน์ชวนขวัญผวารายล้อมเบื้องหลัง ดวงตาของเด็กชายกลับกลายเป็นสีน้ำเงินอีกครั้ง
“ถึงอย่างนั้นแต่เรื่องใช้กำลังผมก็มีความมั่นใจอยู่บ้างนะครับ”
เสียงตบเท้าคืบคลานเข้ามาใกล้ร่างของชายสูงวัยที่กองกับพื้นทำหน้าผวากับชะตากรรมที่ตัวเองกำลังจะเผชิญในอีกไม่กี่วินาที...ซาคัสหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนเคล้าคลอกับเสียงโครมครามดังขึ้นมาเป็นระยะๆ
แล้วจะสวดมนต์ให้นะคุณหมอ
“โอ้...ท่าจะใกล้เสร็จแล้วแฮะ” ชาร์ล็อตชะโงกหน้าออกจากตรอกมองตามเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวด แล้วทำตาโตอย่างคนสนใจหรือไม่ก็สะใจ เจ้าของดวงตาสีฟ้ากระหวัดหันไปหาพ่อบ้านที่น่าจะอยู่ข้างๆ ก่อนจะเบ้ปากว่า...
คุณพ่อบ้านนั้นหายไปแล้ว...?
ชาร์ล็อตเดาะลิ้นแล้วถอนหายใจยาวพรืดแล้วก้าวเท้าเดินตรงไปทางที่พ่อบ้านน่าจะไป
ซึ่งไม่ใช่ที่ไหนนอกเสียจากที่ๆ คุณหนูทูนหัวของเจ้าตัวอยู่นั่นแหละ
ร่างของเซอร์กัลล์น็อคเอาท์หมดสติล้มลงกับพื้นพร้อมกับที่ฝนห่าหนักได้ซาลงจนเหลือเพียงเม็ดปรอย ซาคัสสะบัดมือเบาๆ ก้มใส่กุญแจมือคุณหมอสูงวัยแล้วกรอกตา...ถึงจะลงมือไม่เต็มแรงก็เถอะแต่เหมือนกับการรังแกคนแก่กลายๆ เลยแฮะ เด็กชายหยิบถุงมือขึ้นสวมอีกครั้งแล้วเบนสายตามองยังร่างของหมาป่าที่เดินวนเวียนรอบตัว
“ขอบใจมากนะเฟนริร์” ซาคัสกล่าวเสียงรื่นแล้วลูบเส้นขนสีดำขลับนุ่มของหมาป่าเฟนริร์สัตว์เลี้ยงที่อาศัยอยู่ในเงาของตนเองเบาๆ
แว่วเสียงวิ่งดังมา ซาคัสจะกระหวัดสายตามองตามเสียงก่อนจะปรากฏภาพของชายหนุ่มในชุดสูทพ่อบ้านหางยาววิ่งตรงมาทางเขา เส้นผมสีดำขลับเปียกน้ำลู่ลงแนบแก้ม ฟราเรสถลาก้มตัวนั่งชันเข่าเบื้องหน้าร่างของเจ้านายทันที
“ปลอดภัยใช่ไหมครับ...คุณหนู” เสียงพูดปนหอบของฟราเรส กระไอควันเย็นๆ พวยพ่นออกจากริมฝีปาก ชายหนุ่มคว้ามือของของซาคัสขึ้นมาแล้วกำแน่น แว่วเสียงถอนใจของร่างที่ยืนอยู่ เด็กชายยิ้มน้อยๆ แล้วยกมืออีกข้างขึ้นลูบหัวฟราเรสเบาๆ
“ฉันปลอดภัยดีน่า” ซาคัสพูดปนเสียงหัวเราะก่อนจะสะกิดใจกระตุกข้อมือของฟราเรสขึ้นมา เด็กชายบุ้ยหน้าแล้วจ้องรอยแดงลึกที่ฝ่ามือของพ่อบ้าน...รอยเล็บที่กำแน่นจนจิกเข้าไปในเนื้อที่รู้ในทันทีว่าด้วยเหตุผลอะไร
“นายนี่บ้าจริงห่วงไม่เข้าเรื่องเลย!” ซาคัสโวยอย่างไม่พอใจ เด็กชายกดมองพ่อบ้านหนุ่มที่เบนสายตาหลบแล้วถอนหายใจอย่างโกรธไม่ลง เด็กชายยิ้มแล้วตบบ่ากว้างของฟราเรสแรงๆ เป็นเชิงปลอบและทำโทษเป็นนัยๆ
นัยน์ตาสีน้ำเงินทอดมองร่างของฟราเรสที่เดินกดบ่าเพราะเจ็บสาหัสห้อยสังขารเดินไปเล่นกับเฟนริร์ที่ส่งเสียงครางหงิงๆ ออดอ้อนอยู่ข้างๆ เด็กชาย...อันที่จริงจะเรียกว่าเด็กก็ไม่ถูกเขายิ้มแล้วหรี่ดวงตาลง ยกฝ่ามือขึ้นเสยเส้นผมเปียกจนลงมาปรกหน้าเล็กน้อย
ไม่เห็นต้องห่วงทั้งที่ก็น่าจะรู้แท้ๆ ว่าแค่นั้นทำอะไรฉันไม่ได้
“เอาล่ะ...หมดเวลาซึ้ง” เสียงตบมือตัดบทดังฉึบของชาร์ล็อตที่เดินมาสมทบนานมากแล้วแต่หาจังหวะพูดไม่ได้เรียกให้ซาคัสตื่นขึ้นมาจากภวังค์ คุณหนูตัวเล็กแหวสายตามองชายผมดำก่อนที่ชาร์ล็อตจะบุ้ยมือยังข้างตัว “จะอธิบายยังไงกับไอ้หนูนี่ดีล่ะ”
ไอ้หนูข้างตัวที่ว่าก็ไม่ใช่ใครอื่น
พ่อวิลเลี่ยมที่น่าสงสารนี่เอง...
“อิหยา...” ซาคัสสบถอุทานออกมาแล้วยกมือขึ้นตีหัวตัวเองเบาๆ ส่วนฟราเรสก็กระตุกสะอึกเฮือกใหญ่เพราะลืมสนิทเลยว่ายังมีคนไม่รู้อยู่ด้วยเลยเผลอตัวแสดงตนออกมาจนได้...ร่างเล็กเดินตรงไปหาสก็อตแลนด์ยาร์ตหนุ่มก่อนจะตบแขนของคนตรงหน้าเพราะตบบ่าไม่ถึง
“ต้องการคำอธิบายไหม?” ซาคัสถามส่วนวิลเลี่ยมไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้า
หรือว่าเอ๋อจนเสียงหายไปแล้วหว่า?
ซาคัสนิ่งไปนานเด็กชายเอียงคอสลับซ้ายขวาอย่างคิดไม่ออกว่าจะเริ่มอธิบายจากอะไรก่อนดีจนกระทั่งวิลเลี่ยมเริ่มพูดก่อนน่ะแหละถึงจะหยุดคิด
“สรุปเอาง่ายๆ ก็คือว่าคุณซาคัสเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาอย่างคนทั่วๆ ไปสินะครับรวมถึงคุณหมาป่าตรงนั้นด้วย” วิลเลี่ยมเอ่ยโดยไม่รอคำอธิบายตัดสินใจเองเสร็จสรรพพลางบุ้ยมือชี้ไปยังเฟนริร์ ซาคัสเบิกตากว้างอย่างตกใจแว่วดังเสียงกระซิบจากชาร์ล็อตที่ก้มลงมา
“เข้าใจอะไรง่ายกว่าที่คิดแฮะ...ฉันนึกว่าจะช็อคจนเอ๋อไปสามสี่วันซะอีก”
“ฉันว่าหมอนั่นอยู่กับฉันได้ขนาดนี้คงจะคิดว่าแค่นี้มันคงเป็นเรื่องปรกติมากกว่า” ซาคัสตอบเหนื่อยๆ ก่อนเรือนร่างเล็กจะก้าวเดินไปยังศพของหญิงสาวแปลกหน้า เด็กชายทรุดตัวลงเคียงข้าง ดวงตาสีไพลินทอดมองสภาพศพที่ชวนร้องไห้
รอยมีดกดลึกที่ลำคอปาดจากขากรรไกรซ้ายยาวกว่าหกนิ้ว จากระยะทางมีดแล้วกรีดตัดลอดลมให้ขาดได้ในทันที รอยเลือดแดงฉานไม่อาจถูกชะล้างไปกับสายฝนเปรอะเปื้อนเต็มเสื้อผ้าบริเวณหน้าท้องยาวเลยจนถึงท้องน้อยถูกคมมีดกระชากสะบั้นเครื่องในไม่เป็นชิ้นดี มือบางกดลงบนบาดแผลจนเลือดลิ่มๆ แตกตัวย้อมเต็มถุงมือขาวให้กลายเป็นสีชาด ดวงตาสีไพลินจ้องลึกเข้าไปข้างในบาดแผล
นี่ก็...ไม่มีมดลูกอีกสินะ...
เปลือกตาค่อยๆ หรีลงจนปิดสนิท มือบางวางลงบนข้อมือของศพหญิงสาว ริมฝีปากบางพร่ำร้องบทเพลงสวดเรเควี่ยมส่งวิญญาณอย่างแผ่วเบา...เพราะเขาไม่อาจจะทำอะไรได้มากกว่านี้ให้กับเธอ...เหยื่อที่เขาไม่อาจจะช่วยได้ แต่อย่างน้อยก็ขอให้บทสวดนี้นำทางให้กับดวงวิญญาณกลับสู่ดินแดนที่ได้จากมาอีกครั้ง
“อลิซาเบธ สไตร์ค...สินะ” ชาร์ล็อตพูดขึ้นหลังจากที่ชายหนุ่มจัดการตรวจสอบข้าวของในกระเป๋าของหล่อนอย่างถือวิสาสะหรืออีกนัยน่าจะเรียกว่ารื้อ ดวงตาสีฟ้าใสก้มลงมองดูชื่อเจ้าหล่อนจากใบสั่งยาของเเพทย์ “โรคพิษสุราเรื้อรังซะด้วยสิ”
ซาคัสลุกขึ้นก่อนจะคว้ากระดาษจากในมือของชาร์ล็อตขึ้นมาดู ในลายมือระบุว่าเจ้าหล่อนเป็นพิษสุราเรื้อรังที่พ่วงท้ายด้วยโรคตับแข็งอีกหนึ่งกระทง มือบางแบมือหน้านักสืบหนุ่มที่เจ้าตัวรู้ดีว่าหมายถึงให้ส่งกระเป๋ามา มือใหญ่กว่ายื่นส่งกระเป๋าถือชื้น...หรือต้องเรียกว่าโชกน้ำฝนลงกับมือของคุณหนู
เด็กชายหงุดดวงตางจับจ้องมองสิ่งของที่อยู่ภายในอย่างพิจารณา มือเล็กหยิบสิ่งของที่ชุ่มชื้นน้ำขึ้นมา ซองกระดาษจดหมายสีน้ำตาลฟางบรรจุยาหลายตัวที่ละลายปนไปกับน้ำแต่กระนั้นกลิ่นจางๆ ที่ลอยแตะจมูกก็ยังพอจะแยกออก
กลิ่นมอร์ฟีน?
มือเล็กพลิกสำรวจซองยาก่อนจะชะงักไปครันเมื่ออักษรที่จ่าหน้าอยู่บนซองกระดาษที่แม้หมึกจะละลายหายไปกับน้ำแต่ก็ยังคงเค้าร่างตัวอักษรเอาไว้
ตัวอักษรย่อ ‘M’
เหมือนกับของแอนนี่ แชปแมนด้วยลายมือเดียวกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน
ดวงตาสีน้ำเงินไพลินหรี่ลงอย่างครุ่นคิด...ปมปริศนาที่คลายตัวแล้วกลับกลายสภาพเป็นห่วงเกลียวหลวมๆ ทั้งที่เหมือนจะคลายตัวออกแต่กลับพันกันยุ่งเหยิงเสียมากกว่าเดิม
“คุณหนูครับ?” ฟราเรสเอ่ยถามร่างเล็กที่นิ่งสนิทลงไปกับตา ซาคัสสลัดตัวเองหลุดออกจากห้วงภวังค์ความคิดที่กำลังจมอยู่แล้วกระหวัดสายตาหันมองคนตัวสูงกว่าแล้วส่งยิ้มให้อย่างแผ่วบาง
พ่อบ้านหนุ่มคลี่รอยยิ้มจางตอบกลับ ดวงตาสีมรกตสบลึกลงกับดวงตาสงบนิ่งลึกของผู้เป็นนายเหนือหัวของตนเอง
รอยยิ้มของคุณคือสิงที่ผมปรารถนาจะปกป้องรักษาตราบสิ้นลมหายใจ
แต่มือของผมนั้นกลับไม่สามรถเอื้อมคว้าคุ้มครองปีกสีดำแห่งอีกาได้เลยแม้แต่น้อย...
แม้ฝ่าเท้าไม่สามารถอาจเอื้อมก้าวไปหา...แม้แผ่นหลังนี้ไม่สามารถสร้างปีกเพื่อโบยบินไปหาคุณได้แต่กระนั้นตัวผมก็ขอเป็นเพียงผู้ที่คอยไขว่คว้าไล่ตามเก็บเส้นขนนกสีดำไม่ให้รวงหล่นลงสู่พื้นดิน...แค่นั้นคุณคงจะอนุญาตสินะครับ?
ขอปกป้องคุณจากมลทินใดๆ
ผมขอสาบาน
“แล้วนายจะเอาไงต่อกับคุณหมอคนนี้ดีล่ะ?” เสียงทุ่มนุ่มจากนักสืบหนุ่มเอ่ยถามเมื่อดวงตาสีฟ้าใสหันไปเจอกับร่าของเซอร์กัลล์ที่นอนแบ็บสลบคาที่ ชาร์ล็อตย่นจมูก...ลงมือลงเท้ากับคนแก่หนักเกินไปหรือเปล่านะคุณหนู...
“ตั้งใจว่าจะรอให้ฟื้นแล้วจะสอบถามอะไรสักหน่อยน่ะ” ซาคัสว่าแต่ไม่พลันที่จะได้พูดอะไรต่อมิอะไรที่อยากจะอธิบายก็...
“เพราะถึงยังไง...”
กรี๊ดดด!!!
แล้วฝนก็ตกลงมาอีกครั้ง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แก้ไขฉากตอนที่แล้วเล็กน้อยค่ะ เพราะรู้สึกว่ามันรวบรัดกับคดีเกินไป แฮ่ๆ
ความคิดเห็น