คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 Crimson rose
อังกฤษช่วงปลายทศวรรษที่สิบเก้านั้นเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่มาพร้อมงานสังคมกิจกรรมรื่นเริงทั้งหลายเป็นของแถม คืนค่ำแห่งแสงสีและงานเลี้ยงเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับคนชนชั้นสูงในการหาโอกาสเพิ่มคู่ค้าในวงการธุรกิจหรือแม้แต่การอวดศักดินาที่มี
ยิ่งเป็นถ้าเป็นฤดูงานสังคมในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคมแล้วนั้นงานเลี้ยงงานสังสรรค์ต่างๆ นั้นแทบจะจัดได้ไม่เว้นแต่ละวันแต่ละคืน...
ไม่สิ...
ถ้านับบัตรเชิญที่กองเป็นภูเขาเลากาที่ส่งมาหาได้แทบจะทุกสามวินาทีแล้วนั้น
น่าจะเรียกว่าจัดกันแบบไม่บันยะบันยังเลยต่างหากล่ะ!!!
“โว๊ยย! ม่ายอ๊าววว!!!” ริมฝีปากบางแหกเสียงร้องโอดครวญที่บ่งบอกสถานะอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ร่างเล็กๆ ของเด็กชายทั่วตัวเป็นไปด้วยสายวัดระโยงรยางค์จากช่างตัดเสื้อที่ถูกเรียกมาเพื่อจัดการตัดเสื้อสูทตัวใหม่ของคุณหนูตัวน้อยแห่งตระกูลริธที่บัดนี้กำลัง...ทำหน้าบอกบุญไม่รับแบบสุดๆ
“กรุณาทำตัวสงบเสงี่ยมหน่อยสิครับ คุณหนู” ฟราเรสขยับเสียงถอนหายใจในระหว่างจัดการกับบัตรเชิญที่กองกันอย่างส่งเดชบนโต๊ะ “ถึงแม้ว่าเรื่องเครื่องแต่งกายของบุรุษจะไม่จำเป็นจะต้องหรูหรางดงามเท่ากับเหล่าสุภาพสตรีแต่ก็ใช่ว่าจะแต่งตัวยังไงก็ได้ออกงานสังคมนะครับ”
“ใครว่าฉันอยากไปเล่า!” ซาคัสกระแทกเสียงใส่ขณะที่ช่างตัดเสื้อวัยกลางคนร่างเล็กมาก...จนเหมือนคนแคระจะจัดการปักเข็มหมุดทาบขนาดแขนเสื้อสูทตัวนอก “ทั้งน่าเบื่อแถมยังรำคาญเสียงวี๊ดว้ายของเหล่าคุณหนูทั้งหลายแหล่ที่ถูกพ่อแม่สั่งให้เข้ามาตีสนิทกับฉันใจจะขาด...อยากรู้ชะมัดถ้านามสกุลฉันไม่ใช่ [ริธ] เนี่ยจะเป็นยังไง”
ฟราเรสขยับเสียงถอนหายใจยาว
ริธ คือหนึ่งในสี่ตระกูลขุนนางชั้นสูงซึ่งมีถิ่นฐานดั้งเดิมจากประเทศอิตาลีนอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของเครือบริษัทต่างๆ มากมายที่ประสบความสำเร็จสร้างรายได้งดงามนับไม่ถ้วนทั้งในประเทศเดิมหรือแม้แต่ในอังกฤษเองก็ตาม
และด้วยความที่พร้อมสรรพทั้งฐานันดรและความมั่งคลั่งจึงไม่แปลกใจเลยหากตระกูลริธที่เป็นชาวต่างชาติจะมีชื่อเสียงในวงสังคมขั้นสูงไม่แพ้ตระกูลชนชั้นขุนนางของอังกฤษคนไหนๆ
ซ้ำบุตรชายคนโตของผู้นำตระกูลคนปัจจุบันยังมียศศักดิ์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากจากองค์ราชินีที่ทำให้เข้าไปนั่งในสภาขุนนางอังกฤษได้อย่างสบาย
สัญลักษณ์อีกาสีดำสนิทที่ผงาดอยู่บนตราประจำตระกูลนั้นบ่งบอกได้ดีถึงความเป็นมหาอำนาจที่ไม่มีใครไม่รู้จักอีกทั้ง...
ยังเป็นบ่วงที่คอยคล้องคอของผู้นำตระกูลทุกๆ รุ่น
และเด็กชายตรงหน้านี้...ก็คือว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไป
บุตรชายที่เกิดจากภรรยาคนแรกของท่าน อควอร์ดิธ ริธ ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน
“นี่...ฟราเรส” น้ำเสียงจากเด็กชายกล่าวเรียกก่อนที่นัยน์ตาสีเขียวมรกตจะละความสนใจจากการมัดกองบัตรเชิญปึกเบ้อเร้อให้เรียบร้อย “เสร็จแล้วนะ”
“ครับ...ขอบพระคุณมากครับ” ชายหนุ่มรับก่อนจะโค้งตัวเป็นเชิงลาช่างตัดเสื้อที่จัดการวัดตัวเสร็จด้วยท่าทางที่เหนื่อยอ่อนเพราะการต่อต้านของคนถูกวัดตัว ถึงแม้จะไม่ได้แสดงอาการออกมาทางกายภาพแต่แค่เห็นหน้าที่พร้อมพุ่งจกตับทุกเมื่อเป็นใครก็ผวา
ซาคัสสาวเท้ายาวๆเดินไปทางหลังโต๊ะแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานนุ่มๆ ปลายนิ้วเรียวเล็กเขี่ยกองบัตรเชิญไปมาด้วยท่าทางเหมือนเป็นของที่ไม่ควรจะสัมผัส...ทั้งๆ ที่ช่วงงานสังคมก็จบลงไปแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังจะอุตส่าห์ส่งมาได้อีก คนพวกนี้ในหัวมีแต่เรื่องแบบนี้เหรอไงกัน
“เอามันไปเผาทิ้งเถอะฟราเรส เห็นแล้วปวดใจ”
“ไม่ ได้ ครับ!” ฟราเรสย้ำน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาสีเขียวใสมองดูหน้ามุ่ยๆ ของเจ้านายน้อยแล้วลอบขำ “ทั้งๆ ที่ช่วงงานสังคมคุณหนูน่าจะเลือกไปอย่างน้อยสักสี่หรือห้างานแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมเลือกออกไปสักงาน...รู้ตัวไหมครับว่าคุณน่ะพลาดโอกาสในการสร้างหุ้นส่วนให้กับบริษัทไปมากเลยนะครับ” ปึกบัตรเชิญนับร้อยถูกกระแทกวางลงกับโต๊ะทันทีที่พูดจบ เจ้าของดวงตาสีไพลินมองแล้วเบ้ปาก
ฉันก็แค่รับหน้าที่ดูแลสาขาย่อยที่อังกฤษเองนะ
“ถึงช่วงงานสังคมจะหมดลงแล้ว...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้เบี้ยวง่ายๆ หรอกนะครับ”
เสียงหัวเราะหึๆ ดังออกมาจากในลำคอ
“หวังว่าคงจะเข้าใจนะครับ” ฟราเรสพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำที่ทำเอาคนฟังขนลุกเกลียว ซาคัสขยับเสียงถอนหายใจยาวก่อนจะเอื้อมมือรับปึกบัตรเชิญแล้วแกะมันออกมาลิตส์รายชื่ออย่างเสียไม่ได้
“วิสเคาท์สติลสัน มาดามโซรี บารอนโมทาธ...” และแน่นอนว่าลิตส์ที่กล่าวมานี้คือลิตส์รายชื่อปฏิเสธด้วยกันทั้งสิ้น น้ำเสียงเล็กๆ ร่ายชื่อของเจ้าของบัตรเชิญที่สุดแสนจะน่าสงสารแล้วโยนมันทิ้งอย่างไร้ใยดี ฟราเรสที่จดบันทึกรายชื่อยิกๆ เงยหน้าขึ้นมา
“รายที่ยี่สิบเจ็ดแล้วนะครับยังไม่มีที่สนใจบ้างเลยเหรอครับ”
“งั้นท่านมาร์ควิสชิวาสนี่ก็ได้” ซาคัสชูบัตรเชิญใบที่ยี่สิบเจ็ดที่กำลังจะคัดทิ้งขึ้นมาแล้วเอ่ยเลือกอย่างส่งๆ เมื่อถูกทัก เจ้าของร่างสูงขยับเสียงถอนหายใจ แล้วจัดการแยกบัตรของมาร์ควิสชิวาสนี่ที่ถูกเลือกขึ้นมาโดยความไม่เต็มใจ...ไม่รู้ว่าควรจะสงสารคนส่งมาดีไหมเนี่ย
“อ๊ะ...” ซาคัสชะงักเล็กน้อยเมื่อถึงซองจดหมายซองหนึ่งที่ปะปนอยู่ ฝ่ามือเล็กๆ สั่นเทาเมื่อดวงตาสีไพลินเหลือบเห็นตราสัญลักษณ์ที่ประทับอยู่ด้านหน้าซองจดหมาย
กางเขนกุหลาบสีเลือด
สาสน์จากเพียวน์
มือน้อยๆ เปิดซองจดหมายอย่างสั่นเทาและเร่งร้อน หลังจากที่ดวงตาสีน้ำเงินไพลินไล่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ซาคัสกระแทกกระดาษแผ่นนั้นลงกับพื้นโต๊ะอย่างรุนแรง ร่างของเด็กชายถลันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงไปทางหน้าต่าง มือเกาะกุมผ้าม่าน
“คุณหนู?” ฟราเรสเอ่ยพึมพำเสียแผ่วอย่างเป็นห่วงในท่าทีที่ผิดแผกออกไป ดวงตาสีมรกตเป็นประกายครุ่นคิด...หากเป็นสาสน์ของเพียวน์แล้วล่ะก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีๆ อย่างชวนไปงานเลี้ยงน้ำชายามบ่ายแน่
“ฟราเรส จัดการเก็บของ...เราจะเข้าตัวเมืองลอนดอนทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นวันพรุ่งนี้” ซาคัสเอ่ยออกคำสั่ง ริมฝีปากบางสั่นระริก มือจิกลงกับผ้าม่าน ดวงหน้าอ่อนเยาว์เบือนหน้าหันมาแล้วขยับยิ้ม “พรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงน้ำชาของสี่ขุนนางน่ะ”
งานเลี้ยงน้ำชาของสี่ขุนนาง...
การประชุมลับของเหล่าขุนนางทั้งสี่ผู้ก่อตั้งองค์กรเพียวน์
“ครับ” ฟราเรสกล่าวหนักแน่น หากแต่ในดวงตายังคงแสดงความเป็นห่วงใย...ทุกครั้งที่ได้รับจดหมายที่ส่งมาจากเพียวน์นายท่านตัวน้อยของเขามักจะแสดงอาการลนลานอย่างที่ไม่เคยเป็น ราวกับรับถึงความกลัวบางอย่างที่เกาะกุม...
เพราะความรู้สึกที่มีต่อเธอคนนั้นสินะ
“แล้วก็นะฟาส” ซาคัสเอ่ยเสียงแผ่วหากแต่คนรับใช้ส่วนตัวก็รับรู้ดีถึงคำพูด “อาฟเตอร์นูนทีขอเป็นชาคลีมุนกับเบอร์รี่ทาร์ตนะ”
ฟราเรสขยับยิ้มก่อนที่เรือนร่างสูงโปร่งจะโค้งรับอย่างสุดตัว
“ทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณพูดครับ...มายมาสเตอร์”
เสียงควบของรถม้าท่ามกลางเมืองลอนลอนที่พลุกพล่านด้วยผู้คน หากแต่ดวงตาสีน้ำเงินไพลินที่ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างนั้นจะไม่ใคร่เห็นถึงความสนใจที่ปรากฏอยู่ ซาคัสเอนศีรษะลงพิงกับกระจกใสข้างตัว ลมหายใจแผ่วเบาพวยพ่นออกมา
เหตุผลที่เขามาอยู่อังกฤษโดยลำพังทั้งๆ ที่บ้านใหญ่ของตระกูลริธอยู่ที่อิตาลีนั้นไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่ในการดูแลกิจการบริษัทสาขาย่อยในอังกฤษเพียงอย่างเดียว...
เพราะเหตุผลใหญ่ๆนั้นอยู่กับเพียวน์ องค์กรปรามปรามสิ่งผิดกฎหมายและพวกนอกรีตขึ้นตรงกับรัฐ องค์กรที่จัดตั้งไปทั่วโลกโดยมีอังกฤษเป็นศูนย์กลาง...และก่อตั้งขึ้นโดยสี่ขุนนางใหญ่ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก
อลูคาร์ด
เซเรนทิคส์
อัสเทียร์
แล้วก็...
ริธ
และหน้าที่ของเขาซึ่งถึงจะเป็นเพียงแค่ว่าที่ผู้นำแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ...คือการจับตาดูไม่ให้อีกสามขุนนางใหญ่ที่เหลือนั้นก้าวล้ำต่อริธ
คือหน้าที่ที่เธอคนนั้น...มอบหมายให้กับเรา
ฝ่ามือเล็กวางลงบนเข็มกลัดสลักลายกางเขนกุหลาบเหนืออกด้านซ้ายอันเป็นตราสัญลักษณ์ของเพียวน์ที่ประดับบนเสื้อเครื่องแบบ
องค์กรปราบปรามสิ่งผิดกฎหมายและพวกนอกรีต...งั้นเหรอ
ถ้ามันเป็นแค่นั้นก็ดีสิ...
รถม้ากระตุกเล็กน้อยก่อนจะจอดสนิทเทียบหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่อยู่ใจกลางเมือง คฤหาสน์สีขาวสะอาดสไตล์โรมหรูหราที่ไม่ค่อยมีใครปลูกสร้างในย่านผู้ดีแห่งนี้จนน่าจะเรียกว่าไม่มีเลย
หากแต่ที่โดนเด่นเหนือกว่าการออกแบบชนิดแปลกกว่าชาวบ้านชาวช่องนั้นกลับเป็นสวนกุหลาบสีแดงที่เบ่งบานอยู่รอบๆ นี้มากกว่า...
เพราะกุหลาบสีแดงเลือดที่บานตลอดทั้งปีนี้ทำให้คฤหาสน์ของริธใจกลางลอนดอนแห่งนี้ถูกขนานนามเรียกว่า คฤหาสน์ ‘คริมสัน โรส’ไปอย่างช่วยไม่ได้
ประตูรถม้าเปิดพร้อมกับมือของฟราเรสยื่นออกมารับและดึงตัวคุณหนูร่างเล็กออกมาจากตัวรถ ทันทีที่ฝ่าเท้าแตะกับพื้นดวงตาสีน้ำเงินไพลินมองคฤหาสน์หลังใหญ่ของตัวเองแล้วทำหน้าแบบเซ็งแบบสุดขีดจนคนเป็นพ่อบ้านส่วนตัวถึงกับเลิกคิ้ว
“ไม่ได้มาพักที่คฤหาสน์หลังนี้ตั้งนานแล้วสินะครับ” ชายหนุ่มลอบยิ้มพลางมองดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่มุ่ยลงราวกับลูกหมาโดนน้ำฝนหยดใส่หน้า ร่างสูงก้าวเดินนำเพื่อจัดการเปิดบานประตูรั้วหน้าคฤหาสน์ “แต่ก็ไม่เห็นจะต้องทำหน้าตาคิดถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
“อึก...” ซาคัสสะอึกเมื่อเจ้าพ่อบ้านตัวดีดันพูดแทงใจเข้าเต็มก่อนร่างเล็กจะสาวเท้าเดินดุ่มๆ เข้าไปในตัวคฤหาสน์ที่ ‘สุดแสนจะคิดถึง’ อย่างคนไม่อยากจะพูดเพราะพูดไม่ออก
ดวงตาสีมรกตทอดมองร่างเล็กเดินสาวเท้ายาวๆ อย่างคนไม่พอใจแล้วลอบหัวเราะเพราะหลังจากการประชุมที่เพียวน์เสร็จแล้วนั้นคุณหนูของเขาก็เล่นไม่ยอมพูดอะไรอีกเลยจนมาถึงหน้าคฤหาสน์ทั้งที่ปรกติจะต้องบ่นนั่นบ่นนี่
“พอเห็นเป็นอย่างนี้ก็ค่อยโล่งใจหน่อย”
พูดกับตัวเองคนเดียวพร้อมกับฝ่ามือเลื่อนปิดประตูเหล็กที่ส่งเสียงดังเบาๆ
[กริ๊ก]
“ประชุมกับพวกผู้ใหญ่มาคงจะเหนื่อย...เดี๋ยวผมจะรีบไปชงชามาให้นะครับ” เสียงนุ่มเอ่ยพร้อมกับร่างอ่อนเยาว์ของซาคัสที่ทิ้งตัวจนเหมือนกระโดดลงกับโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน มือเล็กทิ้งปึกเอกสารกองหนาก่อนจะเริ่มจัดการแงะเครื่องแบบที่สุดแสนจะหนา หนัก และร้อนของเพียวน์ออกแทบจะทันที
“ที่จะเหนื่อยก็มีแต่เจ้าบ้านของเซเรทิคส์มากกว่า...หมอนั่นน่ะเขม่นฉันอย่างออกนอกหน้าเลยล่ะ” ซาคัสว่าก่อนจะเอนตัวลงพิงกับโซฟาแล้วไถลลงด้วยท่าทางกึ่งนั่งกึ่งนอน “ส่วนคนอื่นก็พอรับมือไหวเพราะถึงยังไงกับคุณครอล์ก็รู้จักกันแต่เด็ก”
“หมายถึงท่านครอล์เจ้าบ้านตระกูลอัสเทียร์สินะครับ” ฟราเรสก่อนจะยกชาพร้อมคอร์นมิลค์เค้กที่เป็นของหวานลงบนโต๊ะด้านหน้าโซฟา
“กริยาแบบนั้นไม่งามเลยนะครับ” พูดเมื่อเห็นท่าไถลกึ่งนั่งนอนของซาคัสจนเจ้าตัวต้องยันตัวเองขึ้นนั่งท่าปรกติเพราะขี้เกียจจะฟังเสียงบ่นของฟราเรส มือเรียวเอื้อมหยิบน้ำชาอุ่นขึ้นจ่อจรดกับริมฝีปากเบาๆ รับถึงกลิ่นหอมที่ออกมาจากวิธีการชงอย่างมืออาชีพ
“ภารกิจของการประชุมครั้งนี้ล่ะครับ?” ไม่รีรอเวลาที่จะปล่อยเลยไปอย่างไร้ค่า ฟราเรสเอ่ยถามถึงงาน...หน้าที่...ภารกิจที่นายน้อยของตัวเองต้องรับเพราะมันเป็นอย่างนี้ในทุกครั้งเมื่อเกิดการประชุมของสี่ขุนนางผู้ก่อตั้งเพียวน์
“เดอะ ริบเปอร์” น้ำเสียงเล็กเอ่ยสั้นๆ ดวงตาสีไพลินปิดลงอย่างแผ่วเบา สองมือประสานด้านหน้าตักพยายามผ่อนคลายตัวเอง
“แจ็ค เดอะ ริบเปอร์”
ฟราเรสสะดุ้งตัวเล็กน้อย ดวงหน้าคมคายที่มองได้แต่เพียงใบหน้าด้านหลังของเจ้านายนั้น...ไม่อาจรับรู้ถึงความคิดที่คิดอยู่ได้เลย
“คุณหนูครับหรือว่า...”
“ก็ไอ้หรือว่าของนายน่ะแหละ” ซาคัสว่าพลางขยับเสียงถอนหายใจยาว “ฆาตกรที่ทางการอยากได้ตัวแบบสุดๆ แต่ดันทำไม่ได้จนต้องมาพึ่งให้เพียวน์จัดการไง”
ก่อนจะว่าอะไรต่อมือเล็กก็ชิงกองเอกสารของทางสำนักงานใหญ่มาจากมือของฟราเรสที่กำลังจะหยิบไปรายงานเป็นเชิงว่า ‘ฉันอ่านเองได้’ ดวงตาสีน้ำเงินไพลินไล่อ่านตัวหนังสือทั้งแบบพิมพ์และแบบลายมือในแฟ้มเอกสารทั้งหมดก่อนจะเบือนหน้าหนีเมื่อพบเห็นรูปสภาพการตายของศพทั้งๆ ที่เห็นมาจากตอนได้รับครั้งแรกแล้วก็ตาม
แต่ยิ่งเห็นก็ยิ่งชวนสยอง
คอเกือบขาดหลุดออกจากบ่าหันไปในทิศทางไม่เข้ารูป เลือดไหลซึมจากรอยฉีกขาดจากลำคอกว้างถึงใบหู ดวงตาเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา ใบหน้าบิดเบี้ยวและเขียวคล้ำและมีเลือดไหลออกจากหน้าท้องของร่างกายที่ถูกสับเป็นชิ้นๆ แทบไม่เหลือเค้าพอจะดูเป็นคน
เป็นร่างที่นอนตายจมกองเลือดได้อย่างเวทนาที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาทั้งชีวิต
“เหยื่อรายแรก แมรี่ แอน นิโคล ตามประวัติบอกว่าหล่อนเกิดวันที่ 26 สิงหา ปี 1845 อายุ 43 ปี มีบุตรต้องเลี้ยงดูกับสามีที่หย่าขาดทั้งหมดทั้งหมดห้าคน โดยการยึดอาชีพเป็นโสเภณียู่ในเขตอีตส์เอนต์...ตรอกไวท์แชพเพล” ซาคัสหรี่เสียงลงเล็กน้อยดวงตาสีน้ำเงินเหลือบมองพ่อบ้างข้างตัว ไวท์แชพเพล...สถานที่ที่พบกับหมอนั่นครั้งแรก
ไวท์แชพเพลเขตอีตส์เอนต์ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่ยากจนที่สุด เสื่อมโทรมที่สุดและน่ารังเกียจที่สุดในสายตาของเหล่าขุนนางผู้ดีจนเรียกว่าเป็นมะเร็งร้ายที่แสนอัปยศบนความยิ่งใหญ่ของลอนดอน
ถึงแม้กับเขามันจะไม่ใช่แต่...ก็ไม่อยากจะกล่าวถึงมัน
เพราะกลัวที่จะทำให้หมอนั่นต้องคิดถึงเรื่องไม่เข้าท่าอีก
“กรุณากล่าวต่อเถอะครับ คุณหนู” เสียงนุ่มเอ่ยอย่างแผ่วเบา...มันช่างเป็นน้ำเสียงที่ไร้ความรู้สึกเจือปนจนไม่อาจคาดเดาในความรู้สึกของคนพูดได้แม้แต่น้อย
ซาคัสนิ่ง ลมหายใจพ่นออกจากริมฝีปากเบาๆ
“จากคำให้การของ ชาร์ล ครอส พนักงานขับรถผู้พบศพคนแรกบอกว่าเวลาราวตีสี่กว่าในระหว่างกำลังจะกลับบ้านนั้นได้พบบางสิ่งนอนอยู่บริเวณทางเดินมีลักษณะคล้ายผ้าห่อหุ้มบางอย่างซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผู้หญิง จึงเรียกโรเบิร์ต พอลเพื่อนพนักงานขับรถมาตรวจสอบห่อผ้าดังกล่าวเพื่อที่จะช่วยเหลือหากหญิงสาวนั้นถูกทำร้ายหรือเมาจนสลบไป”
แว่วยินเสียงพลิกหน้ากระดาษดังในความเงียบกริบ
“แต่เมื่อทั้งคู่พบว่าหญิงสาวในห่อผ้านั้นกลายสภาพเป็นศพไปแล้วนั้นจึงรีบไปแจ้งตำรวจโดยมีจอนห์ นีล เป็นคนรับแจ้งความ” ซาคัสยกชาขึ้นจิบเล็กน้อยแต่สายตายังคงจับจ้องแผ่นกระดาษลายมือนั้นอยู่ไม่ไปไหน
“ส่วนนายแพทย์
เสียงพลิกกระดาษดังขึ้นอีกครั้ง
“ส่วนเหยื่อรายที่สอง แอนนี่ แชปแมน อายุ 47 ปี มีลูกกับสามีด้วยกันสามคน ตามที่ระบุบอกว่าเธอเป็นโรคประสาทอ่อนๆ และนอกจากอาการทางจิตยังมีอาการของโรคพิษสุราเรื้อรังด้วย แน่นอนเลยว่าหล่อนเองเป็นโสเภณีที่ไวท์แชพเพลเช่นเดียวกับแมรี่ นิโคล”
“จากปากคำของจอนห์ เดวิส หมอนั่นบอกว่าลงมาลานหน้าบ้านตอนเวลาตีห้าสี่สิบและได้พบกับศพของแอนนี่ แชปแมนที่นอนตายในสภาพกระโปรงถูกถกถึงเข่าอยู่ที่รั้วหน้าบ้านโดยศีรษะห่างจากบันได้ที่ตนเหยียบอยู่ไม่ถึงหกนิ้ว ใบหน้าเต็มได้ด้วยคราบที่เลือดเจิ่งนองบนพื้นเพราะบาดแผลจากลำคอถูกเชือดจนเหวอะหวะเห็นถึงเส้นเอ็น” ซาคัสเบ้ปากเล็กน้อยแล้วกรอกตาไปมา
“คุณครอล์เล่าให้ฉันฟังด้วยล่ะว่าหมอนั่นกลัวจนหน้าบิดเบี้ยวเต้นแร้งเต้นกาแหกปากร้องจนชาวบ้านหันเป็นไทยมุง...ไม่รู้แฮะว่ามุงดูศพหรืออะไรกันแน่” ซาคัสส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกชาเอิร์ลเกรย์ขึ้นจิบ ได้ยินเสียงกริ๊กของถ้วยที่วางลงกับแก้วรองเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะอ่านรายงานต่อ
“หมอชันสูตรบอกว่าศพได้ถูกฆ่ามาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงและน่าจะเป็นบริเวณลานบ้านของจอนห์ เดวิสเพราะว่าไม่พบรอยเลือดที่ไหน”
ดวงหน้าอ่อนเยาว์เหยเกเล็กน้อยเมื่อมองสภาพศพของหญิงสาว ใบหน้าไร้สีเลือดและลิ้นบวมเป่งเล็ดรอดออกมาจากร่องฟันที่กัดกันแน่น ลำไส้ถูกลากออกมามาวางพาดเหนือไหล่ ช่องท้องถูกแหวกเผยให้เห็นเลือดลิ่มๆ ที่ตกค้างอยู่ภายในร่างกาย...ผ่าจนเห็นได้จะๆ ขนาดอยู่ในรูปว่าอวัยวะภายในหายไปถึงสองในสาม
ว่าภาพนี่หน้ากลัวแล้ว...
แต่ไอ้คนมองที่ปากบอกว่าสยองแต่กลับนั่งจิบชากินเค้กแล้วดูไปพลางได้นี่เขาเรียกว่าอะไร!!!
ว่าไม่ว่าเปล่า มือเล็กๆ ปันกองเอกสารและของที่เกะกะบนโต๊ะลงกับพื้นพรมก่อนจะดึงรูปที่ได้จากสถานที่ออกมาวางเรียงๆ กัน ร่างบางทรุดตัวลงนั้นกับพื้นเพื่อให้มองได้ง่ายขึ้น นัยน์ตาสีน้ำเงินไพลินจ้องมองดูรูปเหล่านั้น ดวงหน้าเยาว์คร่ำเคร่งราวกับกำลังให้ความคิด
“คิดว่าจุดร่วมของคดีสองคดีนี้คืออะไร ฟาส?” ดวงหน้าคมหวานของเด็กชายเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ใกล้แล้วเอ่ยถาม
“เป็นโสเภณีที่อาศัยอยู่ในตรอกไวท์แชพเพล ท้องถูกกรีดคว้านถึงเครื่องในแต่สาเหตุการตายมาจากถูกของมีคมเชือดที่คอสินะครับ” ฟาเรสตอบน้ำเสียงเรียบ ทรุดตัวลงพลางก้มมองดูร่างของเจ้านายที่จดจ่ออยู่กับรูปเหล่าโสเภณีที่ตายอย่างน่าเวทนาจนไม่อาจจะรังเกียจได้ลง
“ถูกต้อง” เสียงเล็กรับคำก่อนที่ร่างของซาคัสจะยืดตัวยืนขึ้นเต็มความสูง ปลายนิ้วเรียวบางจรดชี้ใกล้ดวงหน้าคมเข้มของพ่อบ้านหนุ่ม “แต่มีอย่างหนึ่งที่นายลืมบอกไปอย่างนะ”
ฟราเรสมุ่นคิ้วหากแต่ชั่วครู่ก็คลายลงราวกับนึกออก
“มดลูกไงล่ะ” ซาคัสเฉลยคำตอบนั้น มือเล็กคว้าจานเค้กขึ้นมาก่อนจะจัดการชิ้นเล็กๆ คำสุดท้ายเข้าปากในระหว่างที่สายตายังคงมองดูรูปหลักฐานอยู่ “มดลูกของโสเภณีสองคนนี้ถูกคว้านออกมาอย่าประณีตทั้งๆ ที่การผ่าตัดช่วงบริเวณนั้นยากเกินกว่าคนธรรมดาจะทำให้มันดูดี”
“มันเลยทำให้ฉันคิดว่าเดอะ ริบเปอร์น่าจะมีความรู้เรื่องวิชาการแพทย์และกายภาพมามากพอสมควรเลยล่ะ” ซาคัสว่ามือหนึ่งยื่นจานเค้กให้กับฟราเรสเป็นเชิงบอกว่าขออีกชิ้นส่วนอีกมือก็คว้าเอกสารที่ปัดลงจากโต๊ะขึ้นมา “แถมยังถนัดซ้ายอีกต่างหาก”
ซาคัสที่เพ่งพิจารณารูปศพทั้งสองอย่างถี่ถ้วน...ทิศทางการกรีดของศพและรอยการแหวกคว้านนั้นเป็นแบบทวนเข็มนาฬิกาซึ่งหมายความว่ามือข้างที่ถือมีดอยู่นั้นต้องเป็นข้างซ้าย
“เพราะงั้นผู้ต้องสงสัยที่ทางตำรวจรวบรวมมาทั้งหมดน่าจะตัดอกไปได้เลย ช่างรองเท้าไพเซอร์แล้วก็กุ๊กเฮนรี่เพราะเท่าที่ดูมาสองคนนั้นก็มีหลักฐานที่ชัดเจนอยู่แล้วอีกอย่างทั้งช่างรองเท้าและกุ๊กก็คงไม่มีความรู้ทางการแพทย์ชั้นสูงแบบนี้หรอก”
“แล้วก็ไร้ซึ่งคนที่ถนัดซ้ายในสองผู้ต้องสงสัย” ซาคัสหยิบกระดาษที่ถูกปั้มรอยนิ้วมือซ้ายขวารวมทั้งหมดสิบนิ้วของผู้ต้องสงสัยทั้งสองขึ้นมา “คนเรามักจะใช้มือที่ถนัดในการทำงานอยู่แล้วใช่ไหมล่ะแล้วถ้ายิ่งใช้งานมากก็จะยิ่งด้าน”
ดวงตาสีน้ำเงินไพลินจับจ้องกระดาษปั้มรอยนิ้วมือของผู้ต้องสงสัยทั้งสองที่รอยลึกของเส้นลายนิ้วมือข้างขวานั้น...มีมากกว่าข้างซ้ายอยู่โข
“เพราะรอยนิ้วมือข้างขวาที่ปั้มอยู่บนกระดาษนี่ลึกมากกว่ายิ่งเป็นคนหาเช้ากินค่ำด้วยล่ะก็จะเห็นได้ชัดเลยล่ะ” เด็กชายกล่าวสรุปอย่างฉะฉานจนเหมือนตัดประเด็นพลางให้หลังมือตบเอกสารเบาๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการสรุปแบบนี้เป็นการหักหน้าตำรวจชัดๆ แต่ถ้าเจ้าตัวคิดแบบนี้ซะอย่าง...ยังไงมันก็ถูกเสมอนั่นแหละ
เพราะว่ามันถูกจริงๆ
“แต่ก็ได้เบาะแสมาแค่มีความรู้ด้านการแพทย์กับถนัดซ้ายเท่านั้นเองสินะครับ” ฟราเรสเอ่ยน้ำเสียงขุ่นพลางจ้องหน้ามุ่ยๆ เหมือนกำลังขัดใจของผู้เป็นเจ้านาย
“ใช่...” ซาคัสทรุดลงกับโซฟาตัวยาวที่อยู่ชิดกับพนังก่อนจะเอนนอนลงไป ดวงตาสีน้ำเงินไพลินปิดสนิทเพื่อพักสายตา ท่อนแขนเล็กกดปิดทับลงบนเปลือกตาราวกับกำลังครุ่นคิด
“พักผ่อนให้สบายเถอะครับ”ฟราเรสขยับนอยยิ้มแผ่วจาง นัยน์ตาสีมรกตทอดมองร่างเล็กอย่างอ่อนโยนและอบอุ่นอย่างอยากจะหาคำอธิบายใดๆ
ลืมความเหนื่อยล้าทั้งหมดของคุณที่มี...
ทิ้งมันออกจากบ่าเล็กๆ นี้แค่เพียงชั่วครู่เดียวก็ยังดี
แล้วลืมตาตื่นอีกครั้งเพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเถอะครับ
มาสเตอร์คนสำคัญของผม...
...อก
เสียงดังแว่วห่าง...ช่างไกลแสนไกลผ่านหยดน้ำหยดเล็กที่รินหยดลงมาจากที่สูงร่วงหล่นลงบ่นแอ่งน้ำใหญ่...ราวกับถูกสะท้อนจากสายน้ำที่ไม่อาจตัดขาด
ก๊อก...
ใกล้เข้ามาเรื่อยเรื่อยๆ
“หือ?” เสียงครางเบาๆ ออกมาจากในลำคอราวกับเพิ่งรู้สึกตัว ดวงไพลินมณีสีน้ำเงินขุ่นมัวเล็กน้อยอย่างสติไม่เข้าที่เข้าทาง
ก๊อก ๆๆๆ
“เฮ้ย!?” ร่างเล็กทะลึ่งลุกขึ้นพรวดพราดจากโซฟาที่นอนอยู่จนผ้าห่มสีขาวสะอาดไถลลงมากองกับพื้นด้านล่างด้วยเสียงเคาะอันดังสนั่นลั่นของอะไรสักอย่างจรดฟาดเข้ามากับประตูหน้าบ้านที่ทำจากไม้เนื้อดีอย่าไร้ซึ่งความปราณีสักนิด
“ขอโทษนะคร้าบ...มีคนอยู่ไหมคร้าบ...” น้ำเสียงตะโกนลากยาวที่ฟังดูแล้วเหมือนมีอะไรมาวี่ๆ จนน่ารำคาญ ซาคัสกระโดดลงจากโซฟายาวในห้องรับแขกด้านล่างก่อนจะตรงไปทางประตูที่กำลังถูกเคาะอย่างทารุณพอๆ กับเสียงเรียกที่น่าเอาฝ่าเท้ากระหวัดอุดปากคนพูด
“ดูท่าเสียงจะเบาไปแฮะ” น้ำเสียงนุ่มพูดกับตัวเอง ฝ่ามือที่สวมทับด้วยถุงมือกำแน่นขึ้นลมหายใจจำนวนมาสูดเข้าปอดผ่านทางปาก
“มีคน...”
ปัง!!!
“โอ๊ยยย!!!”
และยังไม่ทันที่จะได้พูดจนจบทุกคำทุกประโยคประตูไม้เนื้อหนาบานเขื่องก็เปิดกระแทกเข้าจังๆ กลางแสกหน้าอย่างรุนแรงขนาดทำให้จุกจนพูดไม่ออกได้ เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนทรุดตัวลงกับพื้นด้านหน้า มือกุมศีรษะเจ็บจนพูดอะไรไม่ออก
“มีธุระอะไร” ร่างเล็กๆ ของเด็กชายอายุราวสิบสองเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทื่อๆ และใบหน้าที่ตายด้านไร้ความรู้สึกสุดๆ ทั้งที่ตัวเองเพิ่งจะเอาประตูไปจามหัวชาวบ้านชาวช่องมาหยกๆ ไม่คิดจะอยากเอ่ยปากขอโทษกันสักคำเลยเหรอ
“อ่า...หนู...ช่วยตามเจ้าของบ้านหลังนี้มาให้หน่อยได้ไหม?” ร่างที่จัดว่าไม่เชิงสูงแต่ก็สูงกว่าเขาอยู่โขลุกขึ้นยืนหลังจากรวมสติและขวัญที่กระเจิงไปไกลให้กลับมาเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเอ็นดู...ในแบบที่คนฟังเกลียดที่สุด!!!
“ฉันไม่ใช่เด็กที่นายจะมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานแบบนั้นนะ! ” ซาคัสตวาดอย่างอารมณ์เสียเพราะด้วยความที่การเคาะประอัตราความเร็วสิบสี่ครั้งต่อหนึ่งวินาทีของเจ้าคนผมน้ำตาลตรงหน้านี่มันขัดจังหวะการนอนขอเขา
“จ...ใจร้าย” เสียงนุ่มๆ สั่นเครือก่อนคนมาใหม่จะทำหน้าเหยราวกับเด็กสามขวบที่กำลังร้องไห้เพราะถูกดึงลูกกวาดแท่งรสยี่ร่าที่สุดแสนจะไม่อร่อยออกมาจากปาก
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับคุณหนู” ร่างของพ่อบ้านหนุ่มในสภาพพับแขนเสื้อและสวมถุงมือกับกรรไกรทำสวนโผล่เข้ามาขัดจังหวะหรือควรจะเรียกว่ามาเป็นตัวช่วยที่เยี่ยมยอดหรืออย่างไรก็ไม่ทราบของเจ้านายตัวน้อยที่แปรสภาพเป็นภูเขาไปกำลังจะระเบิดอยู่ร่อมร่อกับ...
ดวงตาสองคู่ที่เพ่งพิศมองเครื่องแบบที่เด็ก...ชายหนุ่มสวมใสแล้วแอบไม่เชื่อสายตา
สก็อตแลนด์ ยาร์ดหนุ่ม...?
“ผมชื่อ วิลเลี่ยมครับ ปัจจุบันนี้ก็อายุยี่สิบสามปีเป็นตำรวจสันติบาลที่ทางกรมส่งตัวมาช่วยท่านเอิร์ลซาคัส ริธ ทำการสืบคดี แจ็ค เดอะ ริบเปอร์ครับ!” วิลเลี่ยมทำท่าเคารพกล่าวพูดอย่างแข็งขัน เขาเป็นชายสูงร้อยเจ็ดสิบสองที่จะเรียกว่าสูงก็สูงแต่เมื่อเทียบปัจจัยรอบๆ ตัวแล้วทำให้ไม่รู้สึกว่าจะสูงตามส่วนสูงเลยสักนิด เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนประเคลียบ่ากับดวงตาสีดำขลับใสแป๋วบ่องแบ๊วราวกับลูกแก้ว
อีกทั้งยังใบหน้าและท่าทางที่ดูยังไงก็เหมือนเด็กอายุสิบห้ามากกว่าจะอายุยี่สิบสาม!!!
ว่าแต่ทำไมมันต้องรายงานอายุด้วยละวะเฮ้ย!
หรือเพราะน่าอ่อนเกินจนเขาไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นตำรวจสันติบาล?
“เชิญนั่งก่อนครับ มิสเตอร์วิลเลี่ยม” ฟราเรสผายมือไปยังโซฟาเป็นเชิงให้วิลเลี่ยมนั่ง “ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงนะครับที่ออกไปต้อนรับช้า...เผอิญกระผมกำลังจัดแจงสวนกุหลาบรอบคฤหาสน์อยู่น่ะครับ” น้ำเสียงนุ่มพูดอย่างสุภาพและนิ่มนวลในระหว่างที่ประคองกาน้ำชารินใส่ถ้วยเครื่องชามีราคาอย่างเบามือ
เชื่อหรือไม่ว่าสองคนนี้อายุเท่ากัน!
“แต่ตอนแรกผมก็ใจหมดเลยนะครับ...นึกว่าจะไม่มีใครอยู่บ้านซะอีก” วิลเลี่ยมว่าก่อนจะรับถ้วยน้ำชาจากฟาเรสมาดื่ม “ทั้งเคาะแล้วทั้งตะโกนแล้วก็ไม่มีใครได้ยินเลย”
“อ่อ...ประตูนั่นน่ะเหรอ” ซาตัสพูดน้ำเสียงยางคางปลายนิ้วมือเรียวยาวชี้ไปที่ประตูบานที่วิลเลี่ยมเปิดรับให้วิลเลี่ยม
“นั่นมันประตูหลัง” น้ำเสียงเล็กพูดเหนื่อยๆ ก่อนจะยกน้ำชาขึ้นจิบโดยไม่สนใจว่าพ่อสก็อตแลนด์ ยาร์ดหนุ่มจะทำหน้าเหมือนมีอะไรบางอย่างพุ่งแหวกแสกหวางกลางอากาศลงมาปักบนศีรษะแบบเต็มเหนี่ยวสมนาคุณซื้อหนึ่งแถมเป็นแพ็กเกจ
ประตูหลัง...คงไม่มีบ้านไหนเปิดรับแขกทางประตูหลังหนู่แล้วล่ะนะ
“ข...ขอโทษ...ครับ...” เสียงของวิลเลี่ยมดูไร้เรี่ยวแรงก่อนจะไถลหน้าลงกับพื้นราวกับไร้กระดูกยึดเหนี่ยว ดวงตาสีน้ำเงินเข้มลอบมองระหว่ายกน้ำชาขึ้นดื่มแล้วยิ้ม
เจ้าหมอนี่ตลกดีแฮะ
“แต่ก็ดีจังเลยนะครับที่คุณซาคัสอุตส่าห์ออกมาต้อนรับเอง” วิลเลี่ยมขยับยิ้มใสซื่ออย่างปลาบปลื้มใจทั้งคุณหนูที่ใจดีและพ่อบ้านที่ดูเป็นผู้ใหญ่...นี่เขาได้ทำงานร่วมกับคนดีๆ สินะ
โธ่...พ่อวิลเลี่ยมคนซื่อนายน่ะหารู้ไม่เลยนะว่า...
คนรับใช้คนนี้ทำสวนอยู่ด้านหน้าตอนนายเคาะเรียกตั้งนานเพิ่งจะมารับรู้ก็เอาตอนได้ยินเสียงของเจ้านายพูด
กับคุณหนูที่เปิดประตูออกมาต้อนรับนายตอนนั้นกำลังคิดอยากจะเอาพระบาทยัดปากนายข้อหามารบกวนการนอนน่ะ
วิลเลี่ยม...นายนี่มันน่าสงสารโคตรๆ
“แล้วมีธุระอะไรล่ะ วิลล์?” ซาคัสเอ่ยถามสก็อตแลนด์ ยาร์ต คนซื่อโดยตั้งชื่อเล่นให้เองเสร็จสรรพแบบไม่ถามเจ้าตัวอีกต่างหาก
“มารายงานความคืบหน้าล่าสุดครับ เหวอ!!” วิลเลี่ยมกล่าวอย่ากระตือรือร้นก่อนที่จะหยิบเอกสารขึ้นมาพร้อมกับที่ทำมันหลุดมือลงไปกองกับพรมในชั่วเสี้ยววินาทีเดียวกัน ซาคัสกระตุกคิ้วหมอนี่คงจะเป็นพวกที่จริงจังกับทุกๆ อย่างแต่มักแสดงออกในท่าทางที่ลนลานบวกกับความซุ่มซ่ามส่วนบุคคลล่ะสิท่า
โอเวอร์แอคทีฟสินะ
ซาคัสคิดอย่างเกือบจะเรื่อยเปื่อยระหว่างที่สายตามองดูฟราเรสที่ลงไปช่วยวิลเลี่ยมเก็บเอกสารที่ปลิวระเนระนาดลงกับพื้น
เสียงตกกระดาษเบาๆ ของวิลเลี่ยมหลังจากลงไปรวบเก็บจนเสร็จ ชายหนุ่มส่งเสียงกระแอมเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าจะเริ่มรายงาน ดวงตาสีดำขลับกวาดมอง...คิดไปเองหรือเปล่าว่าพอเป็นเวลาอย่างนี้พวกพี่ท่านถึงจะเริ่มสนใจกับตัวเขาอย่างจริงๆ จังๆ เนี่ย
“รายงานความคืบหน้าในคดีมิสซิสแอนนี่ แชปแมนหลังจากตรวจพบกระเป๋าถือของหล่อนที่หายไปในที่เกิดเหตุภายในมีซองจดหมายจารึกอักษรย่อเอ็มกับซองใส่ยาแล้วก็แหวนทองเหลืองนอกจากนั้นก็ของกระจุกกระจิกที่พวกผู้หญิงเขาพกกัน” วิลเลี่ยมนิ่งเล็กน้อยก่อนจะทำเสียงจ๋อยๆ
“ที่ผมคิดว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้เลยแม้แต่น้อย”
แล้วเอ็งมาบอกทำเพื่อ!!!
“นี่อย่าทำหน้าเหมือน ‘ผมมาเพื่อที่จะบอกเรื่องแค่นี้’ แบบนั้นสิ” วิลเลี่ยมเป่าลมเข้าปากอย่างขัดใจ...ไอ้ท่าแบบนั้นน่ะยิ่งดูก็ยิ่งไม่เหมือนคนอายุยี่สิบสามเข้าไปใหญ่เลยนะเฟ้ย!!!
ฝ่ามือเรียวเล็กภายใต้ถุงมือหยิบแหวนทองเหลืองวงบางซึ่งเป็นหนึ่งในของที่พบในกระเป๋าถือของแอนนี่ แชปแมนที่วิลเลี่ยมเอาออกมาวางบนโต๊ะเพื่อทำการตรวจสอบ ดวงตาสีน้ำเงินไพลินจับจ้องของในมืออย่างพิจารณา
แหวนทองเหลืองวงบางเมื่อคลำเบาๆ จะพบกับรอยขรุขระของตัวสลักอักษรย่อ Anny ที่จางจนแทบจะเลือนหายไปตามสภาพจารึกอยู่บนแหวน
“จาก คำว่า Anny ที่เป็นชื่อของหล่อนสินะ” ดวงไพลินสีน้ำเงินรี่เพ่งมองตัวอักษรที่ปรากฏบนแหวนให้ละเอียดหากแต่เพราะดูไปก็ไม่พบอะไรที่สำคัญกับคดีจึงวางแหวนวงนั้นลงบนโต๊ะตามเดิม...รู้สึกสะกิดใจอย่างบอกไม่ถูก
เพราะลางสังหรณ์หรือไงกันนะ?
ซองสีน้ำตาลบรรจุยาซึ่งอดีตเคยเป็นซองจดหมายถูกหยิบขึ้นมาแล้วเทของที่อยู่ภายในลงมา พบยาเม็ดสี่ห้าชนิดที่ปะปนกันมั่วอยู่ภายใน ซาคัสเลือกเม็ดยาที่ไม่ซ้ำชนิดกันในซองออกมาวางไว้ในมือ นัยน์ตาคู่สีน้ำเงินเพ่งมองยาอย่างวิเคราะห์
“ยารักษาโรคที่เกิดขึ้นในปอดกับเยื่อบุสมองอักเสบ” เด็กชายเอ่ยกล่าวทันทีแล้วกรอกเม็ดยาลงไปในซองตามเดิม “งั้นแสดงว่านอกจากโรคประสาทและพิษสุราเรื้อรังแล้วยังเป็นโรคปอดกับเยื่อสมองอักเสบด้วยสินะ”
“ยอดเลย...แค่มองก็รู้แล้ว” วิลเลี่ยมเอ่ยกล่าวอย่างทึ่งๆ ดวงตากลมๆ สีดำขลับเป็นประกายใสอย่างชื่นชมสุดหัวใจ “คุณซาคัสยอดไปเลย ทำได้ยังไงนะครับ!!!” น้ำเสียงตื่นเต้นซะไม่มีล่ะ
“กลิ่นกับสี” เด็กชายโยนซองยาลงกับโต๊ะด้วยสีหน้าราวกับครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะหยิบซองสีน้ำตาลอีกซองขึ้นมา...ซองจดหมายที่จ่าหน้าซองด้วยตัวอักษรเอ็ม “เมื่อก่อนฉันเคยเรียนเภสัชเบื้องต้นมาก็เลยรู้วิธีแยกชนิดของยาน่ะ”
ซาคัสใช้สองนิ้วแหวกปากซอง หลับตาลงหนึ่งข้างเพื่อส่องดูภายในซองอันว่างเปล่าซึ่งอาจจะมีอะไรตกค้างอยู่ เด็กชายถอนใบหน้าออกมือวางใต้ปลายคางอย่างครุ่นคิด...คงไม่มีคนปรกติคนไหนจะพกซองจดหมายเปล่าๆ ใส่กระเป๋าเดินร่อนไปร่อนมาในเมืองหรอก
แต่จะว่าไปหล่อนเป็นคนไม่สมประกอบทางจิตอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!?
ซาคัสสั่นศีรษะแรงๆ จนเส้นผมสีทองพัดสยายตามแรงสั่น
‘ไม่มีประโยชน์ต่อคดี’ ท่าจะจริงแฮะ
ไปปรึกษา ‘เจ้าหมอนั่น’ ดีไหมนะ
สังเกตได้ชัดว่าเส้นผมสีทองสั่นหนักขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังต่อสู้กับความคิดของตัวเองอยู่...ความคิดเหมือนกับก้าวถอยหลังก็ตกหน้าผาก้าวไปข้างหน้าก็ตกเหว
ไม่ๆๆๆ บ้านของหมอนั่นเป็นสถานที่เดียวเท่านั้นที่จะไม่ไปเหยียบย่างเด็ดขาด
“เอ่อ...คุณหนูครับ” ฟราเรสพึมพำเสียงข้างใบหูที่ทำให้เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินไพลินหลุดออกจากห้วงภวังค์ ซาคัสขยับเสียงถอนหายใจเล็กน้อยอย่างโล่งอกราวกับว่าถ้าพ่อบ้านหนุ่มของเขาเรียกช้ากว่านี้แค่เพียงเล็กน้อยเขาอาจจะกลายเป็นบ้าได้
“คุณหนูกรุณาดูผ้าผืนนี้สิครับ” ฟราเรสยื่นผ้าคล้ายผ้ามัสลินเนื้อหยาบสีฟ้าขุ่นๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในของจากกระเป๋าของแอนนี่ แชปแมน ส่งให้ซาคัส เด็กชายรับผืนผ้ายาวราวสี่สิบถึงห้าสิบนิ้วจากฝ่ามือที่ใหญ่กว่าของพ่อบ้านหนุ่มมาตรวจเช็ค
“หืม...” เสียงเล็กๆ ครางในลำคออย่างแผ่วเบา “ทั้งๆ ที่ดูหยาบหนามอซอขนาดนี้แต่พอจับดูดีๆ แล้วเนื้อดีน่าดูชมเลยแฮะ...เหมือนผ้าที่เอาไว้ผูกเอวของชุดผู้หญิงเลย”
“อือ...จริงๆ ด้วยนะครับ” วิลเลี่ยมที่ยื่นหน้าเข้ามาร่วมอยู่ในวงสนทนา ดวงตาสีดำกลมใสราวกับลูกกวางจับจ้องผ้าในมือของซาคัส “นี่เป็นผ้าที่ใช้สำหรับผูกเอวทบแรกในชุดลำลองของสุภาพตรีครับ...แต่ว่านะถึงจะเป็นผ้าที่ผูกด้านในอย่างนี้ก็เป็นของมีราคาน่าดูชมเลยล่ะครับ”
ซาคัสเหลือบตามองวิลเลี่ยมอย่างไม่เชื่อหู...เหลือเชื่อ! หมอนี้มีประโยชน์กับเขาด้วย!!
“อ๊ะ!เอ่อ...คือผมเคยได้ยินที่ๆ เอ่อ...พวกคุณนายๆ เขาพูดกันน่ะครับ...ไม่มีอะไรหรอก” วิลเลี่ยมพูดบริบทปฏิเสธแบบรวดเดียวพลางโบกมือหลัดๆ ทั้งที่ยังไม่ได้ถามอะไรเลยสัดแอะ ฟังดูน่าสงสัยแต่หน้าซื่อๆ กระเดียดไปทางบื้ออย่างหมอนี้คงไม่มีอะไรแหง
“ก็เหลือแต่หวีกับกระจกที่ฉันดูไงๆ มันก็ไม่เกี่ยวกับคดีสักนิด นอกซะจากว่ามันจะเป็นกระจกของแม่เลี้ยงสโนว์ไวท์” ซาคัสว่าก่อนจะโยนหวีกับกระจกลงกับโต๊ะอย่างไม่ใคร่ใสใจเพราะไม่มีอะไรที่มันน่าสน เด็กชายเอนตัวพิงกับโซฟาอย่างเหนื่อยๆ คล้ายว่ากำลังจะหลับรอบสอง
“แม่เลี้ยงของสโนว์ไวท์?” วิลเลี่ยมพึมพำทวนคำที่เด็กพูดด้วยน้ำเสียงสงสัยระคนจะไม่เข้าใจมุขตลกอันล้ำเลิศเสียจนขำไม่ออกของซาคัสอยู่
เว้นเสียว่า...
จะมีพ่อบ้านแอบหันหลังลอบไปขำโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็นอยู่คนหนึ่ง
“ถ้างั้นผมไปก่อนนะครับ” วิลเลี่ยมเอ่ยคำลาหน้าประตูเมื่อถึงเวลาสมควรกลับ...ทั้งที่จริงก็น่าจะกลับได้ตั้งนานแล้วแต่ติดพันตรงซาคัสซึ่งไม่รู้นึกสนุกยังไงถึงได้ชวนอยู่เล่นหมากรุกต่อและน่าเหลือเชื่อตรงที่เจ้าตัวฝีมือดีขนาดอัตราชนะเจ็ดแพ้เจ็ดกับเซียนหมากรุกอย่างซาคัสกันเลยทีเดียว
เป็นคนที่เห็นหน้าแล้วประมาทไม่ได้เลยจริงๆ
ซาคัสโบกมือลาดวงตาสีน้ำเงินเข้มจับจ้องจนรถม้าที่วิลเลี่ยมโดยสารหายลับไปกับสายตาและเหยียดแขนขึ้นจนสุด
“เป็นคนที่ไร้พิษภัยอย่างถึงขีดสุดเลยแฮะ” ซาคัสว่าพลางส่งเสียงหัวเราะสดใส “ฉันได้คู่มือเล่นหมากรุกดีๆ ไม่แพ้นายแล้วล่ะฟาส”
“เช่นนั้นเหรอครับ” ฟราเรสว่าแล้วยิ้มตมารอยยิ้มและเสียงหัวเราะใสกิ๊กของเจ้านายตัวน้อยราวกับเด็กตัวเล็กที่หาเพื่อนที่ถูกคอได้
“เอาไว้คราวน่าชวนเล่นโป๊กเกอร์กันสามคนดีกว่า” ยังไม่ทันจะสิ้นคำอยู่ๆ หูก็แว่วเสียงรถม้าที่ควบมาจอดอยู่แถวๆ หน้าบ้านพร้อมกับเสียผู้หญิงทุ้มแหบดังเล็ดรอดเข้ามาในหู
“ไม่ได้พบกันเสียนานนะคะ ท่านเอิร์ลริธ”
เดี๋ยวก่อนสิ...เสียงแบบนี้มัน
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มขยับมองอย่างไม่เชื่อสายตา ร่างของหญิงวัยสามสิบย่างสี่สิบในชุดกระโปรงประดับลูกไม้ดำจีบด้วยริบบิ้นสีเขียวอมฟ้า เส้นผมสีดำรวบเป็นมวยตึง ดวงหน้ามีริ้วรอยเล็กน้อยยิ้มอย่างสุภาพแต่กับเขาที่รู้จักกันมาแล้วนั้น...
บอกได้คำเดียวว่าคนๆ นี้ น่ากลัวสุดฤทธิ์!!!
อาจารย์มารยาทและการเต้นรำมือหนึ่งที่มีชื่อเป็นอันดับต้นๆ ในลอนดอน
มาดาม ลอร่า สตีเวนสัน!!
แถมยังมีชื่อในด้านความโหดหินยิ่งกว่ามิสซิสแคทเธอรีนการันตีโดยคนที่เคยถูกสอนมากับมือ!
“มาตรงเวลาเลยนะครับมาดามสตีเวนสัน” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพูดอย่างอารมณ์ดี ดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องนาฬิกาพกในมือที่เข็มสั้นและเข็มยาวชี้ตัวเลขเวลาตรงกับที่นัดกันเอาไว้อย่างพอดีแป๊ะอย่างไม่ขาดและไม่เกินจนน่ากลัว
“แน่นอนค่ะ” เธอว่าพลางส่งสายตามองพ่อบ้านบุคลิคดีของบ้านริธอย่างชื่นชมก่อนจะเบนสายตามองร่างเล็กๆ ของซาคัส ชั่วพริบตาเดียวที่เขาเห็นว่าดวงตาสีฟ้าเป็นประกายแปลกใจแต่...มันก็แค่ชั่วเสี้ยววินาทีเดียวจริงๆ “ท่านเอิร์ลนี่ไม่เปลี่ยนจากเมื่อสองปีก่อนเลยนะคะ...โดยเฉพาะส่วนสูง”
อย่าเน้นย้ำตรงส่วนสูงมากนักจะได้ไหม?
“อ่า...ครับผมมันพวกโตยากน่ะ” ซาคัสทำปากเบ้พลางหันขวับจับจ้องฟราเรสอย่างกินเลือดกินเนื้อเมื่อได้สติ...จำไว้เลยนะเจ้าบ้าเอ๊ย!
“ดูท่าจะหย่อนยานเรื่องการเรียนมารยาทน่าดูชม” มาดามสตีเวนสันเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและเย็นเฉียบพอที่จะทำให้ขนลุกได้อย่างไม่ยากเย็น ส่วนซาคัสก็ได้แต่ทำหน้าซีด ครับ...ใช่เลยครับ ผมโดนเรียนวิชานี้ได้ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะสติหลุดพร้อมกับได้ยินเสียงเสียดสีของพรม...เหมือนตัวเองกำลังถูกชายหนุ่มที่ตัวสูงกว่าโขจับมือแล้วลากเข้าไปได้บ้าน
อ๊ากกก!!!
ใครก็ได้ช่วยผมด้วย!!
หลังจากต้องเจอกับคอร์สเข้างานสังคมแบบเจียนตายของมาดามสตีเวนสันที่ฟราเรสเรียกตัวมาอบรมมารยาทความเป็นผู้ดีและการเต้นรำก่อนจะถึงวันที่ ‘จำเป็น’ต้องไปงานเลี้ยงของท่านมาร์ควิสชิวาสนี่แล้วนั้นเล่นเอาไม่เป็นลูกผีลูกคนกันเลยทีเดียว
ว่าก็ว่าเหอะเล่นเอาไอ้ที่เหนื่อยๆ อยู่แล้วยิ่งหืดขึ้นคอกว่าเดิมอีก
ให้เขาไขคดีร้อยคดีให้จบภายในวันเดียวยังจะซะดีกว่าต้องมานั่งเรียนมารยาทและการเต้นรำหนึ่งชั่วโมงตั้งเยอะ
“ท่าทางจะเหนื่อยนะครับ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยพูดระหว่างกำลังจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเจ้านายตัวน้อยที่หน้าเหมือนไปออกวิ่งมารอบลอนดอนตบท้ายด้วยการดื่มนมแทนน้ำ ซาคัสเบ้ปากก่อนสองนิ้วจะจิ้มเข้าหว่างคิ้วของคนเป็นพ่อบ้าน
“ก็เพราะใครกันล่ะ” เด็กชายพูดอย่างหัวเสียในระหว่างที่เสื้อเชิ้ตด้านในถูกเปลี่ยนเป็นชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาวตัวยาวส่วนฟราเรสก็ได้แต่หัวเราะหึๆ ในลำคอแต่ไม่ทันไรใบหน้าหล่อเหลาก็ถูกมือเล็กๆ ของคนตรงหน้าหยิกดึงตรงแก้มอย่างหมั่นไส้
“ไม่ต้องมาทำเป็นหัวเราะเลย” เสียงพ้ออย่างหัวเสียแกมหมั่นไส้ที่คนมองอยากจะหัวเราะอย่างเอ็นดูแต่ก็ทำไม่ได้เพราะแก้มถูกดึงจนจะยืดเป็นกาวแป้งเปียกอยู่รอมร่อ
“ว่าไปแล้วท่าทางมาดามก็คงจะพอใจอยู่” ซาคัสพูดเสียงแผ่วเมื่อเบื่อที่จะหยิกแก้มของเจ้าพ่อบ้านจอมกวนโมโหแล้ว ฝามือหนายกขึ้นสัมผัสข้างแก้มเบาๆ มันเจ็บแปลบจนน้ำตาแทบเล็ดแต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ ฟราเรสขยับมองดวงหน้าเยาว์อย่างสงสัยในคำพูดเมื่อครู่
“ดูก็รู้แล้วน่าว่ามาดามน่ะออกจะ ‘ปลื้ม’ นายเป็นพิเศษเลยนะ แหม...เสน่ห์แรงกับพวกแม่ม่ายจริงนะ พ่อคนเนื้อหอมนี่ล่ะก็” น้ำเสียงเล็กๆ ยกขึ้นสูงอย่าล้อเลียนพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่ทำเอาคนเป็นพ่อบ้านถึงกับเหงื่อตก ดวงหน้าคมเข้มก้มลงกับฝ่ามือตัวเองพลางนวดขมับแรงๆ...ก็ว่าอยู่ทำไมเวลาเดินผ่านเจ้าหล่อนถึงได้รู้สึกเสียวหลังวูบๆ
ซาคัสไถลตัวลงกับเตียงนอนนุ่มอย่างเหนื่อยอ่อนในหลายๆ อย่าง ดวงตาสีน้ำเงินไพลินกระหวัดมองเรืองร่างสูงโปร่งของฟราเรสที่กำลังรูดปิดผ้าม่านข้างเตียงอยู่ เด็กชายกลับตาลงปล่อยให้ความมืดมิดดูดกลืนทิวทัศน์ทั้งหมด
“พรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างไหมนะ”
“หากเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณหนูแล้วล่ะก็จะต้องเป็นเรื่องดีอยู่แล้วครับ” ฟราเรสว่าพลางขยับโคมเทียนที่หัวเตียงมาอยู่ในมือก่อนจะลดม่านของเตียงสีเสาลงครึ่งหนึ่ง
“นั่นสินะ” เสียงแผ่วเบาหลุดพ้นจากริมฝีปาก ดวงตากลมโตหนักอึ้งลงเรื่อยๆ...จนปิดสนิทแว่วเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของแผ่นหลังบางบ่งบอกว่าเจ้าตัวเข้าสู่ห้วงภวังค์ลึก นัยน์ตาสีมรกตมองดูดวงหน้าอ่อนเยาว์ของคนเป็นเจ้านายแล้วขยับยิ้ม
“ทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณพูดครับ...มายมาสเตอร์”
ทิ้งคำพูดไว้เพียงแค่นั้นก่อนบานประตูห้องจะปิดสนิทลงความมืดมิดยามไร้ติกาลรุกคืบเข้ามาใกล้ เหลือเพียงแต่แค่เปลวเทียวไขในมือส่องแสงจางๆ และสั่นไหวระริกราวกับใกล้ดับมอดลง แว่วเสียงเท้าก้าวเดินบนพื้นพรมที่ไกลออกไป
ความคิดเห็น