ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wish Agency

    ลำดับตอนที่ #2 : Wish 01 : หยาดสายฝนแห่งดวงจันทร์ (月の雨) 5%

    • อัปเดตล่าสุด 8 ม.ค. 53



    บาปอันน่ารังเกียจจองจำตัวตนอยู่ภายใต้กรงกักแสนทารุณ

    แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าบาปนั้นยกจะลบเลือน

    โธ่...พระเจ้าที่น่าชิงชัง

    ..แต่กระนั้นฉันก็ยังคงเกลียดพระองค์ไม่ลงอยู่ดี...

    เพราะถ้าไม่มีท่าน...ฉันก็คงไม่ได้พบเธอ

                

                  ท้องฟ้าสีดำครึ้มส่งเสียงร้องครืนครางจากการเคลื่อนไหวของเมฆฝน เส้นผมสีดำขลับพัดพริ้วตามสายลม...ลมที่หอบกลิ่นอายดินทำให้ผมรู้สึกสดชื่นอย่างแปลกประหลาด...ถึงแม้ความรู้สึกนั้นจะเต็มไปด้วยความหดหู่ใจก็ตาม ดวงตาคู่สีน้ำตาลเหม่อมองขึ้นยังฟ้าสีเศร้าแล้วหรี่ลง

                  "ท่าทางวันนี้ฝนคงจะตกแหะ" ริมฝีปากเอ่ยพึมพำอย่างแผ่วเบาผมหยุดเท้าอยู่ที่ประตูหน้าบ้านก่อนจะยกมือขึ้นปิดใบหูที่เย็นเรื่อๆ ฝนตกอากาศเย็นและพื้นที่แฉะน้ำ...โอ๊ย! อยากจะบ้า! ไม่อยากจะนึกถึงตอนมันตกเลยให้ตาย...ฝนมันจะมีประโpชน์อะไรกันนอกจากจะทำให้เปียก...เปียก...แล้วก็เปียก!!!

                  "ถ้ารู้ตัว...แล้วทำไมไม่ไปหยิบร่มตั้งแต่อยู่ในบ้านล่ะ...นัทซึเมะ" เสียงหนึ่งดังไล่หลังจนผมต้องย้อนหลังกลับไปมองแล้วถอนหายใจยาวเหยีดก่อนกรอกตามองชายหนุ่มในชุดยูคาตะสีเบจ เขามีเส้นผมสีขลับยาวประหลัง ดวงตาเรียวคมสีน้ำตาลเข้มชวนหลงใหล ริมฝีปากบางได้รูปกำลังคลี่ยิ้มขณะที่ส่งร่มมา...ซึ่งดูเข้ากับพื้นหลังที่เป็นต้นหลิวหน้าบ้านทรงญี่ปุ่นโบราณแบบพิลึกๆ 

                  "ครับๆ คุณพี่ชาย" ผมกล่าวอย่างเหนื่อยๆ แล้วรับร่มมาจากมือของพี่...อายาเสะ ฟุยุคินั่นคือชื่อของเขา คุณพี่ชายรูปงามอย่างชายญี่ปุ่นแท้ตัวสูงผมยาวนิสัยสุขุมเป็นผู้ใหญ่ได้รับความไว้วางใจจากคนในครอบครัวที่แม้จะเล่นละครชูโรงในบท 'พระเอก' อยู่แล้วแต่ก็ได้รับหน้าที่ดูแลนักแสดงในสังกัดอีกตำแหน่งซึ่งผิดกับน้องชาย...ที่ทำไมถึงได้เตี้ยตะแมะเคะหน้าตาเหมือนผู้หญิงจนโดนจับเล่นละครบท 'นางเอก' อยู่เรื่อยกันเล่า!

                  ใช่ซี่...ถึงบ้านจะเป็นโรงละครคาบุกิมาตั้งแต่รุ่นคุณทวดก็เถอะแต่ไอ้การจับลูกชายสองคนมาเล่นบท 'พระ-นาง' กันเนี่ยมันสนุกเหรอไงครับคุณพ่อ!!!

                 ผมมองหน้าพี่เล็กน้อยก่อนจะเอียงคอลงซึ่งเขาก็ยิ้มแล้วเอียงคอตอบกลับ...ทำเพื่อ?

                "งั้นผมไปก่อนนะครับ" ผมเริ่มพูดขืนอยู่จ้องตาพี่นานเข้ามีหวังคงได้หัวใจวายตายก่อน...ไอ้หล่อเกินมนุษย์เอ๊ย! ขนาดเป็นน้องยังยอมรับเลยว่าสายตามันทำลายจังหวะการเต้นหัวใจของคนได้จริงๆ เห้อ...ทำไมไม่แบ่งส่วนสูงมาให้น้องสักห้าหกเซนต์บ้างนะ...อย่างพี่น่ะแบ่งมาแค่นี้ก็ไม่เสียหายหรอก

                "ก็ไปดีมาดีล่ะ...ไม่ลืมของอะไรนะแล้วก็..." 

               "ครับ...ผมไปแล้วนะ!" ผมรีบอ้าปากรับแล้วโกยอ้าวออกจกอาณาเขตรั้วบ้านทันทีก่อนที่พี่จะถามย้ำไปมากกว่านี้ นี่แหละข้อเสียของพี่ พวกย้ำคิดย้ำทำแถมนิสัยยัง 'คุณแม่จ๋า' ไม่เข้ากับหน้าสุดๆ อีกต่างหาก

               "แล้วอย่า...ไปคุยกับคนแปลกหน้าเข้าล่ะ..."

                เสียงของพี่ดังแว่วเข้ามาในหูซึ่งผมกลับรับฟังคำพูดนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ...ทั้งที่เป็นคำพูดแบบคนวิตกจริตแบบแม่ๆ ตามปรกติของพี่แท้ๆ แต่ว่า...

                 ทำไมถึงได้สังหรณ์ใจแปลกประหลาดอย่างนี้นะ
                 
                 เมื่อเดินออกมาไกลจากตัวบ้านได้มากโขอยู่ดีๆ สายลมเย็นๆ ก็พัดกรอกเขาใบหน้า อากาศเย็นยะเยียบและหนาวมากเสียจนน่ากลัว ผมยกร่มเล็กแบบข้อมต่อสามส่วนที่พี่ให้ผมขึ้นมาดูเล็กน้อยก่อนจะหยุดเท้าที่ก้าวเดิน

                 เพราะไอ้อะไรไม่รู้ที่มัน 'เย็น' กว่าอากาศหน้าฝนมันกำลังคลืบคลานเข้ามาใกล้!!

                 ผมสะบัดหน้าหันไปทางด้านหลังทันทีจนผมยาวๆ ข้างหลังที่ต้องจำใจไว้เพื่อเล่นละครพลิ้วไปด้านหลังแต่ก็พบถึงความว่างเปล่าของทางเดินริมรั้วปูนแบบญี่ปุ่นผมขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะยังไงก็มองไม่เห็นและไม่คอยจะมองเห็นถึง 'บางสิ่ง' ที่คอยคืยคลานตามตัวนับตั้งแต่จำความได้แต่ทว่า...สิ่งที่ผมสำผัสได้กลับเป็นความหนาวเย็ฯยะเยือกกับความกลัวที่คืบคลานเข้ามา

                 แม้ว่าตอนนี้จะกลัวนจเลิกกลัวไปแล้วก็ตามทีเถอะ

                 ฝ่าเท้าก้าวเดินถอยหลังไปโดยอัตโนมัติราวกับรับรู้ถึงความอันตรายที่เข้ามาอีกทั้งยังบรรนากาศมืดครึ้มสลัวๆ ของฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆฝนสีดำแบบนี้นั้นมันช่างไม่ได้แตกต่างอะไรกับตอนกลางคืนเลยสักนิดเดียว

                 ทั้งที่เบื้องหน้าว่างเปล่าแต่กระนั้นผมกลับสำผัสถึงกระไอคลื่นเหียนจนแทบทรุดขาแข็งทื่อจนก้าวเดินไม่ไหวราวกับความกดดันทับทมตัวตนจนไม่สามารถแม้แต่จะหายใจ พลันที่รู้สึกราวกับมีมือเย็นๆ เข้ามาโอบกอดจาฃข้างหลัง...ความรู้สึกหายใจได้อยากลำบาก...ราวกับสายน้ำหยั่ฃลึกโอบล้อมรอบตัว...รู้สึกราวกับว่าได้ดำดิ่งลงไปเบื้อร่างสายน้ำที่ไม่อาจแหวกว่ายขึ้นมา

                 แต่ขณะที่ร่างไร้เรี่ยวแรงกำลังจะทรุดลงเพราะไม่สามารถต้านทานแรงกดดันนีได้อยู่นั่นเอง

                 ผมกลับรับรู้ถึงความอบอุ่นที่ช้อนอุ้มร่างของผมไม่ให้ล้มลงกับพื้นพร้อมกับความความรู้สึกหนักอึ้งทั้งหมดได้หายไปราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เป็นเพียงเรื่องโกหก

                 แต่เป็นดวงตาคู่คมสีม่วงเข้มที่เข้ามาใกล้เสียจนน่ากลัวกว่าเข้ามาแทน!!

                 "เธอ...ไม่เป็นไรนะ?" ชายหนุ่มเรือนร่างสูงโปร่งเอ่ยถาม เขาเป็นชายผิวเข้มอยู่ในชุดลำลองทับด้วยเสื้อแขนยาวที่เท่าที่อ่านได้รู้สึกว่าจะเป็นทีมบาสของมหาลัยอถวๆ นี้

                 "เอ่อ..." ผมเอ่ยขึ้นมาพรร้อมกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่กระพริบปริบๆ อย่างงวยแต่ที่ชวนให้งงกว่าคือมือของอีกฝ่ายที่ไม่ยอมปล่อยไปจากเอวของผมนี่มากกว่าและที่สำคัญ...

                  มือน่ะมันเลื่อนลงไปเรื่อยๆ เเล้วนะ!

                  "ปล่อยนะ!!!" แล้วก็นั่นไง...ก่อนจะได้ขอบคุณหรืออะไรหลังมือก็พาดปาบเข้ากลางหน้าอย่างไม่คิดเพราะคาดว่าอีกปล่อยไว่อีกหนึ่งวินาทีข้างหน้าคงได้โดนกระตุกกางเกงเป็นแน่แท้...

                  แล้วหลังจากนั้นผมก็ชะงักไป...ดันฟาดฝ่มือเข้าหน้าคนไม่รู้จักแถมเพิ่งจะช่วยตัวเองไว้วะอีกแหน่ะ...อ๊ากก!! ดันเป็นคนหน้าตาดีซะด้วยสิเกิดต้องจ่ายค่าชดใช้ขึ้นมาจะทำยังไงละวะ!!!

                  "ข....ขอโทษ!!" 

                  "เดี๋ยว!!!"

                  แต่ว่าพอพูดจบผมก็วิ่งแนบหนีไปเลยโดยไม่ได้ฟังอะไร...ถึงจะได้ยินเสียงลอยลมตามมาก็เถอะ

                  "เล่นตัดมุขมาอย่างนี้ก็เสียหน้าหมดเลยสิ...นัตซึเมะ"

                     
                  "อิหยา..." ผมร้องหอบหายใจแหกเพราะไอ้การวิ่งหนีรวดเดียวแบบไม่จอดจนถึงหน้าประตูห้องเรียนนี่มันกินพลังเอาเรื่อง สองมือเกาะขอบเสาข้างประตูเอาไว้ก็จะไสหน้าลงไปอย่างหมดแรงจนวิญญารเกือบลอยออกจากร่างแต่พลันไม่ทันไรไอ้คนที่วิญยาณเกือบหลุดเป็นน้องผีสิงเสาก็ต้องกระเด้งตัวพรวด

                  เพราะประตูหน้าห้องเรียนมันเลื่อนมาจนเกือบชนเข้าข้าแก้มน่ะสิ!!!

                  "อ๋า...?" ผมอุทานเบาๆ พลางกระพริบตาปริบๆ เมื่อเบื้องหน้าของผมตอนนี้ก็คือชายหนุ่มเรือนเส้นผมสีดำขลับดูไม่แตกต่างจากเงายามรัตติกาล ดวงตาคู่สีแดงเลือดกำลังหรี่ลงและมองผมด้วยสายตาเหมือนสงสียที่ทำให้ผมตัวชาวาบอย่างไร้สาเหตุแต่แค่รู้ว่าเวลาถูกสายตาของคนๆ นี้มองทีไรเป็นอันต้องรู้สึกหนาวหลังทุกที

                  "อ...อรุณสวัสดิ์ชิกิ" ผมเอ่ยทักเพื่อนร่วมห้องของผม ชิกิ อิจิรุหนึ่งในนักเรียนแผนกเอกการแสดงห้องที่เต็มไปด้วยดาราตั้งแต่ไอดอลใสกิ้งยันนางแบบกราเวีย...ใช่...แน่นอนเลยว่าคนหน้าตาดีจนเกินความจำเป็นของมนุษย์อย่างผู้ชายคนนี้จะต้องเป้นดาราอย่างแน่นอน...ฟังธง!!

                  แถมนอกจากจะดังแล้วยังเป็นนักเรียนดีเด่นของสายการเรียนอีกต่างหาก....จะเพอร์เฟ็คไปไหนน่ะห๊ะไอ้หล่อเอ๊ย!

                  "หลบ" เขาพูดได้เพียงสั้นๆ แต่กระนั้นผมก็หลบและเปิดทางให้ชิกิเดินอย่างโดยดี...คนอย่างผมเนี่ยนะ? 

                  โอเคใช่ซี่...ถึงผมจะหัวดื้อเอาแต่ใจไปนิดแต่ผมก็ยังรักชีวิตไม่คิดจะหือกับผู้ชายที่ดุขนาดอาจารย์ยังหงออย่างชิกิเขาหรอกนะ!

                  แต่ทว่าทั้งที่ผมก็หลบทางไปแล้วแต่ชิกิกลับไปเดินไปไหนดวงตาสีแดงเลือดของเขายังคงจัจ้องมาที่ผมไม่เปลี่ยนอีกทั้งยังฉายแววอะไรบางอย่างภายใต้คิ้วคู่เรียวกที่ขมวดแน่น แว่วเสียฃถอนหายใจยาวเหยียดจากชายร่างสูงผมดำเล็กน้อยก่อนจะยกมือลูกผมตัวเอฃเบา

                  "คราวหน้าครวหลังไปไหนมาไหนก็ระวังตัวด้วย" พูดได้แค่นั้นเขาก็เดินผ่านไหล่ของผมไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองทั้งๆ ที่ตัวเองทิ้งละเบิดลูกเบ้อเร้อไว้ให้ผมแท้ๆ 

                  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอดมองเบื้องหลังของคนตัวสูงจนหายลับไปกับทางเดินอย่างไม่ใคร่เข้าใจ ผมสะบัดหัวเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าห้องไปอย่างฉงนใจจัด

                   ไอ้ที่ระวังที่ว่านั่น...มันหมายถึงว่าให้ระวังอะไร?

                    "ไงนัตซึ! ฉันซื่อเมล่อนปังมาเพื่อด้วยนะไปกินกันเถอะ!" เสียงเรียกที่ดันขึ้นอย่างรวดเร็วจากเพื่อนร่วมห้องที่ผมให้ผมต้องหันกลังกลับไปมองชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมไอไลซ์สองสีที่ตอนนี้เป็นนักร้องนำวงร็อควิลชวลชื่อดัง อารุตะที่ตอนนี้ไร้การแต่งหน้าแต่งหน้าชวนน่ากลัวเดินเข้ามาโอบบ่าผมก่อนจะล็อคคอให้ลากไปโต๊ะที่เต็มไปด้วยภูเขาของกินทันที อา...ต่อหน้าแฟนเพลงล่ะทำเป็นเถื่อนขรึมแต่อยู่ในห้องเรียนล่ะไฮเปอร์ซะไม่มีล่ะพ่อคุณ

                   ผมทรุดตัลงนั่งกับเก้าอี้ที่อารุตะลากมาให้เตรียมพร้อมอย่างว่าง่าย แหงล่ะ! ลองเห็นคนตบๆ ลงบนเก้าอี้ว่างเป็นการชวนนั่งแบบไฮเปอร์แอคทีฟสุดขั้วอย่างนั้นเป็นใคร ใครก็นั่งทั้งนั้นแหละเพราะเกิดไม่นั่งแทนที่จะเป็นมือตบบนเก้าอี้อาจจะได้โดนมือตบบนแก้มแทน

                   สองมือค่อยฉีกถุงเมล่อนฟังที่ความจริงแล้วไม่ใช่ขนมปังรสเม่อนแต่อย่างอย่างใดที่เพื่อนสนิทขยั้นขยอให้ขึ้นมากิน...ความจริงผมก็กินข้าวช้าวจากที่บ้านมาแล้วนะแต่จะให้กินขนมปังอีกรอบก็....คงไม่เป็นไร

                   บ....บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่ใช่คนกินจุ! แค่สงสารน้ำใจบวกขนมปังมันน่ากินเท่านั้นเองนะ!!!

                  "แล้วนี่คุยอะไรกับชิกิที่หน้าห้องเหรอ?" เขาถามคำถามที่ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมา ละความสนใจจากการกินเมล่อนฟังไปชั่วครู่แล้วเอียงคอลงเล็กน้อยอย่างใคร่สงสัยเล็กๆ

                  "ก็ทักทายนิดหน่อยน่ะ " ผมตอบแบบกึ่งจะปัดๆ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้รู้อะไรแต่ไม่รู้จะตอบอะไรมากกว่าเพราะผมเองยังไม่รู้เลยว่าใจความสำคัญในเนื้อหาที่ชิกิพูดกับผมอยู่ฝ่ายเดียวนั้นมันคืออะไรกัน...

                 "น่าแปลกนะฉันไม่คิดว่าชิกิจะทำแบบนั้นเท่าไร่" อารุตะเอ่ยพูดคิ้วเรียวบางเหมือนจะขมวดน้อยๆ ส่วนผมก็ทำเป็นไม่สนใจกินเมล่อนปังต่อไป "ปรกติชิกิเขาเคยคุยกับคนอื่นด้วยเหรอ"

                  น...นั่นน่ะสิ...

                  แล้วยิ่งเขามาพูดใส่ก่อนแบบนี้ด้วยแลว...คนที่ชอบปลีกตัวไม่เข้าใกล้คนอื่นแถมยังพูดจากแถมคำตอบคำที่ไม่เคบตอบอะไรจากจากคำว่า 'อือ' อย่างชิกิมาพูดกับผมก่อนนั้นถือเป็นเรื่องแปลกถึงที่สุดเลยก็ว่าได้

                 รู้สึกเหมือนเป็นคำสั่งที่ต้องทำตาม...ถึงผมจะไม่รู้ถึงความหมายของมัน

                 "โอ๊ะ! แผนกพละนี่นา" แล้วอยู่ๆ อารุตะก็พูดแบบเปลี่ยนเรื่องทันด่วนขึ้นเมื่อเมื่อเจ้าตัวทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างไปยังนอกสนามที่พวกนักเรียนแผนกพละกำลังเตรียมตัววอร์มอัพร่างกายอยู่ที่สนามกีฬาซึ่งนั่นถือว่าเป็นการโฮมรูมของห้องนั้น...แผนกที่ขึ้นชื่อว่าดังไม่แพ้กับแผนกการแสดงของพวกเรา

                 "ยูเมะจังอยู่นั่นนี่นา" อารุตะพูดแล้วพลางโบกมือใส่ให้กับสาวน้อยผมหางม้าที่อยู่นอกสนามซึ่งเธอก็โบกมือและยิ้มหวานส่งกลับมาเช่นกัน...ยูเมะจังที่หมอนั่นว่าก็แฟนมันนั่นแหละ...สาวน้อยคนสวยกัปตันชมรมเทนทิสเจ้าของผมทรงโทนี่เทลที่ได้ยินแว่วๆ ว่ามีเเผนคลับเป็นนักเรียนชายค่อนโรงเรียนซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเธอหลงผิดหรือเปล่าที่มาคบกับเจ้าไฮเปอร์เพื่อผม

                ผมเท้าคางอย่าเหนื่อยๆ แล้วเหลืบตามองเบื้องล่างแต่แล้วกัน...ผมก็ต้องชะงักลงกับร่างบอบบางผมสีน้ำตาลอ่อนที่เดินเข้ามาหายูเมะ เจ้าของดวงหน้าหวานอ่อนเยาว์และดวงตากลมโตไร้เดียงสาคนนั้นคือดาวดังของแผนกกีฬาซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นท็อปไม่แพ้กันกับชิกิ...ซางาระ ซึบาสะ ตัวแทนโรงเรียนกัปตันชมรมเคนโด้ที่ได้แชมป์ระดับประเทศของมัธยมปลายมาแล้วสองสมัยซ้อนคนนั้นนั่นแหละ

                แต่อย่าคิดซะว่าหน้าสวยๆ อย่างนั้นเป็นผู้หญิง...

                "สองสาวงามแห่งฟุยุคาเซะ" อยู่ๆ อารุตะก็พึมพำออกมาแล้วมองผมไปพลางเหลือตามองซางาระที่วอร์มร่างกายอยู่บนสนามไปพลาง 

                "อะไรนะ?" ผมถามเสียงห้วนกำลังคิดว่าอย่าให้เดาถูกเลยว่ามันจะพูดอะไร

                "ก็นายกับซางาระไง" 

                นั่นไง! ตูว่าแล้ว! ปัดโธ่เอ้ยทำไมไม่ซื้อฉลากเลขราวัลถูกบเหมือนเดาคำพูดเจ้านี่บ้าไม่ได้เลยวะ!

                จริงอยู่ว่าซางาระนั้นหน้าตาสวยน่ารักแถมผมยาวสลวยจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นผู้ชายส่วนผมเอาก็...เอ่อ...โอเคะยอมรับก็ได้ว่าผมยาวๆ สีดำที่ต้องจำใจไว้นี่มันอาจจะทำให้ดูคล้ายผู้หญิงไปบ้าง...แต่มันก็แค่คล้ายล่ะน่า...แค่คล้ายเฉย....ก็บอกแล้วนะว่าแค่คล้ายจริงๆ

                 แต่ทำไมต้องมาเรียกกันว่า 'สาวงาม' ด้วยล่ะเจ้าบ้าเอ้ย!

                 "เอ้อ! จริงสิ!" แต่แล้วอารุตะกะละสายตาจากการสงรหัมมอสรหัสมือกับแฟนตัวเองแล้วมองมาที่ผมด้วยท่าทางเหมือนกับจะนึกอะไรออก คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ ก่อนจะเอียงลงเป็นเชิงถามเมื่ออกีฝ่ายยื่นตั๋วคอนเสิร์ตมาให้ "บัตรคอนเสิร์ตของวงฉันน่ะจัดที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเซโตะที่อยู่ใกล้ๆ ต้องไปนะ...ต้องไปให้ได้นะ" แล้วมันก็พูดอย่างนี้ทุกครั้งที่เอาตั๋วมาให้ก็อยากจะบอกอยู่หรอกถึงมันไม่บอกให้ไปผมก็ต้องไปอยู่ดี...ถามว่าเพราะอะไรก็มันเสียดายตังค์ค่าบัตรนี่หว่าวงมันขึ้นกี่ทีกี่ครั้งบัตรเคยต่ำกว่าห้าพันเยนซะทีไหนพ่อเจ้าประคุณไอ้ครดังเอ้ย!

                 "นี่จะบอกว่าวันนี้โดดครึ่งวันสินะ" ผมว่าดึงตั๋ซคอนเสิร์ตออกจากมือของของอารุตะแล้วเก็บเข้ากระเป๋าบัตรวีไอพี...เออ...ฉันรู้ว่าแกรักเพื่อนแต่ไอ้บัตรวีไอพีนี่มันมันเข้าได้ยันห้องแต่งตัวเลยไม่ใช่เรอะ!!

                 "ถูกต้อง!" อารุตะตอบรับส่วนผมก็พยักเอือมๆ อยากจะบ้าตาย "แล้วจะไปไหม?"

                 "ไปก็ได้" ผมตอบ...บังคับกันด้วยราคาตั๋วอภิมหาเเพงอย่างงั้นไม่ไปได้ยังไงกัน...นี่ผมไม่ได้งกนะบอกไว้ก่อนให้รู้จักซะบ้างสิเงินทองน่ะของมีค่าแต่ถ้าได้ของฟรีมาก็ต้องให้ให้คุ้ม! 

                  "แต่ต้องหลังจากฉันซ้อมคาบุกิเสร็จ" ผมตอบส่วนอีกฝ่าก็พยักหน้าหงึกๆ อย่างเข้าใจเพราะว่าอีกไม่กี่วันก็จะเริ่มแสดงรอบปฐมทัศน์ของละครเรื่องโอโตะโนะฮิเมะอยู่แล้วถ้าหากว่าคนที่เล่นเป็นนางเอกอย่างผมโดดซ้อมไปล่ะก็คงจะไม่ดีและที่สำคัญบทละครเรื่องนี้นอกจากพี่จะเป็นพระเอกแล้วยังกับกับเรื่องและฉากเองต่างหาก

                  และที่สำคัญกว่านั้นเรื่องนี้ยังดัดแปลงจากหนึ่งในนิยายชื่อดังที่ไม่แพ้เรื่องอาโอะโนะยูคิของ ซางาระ โยชิทากะอีกต่างหากถ้าเกิดเล่นออกมาไม่ดีล่ะก็มีหวังแฟนนิยายของเขาคงได้เผาพริกเผาเกลือสาปส่งกันอย่าให้เซด

                  ผมยื่นมืออกไปด้านหน้าอยู่ในระดับสายตาองเอารุตะอันประกอบด้วยนิ้วชี้ กลาง นาง ซึ่งหมายถึงเลขสาม

                  "สามทุ่ม" ผมพูด

                  "ได้แต่ถ้าเกินกว่านี้เลิกคบนะ!" แล้วารุตะก็รับวุ้ย!


    ++++++++++++++++++++++++++

    ต่อจากนี้ไป...จะเกิดอันหยังขึ้นกับนัตจังกันหนอ...

    นิยายอาจอัพได้อืดขึ้นนะคะเพราะ1-2-3กุมภาสอบปลายภาคแล้ว

    อีกไม่นานก็โอเน็ต...

    คาดว่าถ้าไม่อู้ (และไม่มัวแต่แต่งฟิค LSK เพลิน) จะเจอกันตอนช่วงสุดสัปดาห์นะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×