ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Zodiac พ่อมดฝึกหัดกับภูติจักรราศี

    ลำดับตอนที่ #3 : Nightmare 02 : Child shine (16%)

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.พ. 53



              เรือนร่างเล็กขอเด็กชายวัยสิบสองก้าวเดินตามทางหินอ่อนสีน้ำตาลเข้มภายในโรงเรียนที่เงียบสงบ เซลีนขมวดหัวคิ้วเล็กน้อยระหว่างกระชับกระเป๋าเป้ที่ดูเหมือนจะใหญ่พอๆ กับตัวให้ถนัดก่อนจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกอันเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นองค์พระแม่มาเรียเหนือบ่อน้ำพุ ดวงตาสีเขียวมรกตหรี่ลงก่อนจะเอ่ยถ้อยคำสวดภาวนาในใจเบาๆ

              
    แม้ลูกจะมาโรงเรียนสายไปร่วมสามชั่วโมงแต่ได้โปรดประทานพรแก่ลูกด้วย...เอเมน

             เมื่อกล่าวจบเด็กชายก็ลืมตาขึ้นแล้วก้าวเท้าเดินไปตามเส้นทางที่เงียบเฉียบไร้ซึ่งนักเรียนนั่นก็เพราะว่าตอนนี้ยังคงอยู่ในชั่วโมงเรียนนั่นเอง...

             หรือจะพูดให้ตรงคือเวลานี้ไม่มีใคร 'บ้า' มาเดินดุ่มๆ เข้าโรงเรียนอีตอนคาบสามหรอกแถมถ้าคิดตามแบบคนปรกติคงหยุดนอนอยู่บ้านไปแล้วด้วยซ้ำ

              แต่จะว่างั้นก็ไม่ได้เพราะคุณหนูเซลีนแกปรกติกับเขาซะทีไหน

              ทั้งๆ ที่โรงเรียนเซนต์ริเรียลนั้นเป็นโรงเรียนมิชชันนารี่ที่เคร่งขรัดมากพอๆ กับที่เก่าแก่มากเช่นกัน ปีที่เริ่มสถาปนาโรงเรียนนี้อยู่ในช่วงสมัยวิคตอเรียคือในช่วงปีคริสต์ศักราช 1867 แต่กล่าวกันว่าก่อนหน้านั้นคือโบสถ์แรกที่สร้างขึ้นโดยสี่ขุนนางเพียวน์

              ขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนที่เก่าแก่และหรูหรานี้ได้อบรมกุลบุตรกุลธิดาใหเพียบพร้อมมารุ่นต่อรุ่น แรกเริ่มเดิมทีนั้นแบ่งแยกเป็นฝั่งนักเรียนชายและนักเรียนหญิงมาก่อนจะทุบกำแพงยุบรวมกันในปี 1950 หลังสิ้นสุดสรามโลกครั้งที่สองได้ไม่นาน...นับว่าเป็นโรงเรียนที่ยังคงอยู่รอดจากภัยสงครามรอบด้านและยังเป็นหนึ่งในฐานลับของเพียวน์ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งด้วย

              แม้ตอนนี้จะเป็นเพียงแค่โรงเรียนที่เปิดสอนตั้งแต่เกรดหนึ่งจนถึงสิบสองแต่ก็เป็นมากกว่าโรงเรียนมิชชันนารีทั่วๆ ไป

              แต่สถานที่ดีๆ อย่างนี้กลับมีคุณหนูบ้านไอวอลซ์คนหนึ่งซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตระกูลที่เรียนอยู่ที่นี่ตั้งแต่รุ่นแรกเป็นปิศาจจอมมาสายตั้งแต่เข้าเรียนเกรดหนึ่ง!

              เสื่อมชื่อโรงเรียนหมดเลย...พับพ่า

              เสียงต้นไม้พัดหอบกระไอเย็นๆ ให้ร่างหายรู้สึกหนาวเหน็บ เซลีนหลับตาลง ใบไม้แห้งหลายใบต่างพากันพัดพุ่งตรงมายังตนราวกับกลั่นแกล้ง...ไม่ก็ลงทัณฑ์เด็กมาสายแล้วสายอีกแล้วไม่เคยสำนึกบางคนก็ได้

               แล้วยิ่งเตี้ยก็ยิ่งรับฝุ่นเข้าไปเต็มๆ เลยน่ะสิ!

              "อา...ลูกแกะตัวน้อยที่น่าสงสารเอ๋ย..." น้ำเสียงนุ่มแผ่วจาที่คลอตามเสียงของสายลม อยู่ดีๆ ร่างของเซลีนก็ลอยหวืดขึ้นจากพื้น ลมค่อยๆ หยุดพัดลงจานิ่งสนิอ ดวงตาคู่กลมสีมรกจค่อยๆ เปิดขึ้นเมื่อพ้นจากรัศมีการถูกทำร้ายร่างกายโดยฝุ่นและใบไม้

               แต่อาจจะเจอของอันตรายมากกว่า...

               ชายร่างสูงโปร่งเจ้าของเรือนเส้นผมสีทองในชุดเสื้อปกคอตั้งสีดำสนิทยาวกร่มเท้าคลุมทับด้วยผ้าสีขาวคลิบด้วยดิ้นทอง ที่คอห้อยสร้อยลูกปัดคล้องกางเขนโรซาริโอ้บ่งบอกถึงสถานะของเขาได้เป็นอย่างดี 

              "สาธุคุณราวิล...?" เซลีนพึมพำอย่างสงสัยว่าอีกฝ่าจะอุ้มตัวเองทำไมส่วน 'สาธุคุณราวิล' ก็ได้แต่คลี่รอยยิ้มอ่อนโยนที่ผมปาก ดวงตาคู่สีฟ้าใสจ้องมองร่างเล็กในอ้อมกอด

              "ด้วยถ้อยวัจนาอันเที่ยงธรรมขององค์พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตา สายลมใดเล่าจึงพัดพาลูกแกะตัวน้อยนี้สู่อ้อมกอดอันเปี่ยมล้นด้วยแสงทองท่ามกลางกาลเวลาที่แตกต่างเช่นนี้" เขาเอ่ยถาม น้ำเสียงทุ่มต่ำกระซิบที่ข้างหู อนึ่ง...เนื่องจากหน้าหล่อๆ อันเกินจำเป็นของคุณบาทหลวงแกชักเริ่มเข้ามาใกล้เกินไปแล้ว! 

              เซลีนขยับยิ้มแห้งๆ

              นี่พี่แกคงไม่ได้ถามว่า 'ทำไมถึงได้มาสายอีกแล้ว' หรอกนะ

              "โปรดเอื้อนเอ่นถ้อยแห่งแสงสว่างนั้นเถิด" เขากล่าวย้ำด้วยถ้อยคำที่เหมือนจะสื่อว่า 'ต้องการคำตอบนะครับ' อย่างบอกไม่ถูก แว่วเสียงลมหายใจเบาๆ พวยพ่นออกจากริมฝีปาก เซลีนขมวดคิ้วก่อนจะห่อปากจนดูเหมือนรูปสามเหลี่ยม

              "ข้าแต่ถ้อยประกาศิต...อาจารย์อันเป็นที่รักโปรดกล่าวถ้อยวาจาที่ศิษย์ตัวน้อยเบาปัญยาอย่างลูกให้เข้าใจได้โดยง่ายที่เถอะ!" แล้วก็สวนตอกกลับ...อย่าลืมนะว่าคุณหนูแกนอกจะเรียนโรงเรียนคริสต์มาหกปีเต็มแล้วยังช่างสรรหาถ้อยคำหรูๆ พอกับคนสอนนั่นแหละ

              ไม่เชื่อ...ก็ลองย้อนความถึงตอนเรียกภูตแต่ละตนดูก็แล้วกัน

               "อา..." ราวิลอุทานเสียงแผ่วสีหน้าของสาธุคุณตอนนี้ดูยุ่งเหยิงนิดๆ แต่ก็นิดจริงเพราะผ่านไปชั่วครู่ก็กลับมายิ้มได้เหมือนเดิม

               "มาสายแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับคุณเซลีน" เขากล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยคำพูดที่เข้าใจง่ายกว่าเดิมแบบมากมายมหาศาลส่วนเซลีนก็โคลงศรีษะรู้สึกเหมือนโล่งใจแปลกๆ  "ถ้าให้นับตั้งแต่ที่ผมมาประจำที่โบสถ์เซนต์ริเรียลนี่ก็ครั้งที่...อืม..."

              "อย่านับเลยดีกว่าครับ..." เซลีนกล่าวตัดบทเพราะถ้าให้พูดกันจริงต่อให้เอานิ้วเท้ามานับก็ไม่พอกับจำนวนที่เขาเจ้าสายหรอก เด็กชายหยุดคิดไปชั่วครู่ก่อนจะมองเท้าตัวเองที่ไม่ได้อยู่ติดพื้นมาร่วมหลายนาทีแล้วมองหน้าคนเป็นอาจารย์ 

              "วางผมลงได้แล้วละครับสาธุคุณ"

              หากแต่เมื่อพูดไปกลับมีความเงียบงันเข้ามาแทน ราวิลได้แต่ยิ้ม...ยิ้มแบบแปลกๆ จนชวนขนลุก ชายหนุ่มศีรษะเล็กน้อย 

              "เห็นทีจะทำตามคำขอไม่ได้หรอกครับคุณเซลีน...เด็กมาสายก็ควรจะต้องถูกลงโทษถ้าเช่นนั้นกรุณาไปที่โบสถ์...โอ๊ย!" ยังพูดไม่จบม้วนหนังสือมรณะก็ฝาดเข้าที่กลางกบาลทองๆ อย่างไร้เยื่อใยและไร้ใยดี ดวงตาคู่เรียวฟ้ากวาดกระหวัดหันไปทางต้นสาย...ชั่วครู่รู้สึกความความอ่อนโยนที่มีอยู่เมื่อครู่นี้ได้มลายหายไปสิ้น

              "อา...ลอเรนซ์สหายรัก" เขากล่าวด้วยรอยยิ้มให้กลับชายหนุ่มอีกคนที่เดินเข้ามา เขาสวมเสื้อเชิตสีดำสนิทผูกด้วยเนคไทน์สีน้ำเงินเข้มลายขวางหลวมๆ ทับด้วยโค้ทตัวยาวอีกชั้น ลอเรนซ์เคาะม้วนหนังสือลงกับมือเบาๆ หากแต่ดวงตาเอาเรื่อง "สหายข้าเคยได้ยิรคำกล่าวกันว่าบาปของลูฟิเฟอร์ที่ต้องชดใช้ด้วยการรับกงล้อมมรณาโทษทานทัดเทียมอำนาจอันศักศิทธิ์ของิงค์พระเจ้านั้นช่างสาหัสนัก"

               ลอเรนซ์เลิกคิ้ว

             "Go to Hell? จะบอกกับฉํนอย่างนี้สินะ" ลอเรนซ์ไหวไหล่พลางเลิกคิ้ว "วางคุณไอวอลซ์ลงเลยราวิล...ฉันยังไม่อยากให้เพื่อนร่วมรุ่นตัวเองต้องถูกปลดจากหน้าที่การงานพระคดีพรากผู้เยาว์หรอกนะ" เขาพูดก่อนจะอุ้มเซลีนออกจากอ้อมแขนของราวิลแล้ววางลงกับพื้นอย่างเบามือส่วนคนถูกอุ้มไปอุ้มมาก็ได้แต่ขมวดคิ้ว

              อาจารย์สองคนนี้ต้องการจะสื่อถึงอะไรกันหว่า? 

              "นี่..." เซลีนพึมพำน้ำเสียงเหมือนกับจะพยายามหาช่องทางแทรกรังสีแบบแปลกๆ ของสองอาจารย์ คิ้วเรียวบางสีทองขมวดมุ่นเล็กน้อยเหมือบกับพยายามทบทวนความทรงจำตัวเอง...ว่าถ้าจำไม่ผิดทั้งครูสอนศาสนาและครูสองสังคมของตนนั้นสนิทกันแบบนี้ด้วยเหรอ?

              หรือเพราะเราไม่เคยสังเกตเองหว่า...?

              "ครับ?"

              "หืม?"

              สองอาจารย์ละตัวออกจากวงการสนทนาธรรมที่ใกล้เคียงกับการฆ่าฟันด้วยสายตาแล้วหันมาตอบรับกับเสียงเรียกของเซลีน

              "ถ้าจะมาตามนักเรียนสายล่ะก็อยู่ตรงนี้นี่! " เซลีนร้องลมหายใจจำนวนมาถูกสูดเข้าปากจนแก้มป่อง...อารมณ์เหมือนลูกหมาที่ถูกเจ้าของไม่สนใจไม่มีผิด

               สรุปเอาซื่อ...เจ้าตัวเล็กแกกำลังเรียกร้องความสนใจอยู่นั่นเอง

               "แต่ถ้าไม่ใช่แต่ยังไงก็ช่วยสนใจกันบ้างเซ่!" เจ้าคนผมทองร้องก่อนจะทรุดลงนั่งขัดสมาธกับพื้นพร้อมกับเต๊ะท่ากอดอกด้วยท่าทางที่คลับคล้ายกับลูกหมาขี้งอน...ถ้าพอยื่นมือไปลูบหัวก็จะง้างปากงับทันที

              ที่ทำเอาสองอาจารย์ต้องกลั้นหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้

              "แล้วใครว่าผม...มาตามคุณกันละครับคุณไอวอลซ์" ลอเรนซ์เอ่ยน้ำเสียงเรียบทั้งที่ในใจลอบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของเซลีนที่เหวอไปถนัดตา...ยิ่งเห็นก็ยิ่งน่าแกล้ง "ก็แค่อยู่ในระหว่างการเดินทางจากห้องผูอำนวยการเพื่อที่จะกลับไปสอนเท่านั้นเอง...พอดีเห็นว่ามีบาทหลวงลวงโลกคนหนึ่งกำลังจะล่อลวงเด็กก็เลยช่วยไว้ก็เท่านั้นแหละ"

              ลอเรนซ์พูดอย่างไม่ยี่หร่ะพร้อมกับรอยยิ้มรับกับของ 'บาทหลวง' ข้างตัวที่พอได้ยินท่อนสุดท้ายของประโยคก็ดูว่าจะฉีกยิ้มสว่างไสวมากกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว

              แม้จะเห็นกระไอมาคุลอยว่อนอยู่ข้างหลังก็ตามทีเถอะ...

              "โธ่เพื่อนรัก...โลกนี้นั้นมิได้มีผู้ที่ใจบาปหนาหนักเยี่ยงนั้นหรอก" ราวิลเอ่ยกล่าวพลางฉีกยิ้มสองเท่าแต่เหมือรังสีอำมหิตจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าเช่นกันแต่มีหรือที่...คุณอาจารย์ลอเรนซ์แกจะใส่ใจ เขาเอียงคอลงเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยสีหน้านิ่งเฉย

              "ก็ตรงหน้าฉันนี่ไง" เขาพูดไปพลางอน่างไม่กลัวว่านักบวชเกือบหลุดเก็กวิ่งเข้าไปขบหัวเลยสักนิด ชายยกมือขึ้นดีดหน้าผากของอีกฝ่าเบาๆ ก่อนจะกดสายตาก้มลงมองเจ้าตัวเล็กที่ทำหน้าบุ้ยอย่างลูกหมาอดข้าวประชดเจ้าของแล้วอยากจะหัวเราะ

              ลอเรนซ์เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่ร่างสูงโปรงจะทรุดลงอุ้มเจ้าตัวเล็กที่ไมทีท่าว่าจะหายงอนยอมลุกจากพื้นง่ายๆ ขึ้นมา....ซึ่งมีหรือที่คนอย่างเซลีนจะยอมเจ้าตัวเล็กทังปหกปากโวยวายและดิ่นพล่านแต่แทบจะโดนกลบไปเลยเมื่อได้ยินเสียงร้องของอีกคน
     
              อจารย์หนุ่มเหลียวหลังหันกลับมามองส่วนราวิลก็ส่งเสียงประแอมไอเล็กน้อยเป็นการกลบพฤติกรรมอัน 'ไม่ดีไม่งาม' เมื่อครู่

              ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในสภาพที่เรียกว่าจะพูดก็ไม่ได้จะนิ่งก็ไม่ดีก็แต่ยังไงในรั้วโรงเรียนเขาจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำใจเลือกข้อหลัง เจ้าของดวงตาคู่สีฟ้าจึงได้แต่ทอดมองสองอาจารย์นักเรียนจนหายลับไปกับสายตา

              แม้จะห้าม 'คำพูดได้' แต่ก็ใช้ว่าห้ามความคิดได้นี่...

              รอให้ถึงเวลาเลิดเรียนก่อนเถอะ...ต่อให้เป็นเพื่อนเล่นหัวกันได้ตั้งแต่เกรดหนึ่งแต่ก็จะไม่มีทางละเว้นเด็ดขาดเชียว ลอเรนซ์ รีฟ!!

              "ปล่อยนะ! ปล่อยลงเดี๋ยวนี้เลย! ถ้าไม่ได้ห่วงกันเลยล่ะก็ปล่อยผมลงเดียวนี้เลยนะอาจารย์บ้า!" เซลีนโวยเสียงเขียว ทั้งมือทั้งแขนขาป่านเปะปะไปทั่วอย่างดื้นดึงส่วงลอเรนซ์ก็ได้แต่จ้องมองเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดที่วันนี้ถูกอุ้มเทียวไปเทียวมาจนเริ่มเฉามือเเล้วรู้สึกสนุกใจ

              "มาว่าอาจารย์ว่าบ้าเดี๋ยวก็ไม่ออกใบเกรดให้เลยนี่" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำจนเหมือนกับขู่อย่างจริงจังทั้งที่ในใจต้องกลั้นหัวเราะแทบตาย ยิ่งเฉพาะตอนเเจ้หนูผมทองรีบวักมือขึ้นมาประกบปากตัวเองนี่ล่ะยิ่งน่าแกล้งเข้าไปอีกนัก

             ชายหนุ่มเดินเลี้ยวเข้าใบในทางลัดของตึกเรียนฝั่งเหนือก้มลงมองดูเจ้าตัวเล็กที่จำยอมปล่อยให้อุ้มอย่างไม่เต็มใจเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้ม

              "คุณโธมัสสบายดีไหม?" เขาถาม

              "ทอม?...ก็สบายดีนี่ทำไมเหรอครับ?" เมื่อถูกถามเซลีนก็ตอบโดยง่ายแม้จะไม่ค่อยเข้าใจรอยยิ้มของคนเป็นอาจารย์ก็ตามทีเถอะ

              "เปล่าหรอก" ตอบเรียบๆ โดยปล่อยให้เจ้าของคิ้วสีทองต้องสงสัย


              เรือนร่างโปร่งของชายชาวฝรั่งเศสก้าวเดินไปตามเส้นทางเรียบๆ ที่ปู้ด้วยพื้นกระเบื้องและพนังสีขาวอย่างเงียบเฉียบ ฟรานซิสลดเอกสารในมือของตัวเองลงเล็กน้อยก่อนจะใช้มืออีกข้างลูบใต้คางอย่างไม่รู้วึกคุ้นเคยกับใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาและเครื่องแบบทางการที่เรียบร้อยนี้สักเท่าไรนัก...แต่ถ้าเมื่อวันนี้มีประชุมกับสองในสีของดยุคมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ยิ่งกับเขาซึ่งเป็นนักวิจัยระดับสูงแถมยังสังกัดกับริธอีกต่างหาก

             ชายหนุ่มหยุดฝ่าเท่าที่กำลังก้าวเดินลงเมื่อสะดุดสายตากับร่างโปร่งบางของชายเส้นผมและดวงตาสีทองที่คุ้นเคยแต่ดูแปลกตาไปนั่งอยู่บนม้านั่งไม่ไกลนัก ฟรานซิสส่งเสียงเบาๆ ในลำคอ...เป็นอย่างที่คิดไว้นิดหน่อยเพราะแม้จะเป็นคนเรียบง่ายอย่างเอลเองเวลาประชุมกับผู้ใหญ่ก็คงต้องเรียบร้อยเอาไว้ก่อน

              หรือไม่คุณพี่ชายก็คงจับมาแต่งตัวให้เองนั่นแหละ

             "อ๊ะ...คุณฟรานซิสอรุณสวัสดิ์ครับ" เอลที่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ใกล้ก็เอ่ยทักทันทีแต่เมื่อดวงตาคู่กลมสีน้ำตาลอ่อนเหลือบไปเห็นเนคไทคเทาเข้มที่พันยุ้งเหยิงเหมือนคนผู้ไม่เป็นบนคอของฟรานซินก็เล่นเอาเกือบหลุดหัวเราะ ชายร่างบางลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาพร้อมกับจัดแจงผุ้เนคไทให้เรียบร้อย

              "พอแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดูดีขึ้นเยอะเลยนะครับ...หล่อมากเลยล่ะ" เอลพูดพร้อมกับคลี่รอยยิ้มกว้างจนตาคู่กลมแทบปิด "แล้วนี่ทานอะไรมาก่อนแล้วหรือยังครับ ถ้ายังไงจะทานแซนวิชนี่ก่อนไหมครับ?" พูดพร้อมกับยื่นกล่องแซนวิชแฮนด์เมดฝีมือตัวเองขึ้นมาส่วนฟรานซิสก็รับมาอย่างง่ายๆ แล้วขยี้ผมสีทองอย่างเอ็นดู 

              "นายนี่มันแม่ศรีเรือนจริงว่ะ" ฟรานซิสพูดบอกตามตรงทั้งเรื่องงานบ้านเรื่องกับข้าเอลเก่งหมดทุกอย่างจริงแม้แต่ผู้หญิงยังอายแล้วยิ่งเป็นผู้หญิงอังกฤษสมัยนี้บางคน...แค่ชงกาแฟแบบไม่ใช้เครื่องยังไม่เป็นเลย

              "ถ้าเป็นผู้หญิงเนี่ยฉันคงขอแต่งงานไปแล้วล่ะ....เฮ้อ..." พูดออกมาพร้อมถอนหายใจเมื่อสัมผัสรังสีอัมหิตจากเบื้องหลังของอิลที่โผล่มาเมื่อไร่ก็ไม่รู้แต่ที่รู้คือเจ้าแฝดคนพี่ก้าวเดินฉับๆ ไปกอดเอวน้องแล้วส่งสายตาปานจะสะบั้นหันมิตร

              แล้วหนุ่มชาวฝรั่งเศสถอนหายใจอีกรอบ

              และติดตรงประเด็นสำคัญคือ 'มีเจ้าของแล้ว' อีกต่างหาก

              "ดูดีกว่าปรกตินี่ลุง" อิลเอ่ยพูดแล้วเอียงคอลงส่วนฟรานซิสก็พยักหน้ารับเหมือนตอนนี้จะชินที่ถูกอิลเรียกว่า 'ลุง' ไปแล้วถึงจะอายุห่างกันแค่ไม่เท่าไร่ก็เถอะ

             "ก็ประชุมกับดยุคนี่..." เขาตอบพลางไหวไหล่เบาๆ "แล้วยิ่งกับดยุคริธเนี่ยยังไม่เคยเจอหน้ากันด้วยซ้ำทั้งๆ ที่สังกัดกับบ้านนี้แท้ๆ เชียว" พูดพลางย้อนนึกความทั้งตอนสอบผ่านการคัดเลือกเอยได้รับรางวัลนักวิจัยเอยเขาก็เห็นแต่ดยุคอัสเทียร์ทำหน้าที่แทนให้ทั้งนั้

              "จะว่าไปพวกนายสองคนเคยเจอเขาบ้างหรือยังล่ะ" ฟรานซิสกล่าวถาม

              "อื้อ...คุณซาคัสน่ะเหรอ...เป็นคนสวยมากเลยล่ะ" เอลตอบเสียงซื่อส่วนอิลก็กระตุกข้อมมือของคนเป็นน้องเบาอย่างเข้าใจนิสัยของเพื่อนักวิจัยคนนี้ดี...นิสัยเสียมันจะออกเพราะไอ้คีย์เวิร์ดคำว่า 'สวย' เนี่ยแหละ

             ฟรานซิสยกมือลูกปลายคางเล็กกน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มเล่ห์

              "ชักอยากเห็นหน้าแล้วสิ"

              "เฮ้อ..." อิลถอนลมหายใจยาวโดยมีเอลยิ้มแหะๆ อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในอ้อมแขน

              เก็บงูหน่อยเถอะลุงเอ้ย

              "พวกนายทำอะไรกันอยู่น่ะ" น้ำเสียงเข้มดุดังแทรกบทสนทนาของสามสหายจนต้องสะดุงเฮือกและรีบหันไปโค้งเคารพทันทีเมื่ออีกฝ่ายนั้น...ก็คือดยุคอัสเทียร์ 'ผู้ใหญ่' ระดับสูงขององค์กรที่พวกตนสังกัด

              แต่หน้าดันเด็กกว่าสมาชิกบางคนซะอีก

              "ขอประทานโทษครับ" อิลเอ่ยส่วนเซิร์กฟรีสก็พยักหน้ารับเหมือนปลงๆ พร้อมกับชีไปยังประตูห้องประชุมที่อยุ่ไม่ห่างไปไกลนัก

              "รู้ตัวก็เข้าไปได้แล้วเพราะอีกครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาเริ่มเปิดการประชุม" เซิร์กฟรีสพุดเรียบๆ ส่วนนักวิจัยทั้งสามก็ก้มหน้าแล้วเดินตามไปแต่ทว่า...

              ทันทีที่ประตูเปิดขึ้นมาเซิร์กฟรีสก็สะดุดตาเข้ากับจอฉายแผ่นสไลด์ที่เขียนด้วยตัวอักษร๓ษอังกฤาลายเขียนแบบโบราณตัวเบ้อเริ่ม

                       โทษทีนะแต่เปิดประชุมกันไม่ต้องรอฉันหรอก....ฝากด้วยนะเซิร์ก

                       ป.ล. ไม่ต้องตามหาหรอกเดี๋ยวกลับมาเอง 

                                                                                                  ซาคัส

              เซิร์กฟรีสเงียบไปชั่วขณะกแม้ในหูจะได้ยินเสียงถอนหายใจสองเสียงประสานกันอยู่เบื้อหลังด้วยที่ความหมายแต่กต่างกันเพราะคนหนึ่งคือ 'เสียดาย' แต่อีกคนหนึ่งคือ 'โล่งออกอย่าสุดแสน' ก็ตามแต่...

              ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจอะไรนอกจากเจ้าของลายมือบนจอสไลด์ที่ทำให้ตอนนี้เขาโกรธจนแทบจะพ่นไฟ!

              กลับมาก็ก่อเรื่องอีกแล้ว...

              ไอ้นิสัยชอบโดดมันแก้ไม่หายตั้งแต่เด็กเหรอไงกันวะ!!!

               "อาจารย์บ้า! ใจร้าย! อาจารย์ลอเรนซ์บ้าที่สุด!!!" น้ำเสียงเล็กจากรางบางผมทองซึ่งกำลังนั่งยองๆ ถอนวัชพืชอยู่หน้าสุสานมาดามโรบินสันตามบทลงโทษนักเรียนมาสายสม่ำเสมอของครูประจำชั้นที่ไม่แม้แต่จะคิดปราณีเด็กตาดำๆ ที่มาสาย 'แค่' อาทิตย์ล่ะสี่ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้นเอง ดวงหน้าเยาว์มุ่ยลงเป็นลูกหมาหิวนมส่งเสียงร้อยงบ่นไปพลานเด็ดต้นหญ้าใส่กระสอบไปพลาง

             เสียงลมวังเวงพัดพลิ้วในสุสานเงียบเฉียบของโบสถ์หลังโรงเรียนจนนักเรียนน้อยตัวเล็กวัยเพียงประถมหกทั้งสามคนที่ถูกเพื่อนอันเป็นที่รัก 'ลาก' ให้มาอยู่เป็นด้วยอดขนคอตั้งเป็นไม่ได้

             ส่วนอีคนต้นเหตุก็ยังคงบ่นกระปอดกระแปดต่อไปไม่รู้สึกรู้สาอย่างงั้นแหละ

             "ซีลอน...บรรยากาศมันวังเวงแปลกๆ หรือเปล่า" น้ำเสียงหวานใสสั่นเครือเล็กๆ ของเด็กหญิงเส้นผมสีเงินเอ่ยถามกับเพื่อนชายผมแดง มือบางกระตุกชายเสื้อของอีกฝ่ายก่อนดวงตาคู่กลมของโยเตชจะเหลือบมองเพื่อนคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดแล้วต้องสะดุ้งกึ้กจนเกือบทำกระสอบใส่วัชพืชร่วง

             เพราะซีลอนตอนนี้หน้าซีดทำไม้กวาดร่วงจากมือแถมตัวแข็งถื่อจนเกือบกัดลิ้นตัวเองไปแล้ว!

            "ว้าย!! ซีลอน!!" แล้วโยเตชก็ต้องวิ่งไปฉุดร่างไร้แรงของซีลอนที่ลมจะใส่แหละไม่ใส่แหล่ให้ลุกขึ้นมาจนน่าจะเรียกว่า...

             เกือบพากันล้ม...

             "ตรงโน้นคึกคักดีจังเลยแฮะ...อ๊ะ! เซลีนชายริบบิ้นมันเรี่ยกับพื้นแล้วนะ" เด็กชายร่างสูงสมวัยเอ่นพูดกับคนตัวเล็กกว่าอยู่โข ลอเรนโซ่ก้มลงขจับส่วนปลายของชายริบบิ้นที่ผูกเอวด้านหลังของเซลีนลีนขึ้นมาเพื่อไม่ให้เละขี้ดินไปมากกว่าเดิมเพราะ...ดูเหมือนเจ้าตัวคนใส่จะไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร่นัก 

            เพราะมัวแต่นั่งถอนหญ้าไปปากสวดสาปแช่งอาจารย์ไปอยู่น่ะสิ!!
                     
            "โล่งขึ้นจมเลยแหะ" ลอเรนโซ่ยกฝ่ามือระดับสายตาก่อนจะสอดส่องอาณาเขตพื้นที่ของสุสานกว้างๆ ที่แม้จะวังเวงและสุดแสนจะชวนสยองแม้ในยามมีแดดไปบ้างแต่พอถอนหญ้าให้มันหายรกก็ดูสวยขึ้นทันตา        

             "อา...หะ" เซลีนรับคำก่อนลอเรนโซ่จะยื่นมือส่งมาให้อย่างรู้หน้าที่ เด็กชายออกแรงเพียงนิดเดียวก็ดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมาได้ง่ายๆ เพราะขนาดส่วนสูงอันน้อยนิดอย่างเหลือเชื่อนั้นมันบาลานซ์กับน้ำหนักตัวอย่างสุดยอดจนแม้แต่เด็กเกรดหกอย่างเขาจับเจ้าตัวเล็กอุ้มพาดบ่าได้ไม่ต่างจากการอุ้มลูกหมาตัวโตๆ สักตัว   

             "ดูกว้างขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่านะ...อื๋อ?" หากแต่เมื่อถอนสายตามองตามไปเรื่อยเจ้าของดวงตาคู่กลมสีมรกตก็ชะงักและขมวดคิ้วหนักเมื่อสิ่งที่เห็นอยู่ไม่ไกลนัก...

             ณ. หลุมฝังศพที่อยู่แยกห่างออกจากหลุมอื่นๆ สุสาน ตัวป้ายทำจากหินอ่อนสลักสีขาวถูกตั้งภายใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างสงบเงียบ เสากางเขนหินอ่อนเช่ยเดียวกัจัวหลมป้ายดูเก่าไปบ้างหากก็ยังได้รับปารบูรณะรักษาเป็นอย่างดีบ่งบอกให้รู้ถึงการดูแลเอาใจใส่รักใคร่ต่อผู้ที่หลับใหลภายใต้ผื้นดินเย็นเหยียบนี้

              สายลมอ่อนพัดโชยพากลิ่นกุหลาบหวานๆ ภายใต้อ้อมกอดเล็กๆ เรือนร่างบอบบางเจ้าของเส้นผมสีทองสว่างยาวประหลังยืนอยู่นิ่งอย่างเนิ่นนานเบื้องหน้าหลุมศพนั้น ดวงตาคู่สีไพลินหรี่ลงมองก่อนจะคลี่รอยยิ้มแผ่วจางอย่างไร้ซึ้งความเศร้าสร้อยเรียกความสนใจของเซลีนได้เป็นอย่างดี...ยิ้มมุมปากที่ปราศจากซึ้งความเศร้าแต่อย่างใดแล้ว...

              กลับเป็นความรักใคร่ถวิลหาอย่างลึกล้ำเสียจนไม่อาจเข้าใจ

              พลันที่เหมือนกลับจะรู้ตัวเจ้าของดวงหน้าคมสวยค่อยกระหวัดหันมอง เห็นได้ชัดว่าครั้งแรกคิ้วคู่บางขมวดแน่นแต่สักพักก็คลายแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม

              "สาวสวยเลยนี่นา..." เสียงทะเล้นแทรกขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับบบท่อนแขนหนักๆ ที่พาดลงบ่าจนดวงตาคู่มรกตต้องกระหวัดหันกลับไปมอง "อะไรกันนี่นายชอบสาวอายุมากกว่าหรอกเหรอเนี่ย...ถ้าไปบอกคุณเฟรให้รู้เขาจะว่าไงน้า"

             "อย่าเลย...ซีลอนเดี๋ยวนรกแตกกันพอดี" โยเตชกล่าวทื่อก่อนจะตบหลังซีลอนเบาด้วยท่าทีแปลกจนเซลีนต้องขมวดคิ้ว

            "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเฟรล่ะ?" เซลีนเอ่ยถามซ้ำแต่กระนั้นดวงตาคู่กลมกลับหันกลับไปยังทางเดิมแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า

             เหลือแค่เพียงดอกกุหลาบสีน้ำเงินช่อใหญ่เบื้องหน้าหลุมศพหินอ่อนสีขาวเท่านั้น...
                         
             เซลีนขมวดคิ้วลงแน่นทั้งที่กวาดสายตามองหาเท่าไรกลับหาไม่เจอแม้เพียงเสี้ยวของเงา สายลมเอื่อยๆ พัดความหนาวเย็นกระทบผิวแต่กระนั้นเด็กชายกลับมิได้สนใจในเสียงใบไม้ที่แว่วหรี่เข้ามาให้ได้ยินแต่อย่างใด

             รู้สึกคุ้นจนน่าประหลาดแต่กลับห่างไกลเสียจนไม่กล้าเอ่ยปากเรียกเลยเเม้แต่น้อย

             "ได้ข้อมูลอีกหนึ่ง..เซลีนชอบคนอายุมากกว่า" ลอเรนโซที่ไม่พูดเปล่าแต่จดลงในสมุดเล่มเล็กอย่างดิบดีจนเซลีนต้องค้อนตาใส่วงใหญ่

             "ไม่ใช่ซะหน่อย!!" เสียงเล็กร้องพร้อมกลบใบหน้าที่เเดงเพราะไม่รู้ว่าจะโกรธหรือเขินดีด้วยการกอดอกสะบัดหน้าเชิด "แล้วอีกอย่างจะใช่ผู้หญิงหรือเปล่าเถอะ!"

             "สวยขนาดนั้นผู้ชายก็แปลกแล้วแก" ซีลอนพูดพลางกดหัวกลมๆ ลงจนเซลีนหน้ายู่

             "แต่สูงไปนะ...ผู้หญิงทั่วไปเขาไม่สูงร้อยเจ็ดสิบห้าขึ้นหรอก" โยเตชกล่าวทับพลางโบกมือเล็กๆ วัดระดับส่วนสูงระหว่างเธอกับคนผมทองคนนั้นที่ให้มองยังไงก็ร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรขึ้นไปชัวร์ "อืม...ว่าไปนั่นพอคิดดูอีกทีก็ตัวบางไปถ้าเกิดจะเป็นผู้ชายนะ"

             "แอลซีดี?" แต่พอพูดจบฝ่ามือมรณะจากโยเตชก็หวดเข้ากลางกบาลแดงๆ ของซีลอยทันทีแบบไม่ยั้ง

             "เฮ้อ..." แล้วลอเรนโซ่ก็พ่นลมหายใจออกมายาวๆ แล้วคลี่ยิ้มไปพลางลุบๆ กัวเซลีนที่มองท่าทางแปลกๆ ของเพื่อนรักสองคนด้วยสายตาสงสัยจนเกือบจะซื่อจัดขนาดมีเครื่องหมายคำถามลอยว่อนออกมาจากหัว

             ตบมุขและตัดมุขกันเองแบบนี้น่าจับไปออดิชั่นเป็นดาวตลกเป็นบ้าเลยวุ้ยสองคนนี้ 


            "ข้างล่างนั่นครึกครึ้นจังเลยแหะ" น้ำเสียงทุ้มนุ่มของชายร่างสูงในชุดนักบวชเอ่ยกกล่าวพลางชะโงกหน้าดูเด็กน้อยสี่คนท่ามกลางสุสานในยามเลิกเรียนตามคำสั่งโษของออาจารย์ประจำชั้น...ที่ถึงแม้คนโดนลงโทษจะเปนเจ้าตัวเล็กผมทองคนเดียวก็ตาม

             "แต่ให้เด็กตัวแค่นั้นไปทำความสะอาดสุสานไม่ใจยักษ์ไปหน่อยเหรอ?" ราวิลเอ่ยถามด้วยคำพูดเรียบง่ายอันมาจากเพราะนี่เป็น..เวลาเลิกเรียน! เวลาที่ไม่ต้องมานั่งรักษาภาพพจน์!ไม่ต้องเป็นบาทหลวงแสนดี! ไม่ต้องใจดีกับเด็กลูกลิง!

            ลอเรนซ์ไหวไหล่เล็กน้อยเป็นเชิงรับโดยไม่พูดอะไรต่อเนื่องจากกำลังให้ความสนใจกับการตรวจการบ้านของเด็กนักเรียนบนโต๊ะทำงานอยู่ จนราวิลต้องส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างนึกมั่นไส้ในความขยัน...หรือไม่ก็โมโหเพราะเพื่อนร่วมรุ่นไม่ยอมสนใจ

           ไอ้ที่จริงเขาก็ไม่ชอบเป็นจุดสนใจอะไรเลยสักนิด...ไม่ชอบจริงๆ นะ...ไม่ชอบเลย...แค่ว่าถ้าไม่อยู่ในวงล้อมของสาวน้อยที่เข้ามาหาเพราะบาทหลวงหน้าตาดีเป็นโมเอะพอยซ์อย่างหนึ่งเเล้วก็ก็เขาก็ไม่อยากจะมาเป็นนักบวชอะไรหรอก!

            แต่ไอ้การที่ไอ้เพื่อนเฮงซวยที่กวนส้นไม่สนใจนี่น่ะสินมันน่าโมโหหนัก

            นี่ฉันยังไม่เอาคืนเรื่องเมื่อตอนกลางวันเลยนะเฟ้ย!!

            ดวงตาคู่เรียวสีฟ้สใสกระหวัดหันมองรอบๆ ก่อนจะหลุบไปเห็นกล่องใส่ชอล์คที่หาได้น้อยนิดนักในโรงเรียนยุคสองพันเช่นนี้ มือหนวคว้ามันมาจากโต๊ะทำงานของอาจารย์คณิตศาสตร์ที่อยู่ข้างตัว หันซ้ายขวาว่าในห้องพักครูไม่มีใครอยู่นอกจากพวกเขาสองคนสองเท้าก้าวเบาไม่ต่างอะไรจากการย่องเข้าหาเบื้องหลังของลอเรนซ์...หมายหัวไว้ว่าถ้าอีกฝ่าไม่เลอะชอล์คเขาคงนอนไม่หลับ!

           แต่ทว่า...

           รูปกระดาษใบหนึ่งถูกชูขึ้นมาจากมือของอีกฝ่ายอย่างคนรู้ถึงภัยเบื้องหลัง จนทำให้ราวิลชะงักมือลงจนกล่องชอล์คตกใส่เท้า...เพราะนั่นเป็นรูปถ่าย...รูปถ่อยของหนูน้อยไอวอลซ์ที่กำลังแอบหลับอยู่ในชั่วโมงเรียน  แสงอ่อนๆ ที่ลอดจากหน้าต่างผ่านแมกไม้ส่องใบหน้าหลับปุ๋ยของเจ้าตัวเล็กที่กำลังฟุบหลับตจนทำให้เขารีบคว้ามาจนเกือบจะลืมเจ็บเท้า

           "ขี้โกงว่ะ" ราวิลเอ่ยพึมพำน้ำเสียงขุ่นระหว่างเก็บรูปถ่ายใบนั้นเข้ากระเป๋าเสื้อเพราะไม่ว่าจะกี่ครั้งเขาก็ไม่เคยลงมือเเกล้งเจ้าหมอนี่ได้อย่างจริงๆ จังๆ สักส่วนลอเรนซ์ก็ได้แต่โคลงหัวแล้วหัวเราะเบาๆ

            ต้องขอบคุณในความบ้าของเล็กๆ ของเจ้านักบวชลวงโลกกับรูปถ่ายทีเผลอของไอวอลซ์หลายต่อหลายรูปที่เขาเอามาเป็นของเซ่นเจ้าบ้าที่ยามคิดอะไรแผลงๆ และความสามารถในการเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้งของเขา

            แล้วก็ขอบคุณคุณโธมัสที่เอารูปถ่ายตั้งแต่เด็กจนโตของไอวอซมาให้เขาโดยที่ไม่มีคำถามใดๆ นะครับ

            ไม่งั้นผมก็คงไม่รอดพ้นจากหลายคดีของหมอนี่


             ใครก็ได้เอากระดาษมรณะพวกนี้ออกไปที...

              นี่คือสิ่งแรกที่อยู่ในหัวและยังค'วนเวียนอยู่อย่างนั้นนับตั้งแต่เขาถูกลูกน้องมัดรวบหัวรวบหางกับโต๊ะทำงานโดยไม่แม้แต่จะทันได้แหกปากร้องโวยวายแม้แต่น้อย ชายหนุ่มขบกรามแน่นอย่าเคืองขุ่นในใจคิดว่าทำไมหัวหน้าหน่วยสืบส่วนสอบสวนที่หนึ่งของกรมสก็อตแลนด์ยาร์ตอย่างเขาต้องมานั่นทำงานงก เคลียร์เอกสารด้วย...ชิ...อย่าให้รอดออกไปได้เชียวไอ้ลูกน้องเฮงซวยมิฉะนั้นแม้แต่เงินโบนัส...ฉันก็ไม่ให้!!

              "ท่าทางน่าสงสารจังเลยนะเอเรนัวร์" น้ำเสียงหวานดัวแว่วมาจากด้านและเป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคยดีของคนรู้จัก เอเรนัวร์หมุนล้อเก้าอี้ทำงานไปทางต้นเสียงเพราะถูกมัดจนขยับไม่ได้แม้แต่คอ...จะเหลือให้ขยับได้แต่แต่มือที่ต้องจำใจขยับเซ็นเอกสารสรุปคดีกองเท่าเอเวอร์เรส

              เจ้าของเส้นผมสีทองสว่างยาวประหลังเข้ากับเสื้อแขนกุดติดกระดุมด้านหน้าตัวยาวกับกางเกงยีนส์สีฟอกได้อย่างดี ดวงตาสีน้ำเงนเข้มหลุบมาเขาในขณะที่ริมฝีปากบางยกขึ้นน้อยๆ เหมือนกับกำลังกลั้นหัวเราะ

              "ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะครับ...คุณซาคัส" เขาพูดน้ำเสียงประชดก่อนจะหันหน้ากลับไปทางโต๊ะทำงานอีกครั้งส่วนซาคัสก็เอียงคอลงเล็กน้อยแล้วอมยิ้มแปลกๆ ก้าวกึ่งกระโดดไปดักด้านกน้าก่อนชะโงกหน้าเข้าหา

               "โดนลูกน้องดัดหลังอีกล่ะสิ...บอกแล้วไม่จำชอบโดดงานดีนัก" พูดเข้าพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ปลายนิ้วยาวจิ้มจมูกของคนที่ตอนนี้ไม่แม้แต่จะสามารถขยับตัวไปไหนได้แต่ขบเคี้ยวกรามตัวเองอย่างเคือง ใบหน้าอ่อนกว่าวัยที่ดูยังไงก็ไม้เหมือนคนอายุเข้สใกล้เลขสามมู่ลงอย่างเห็นได้ชัด

              หน้าอ่อนแถมปัญญาก็อ่อน...แบบนี้มันเป็นยีนส์เด่นของบ้านอเล็กชาร์ลหรือไงกันนะ?

              "คุณเองก็เถอะโดดงานมาเหมือนกันล่ะสิ" เขาตอกกลับหากแต่อีกฝ่ายก็พยักหน้ารักกลับมาง่ายๆ ซะอย่างนั้น "เอาจริงสิ...แล้วงี้คุณเซิร์กฟรีสไม่เต้นใหญ่เลยเหรอนั่น"

              "ชัวร์...อ๊ะ...ไอ้นี่ฉันขอนะ" ซาคัสตบรับเสียงซื่อก่อนจะเบื่องประเด็นไปหาเจ้ากระป๋องเบียร?สีเขียวที่เอเรนัวร์เปิดทิ้งไว้แต่ไม่มีโอกาสได้กินขึ้นมาดื่มหน้าตาเฉยจนเจ้าของที่หมดสิทธิ์อดดื่มได้แต่ห่อปากอย่างเสียดาย

              "แล้วนี่ไม่ทราบว่าโดดงานไปร่อนที่ไหนกันครับ" เขาถามเสียงกึ่งๆ จะประชด

              "ไปเที่ยวกับทวดนายมามั้ง...ถามแปลกก็ไปไหว้สุสานน่ะสิเจ้าบ้า!" ว่าแล้วก็ตะปบมือเข้าหน้าไปเต็มๆ ฉาด โอกาสที่มันขยับเขยื้อนตัวไม่ได้นั่นแหละดีที่สุดที่จะแกล้งแล้ว

              "สุสาน...หมายถึงพวกคุณทวดน่ะเหรอครับ" เอเรานัวร์มุ่นคิ้วเล็กน้อยกให้กับคนตรงหน้าที่ได้คลี่ยิ้มแผ่วจาง...รอยยิ้มเศร้าๆ และดวงตาที่คลอแสง เขาได้แต่ภาวนาว่าเพิ่งเป่าปี่ร้องไห้ตรงหน้าเขาเลยนะ...เพราะตอนนี้มันอนาถเกินไปที่จะปลอบ...ลงถูกมัดเป็นกุ้งทอดอย่างนี้มันก็เช็ดน้ำตาให้ไม่ได้น่ะสิ!

              "มนุษย์นี่บอบบางจังนะแค่ไม่กี่ปีก็ตายกันหมดแล้ว" ร่างบางลุกขึ้นยืนก่อนจะตรงเขาไปแก้มัดให้กับอีกฝ่าย "แต่เพราะอยู่ได้ไม่นานถึงได้รู้ว่าช่วงเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันมันมีค่ามากที่สุด"

              ชายหนุ่มพยักหน้ารับ...

              ระยะเวลาสิบปีของคนตรงหน้านั้นคงไม่ต่างอะไรกับหนึ่งวันของพวกเขา...เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าอยู่มานานแค่ไหนกัน...อยู่เนิ่นนานเสียจนตั้งแต่เขาเกิดมาก็รู้จักคนๆ นี้แล้ว

               เพราะช่วงเวลาของมนุษย์และแวมไพร์นั้นมันช่างเเตกต่างกันเหลือเกิน

               "แต่ว่าระยะเวลาสั้นแค่นั้นแต่คุณก็คงจะเอ่อ...มีความสุขใช่ไหมล่ะ?" ชายหนุ่มเอ่ยถามที่ทำให้ดวงตาคู่สีไพลินเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนจะหรี่ลงแปรพันความตกใจเป็นรอยยิ้มบางเบา มือเรียวบางบกขึ้นขยี้เส้นผมสีอ่อนแรงๆ อย่างหมั่นไส้

                "พูดจาแก่แดดจังเลยนะเราน่ะ" เสียงใสเอ่ยพูดด้วยความเอ็นดูไปพลาฃแต่คนถูกลูบหัวกับมุ่ยหน้าจัดด้วยความที่เห็นคนตรงหน้ามองเป็นเด็ก...ถึงจะรู้สึกอิจฉาก็เถอะแต่คนบ้าอะไรหน้าแค่ยี่สิบสามแต่อายุน่ะสองร้อยกว่าๆ แล้ว!

                "ผมยุ่งหมดแล้วนะครับ!!" แล้วเสียงเข้มก็ตะคอกออกมาแต่กระนั้นซาคัสก็ยังคงหัวเราะไม่หยุด้วยความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับคำว่าสบายใจ...

                 อย่างน้อยเวลาที่เหงาหรือคิดถึงนายก็มีหลานจนถึงเหลนของนายมาอยู่เป็นเพื่อนฉันล่ะนะวิลเลี่ยม

                 เอเรนัวร์เลิกหัวคิ้วเล็กน้อยก่อนจะมองซาตานที่หน้าตาใจดีอย่างกับนางฟ้าตรงหน้าแล้วถอนหายใจ

                  "สุดท้ายคุณก็ไม่เลือกสินะว่าจะเป็นชายหรือหญิง" เขากล่าวพึมพำส่วนซาคัสก็พยักหน้ารับเเผ่วเบา...อย่างไรซะผู้มีชีวิตในยามรัตติกาลอย่าวพวกเขานั้นก็เป็นเพียงผู้ไร้เพศสำหรับมนุษย์...แม้ว่าจะมีรักได้ไร้ข้อจำกัดทางเพศแต่สุดท้าย

                   ก็ต้องตรอมใจเพราะสูญเสียผู้เป็นที่รัก

                  "ฉันก็แค่กลัวว่าคำว่ารักจะทำให้เจ็บปวดอีก"

                  แม้ว่ามันจะเป็นรอยเจ็บที่เปี่ยมเต็มด้วยสุขล้ำจนยากจะกล่าวก็ตาม...

                  เอเรนัวร์หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะคลี่รอยยิ้มออกบาง ชายหนุ่มเอนหัวพิงซบลงกับบ่าบางแล้วเอ่ยพึมพำออกมา...ด้วยถ้อยคำที่ทำให้คนตรงหน้ารู้สึกสบายใจ

                   "ยังไงซะตอนนี้คุณก็ยังมีผมอยู่นี่..."

                   ซาคัสหรี่ตาลงไล้หลายนิ้ใมอเรียวยาวลงกับเส้นผมของอีกฝ่าย ถ้อยเพลงกล่อมเด็กที่คุ้นเคยหูขับร้องออกมาจากริมฝีปาก...เพลงโรเซ่น...บทเพลงที่เป็นดุจดังความทรงจำ...เพลงนั้นที่เขาเคยได้ฟังจากคันสีไวโอลินของผู้เป็นที่รัก

                    ทุกวันนี้ฉันยังคงร้องเพลงนี้เพื่อคิดถึงนายนะ...ฟาส


                     เรือนร่างผอมบางของเด็กชายวัยสิบสองเดินวนรอบชั้นขายองในซุปเปอร์มาเก้ตใหญ่ นัยน์ตาสีเขียวใสกวาดมองคนที่นั่งร้องเพลงกลูมมิ่งซันเดย์ด้วยทำนองใสกิ๊งไม่เข้ากับเนื้อแล้วนึกอยากเอาหัวมุดน้ำท่อปะปาตาย เซซลีนหลุบตามองเจนี่ที่จูงมืออยู่ข้างๆ ซึ่งเธอเองก็....ทำสีหน้าไม่ค่อยต่างกันเท่าไรนัก

                    "เจมี่...ถ้าเธอยังไม่อยากให้ฉันไปฆ่าตัวตายหยุดร้องเพลงนั่นซะ" เซลีนพูดพลางเขี้ยวฟันอย่างนึกหัวเสียน้อยๆ 

                   ทำนองจริงออกจะเศร้าแต่เจ้าหล่อนดันมาร้องออกป๊อบเป็นไอดอลญี่ปุ่นไปได้!!!

                    "เอ๋! อะไรกันอ้ะเซลีเจมี่จะร้องถึง่อนที่ขอบแล้วแท้ๆ เลยนะ!" เสียงหวานแย้งขึ้นอย่างขัดใจเมื่อถูกเจ้านายติ ลมหายใจจำนวนมากสูดแล้วปากจนแก้มป่องก่อนร่างบางของภูตเมถุนจะเดินจ้ำๆ ตรงไปยังแผนกขายขนมหวานแล้วโกยช็อคโกแลตนำเข้าจากเบลเยี่ยมราคาแพงอย่าสุดแมนใส่ตะกร้าหิ้วจนเต็ม เซลีนเบ้ปากน้อยๆ แล้วโคลงหัวอย่างเหนื่อยอก มือเล็กยื่นบัตรเครดิตสีทองหนึ่งใบในหลายจำนวนจากในกระเป๋าตังค์ส่งให้เจมี่เป็นเชิงบอกว่าอยากกินก็ไปจ่ายเอาเองก็แล้วกัน  

                 ในระหว่างที่เจมี่ซึ่งเหมือนจะลืมเรื่องกลูมมิ่งซันเดย์กำลังโกยช็อคโกแลตเข้าตะกร้าด้วยอารมณ์หลั่นล้า เจนี่ที่เดินตามมาอย่างเงียบๆ ก็ต้องสะดุดกึ้กสะกิดเจ้านายร่างน้อยตรงหน้าเบาๆ เพื่อให้เขารู้ว่าการยื่นบัตรทองให้กับแฝดตนนั้นไม่ต่างอะไรกับการเอาทรัพย์ไปละลายในเดดซี

                 "เอ่อ...ท่านเซลีนคือว่าที่อยู่ในตะกร้าทั้งหมดมันซื้อรถมอเตอร์ไซด์ดีๆ ได้เป็นคันเลยนะคะ" เจนี่เอ่ยกล่าวนน้ำเสียงสั่นแม้ว่าใบหน้าสวยจะยังนิ่งอยู่แต่ก็พอให้รับรู้ได้ถึงความเกรงๆ ที่อยู่ในดวงตาคู่กลม เซลีนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สอดท่อนแขนเล็กขึ้นกอดอก ด้วยดวงหน้าหวานเยาว์ที่ขมวดครุ่นคิด

                  "มีอะไรหรือคะ?" เจนี่ถามซ้ำเมื่อเห็นความสงสัยอย่างสุดแสนในดวงตาคู่สีมรกตเยาว์วัย เซลีนเอียงคอลงน้อยๆ

                  "คืองี้ฉันไม่รู้ว่ามอเตอร์ไซด์ดีๆ ที่ว่าเนี่ยมันราคาเท่าไร่น่ะ...มันถูกกว่าครีมอาบน้ำที่บ้านเราใช้หรือเปล่าถ้าถูกกว่าก็ให้เจมี่เขาซื้อไปเถอะ" เซลีนกล่าวน้ำเสียงซื่อๆ ของเด็กวัยสิบสองแต่ดันพูดด้วยถ้อยคำที่ทำให้พนักงานกินเงินเดือนชั้นปลายแถวมาได้ยินคงร้องไห้

                   เจนี่เอียงคงลงเล็กน้อยแล้วยิ้มแห้งๆ

                   "ถูกกว่าครีมอาบน้ำของท่านเซลีน...ค่ะ" เสียงหวานที่พูดดูเหมือนจะอ่อนแรงอย่างบอกไม่ถูกแต่ที่เธอพูดมันก็เป็นเรื่องจริงครีมอาบน้ำบ้านไอวอลซ์นั้นแพงกว่ามอร์เตอร์ไซด์จากโรงงานชั้นดีในเยอรมันเสียอีกแต่เรื่องครีมอาบน้ำราคาเเพงโอเวอร์มันก็ยังไม่น่าตกใจเท่ากับ...การที่เจ้านายของเธอนั้นเป็นคุณหนูที่ไม่รู้แม้แต่การเทียบราคาของสินค้าต่างหากล่ะ!

                  แล้วที่แย่ไปกว่านั้นคือการที่เจ้านายตัวน้อยนั้นตามใจภูตของตัวเองแบบโอเวอร์สุดๆ

                  แม้ว่ามันจะเป็นการที่ตามใจมากพอๆ กับที่กดขี่รังแกมากก็ตาม....

                 

    ++++++++++++++++++++++
    คุณหนูบ้านไอวอซ์แกไม่เคยซื้อของด้วยตัวเองหรอกค่ะ -w-

    ส่วนมากคุณเฟรแกจะเป็นคนซื้อ

    เซลีนแค่ทำหน้าที่ใช้กับจ่ายตังค์

    (หัวเราะ)

    ป.ล.

    ฝาก...

    http://my.dek-d.com/chiorichan/writer/view.php?id=580045

    มาร่วมสนุกกันเยอะๆ น๊าค๊า ~ ~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×