คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 Silent sin
“รอยัลสเตรทพลัท” น้ำเสียงเล็กกล่าวอย่างร่าเริงพลางหันไพ่ที่ตัวเองได้ใช้อีกสองคนที่เหลือดูราวกับเป็นหลักฐาน “ฉันชนะอีกแล้วนะ” เด็กชายพูดกลั้วเสียงหัวเราะก่อนจะหยิบจานลูกกวาดตรงกลางโต๊ะซึ่งใช้เป็นของแทน ‘เงินพนัน’ เข้ามาข้างตัวเอง
และแน่นอนว่าในนั้นไม่มีลูกกวาดรสยี่ร่า
“ชนะรอบที่ยี่สิบเจ็ดติดต่อกันแล้วนะครับเนี่ย” วิลเลี่ยมเอนตัวมาทางฟราเรสที่นั่งอยู่ติดกันแล้วใช้ไพ่ในมือป้องปากส่งเสียงกระซิบกับคนข้างๆ “คุณซาคัสเก่งสุดๆ เลยนะครับ”
“ถ้าเป็นเรื่องไพ่ล่ะก็คุณหนูถนัดนักล่ะครับ” ฟราเรสว่ารับไพ่คืนจากวิลเลี่ยมก่อนจะเริ่มสับไพ่เพื่อเล่นรอบใหม่ ชายหนุ่มหยุดมือแล้วคิด จะว่าไป...ก็ไม่ใช่แค่ไพ่ซะทีเดียวแต่น่าจะเรียกว่าการพนันทุกรูปแบบซะมากกว่า “เก่งขนาดที่ว่าเมื่อก่อนเคยปลอมตัวเข้าไปเล่นในบ่อนแล้วเอาเจ้าของหมดเนื้อหมดตัวต้องปิดบ่อนขายเลยล่ะครับ”
วิลเลี่ยมหน้าซีดจนเกือบจะทำไพ่ที่เพิ่งได้รับแจกใหม่ในมือร่วง
แบบนั้นเขาไม่เรียกว่าคนแล้วนะครับ!!แถมยังเป็นเด็กอีกต่างหาก!
ว่าแต่มีบ่อนที่ไหนเปิดให้เด็กเข้าไปเล่นบ้างล่ะเนี่ย
“พวกนายสองคนตรงนั้นน่ะมัวกระซิบกระซาบอะไรกันอยู่ จั่วไพ่สิจั่วไพ่” เด็กชายส่งเสียงร้องทักเมื่ออีกสองคนที่เหลือทำท่าไม่สนใจกับไพ่ที่วางอยู่ตรงหน้า...ทีเป็นเรื่องอย่างนี้ล่ะใส่ใจจัง “คราวนี้เราจะเล่นไพ่อีแก่กันนะ”
ซาคัสนิ่งไปเล็กน้อยราวกับเพิ่งนึกบางอย่างออก
“ว่าแต่เล่นไพ่กันต่อหน้าตำรวจสันติบาลอย่างวิลล์มันจะดีเหรอ”
ไม่นึกออกซะพรุ่งนี้ตอนบ่ายโมงสี่สิบห้าเลยล่ะพ่อคุณ เล่นกันจนมาจะรอบที่ยี่สิบแปดแล้วเพิ่งนึกออกเหรอไง แล้วที่สำคัญมันไม่ใช่ต่อหน้าแต่เป็น ‘ชวนตำรวจสันติบาลมานั่งเล่นด้วยกันจนติดพันเลยต่างหาก’
“ไม่หรอกครับเพราะที่วางพนันเป็นลูกกวาดเพราะงั้นก็ไม่เป็นไรหรอก...มั๊งครับ” น้ำเสียงท่อนสุดท้ายดูจะบีบให้แผ่วอย่างคนไม่มั่นใจ แต่เอาก็เอาเถอะ...ยังไงถ้าจะโดนจริงๆ มันก็โดนกันทั้งก๊กตั้งแต่เล่นโป๊กเกอร์รอบแรกแล้ว
ดวงตาสีเขียวมรกตมองผ่านไพ่ห้าใบที่กรีดอยู่ตรงหน้าแล้วลอบยิ้ม
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร่ที่วิลเลี่ยมกลายเป็นแขกที่เข้าออกคฤหาสน์ริธในลอนดอนหลังนี้บ่อยที่สุดไม่ว่าจะมาเพราะเกี่ยวกับคดีหรือมาเที่ยวเล่นแต่อย่างไรก็ดี...พอมีเขาอยู่ด้วยคฤหาสน์หลังกว้างนี้ที่น่าจะเงียบเหงาก็พอจะมีสีสันขึ้นมาบ้าง
“นี่วิลล์” ซาคัสเอ่ยพูดหลังจากที่จบเกมส์ไพ่อีแก่ไปด้วยอัตราชนะสามสิบตารวดเล่นเอาลูกกวาดกองกลางนั้นตกไปอยู่กับซาคัสเกลี้ยงซะจนไม่มีหลงเหลืออยู่ เด็กชายหยิบลูกกวาดรสมินท์สีขาวขุ่นใส่เข้าไปในปากแล้วเคี้ยวกรุบๆ
วิลเลี่ยมเงยหน้าขึ้นมาจากกองไพ่ที่กำลังจัดเรียงเข้าสำรับเป็นเชิงรับรู้
“ทางสันติบาลว่ายังไงบ้าง” ถ้อยคำพูดน้ำเสียงเรียบเฉยที่ทำให้วิลเลี่ยมนิ่งไปครู่อย่างรับรู้ดีถึงความหมายที่เด็กชายเรือนผมสีทองตรงหน้ากล่าวถาม มือคู่เรียวจัดการสอดไพ่กลับเข้าสำรับให้เรียบร้อยแล้ววางลงกลางโต๊ะด้านหน้า
“ไม่มีความคืบหน้าใดๆ เกี่ยวกับคดีที่ทางฝ่ายพิสูจน์หลักฐานส่งมาเลยครับ” วิลเลี่ยใว่าก่อนจะก้มหน้าลง “ไร้ความคืบหน้าใดๆ ทั้งที่ผ่านมาร่วมสองอาทิตย์ ไม่มีคดีเกิดขึ้นและตัวของเดอะริบเปอร์ก็หายเข้าไปในกลีบเมฆหลังจากคดีของมิสซิสแชปแมน”
แว่วเสียงถอนหายใจออกมาจากชายหนุ่มพร้อมกับเสียงแผ่วบางราวกับรำพึงกับตัวเอง
ทำตัวไร้ประโยชน์อีกแล้วสิเรา...
“อ๋อ...เหรอ” เด็กชายลาเสียงยาวดวงตาสีน้ำเงินหันมองขวับจนทำเอาชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาลสะดุ้งเฮือก
“ยื่นมือมาข้างหน้าสิวิลล์” ถึงจะสงสัยในคำพูดที่ชวนให้เครื่องหมายคำถามลอนว่อนเต็มหัวแต่ก็ยื่นมือออกไปด้านหน้าตามคำสั่งแต่โดยดี
เพี๊ยะ!!!
เสียงฟาดลงกับฝ่ามือของวิลเลี่ยมที่ออกมารองรับอย่างรุนแรงและดังมากพอจะทำให้พ่อบ้านหนุ่มที่กำลังรินชาลงในถ้วยจะหันมามองอย่างแปลกใจ
“โทษฐานที่ทำเสียงและหน้าหมดอาลัยตายอยากต่อหน้าฉัน!”
เด็กชายกล่าวสั้นๆ เสียงแข็งอย่างเผด็จการ ส่วนวิลเลี่ยมก็ได้แต่ทำหน้าเอ๋อสะบัดมือข้างที่ถูกฟาดอย่างรุนแรงในใจก็ภาวนาว่าอย่าให้กระดูกร้าวเลย
“ใครสั่งหดมือกลับเข้าไปยื่นออกมาเดี๋ยวนี้!!!” ซาคัสแผดเสียงสั่งจนทำเอาวิลเลี่ยมสะดุ้งเฮือกใหญ่ราวกับว่าวิญญาณใกล้ปลิวออกจากร่างแต่ก็ต้องทำตามโดยดีก่อนที่หัวของตัวเองจะเข้าไปอยู่ในปากเล็กๆ ของคุณหนูผมทองจอมอาละวาดตรงหน้า
ในขณะที่วิลเลี่ยกำลังตัวสั่นขวัญผวาแต่ฟราเรสนั้น...กำลังหัวเราะ!
จะโดนหมุดตอกเข้าเล็บไหมครับเนี่ย
ด้วยแรงจิตนการอันชวนจิตตกเมื่อมองดวงหน้าของซาคัสที่กำลังออกอาการโหโมสุดฤทธิ์จนน่ากลัวว่าเจ้าตัวจะจับเขาแยกชิ้นส่วนแล้วห่อกับบ้านแบบไม่ต้องฝัง...หากแต่ไม่ใช่อย่างที่คิด
ฝ่ามือเรียวโปรยลูกกวาดหลากสีเท่าที่มือเล็กๆ นั้นจะรับได้ลงกับมือของวิลเลี่ยม แสงไฟอ่อนๆ สะท้อนกับสีสันของลูกกวาดในมือนั้นดูเจิดจรัสราวกับเพชรพลอยที่กำลังส่องประกายที่แสนอ่อนโยน...ช่างอ่อนโยนเหมือนดวงตาสีไพลินคู่นั้นที่งดงามเหนือสิ่งอื่นใด
“เอาไป” เด็กชายพูดดวงตาสีน้ำเงินเข้มเบนมองไปทางอื่นโดยไม่มองหน้าของชายหนุ่มผมน้ำตาลที่กำลังตกตะลึงจนไม่สามารถสรรพหาคำพูดใดๆ ออกมาจากริมฝีปาก “กินซะแล้วอย่ามาทำหน้าจ๋อยๆ ต่อหน้าฉันอีก”
วิลเลี่ยมทอดมองร่างเล็กของเด็กชายเรือนผมสีทอง...หน้าอกร้อนผ่าวรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ฝ่ามือกร้านหยิบลูกอมรสเชอร์เบตเข้าปากแล้วขยับรอยยิ้มกว้างจนดวงตากลมโตสีดำขลับน้ำแทบปิด
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงโกรธ
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องใช้สิ่งนี้แทนคำปลอบโยน
เพราะไม่อาจจะกลั่นกรองคำพูดออกมาได้อย่างนั้นเหรอ
หรือเพราะเขินอายที่จะพูดกันนะ
แต่นี่เป็นความอ่อนโยนตามแบบฉบับของคุณสินะครับ
“ขอบคุณสำหรับลูกกวาดครับ”
หลังจากนั้นไม่นานวิลเลี่ยมก็ขอตัวกลับเพราะเพิ่งนึกออกว่าตัวเองมีธุระ ซาคัสขยับเสียงถอนหายใจยาวบนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ ภาพอาการลนลานกระวีกระวาดหยิบเสื้อเครื่องแบบใส่ไปพลางจัดหมวกไปพลางก่อนจะทำมันหล่นกลิ้งโค่โล่ด้วยความรีบร้นของวิลเลี่ยมที่ทำให้ต้องหลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ยังใจดีเหมือนเคยเลยนะครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของพ่อบ้านหนุ่มดังข้างหูจนร่างเล็กสะดุ้งเฮือก ซาคัสขยับตัวหันไปมองฟราเรสแล้วมุ่ยหน้า
“ว่าใครใจดีห๊ะ” เด็กชายผมทองตะคอกเสียงแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะหันหน้าขวับเข้าหาโต๊ะแล้วใช้ส้อมจิ้มชิ้นอัลมอนด์พายคำใหญ่เข้าปากเคียวตุ้ยๆ คล้ายอาการกินแก้เซ็ง ฟราเรสขยับยิ้มแล้วลอบขำกับการแสดงออกของเจ้านายตัวน้อย
เขินก็พูดมาเถอะครับคุณหนู
“แล้วเรื่องงานเลี้ยงของมาร์ควิสชิวาสนี่วันนี้ไม่ไปเตรียมตัวเหรอไง” ซาคัสสะดุ้งเฮือกชะงักคำที่พูดจนเกือบทำอัลมอนด์พายติดคอฝ่ามือเล็กคว้าถ้วยชาขึ้นซดอึกใหญ่ในใจนึกอยากจะตบปากตัวเองที่เอาไอ้นี่มาเปลี่ยนเรื่องคุยกับฟราเรส
เอาคำแรกที่โผล่ในสมองมาพูด...นี่เรากำลังจะฆ่าตัวเองใช่ไหม?
แว่วเสียงหัวเราะโทนต่ำอันน่าสะพรึงกลัวจากคุณพ่อบ้านที่ทำเอาขนลุกเกลียว
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมเตรียมการเรียบร้อยแล้วล่ะครับ...คุณหนู” นี่คิดไปเองใช่ไหมว่าเสียงฟราเรสที่กำลังพูดอยู่เนี่ยมันเยือกเย็นกว่าปรกติ...เย็นซะจนทำเอาชาไปทั้งตัว
รับรู้ถึงรังสีอันไม่น่าไว้ใจพวยพุ่งออกมาจากตัวของฟราเรสในขณะที่ร่างเล็กๆ ของคุณหนูตัวน้อยนั้นพยายามจะหาทางหนีรอดออกจากรอยยิ้มอันเปี่ยมล้นไปด้วยกระไอสังหารของพ่อบ้านที่นับวันจะยิ่งทวีความน่ากลัวเข้าไปทุกที
ใครก็ได้ช่วยฉันด้วยยย
ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มเมื่ออาทิตย์ลับลาลงขอบฟ้าถูกแทนที่ด้วยพระจันทร์สีนวลแสนอ่อนโยนสาดส่องแสงสว่างสีเหลืองอ่อนอย่างแผ่วบาง...จันซากลมสีอำพันที่ไร้เมฆหมอกบทบัง...ทั้งที่เช่นนั้นแล้วรัตติกาลที่เงียบสงัดนั้นครานี้กลับได้ยินเสียงเครื่องดนตรีบรรเลงบทเพลงแว่วลอยตามสายลมที่พัดผ่าน ดวงตาสีไพลินทอดมองคฤหาสน์หลังงามที่แสงไฟสองสว่างผ่านนอกหน้าต่างรถทั้งที่รู้สึกเบื่อแต่ลึกๆ แล้วก็อดชื่นชมกับความงดงามขอแสงสีไม่ได้
รถม้ากระตุกเล็กน้อยก่อนจะจอดสนิท ร่างเล็กของเด็กชายคว้ามือพ่อบ้านหนุ่มแล้วก้าวกระโดดลงจากตัวรถพร้อมๆ กับที่ประตูเปิด ซาคัสหลุบตามองโดยรอบกับความโอ่อ่าของคฤหาสน์ที่อยากจะบอกว่ามัน...สวยมาก...จนเอียนกับความหรู
ซาคัสก้าวเดินขึ้นบันไดหินอ่อนสีขาวสะอาดผ่านเข้าประตูบานใหญ่สู่ตัวงานเลี้ยงที่มีผู้คนมากมายและคับคั่งไปด้วยเสียงพูดคุย ดวงตาสีน้ำเงินก้มลงมองสารรูปของตัวเองหลังจากที่โดนคุณพ่อบ้านทั้งดึงทั้งทึ้งจนออกมาในสภาพที่...
ดูดีจนเจ้าตัวยังตกใจ
ชุดสูทหางยาวสีน้ำเงินกรมท่าตัดจากผ้าชั้นดีสวมทับกับเสื้อกั๊กสีเดียวกันภายในใส่เสื้อเชิ้ตอีกชั้น ลำคอขาวผูกทับด้วยริบบิ้นเส้นใหญ่สีน้ำเงินเข้มกลัดด้วยเข็มกลัดประทับตราประจำตระกูลดูเข้ากับเส้นผมสีทองสว่างที่ถูกจัดให้เข้าทางแล้วมัดรวบไปด้านหลังดูเรียบร้อย
ซาคัสดึงหมวกทรงสูงประดับด้วยกุหลาบรอบปีกหมวกลงเพื่อโค้งทักทายกับเจ้าของบ้าน
“ไม่ได้พบกันเสียนานนะครับ ท่านมาร์ควิสชิวาสนี่” น้ำเสียงเล็กกล่าวอย่าสุภาพพลางยื่นมือไปข้างหน้าด้วยท่าทีถ่อมตนขัดจากพฤติกรรมทั่วไปที่ปฏิบัติยามปรกติเมื่ออยู่บ้านกับคนรู้จัก
อย่างนี้เขาเรียกรักษามารยาทหรือตอแหลหน้าด้านๆ ดีล่ะ?
“เช่นกันครับท่านเอิร์ลริธ” มาร์ควิส อาร์กัส ชิวาสนี่ กล่าวพลางจับมือทักทายกับซาคัส ชายวัยสามสิบเจ็ดปีเรือนผมสีน้ำตาลทองแดงและดวงตาสีเขียวใสที่ถึงแม้จะมีริ้วรอยตามวัยบนหน้าหากเมื่อมองแค่ปราดเดียวก็รู้เลยว่าเมื่อสิบหรือสิบหน้าปีก่อนนั้นคงเป็นหนุ่มเนื้อหอมน่าดู
คิ้วเรียวสีเดียวกับเรือนผมเลิกขึ้นนิดๆ เมื่อมองร่างของแขกตัวน้อยชัดสายตา
“คุณนี่ไม่ค่อยเปลี่ยนไปเลยนะครับ” มาร์ควิสชิวาสนี่กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะที่เกือบจะเอาจุกก๊อกแห่งความอดทนของซาคัสหลุดกระเด็นแต่ยังติดตรงคอขวดชื่อว่า ‘ภาพพจน์’ ที่ทำให้มันยังคงปิดอยู่แม้จะร่อแร่แล้วก็ตามที
“ผมยังไม่เข้าสู่ช่วงเจริญเติบโตน่ะครับ” ซาคัสพูดแสร้งทำเป็นหัวเราะพลางเกาแก้มเบาๆ อย่างเด็กน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูทั้งที่อยากจะอาละวาดแทบขาดใจ...ขอโทษทีนะที่ฉันมันเตี้ย!!!
“หือ...” หลังจากสูดลมหายใจเข้ายุบหนอพองหนอให้อารมณ์เย็นลงขึ้นมาดูราวกับดวงตากลมๆ สีน้ำเงินไพลินที่ปรกติจะไม่ค่อยใส่ใจอะไรเหลือบไปเห็นร่างของคนสองคนที่ยืนอยู่ข้างมาร์ควิสชิวาสนี่ซึ่งดูจากท่าทางแล้วคงจะคุยกันก่อนเขาเข้ามา
“อ้อ” ราวกับรู้ถึงสายตาที่มองมามาร์ควิสชิวาสนี่จึงถอยตัวหลบเพื่อให้เห็นสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ชัดเจนสายตา
คนหนึ่งเป็นร่างสูงผอมของชายวัยสี่สิบปลายๆ ถึงห้าสิบปีในชุดสูทสีเทาออกเขียว เส้นผมที่ดูไม่ออกว่าจะเป็นสีทองหรือสีเทาดีถูกมัดรวบด้วยริบบิ้นไว้ที่ด้านหลัง ดวงตาลึกสีฟ้าขุ่นสวมแว่นตาเลนท์เดียวสีชาไว้ที่ข้างซ้ายแถมกำลังจ้องเขาด้วยสายตาน่าขนลุก
และอีกคนเป็นชายหนุ่มร่างสูงสมส่วนที่กำลังยิ้มทักทายเขาอย่างเป็นมิตรเขามีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนกับดวงตาสีดำขลับที่ร่าเริงสดใสในชุดสูทสีดำสนิททั้งตัว ซาคัสมุ่มคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่แน่ใจว่าเพราะใบหน้าที่แสนจะหล่อเหลาหรือบุคลิคท่าทางที่แสนจะดูดีกันแน่ที่ทำให้บรรดาๆ สาวน้อยและสาวเหลือน้อยที่ยังโสดในงานจ้องมาทางนี้กันตาเป็นมัน
“ท่านเอิร์ลริธนี่คือท่านอเลน อเล็กชาร์ล ผู้บังคับการกรมตำรวจสันติบาลกับท่านเซกัลล์แพทย์ประจำพระองค์ของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดครับ” มาร์ควิสชิวาสนี่เอ่ยแนะนำสองคนด้านหลังโดนที่คนหล่อๆ นี่คือ อเลน อเล็กชาร์ลส่วนลุงแก่หน้าตาน่ากลัวๆ นี่คือ เซกัลล์
“ส่วนนี้คือท่านเอิร์ลซาคัส ริธ บุตรชายคนโตของท่านดยุคอควอดิธ ริธหนึ่งสี่ขุนนางใหญ่แห่งเพียวน์ คุณหนูคนดังที่ได้รับยศศักดิ์พิเศษจากองค์ราชินีไงล่ะครับ” คือแบบไม่ต้องพูดคำว่ายศพิเศษก็ได้มั้งครับความจริงแล้วกระผมใคร่ไม่อยากจะได้เลยนะขอรับ
คิดไปเองหรือเปล่าว่าว่าท่านมาร์ควิสแกพูดบรรยายสรรพคุณเราอย่างกับขายยา
คนแรกที่โผล่เข้ามาจับมือทักทายเขาแซงหน้าเซกัลล์ที่กำลังจะยื่นมือมาก็คือคุณผู้บังคับการแห่งกรมตำรวจสันติบาลอเลนแถมยังเขย่ามือเขาไปมาอย่างอารมณ์ดีผิดกับเซกัลล์ที่ทำหน้าหงุดหงิด
“อยากจะพบมานานแล้วล่ะครับคุณหนูอัจฉริยะตระกูลริธเนี่ย...ทำงานมาด้วยกันตั้งหลายงานแต่ยังไม่ได้เจอหน้ากันจริงๆ จังๆ สักที” ก็ว่าอยู่ว่าชื่อคุ้นๆ ที่แท้ก็คนเคยทำงานด้วยกันมา...แต่ว่าไปก็น่าจะเอะใจตั้งแต่บอกว่าเป็น ‘ผู้บังคับการกรมตำรวจสันติบาล’ แล้วไม่ใช่เหรอ
“คุณเองก็เถอะยังดูหนุ่มอยู่เลยนะครับแต่เป็นถึงหัวหน้า” ซาคัสเอ่ยพูดเสียงใสหากแต่กลับได้เสียงหัวเราะแบบคูณที่ยกเว้นเซกัลล์ซึ่งไม่รู้ว่าทำหน้าอย่างอื่นนอกจากบึ้งเป็นหรือไม่
“อย่าให้หน้าอ่อนๆ อย่างงี้หลอกสิครับเห็นอย่างงี้ล่ะอายุสี่สิบแปดมีลูกสองแล้วนะครับ” มาร์ควิสชิวาสนี่ว่าหัวเราะหนักตบเข่าดังฉาดส่วนซาคัสก็ได้แต่เอียงคอขมวดคิ้วรู้สึกอายน้อยๆ...คนสมัยนี้ดูหน้าไม่รู้เลยจริงๆ สิพับผ่า
แล้วในที่สุดก็ได้จับมือทักทายกับคุณหมอเซกัลล์สักทีแต่ว่า...รู้ไหมเนี่ยว่าไอ้การยื่นมือขวาออกมาจับมันหมายความว่าง๊าย!!!
ลุงแกแสดงถึงความไม่เป็นมิตรแบบสุดๆ เลยแฮะ
เมื่อยืนมือขวามาเราก็ต้องสนองกลับด้วยมือขวา ซาคัสเหลือบมองดวงตาสีซีดที่แสดงออกถึงความไม่เป็นมิตรอย่างชัดเจน...นี่กะจะไม่ญาติดีกับผมหน่อยหรอกครับคุณหมอ!!!
“ผมเซกัลล์เป็นหมอประจำพระองค์ขององค์ชายเอ็ดเวิร์ดยินทีที่ได้รู้จักแล้วก็หวังว่าอย่าได้พบกันอีกนะครับท่านเอิร์ลริธ” เซกัลล์พูดน้ำเสียงโทนเดียวที่มักจะทำให้รู้สึกง่วงได้ง่ายเป็นที่สุดโดนเฉพาตอนเรียนเหมือนกับอาจารย์สอนวิชาเภสัชที่เคยมาสอนเขา ดวงตาเหยียดมองลงมา
“อ่ะ...ครับ...” ซาคัสรับด้วยใบหน้าเหมือนจะฝืนยิ้มแบบสุดๆ ผมเองก็ไม่ใคร่อยากจะพบลุงแก่ๆ หน้าตาบอกบุญไม่รับนี่เหมือนกันกันครับ!
“ถ้างั้นแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ” ว่าแล้วนายแพทย์เซกัลล์ก็โค้งตัวลาแล้วเดินลับหายไปกับผู้คนที่อยู่ในงานเลี้ยง
“อือ...งั้นผมก็ไปบ้างดีกว่า” ได้ยินเสียงอเลนครางเบาๆ ในลำคอราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง “ห่วงลูกหมาที่พามาด้วย
น่ะ ปล่อยไว้นานคงเดินหลงทางแย่” เขาว่าก่อนจะโค้งตัวบอกลาพร้อมๆ กับส่งรอยยิ้มที่ดูเข้าใจยากให้ซาคัสแล้วเดินหายลับไปอีกคน
“ทะ...ท่านพ่อคะ มิสโซเฟียมาถึงงานแล้วค่ะ” แว่วเสียงอ่อนหวานจากทางด้านหลังของมาร์ควิสชิวาสนี่หลังจาที่สองคนนั้นไปได้ไม่นาน คิ้วเรียวบางสีทองเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ...น้ำเสียงนั้นช่างไพเราะและใสสะสะอาดราวกับกระดิ่งแก้วกำลังต้องสายลมอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อได้ยินเสียงทักร่างสูงของชายเรือนผมสีทองแดงสะดุ้งเล็กน้อยมาร์ควิสชิวาสนี่หันไปมองร่างเล็กๆที่วิ่งตรงมาทางเขาอย่างทุลักทุเลเนื่องจากกระโปรงสุ่มโครงปลาวาฬที่สวมใส่อยู่ เด็กสาวที่เกือบจะทำเอาหัวใจของหลายคนที่มองหยุดเต้นไปครู่ใหญ่ๆ
เส้นผมสีน้ำตาลออกแดงสะท้อนกับแสงไฟดูส่องประกายเข้ากับ ดวงหน้าขาวหวานใสได้รูป ดวงตาสีเขียวมรกตกลมโตบนใบหน้าที่งดงามราวกับอัญมณี เด็กสาวร่างบอบบางในชุดสีชมพูดอ่อนประดับด้วยผ้าลูกไม้พลิ้วๆ สีขาวรอบตัว เธอออกอาการชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าบิดาของตนยืนคุยอยู่กับใคร พวงแก้มใสขึ้นสีแดงระเรื่อ
“นี่ ไดอาน่า ลูกสาวของผมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยแนะนำบุตรสาว ซาคัสขยับยิ้มรับเด็กสาวที่สูงกว่าเขาเพียงไม่เท่าไรดูจากภายนอก...คาดว่าคงจะอายุสักสิบสามถึงสิบสี่ปี
พลันเมื่อเห็นรอยยิ้มจากเด็กชายดวงหน้าหวานของไดอาน่าก็ขึ้นสีแดงจัดก่อนจะคว้าเสื้อของผู้เป็นพ่อแล้วหลบอยู่ด้านหลัง ซาคัสเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นอาการแสดงออกของเด็กสาวพลางคิดทบทวนในสมอง...นี่เราไปทำอะไรให้เจ้าหล่อนไม่ไม่พอใจหรือเปล่า?
“ไดอาน่า นี่ไงท่านเอิร์ลซาคัส ริธที่ลูกอยากพบน่ะ” คนเป็นพ่อพูดน้ำเสียงอ่อนโยนพลางมองท่าทีเขินอายของบุตรสาวที่ทำให้อดขำไม่ได้ก่อนดวงตาสีใบไม้จะหันมองเด็กชาย “ไดอาน่าลูกสาวผมเขาชื่นชมคุณมากเลยนะ...ขนาดที่ตัดบทสัมภาษณ์ที่เกี่ยวกับคุณเก็บใส่หนังสือเป็นอัลบั้มเลยล่ะ”
“ทะ...ท่านพ่อกล่าวเกินไปแล้วค่ะ” เสียงใสแย้งก่อนจะชะงักค้างเมื่อเห็นว่าดวงสีน้ำเงินไพลินจ้องกลับมาทางเธอ เด็กสาวรีบหลบเข้าหลังคนเป็นพ่อทันทีด้วยท่าทางที่น่าเอ็นดูจนเด็กชายส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่ต้องหลบหน้าผมก็ได้นะครับ มิสไดอาน่า” ซาคัสกล่าวพร้อมยิ้มให้เด็กสาวอย่างอ่อนโยนจนแก้มเนียนทั้งสองข้างขึ้นสีหนักกว่าเดิม
เมื่อเห็นบรรยากาศเช่นนั้นคนเป็นพ่อเองก็ไม่อยากจะขัด ร่างสูงโปร่งถอยออกไปทางอื่นพร้อมกับที่ได้ยินเสียงบรรเลงบทเพลงของวงดนตรีดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาเหมือนกับเปิดโอกาสให้เต้นรำ...เพียงแต่ว่าเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินไพลินกลับแอบอมยิ้มแห้งๆ
เห็นนะครับว่าแอบส่งซิกกับวงดนตรีน่ะ
ซาคัสถอนหายใจเล็กน้อยโดยไม่ให้ร่างบางตรงหน้าสังเกตเห็นก่อนจะก้าวขาถอยหลังครึ่งก้าวโค้งตัวลงแล้วส่งมือออกไปข้างหน้า
เอาวะ...ไหนๆ ก็ไหนๆ
“กรุณาเต้นรำกับผมสักเพลงนะครับ เลดี้”
ดวงตาสีเขียวใสเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความตกใจพลางมองดูฝ่ามือที่ยื่นเข้ามาหาตัวแดงสลับกับใยหน้าอ่อนเยาว์คมคายของเด็กชายผมทองตรงหน้า รู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดรอบๆใบหน้า...น้ำตาแห่งความดีใจพาลจะไหลเด็กสาววางมือสัมผัสอย่างแผ่วเบาตอบรับด้วยความยินดี
“ค...ค่ะ! ”
ซาคัสจับฝ่ามือบางอย่างถนอมราวกับเป็นสิ่งแตกหักง่ายก่อนจะพาเธอเดินนำไปยังฟลอร์เต้นรำแว่วเสียงบรรเลงเพลงที่ผสานไปกับเสียงพ่นลมหายใจของเด็กชายที่ทำหน้าเหมือน ‘นี่ตูกำลังทำอะไรอยู่’ ดวงตาสีน้ำเงินไพลินจับจ้องเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้า
“บอกไว้ก่อนนะครับว่าคุณต้องระวังเท้าให้ดีเพราะผมเต้นรำไม่เก่ง” เด็กชายพูดออกตัวในระหว่างกำลังขยับเท้าเต้นรำให้สาวเจ้าระวังไว้ก่อนหากแต่ไดอาน่ากลับส่งเสียงหัวเราะใสกิ๊กกลับมาแทน
“ดิฉันเองก็ไม่เก่งเหมือนกันค่ะ” เธอว่าก่อนจะขยับรอยยิ้มหวานที่เข้ากับใบหน้าสวยเธอก้าวตามเขาในจังหวะวอลซ์ที่ดูจะติดขัดไปบ้างโดยไม่แน่ใจว่าเพราะเต้นไม่เก่งหรือกำลังเขินอยู่กันแน่ “งั้นเราก็มาระวังเท้าด้วยกันทั้งคู่ดีกว่าไหมคะ”
“เล่นเกมส์ ‘ใครเหยียบเท้าอีกคนมากกว่าเป็นฝ่ายชนะ’ ดีกว่าไหมครับ” ซาคัสพูดพลางอมยิ้มแกมประชดตัวเอง...เมื่อกี้ถ้าเกิดตูเบรกไม่ทันมีหวังได้เหยียบเท้าสาวเจ้าเข้าไปเต็มรักแหงแซะ ส่วนไดอาน่าก็พยายามกั้นหัวเราะ
ปึ๊ด
รู้สึกเหมือนกับมีอะไรหนักๆ บางอย่างกดทับลงกับฝ่าเท้าแบบชนิดที่ทำเอาเส้นประสาทรับรู้ตายด้านไปชั่วครู่ ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกดวงตาสีไพลินเหลือบมองดวงหน้าสวยที่ยิ้มแหยๆ
“หนึ่งต่อศูนย์” ไดอาน่าว่าพลางหัวเราะแห้งๆ อย่างคนรู้สึกผิดที่ทำให้ซาคัสขยับยิ้มอย่างเอ็นดูในความน่ารักของเด็กสาวร่างบางตรงหน้า ถึงแม้ว่า...ไอ้ที่เหยียบเท้าไปเมื่อครู่นี้น่ะเล่นเอาชาจนลามไปครึ่งแข้งแล้วก็ตามที
ดูเป็นการเต้นรำที่ดูทุลักทุเลอย่างบอกไม่ถูก...
แต่ใครเลยเล่าจะไปรู้ถึงประโยคที่และเบื้องหลังฉากของสองคนนี้เพราะภาพที่ปรากฏแก่สายตาที่มองมานั้น...ทั้งคู่ดูงดงามราวกับภาพวาดของเจ้าหญิงที่กำลังเต้นรำอยู่กับเจ้าชายในนิทานจนไม่อาจเบือนหนีไปแม้แต่น้อย
ขนาดที่มาร์ควิสชิวาสนี่ถึงกับยิ้มด้วยใบหน้าประมาณว่า ‘ได้ลูกเขยแล้ว’ ก็ไม่ปาน
เสียงเพลงที่บรรเลงหยุดลงพร้อมๆ กับที่เกมส์ ‘ใครเหยียบเท้าอีกคนมากกว่าเป็นฝ่ายชนะ’ นั้นก็ได้ยุติลงไปด้วย...และแน่นอนเลยว่าคนที่เกลียดความพ่ายแพ้อย่างซาคัสนั้นก็ชนะเลิศไปด้วยคะแนน ห้าต่อสองหรือต้องเรียกชนะกันแบบขาดลอย
ขาเล็กๆ ที่น่าจะเรียกว่าสั้นเดินเซเป๋คลับคล้ายว่ากำลังจะหมดแรงอยู่รอมร่อ ซาคัสเบี่ยงตัวออกไปนอกฟลอร์ทันทีก่อนที่จะเริ่มบรรเลงเพลงกันอีกรอบหรือจะให้พูดเอาง่ายๆ เลยก็คือชิงเผ่นก่อนที่จะได้เต้นรำรอบสองนั่นเอง
ราวกับนึกบางอย่างออกซาคัสยกมือขึ้นกวักเรียกบริกรหนุ่มที่อยู่แถวนั้นก่อนจะเขย่งจนสุดตัวคว้าแก้วน้ำมะนาวทั้งๆ ที่บริกรเองก็ย่อตัวลงให้แล้วจากถาดที่ถือส่งให้กับไดอาน่าที่เดินตามมาข้างหลัง
“รางวัลที่ผมชนะไงครับ...เชิญดื่มได้เลย” ซาคัสพูดกลั้วเสียงหัวเราะก่อนที่ไดอาน่าจะรับแก้วน้ำมะนาวนั้นด้วยใบหน้าอันแดงก่ำ
“ขอบคุณค่ะ” พูดได้แค่นั้นก็ต้องชะงักไปเพราะเสียงที่เอ่ยแทรกขึ้นมา
“คุณซาคัส!”
“วิลล์!” น้ำเสียงเล็กร้องตอบก่อนจะต้องมุ่นคิ้วหนักเพราะวิลเลี่ยมที่วิ่งมาหาเขาแล้วนั่งหอบอยู่ตรงหน้านี้...ดูไม่ค่อยจะเหมือนวิลเลี่ยมที่เขารู้จักสักเท่าไรนัก
เส้นผมสีน้ำตาลถูกหวีจนเรียบสนิททุกเส้น ปอยผมด้านหน้าปัดแสกไปทางขวาดูเรียบร้อยกับสูทสีดำสนิททั้งตัวที่ทำให้ใบหน้าอ่อนกว่าวัยที่อาจจะรวมถึงสมองนั้นดูภูมิฐานขึ้นไปในทันตา วิลเลี่ยมขยับตัวลุกขึ้นจนได้ยินเสียงสายสีทองของนาฬิกาพกกระทบกัน
“มาที่นี่ได้ไงน่ะ” เด็กชายผมทองเอียงคอถามอย่างสงสัยดวงตาสีน้ำเงินไพลินจับจ้องชายหนุ่มร่างสูงกว่าตรงหน้าอย่าทึ่งๆ จนเกือบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง...เหลือเชื่อไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลยแฮะว่าเจ้าวิลล์นี่ก็หล่อดีเหมือนกัน
“มากับเจ้านายน่ะครับ” วิเลี่ยมตอบก่อนจะสะดุ้งสุดตัวราวกับนึกออกว่าไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูด อ๋อ...ธุระที่ว่าในตอนเย็นวันนี้คืองานเลี้ยงนี่สินะ “ผมมีของที่จะให้คุณดูครับ!!!” พร้อมกับส่งเสียงร้องจนเหมือนตะโกนที่แทบจะทำให้คนอื่นหันมามอง ซาคัสก้มหน้าลงกับฝ่ามือย่างไม่อยากจะเหนื่อยใจ
ลูกหมาที่อเลนว่าคือไอ้หมอนี่เองสินะ
ฝ่ามือเรียวเล็กดันหลังวิลเลี่ยมให้เบี่ยงตัวไปหาที่คุยทางอื่นแต่ก็ไม่ลืมหันมายิ้มให้กับไดอาน่าเป็นเชิงบอกขอตัวไปทำธุระ
หลังจากที่ดันวิลเลี่ยมให้ออกมาคุยกันนอกระเบียงซึ่งเป็นที่ๆ สงบสุขและไร้ผู้คนของงานเลี้ยงได้เป็นผลสำเร็จ ซาคัสพิงกำแพงทรุดตัวลงนั่งยองๆ พลางพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนและอึดอัด...ดูไม่เหมือนกับ ‘ท่านเอิร์ลซาคัส ริธ’ ผู้สง่างามในงานเลี้ยงเมื่อครู่เลยสักนิด
ก็ไม่มีคนอยู่จะรักษาพจน์ไปเพื่อ?
“มีอะไรก็ว่ามา วิลล์” ซาคัสเอ่ยน้ำเสียงยานคางฝ่ามือเรียวบางไล้เล่นแสงของหิ่งห้อยที่ลอยล้ออยู่เบื้องหน้า ชั่วอึดใจที่เห็นภาพนั้นดวงตาสีดำขลับไม่อาจจะละสายตาออกไปแม้เพียงเล็กน้อย...บางทีเป็นเพียงสิ่งที่คิดไปเองหากแต่ราวกับว่าภายใต้ใบหน้าอ่อนเยาว์นี้กำลังแอบซ่อนความเหงาลึกๆ เอาไว้
รอยยิ้มของคุณเก็บอะไรไว้กันแน่นะ...
“ผมนำสิ่งนี้มาให้ครับ” วิลเลี่ยมว่าก่อนจะส่งซองจดหมายที่อยู่ภายในกระเป๋าเสื้อสูทส่งให้มือเล็กที่ยื่นออกมารับ “ที่จริงผมแอบขโมยมาจากตู้ของผู้บังคับการน่ะครับ ตอนแรกก็ว่าจะแอบหลบออกจากงานเลี้ยงไปหาคุณที่คริมสันโรสอยู่เหมือนกัน...แต่ก็บังเอิญเจอคุณในงานซะก่อน”
“อ๋อ...” ซาคัสว่าพลางให้ปลายนิ้วเรียวเล็กคีบเปิดซองจดหมายกระดาษไม่ระบุที่อยู่ผู้ส่งจ่าหน้าสองถึงสำนักงานข่าวเซ็นทรัล...ฉกมาจากเจ้านายเลยเหรอเจ้าวิลล์นี่กล้าเอาเรื่องแหะ
ทันที่เปิดซองและเห็นเนื้อความของจดหมายดวงตาสีน้ำเงินไพลินถึงกับเบิกกว้าง มือเล็กสั่นเทาก่อนจะกลั้นใจหลุบสายตาลงอ่าน...กระดาษสีน้ำตาลฟางแผ่นบางปรากฏตัวอักษรสีแดงทั้งยังน้ำหนักของหัวปากกาที่กดลึกจนหมึกซึมลงกับกระดาษจนดูไม่ต่างอะไรกับสีของ...เลือด
จดหมาย...
ของแจ็ค เดอะ ริปเปอร์
กราบเรียนเจ้านายที่เคารพ
หลายครั้งทีเดียวที่กระผมได้ยินข่าวมาว่าคุณตำรวจทั้งหลายนั้นต้องการตัวเพื่อที่จะหาโทษที่เหมาะสมกับตัวกระผมอยู่ ทั้งๆ ที่ยังหาตัวกระผมไม่เจอเนี่ยนะ? ไอ้การทำตัวฉลาดว่าตนเองล้ำเลิศเหนือกว่าคนอื่นทั้งที่พวกคุณกำลังหลับตาคลำหางกระผมอยู่แบบนี้มันไม่ตลกเกินเหรอครับ กระผมล่ะอาจจะหัวเราะให้ลั่นจริงๆ เลยแต่ก็ทำไม่ได้หรอกเดี๋ยวมือที่เขียนจดหมายหานายท่านนี้จะสั่นจนเละไปซะก่อนเพราะกระผมรู้นะครับว่าแค่นี้ท่านก็อ่านลายมือผมไม่ออกแล้ว
กระผมล่ะเกลียดยัยพวกสวะโสเภณีจริงๆ แต่ถึงจะกำจัดไปพื้นที่พวกหล่อนอยู่ก็ไม่ได้สะอาดขึ้นมาเลยสักนิด ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ารำคาญใช่ไหมล่ะครับกระผมน่ะจะไม่หยุดเชือดพวกหล่อนง่ายๆ หรอกจนกว่าจะเอาเศษชิ้นส่วนโสโครกนั่นมาคาดรอบเอว แหม...คงจะเป็นเข็มขัดที่เก๋โก้น่าดูชมเลยนะครับ
งานศิลปะชิ้นล่าสุดของกระผมช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ผู้หญิงขี้เหร่ๆ อาบย้อมไปด้วยเลือด...อา...คุณน่าจะได้เห็นตอนที่กระผมเอามีดเล็กๆ นี้แซะเข้าไปที่หน้าท้องของหล่อนเหลือเกิน...เพราะกระผมบอกได้คำเดียวว่ามันช่างงดงามราวกับกุหลาบแรกแย้มที่เบ่งบานเป็นสีเลือดเชียวล่ะ
สีหมึกที่กระผมเขียนมาหาคุณนี่สวยไหมครับ? ตอนแรกนี่กระผมกะเอาไว้ว่าจะใช้เลือดสกปรกๆที่อุตส่าห์เก็บเอาไว้มาใช้เขียนซะหน่อยแต่มันดันข้นอย่างกับกาวจนเอามาใช้เขียนไม่ได้แน่ะแต่ก็นะหมึกสีแดงก็คงจะใช้แทนกันได้กระมังครับหยวนๆ ให้กระผมหน่อยน้า
งานต่อไปจะเป็นใครกันน้า...เอางี้ดีกว่าเสร็จงานคราวหน้าผมจะส่งต่างหูสวยๆ พร้อมหูส่งไปให้คุณตำรวจที่สุดแสนจะน่ารักนี้เป็นของขวัญดีกว่า
หวาย...ทนไม่ไหวแล้ว...มีดเล่มใหม่ของผมกำลังส่องแสงสะท้อนกับไฟในเตาพิงอยู่ล่ะครับ สีแดงๆของไฟที่สะท้อนกับคมของมันเนี่ยช่างเหมือนกับเลือดซะจนเอากระผมอดใจเอาไว้ไม่อยู่อยากจะเชือดผู้หญิงสกปรกๆ ฉลองมีดใหม่เต็มทนแล้วสิ
เอาเป็นว่ายังไงก็ช่วยเก็บจดหมายฉบับนี้ของกระผมเป็นที่ระลึกนะอย่าเอาให้เป็นอาหารว่างของถังขยะซะก่อนล่ะแต่ตอนนี้กระผมขอตัวไปทำงานก่อนนา
ด้วยความเคารพอย่างจริงใจ
แจ็ค เดอะ ริบเปอร์
เมื่ออ่านจดหมายที่มีสำนวนการเขียนอันสุดแสนสยองจบลงแล้วนั้น...เขาไม่ปฏิเสธว่าตอนนี้เขากำลังสั่นหากแต่ต้องสงบสติอารมณ์เอาไว้ ดวงตาสีน้ำเงินไพลินไล่อ่านจดหมายนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าริมฝีปากบางพึมพำสิ่งที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์ราวกับกำลังท่องจำเนื้อความทั้งหมด
ถึงจะรู้ดีว่าทันทีที่ส่งคืนให้วิลเลี่ยมเอากลับไปแล้วนั้นไม่แน่จดหมายฉบับนี้จะต้องส่งมาถึงมือเขาทันทีภายในวันรุ่งขึ้นหากแต่...เขาคงจะอดใจรอไม่ไหว ความกระหายในหลักฐานชิ้นนี้มันกำลังเอ่อล้นขึ้นมา ซาคัสเหยียดยิ้มที่มุมปากอย่างสะใจ...เศษจิ๊กซอว์ของของเล่นชิ้นใหม่อันนี้มันน่าสนใจซะจนควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่
หลังจากที่ใช้สมองประมวลจดจำเนื้อความในจดหมายจนขึ้นใจ เด็กชายพับจดหมายสอดใส่ซองเรียบร้อยส่งคืนให้กับวิลเลี่ยมที่กำลังทึ่งกับท่าทางการท่องจำที่เหมือนกับการรัวเครื่องพิมพ์ดีดในสมองของซาคัสเมื่อครู่
“ขอบใจนะ วิลล์ คืนนี้ฉันก็มีหัวข้อนิทานให้ขบคิดก่อนนอนแล้วล่ะ” ซาคัสยืดตัวขึ้นยืนจนเต็มส่วนสูงอันน้อยๆ ของตัวเอง ดวงตาสีไพลินจับจ้องชายหนุ่มตรงหน้า “จะกลับเลยไหมเดี๋ยวฉันจะให้ฟราเรสขับรถม้าไปส่งที่บ้านให้”
วิลเลี่ยมสั่นศรีษะน้อยๆ เป็นเชิงปฏิเสธ
“ไม่ดีกว่าครับ...เจ้านายผมเห็นใจดีแบบนั้นก็เถอะแต่โมโหขึ้นมาล่ะน่ากลัวเชียวถ้าผมกลับไปก่อนคงโดนโกรธแย่แค่ไอ้ความคิดที่จะแอบหลบออกจากงานเลี้ยงนี่ก็ทำให้เสียวแล้ว” วิลเลี่ยมว่าส่วนซาคัสก็หัวเราะน้อยๆ พลางก้าวเดินไปแตะแขนของชายหนุ่มเป็นเชิงลา
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ” ซาคัสว่าก้าวเดินไปในงานเพื่อบอกลาเจ้าภาพพร้อมๆ กับที่โบกมือให้วิลเลี่ยมโดยไม่หันหลังกลับ “แล้วซื้อลูกกวาดมาด้วยล่ะเดี๋ยวจะสอนโอเทลโล่ให้”
“ครับ...แล้วผมจะซื้อมา” วิลเลี่ยมว่าพลางอมยิ้มให้น้อยๆ ทอดสายตามองร่างเล็กของเด็กชายจนหายลับไป
“และจะไม่ซื้อรสยี่ร่ามาแน่นอน”
พูดเสียงเบาๆ พร้อมกับใช้ฝ่ามือทุบกับราวระเบียงเอาหน้าฟุบหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
อย่างไรซะ...ก็ยังเป็นเด็กอยู่ดีล่ะนะ
แสงสว่างอ่อนๆ เล็ดลอดออกจากบานหน้าต่างจากพื้นสูงจรดเพดานสะท้อนกับดวงมณีสีไพลินเข้ม ดวงหน้าอ่อนเยาว์ติดรอยเครียดเล็กน้อยกับกระดาษแผ่นบางในมือที่หมุนตะแคงแล้วตะแคงอีก
“มือซ้ายเขียนสลับกับมือขวา” น้ำเสียงเล็กกล่าวอย่างแผ่วเบาพลางเอาจดหมายที่คล้ายคลึงกันกับฉบับที่วิลเลี่ยมให้ดูเมื่อคืนส่องซ้ายส่องขวาดูแนวลายเส้นปากกาที่ปรากฏอยู่กับแสงอาทิตย์ที่สาดมาทางหน้าต่างบานใกล้ตัวหากกระดาษติดไฟเมื่อไร่ก็มั่นใจได้เลยว่ามันไหม้เพราะแดดชัวร์
อาจจะดูเหลือเชื่อว่ากระดาษแผ่นนี้นั้นคือคนละแผ่นกับเมื่อคืนและเป็นแผ่นเดียวกับที่คุณหนูของตระกูลริธกลั่นเขียนออกมาจากความทรงจำของตัวเองออกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน...กระทั้งลายเส้นและอาจจะรวมถึงรอยซึมของน้ำหมึก
“แล้วเท่าที่จำได้รู้สึกจะมีตัวอักษรหลายตัวที่ดูแหว่งๆ เขียนติดๆ ขัดๆ เหมือนมือเจ็บนี่ก็เพราะใช้มือที่ไม่ถนัดอีกข้างเขียนหรือไงนะ” ซาคัสชี้ลงบนตัวหนังสือบางตัวที่อยู่บนกระดาษคัดลอกแสดงการสมมุติถึงจุดหมึกซึมลึกอยู่ในลายเส้นอักษรของต้นฉบับ
“เหมือนกำลังพรางลายมือ...แล้วก็เหมือนจะไม่ใช่คนที่ถนัดสองมือด้วย” คิดถึงตรงหนี้ซาคัสก็ทวนนึกถึงรอยกรีดบนภาพถ่ายของศพที่ดูยังไงก็เป็นการกรีดด้วยมือซ้ายชัดๆ
“แต่ก็ชักจะไม่แน่ใจว่าคนร้ายถนัดมือซ้ายซะแล้วสิ” ว่าแล้วก็ฉะงักคำพูดลงเล็กน้อยเมื่อเหลือบมองร่างตรงหน้าที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างเคร่งเครียด ซาคัสหลังตาลงนิ่งพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้เส้นเลือดที่กำลังเต้นตุบๆ บนขมับ แตกซะก่อน
“ไม่ใช่เฟ้ยหมากดำต้องเดินอย่างนี้!” น้ำเสียงเล็กสบถร้องกระแทกกระดาษจดหมายลงบนโต๊ะอย่างหงุดหงิดกับการเล่นโอเทลโล่ที่แสนจะไม่ได้เรื่องถึงขีดสุดของวิลเลี่ยม มือเล็กสั่นระริกหงุดหงิดจนอยากจะงัดกระดานแล้วคว่ำมันทิ้งซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“ก็ผมเพิ่งจะเคยเล่นนี่ครับ” วิลเลี่ยมเแย้งพลางมุ่ยหน้าหากแต่เด็กชายก็ไม่ใส่ใจคว้าลูกอมรสมิ้นท์ยัดเข้าปากแล้วเคี้ยวจนน้ำตาลแตกตัว
เฮ้ย...แล้วเรื่องคดีล่ะฟะ!?
มาสรุปหลักฐานไปเล่นโอเทลโล่ไป...แม้เจ้าโว้ยคุณหนูบ้านนี้!!!
“แล้วนิทานก่อนนอนเมื่อนี้เป็นไงบ้างล่ะครับ” ฟราเรสว่าดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องหมากดำที่ถูกหมากขาวของซาคัสกินไปรวดเดียวถึงเจ็ดตัว เด็กชายโยนหมากดำลงกับถาดข้างตัวพร้อมๆ กับเอื้อมหยิบลูกกวาดกองกลางตามจำนวนที่ยึดไป
“ไม่รู้สิ” ซาคัสตอบเสียงหน่ายๆ ก่อนจะวางหมากขางของตัวเองลงบนกระดาน“ตอนนี้ที่ฉันรู้อย่างเดียวก็คือ...” พูดได้แค่นี้ก็เงียบยาว แว่วเสียงเดาะลิ้นอย่างขัดใจเมื่อวิลเลี่ยมเริ่มคลำทางถูกกินหมากของเขาไปถึงสามตัว
“คนเขียนมันโรคจิตโคตรๆ”
ทุกคนพยักหน้าพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ซาคัสพ่นลมหายใจออกจากปากเล็กน้อย ร่างเล็กของเด็กชายทิ้งตัวพิงกับพนักโซฟาแรงๆ จนเรือนเส้นผมสีทองปลิวลู่
“ถ้าอย่างงั้น...” พูดถึงตรงนี้ก็ชะงักยาวเมื่อภาพของหมอเซกัลล์ที่ยื่นมือซ้ายมาจับมือกับเขาในงานเลี้ยงอยู่ๆ ก็พุดเข้ามาในสมอง จะเป็นไปได้ไหมว่าคนๆ นั้นต้องการปิดปังอะไรบางอย่างที่มือซ้ายของตน...แพทย์ประจำพระองค์อย่างนั้นเหรอ
[มีความรู้เรื่องแพทย์อย่างดี...ถนัดมือซ้าย]
ถ้อยคำสรุปคดีจากเอกสารเมื่อหลายวันก่อนเวียนวนอยู่ในสมอง ปลายนิ้วมือเรียวจรดวางกับปลายคางดวงตาสีน้ำเงินไพลินมีประกายครุ่นคิด
คนเราต่อให้ถนัดมือข้างไหนแต่เมื่อเป็นเวลาที่จับมือทักทายแล้วล่ะก็จะต้องยื่นซ้ายมาให้กันทุกคนทั้งนั้นเพราะการยื่นมือขวาคือแสดงถึง ‘ความไม่ชอบหน้าและรังเกียจ’ ต่ออีกฝ่ายหรือไม่...ก็เพราะมือข้างซ้ายนั้นกำลังปกปิดอะไรบางอย่างไว้อยู่
หากถ้าเป็นเช่นนั้นจริง...ก็คงไม่พ้นข้อกล่าวว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในข้อบ่งชี้ข้อนี้
เพียงแต่สำนวนสรุปคดีของเรานั้น...มีเพียงแค่ทางกรมตำรวจสันติบาลที่รู้
แต่ถึงเขาจะล่วงรู้ถึงมันได้แล้วทำไมถึงได้ยื่นมือขวามาให้เราอย่างกับว่าต้องการปกปิดอะไรบางอย่างที่มือซ้ายแบบนั้นกัน ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ว่าเรา...ว่าคนในสี่ขุนนางใหญ่แห่งเพียวน์กำลังตามคดีนี้อยู่ ทำแบบนั้นเหมือนจงใจเดินเข้ามาเป็นผู้ต้องสงสัยชัดๆ
หรือไม่ลุงแกก็แค่เหม็นหน้าเราจริงๆ
“คุณหนู”
“คุณซาคัส”
ร่างเล็กสะดุ้งตัวแผ่วเบาตามเสียงของชายหนุ่มสองคนที่กล่าวเรียกตัวเขาพร้อมกัน ดวงตาสีน้ำเงินไพลินหันมองฟราเรสทีวิลเลี่ยมทีราวกับกำลังรวบรวมสติ
“เป็นอะไรไปเหรอครับคุณหนูถึงได้ดูเหม่อลอยอย่างนั้น” ฟราเรสเอ่ยถามน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ดังแผ่วเบาข้างหูแสดงถึงความเป็นห่วงได้ชัดเจนโดยไม่ต้องคาดเดา...เพราะฟราเรสก็เป็นคนแบบนั้นแต่ไหนแต่ไรมาในหัวมีแต่เรื่องของเจ้านายอย่างเดียว
“ไม่สบายหรือเปล่าครับ” วิลเลี่ยมกล่าวย้ำส่วนซาคัสก็ได้แต่สั่นศีรษะเบาๆ
“อ๋อ...เปล่า” ซาคัสว่าตบข้างแก้มแรงๆ เป็นการไล่ความคิดท่าทางจะคิดมากไปจนเพ้อเลยแฮะเรา “แค่จะบอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว...” เด็กชายขยับเสียงหน่ายๆ พ่นลมหายใจยาวพลางกรอกตาไปมา จนแล้วจนรอดก็ต้องโผล่ไปจนได้สิน่า
บ้านของไอ้หมอนั่น
“ฉันว่าจะหาเวลาว่างๆ ไปที่เบเกอร์สตรีทสักหน่อยน่ะ” ซาคัสเอ่ยน้ำเสียงยานคางด้วยความหน่ายซะเต็มประดา “ถึงไม่ค่อยพอใจก็เถอะ” แว่วลมหายใจถอนออกจากริมฝีปากก่อนฝ่ามือเล็กค่อยๆ สอดแผ่นกระดาษสีน้ำตาลฟางเข้าไปในซองจดหมาย เส้นผมสีทองสั่นไหวน้อยๆ อย่างคนไม่อยากนึกถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น
“แต่คุณหนูไม่น่า...”ฟราเรสแทรกขึ้นน้ำเสียงเหมือนกังลังแย้งจนซาคัสต้องยกมือขึ้นตบๆ เส้นผมสีดำขลับของชายตรงหน้าอย่างเบามือ ดวงหน้าเยาว์ยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม
“รู้น่าว่าห่วง...แต่ทำไงได้” เด็กชายพูดพลางไหวไหล่น้อยๆ “ก็เจ้าหมอนั่นมันดันเป็นพวกรู้ทุกเรื่องไปซะหมดนี่นา” ซาคัสเหลือบดวงตาขึ้นสายตาเหมือนกับกำลังคิด
หรือจะเรียกว่าพวกสอดรู้ดีนะ
วิลเลี่ยมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะมองฟราเรสและซาคัสที่เหมือนจะมองตาก็รู้กันดีสลับกันไปมา ชายหนุ่มส่งเสียงกระแอมเรียกเบาๆ ในลำคอเหมือนกำลังบอกว่ายังมีเขานั่งอยู่ตรงนี้อีกคนซึ่งยัง ‘ไม่รู้เรื่อง’ ที่กำลังคุยกันอยู่
“วิลล์พรุ่งนี้ไม่ก็มะรืนนี้ว่างไหม?” ซาคัสหันมาถามกับวิลเลี่ยมที่เหมือนกับถูกลืมชั่วคราว ชายหนุ่มมุ่นคิ้วบางสีขลับน้อยๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ว่างครับ...อันที่จริงน่าจะเรียกว่าไม่มีงานมากกว่า” วิลเลี่ยมพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนลำคอของชายหนุ่มจะค่อยๆ เลื่อนตกมาทีละน้อย
นั่นสินะ...ก็เรามันไม่มียศสูงส่งอะไรนี่นา...ทำงานพลาดก็บ่อย สมควรแล้วที่จะไม่มีคนไว้ใจให้งานมาแบบนี้
เด็กชายเอียงคอลงเล็กน้อย รับรู้ได้ถึงออร่าความท้อแท้ที่แผ่ซ่านออกมาจากวิลเลี่ยมได้เป็นอย่างดี
นี่เราไปพูดจี้ใจดำอะไรเขาหรือเปล่าเนี่ย?
“วิลเลี่ยม” น้ำเสียงเล็กเย็นเยียบชวนปวดไขสันหลังดังขึ้น ดวงตาสีดำขลับจับจ้องรอยยิ้มหวานแฝงจิตสังหารที่แผ่ซ่าน “เคยบอกแล้วนะ...ว่าอย่ามาทำท่าแบบนั้น” ฝ่ามือเลกหวดแรงๆ เข้าที่บ่าของชายหนุ่ม...แรงมากพอที่จะทำให้ทรุดฮวบลงไปกองง่ายๆ
“เล่นต่ออีกตา!!!” ซาคัสส่งเสียงดังจนเหมือนตะโกนพร้อมๆ กับกระแทกวางหมากลงกลางกระดานด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้กัน ดวงตาสีดำขลับเลิกขึ้นเล็กน้อยพลางเอียงคอหากแต่ฝ่ามือก็วางหมากบนกระดานตอบอย่างงุนงง
แว่วเสียงหัวเราะเบาๆ จากพ่อบ้านหนุ่มเรือนผมสีขลับ
กำลังพยายามจะพูดว่า ‘ร่าเริงเข้าไว้’ อยู่สินะครับคุณหนู
ร่างเล็กของเด็กชายเอนตัวลงพิงกับโซฟาพร้อมๆ กันกับเปลือกตาบางเคลื่อนปิดบังดวงตาสีน้ำเงินไพลิน ดวงหน้าเบี่ยงไปทางทางอื่น นัยน์ตาเปิดขึ้นอีกครั้ง...ท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าอย่างนั้น...แสงสว่างชวนแสบตาที่สาดส่องจากดวงอาทิตย์
รู้สึกไม่ชอบเอาซะเลย
[กริ๊ก]
เสียงกระทบกันเบาๆ จากหน้าต่างบายใหญ่ข้างตัวที่ดึงความสนใจของเด็กชายแค่เพียงผู้เดียว...อีกาสีดำสนิทค่อยๆ ร่อนบินมาเกาะอยู่ด้านหน้าต่าง หากเพียงชั่วครู่ก็กระพือปีกโผบินจากไปโดยเหลือทิ้งไว้แค่เพียงขนนกสีมืดมิดที่ร่อนหล่นลงสู่เบื้องล่าง
แสงแดดจรัสทอดยาวฉาบร่างหากแต่ไม่อาจรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมา สัญลักษณ์อีกาผงาดปีกที่อยู่เบื้องหลังตัวตนราวกับโอบล้อมและรัดรึงตัวเขาเอาไว้ด้วยปีกทั้งสองข้าง ไม่อาจจะมีทางหนีรอดออกไป ไม่สามารถหนีออกจากสายเลือดสีดำของปักษาแห่งเงาดั่งเช่นโซ่ที่กักตรวน
อีกาสีดำสัญลักษณ์แห่งความมืดมิด
คือความองอาจ...สง่างาม...เย่อหยิ่ง...ผยอง
สิ่งอัปมงคลที่แสนงดงามที่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์ เงามืดที่ถูกตัดขาดซึ่งแสงสว่างจนไม่อาจจะมองเห็นสิ่งใดๆ ได้อีก
และนั่นก็คือ [ริธ]
คือ [ตัวเขา] ที่เป็น [ซาคัส ริธ]
และ [ซาคัส ริธ] คนนี้ก็จะขอมีชีวิตเป็นของตัวเองไปอีกสักพัก ชีวิตที่สามารถจะทำตามใจตัวเองอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ โดยที่มีใครอยู่เคียงข้างภายใต้โลกที่มีแต่แสงสว่างนี้...ไปจนกว่าที่แสงจรัสอ่อนโยนจะแตกสลายลงกับมือที่แปดเปื้อนด้วยเลือดสีดำทมิฬมืดมิด
ไม่ได้ท้อแท้
ไม่เคยแม้จะรู้สึกเสียใจ
ไม่เคยเศร้า
ไม่ได้หวั่นเกรงต่อสิ่งใดๆ
เพราะฉันรับรู้ถึงมันและกำลังเผชิญหน้ากับมัน...กับชะตากรรมของตัวฉันเอง
และจะเฝ้ารอให้วันที่เงารุกคืบเข้ามาถึงตัว
ความคิดเห็น