คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 1 Before Crisisตอนที่ 2 แสงสว่างที่สาดส่องลงมาในความอ่อนโยน(3/3)
เปียโนหลังใหญ่ทำจากไม้เนื้อดีสีดำขลับถูกวางชิดไว้อีกมุมหนึ่งทางซ้ายของแท่นพิธีกรรมส่วนทางฝั่งขวาเป็นประตูห้องสารภาพบาปเครื่องคีตภัณฑ์ที่ขับกล่อมเสียงดนตรีอันไพเราะชวนสนับรับฟัง ชายหนุ่มเลื่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้นุ่มวางมือเบาๆสัมผัสเปียโนอย่างถนุถนอมก่อนจะขยับปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์ บรรเลงรังสรรค์บทเพลงตามโน้ต ราวกลับเป็นเสียงเพราะจากฟากฟ้าประทานลงมาดั่งเสียงพิสุทธิ์ขจัดมลทินในจิตใจ
เสียงร้องไห้ระงมปนเปแปรเปลี่ยนเป็นความสงบเข้าปกคลุมจากปลายนิ้วที่ขับบรรเลงบทเพลง นิ้วเรียวพลิ้วไปตามแป้นโน้ตอย่างชำนาญแม้จะไม่มีเนื้อดนตรีกำกับไว้ ราวกลับเป็นบทเพลงที่คุ้นเคย
บทเพลงที่เขาบรรจงสรรค์สร้างจากถ้อยความคิดทั้งหมดที่มี
เพื่อใครบางคน
ใครบางที่เขาเองก็ไม่อาจจะรู้จัก
บทเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อใครคนนั้นที่เขากำลัง...รอคอย
มวลบุปผาเอย...โปรดโปรยสายธารแห่งความอ่อนโยน
เพื่อส่งมอบความหวังดีนี้ไป
เพื่อส่งมอบความหวังดีนี้ไป
บทเห่กล่อมขับขานแปรเปลี่ยนเป็นเพลงกล่อมเหล่าเด็กน้อยเข้าสู่ห้วงภวังค์พลันหมู่มวลดอกไม้งามโปรยปรายลงมาอย่างไร้จุดกำเนิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ มนต์บทง่ายๆที่ถ่ายทอดความอ่อนโยนจากผู้ใช้ส่งให้กับทุกคนด้วยความหวังดี
ที่แสนอบอุ่นลงสู่อุ้งมือเล็กบอบบาง
“โห
พี่ชายอ๊ะ! ไม่สิพี่บลิทซ์ ยอดเลยอ่ะ” ไลท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชมทันทีที่บทคีตาอันอ่อนโยนขับบรรเลงจนจบ “ พี่เป็นนักเวทย์สายเลือดแท้ใช่ไหม?!” ถ้อยคำฟังดูตื่นเต้นด้วยเพราะตั้งแต่เกิดมาสิบสองปีเด็กชายเองยังไม่เคยพบพานกับผู้ใช้เวทย์มนตร์สายเลือดบริสุทธิ์ที่หาได้ยากในปัจจุบันนี้เลยสักครั้ง
บลิทซ์ที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเบี่ยงจากเปียโนรอยยิ้มบางเบาดูเศร้าสร้อยประดับที่มุมปากก่อนที่ชายสูงศักดิ์จะเริ่มพูด ”ครับ
แต่ถ้ารู้ว่ามาจากไหนบางทีคุณอาจจะรู้สึกไม่ดีกับผมก็ได้
นะครับ” ใช่
ทุกคนที่รู้
ทุกคนที่รู้ว่าเขาเป็นคนของรูน
เป็นประธานสภาสูงสุดของรูน
บางครั้งครั้งท่าทีเป็นมิตรในทีแรกที่มีก็อาจจะ
ไม่สิ! ต้องหายไปอย่างสิ้นเชิง
ปลายของชายผ้าคลุมถูกกระตุกเรียกให้ชายร่างสูงหันไปมองกับร่างเล็กๆของเด็กหญิงวัยสองปีที่เหมือนจะเป็นตัวต้นปัญหาของเรื่องทั้งหมด “หนูให้ค่ะ พี่ชายเปียโน” แองจีล่าขยับรอยยิ้มกว้างก่อนจะส่งมอบดอกไม้ดอกเล็กสีขาวสะอาด บลิทซ์นั่งลงยองชันเข่าข้างหน้าเด็กหญิงตัวน้อยส่งยิ้มบางๆตามรอยยิ้มอันไร้เดียงสา
“ขอบคุณนะครับ” ชายหนุ่มรับดอกไม้เล็กๆอันบอบบางที่แองจีล่าส่งให้ก่อนจะขยับฝ่ามือกว้างลงบนศีรษะไล่ไปตามเรือนเส้นผมอย่างอ่อนโยน
ว่าแต่คำว่า ‘พี่ชายเปียโน’นี่มันหมายถึงเรา
เหรอ?
“ดูท่าจะไปได้สวยเลยนะคะ” เสียงหวานใสดังขึ้นจากด้านหลังนอร์เฟรเซียที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ร้องเปรยขึ้นเบาๆเล่นเอาชายสูงศักดิ์ตกใจจนเกือบปล่อยมือจากดอกไม้งาม หญิงสาวเรือนผมสีแดงพระเพลิงโน้มกายก้มลงมองร่างสูงที่นั่งชันเข่า ก่อนจะขยับปลายนิ้วมือวางระหว่างริมฝีปาก“เอ๋
.ตกใจหรือคะ?”
ครับ
ตกใจ...มากด้วย
ความนึกคิดที่ไม่อาจจะออกจากปากได้บลิทซ์เหยียดกายลุกขึ้นยืนก่อนจะกระตุกมุมปากยิ้มตอบ “ธุระของคุณ เสร็จแล้วเหรอครับ?” ชายหนุ่มเอ่ย นอร์เฟรเซียพยักหน้ารับก่อนที่ผ่ามือบางของเด็กหนุ่มวางลงบนเนื้อไม้สีดำขลับของเปียโนราวกับจะเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะถามเรื่องธุระส่วนตัวกับผู้หญิงมากกว่านี้มันคงจะเสียมารยาทเกินไป “ยังดูใหม่อยู่เลยนะครับ”
“อ้อ!ค่ะ เพราะปีหนึ่งจะให้แค่ไม่กี่เองครั้งอย่างวันคริสต์มาสอะไรแบบนี้ แต่ความจริงแล้วเจ้านี่แก่กว่าฉันซะอีก...มั๊งคะ” นอร์เฟรเซียว่ายิ้มอย่างร่าเริง “แต่เธอเล่นเปียโนเก่งจังเลยนะคะ
.ทำให้ฉันคิดถึงตอนนั้นเลย..” เด็กสาวเอ่ยนัยน์ตาสีฟ้าสะอาดดูเศร้าสร้อยจ้องลึกลงไปยังไพลินสีน้ำเงินเข้ม ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนทีท่าจากเมื่อครู่นี้ทันควันเมื่อรู้ว่าบลิทซ์สัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้น
“จะอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันไหมคะ
วันนี้เป็นครีมสตูล่ะ คุณป้าร้านขายผักเขาให้แครอทอย่างดีมาด้วยค่ะ...ที่นี่อาหารเย็นเริ่มตอนสี่โมงครึ่งค่ะ” นอร์เฟรเซียว่าพลางยกถุงกระดาษที่ห่อแครอทสีส้มไว้หลายหัวก่อนจะเอ่ยซ้ำเมื่อเห็นบลิทซ์ขมวดคิ้วเรียวทำหน้างุ่นงงเพราะตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสามโมง...จะเร็วเกินไปสำหรับอาหารเย็นไหมนะ?
“อ่ะ
เอ่อ ครับ” บลิทซ์พยักหน้ารับ ก่อนที่นอร์เฟรเซียจะเดินเข้าไปในครัวพร้อมกับชายน์เพื่อไปจัดแจงอาหารมื้อเย็น ทิ้งดวงเนตรสีฟ้ายามราตรีหลุบลงต่ำอย่างครุ่นคิด
เมื่อกี๊
ทำไมเธอถึง
“แครอท
ไม่เอานะ” เสียงเล็กของเด็กชายสั่นเครือ ดวงหน้าอ่อนเยาว์ถอดสีเป็นสีขาวราวกับเลือดไม่หล่อเลี้ยง ไลท์ขยับมือยกขึ้นเกาะลำแขนของร่างสูงสง่าเงยหน้ามองด้วยดวงเนตรสีฟ้าที่สะท้อนน้ำตา “พี่ช่วย ไปบอกพี่นอร์ฟทีสิว่าผมไม่กินมื้อเย็น”
บลิทซ์ก้มลงมองร่างเล็กก่อนจะหลุดสรวลเสออกมาอย่างไม่ตั้งใจจนไลท์มองค้อน มือหนาขยับวางลงบทศีรษะของเด็กชาย “ทำไมถึงไม่ชอบแครอทล่ะครับ มันมีประโยนช์นะ” เด็กหนุ่มขยับรอยยิ้มบางให้ไลท์ทั้งที่กำลังกลั้นหัวเราะอยู่ใจแทบขาด
“ผมเป็นคนนะไม่ใช่กระต่าย ทำไมต้องกินแครอทด้วยรสชาติหวานแบบเฟื่อนๆแบบนั้นอร่อยตรงไหนกัน ถึงจะรู้ว่าดีต่อสุขภาพก็เหอะ” ไลท์ยกแขนขึ้นกอดอกท่าทางไม่ค่อยพอใจเท่าไร่ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างกวนประสาท
“ผมน่ะฟังยัยชายน์สารยายแบบพรรณาโวหารเรื่องประโยชน์ของมันจนขึ้นใจแล้วล่ะ” ใช่ทั้งเรื่องของเบต้าเคโรทีนหรือเรื่องวิตามินต่างๆที่เขาจะได้รับหากกระเดือกคู่ปรับตลอดกาลลงคอ
“
หรอครับ?” บลิทซ์รับ ก่อนน้ำเสียงนุ่มจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งเป็นเชิงหยอกเย้า “ประโยชน์ของแครอทเนี่ยมันมีอะไรบ้างล่ะครับ”
“แต่ผมว่า...ถ้าคุณไม่กิน...ก็น่าสงสารคุณแครอทแย่เลยนะ?”
“น่าสงสาร...ยังไงฮะ” ไลท์ทวนคำด้วยความสงสัย ว่าที่บลิทซ์พูดมันหมายความว่ายังไงแค่ฟังยัยหางเปียนั่นบ่นตั้งแต่มื้อเที่ยงที่เขกินค้างไว้ยันจนจะมื้อเย็นแบบนี้เขายังไม่มีความรู้สึกยากจะกินมันเลย
“ก็...”เสียงนุ่มลากเสียงยาวก่อนจะหันมาทางเด็กชายแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ ก็เพราะว่าคุณแครอทน่ะต้องใช้เวลาปลูกราว 3 อาทิตย์ถึงจะเจริญเติบโต คุณคนสวนเขาลำบากมากเลยนะครับกว่าจะปลูกหัวแครอทให้โตถึงขนาดนี้ มัน....ก็เหมือนกับว่าคุณแครอททุกหัวที่คุณเกลียดถูกปลูกถูกคัดด้วยความเพียรพยายามอย่างตั้งใจของคนปลูกเพื่อให้คนทานได้รับประโยชน์จากสารอาหารที่ครบถ้วน...หากคุณไม่ทานแล้วล่ะก็มันก็เท่ากับว่าคุณได้ปฏิเสธความหวังดีของพวกเขานะครับ”
“...แล้วจะไห้ผมทำยังไงล่ะฮะ”ไลท์เอ่ยน้ำเสียเครือดวงหน้าดูซึมสลดอย่างสนิทด้วยสำนึกผิ บลิทซ์ยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะลูบเรือนผมสีดำขลับของเด็กชายอย่างอ่อนโยน
“ก็แค่...ทานมันให้หมดยังไงล่ะครับ”
จากคำพูดง่ายๆที่ใช้หลอกเด็กเพียงประโยคเดียวที่ทำให้เด็กกำพร้าในโบสถ์เซนต์นาซาเรนท์แทบแตกตื่นโกลาหลเมื่อเห็นไลท์กินแครอทในครีมสตูจนหมดโดยไม่บ่นอะไรซักคำ แม้ว่าจะ...กินไปด้วยหน้าประมาณว่ากึ่งจำใจ...
แต่อย่างไรซะก็เห็นถึงความตั้งใจจริงในดวงตาล่ะนะ
“บลิทซ์เนี่ยเก่งจังเลยนะ” นอร์เฟรเซียเอ่ยทอดตามองไลท์กับชายน์ที่เป็นเวรล้างจานในห้องครัวจากนอกชาน บลิทซ์เอียงคอเล็กน้อยด้วยความฉงน ก่อนจะชี้มายังตน “เก่ง?
.ผมเก่งเรื่องอะไรหรือครับ?”
“ก็เรื่องที่ทำให้ไลท์ทานแครอทได้ยังไงล่ะคะ” ฝ่ามือเรียวบางของเด็กสาวเรือนผมสีเพลิงยกขึ้นประกบระดับอก ประดับรอยยิ้มบางพิมพ์อยู่บนใบหน้านวล “ขอบคุณนะคะ” บลิทซ์หลับตานิ่งขับรอยยิ้มประพรมริมมุมปากก่อนจะหลุดสรวลเสเล็กน้อย “ถ้าอย่านั้นผมต้องขอบคุณหมอนั้นอีกต่อสินะครับ ที่เก่งเรื่องหลอกเด็กแบบนี้”
“หมอนั่น?” นอร์เฟรเซียทวนคำน้ำเสียงหวานผสมความสงสัยอยู่ไม่น้อย ดวงเนตรสีครามใสสะท้อนประกายงุนงง
“เพื่อนของผมคนเอ่อ...คนเมื่อวานน่ะครับ” บลิทซ์ตอบสายตาสีผืนฟ้ารัตติทอดไกลไปยังเหล่าดาราน้อยที่ส่องแสงส่งกระพริบระยิบประดับฟ้าก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้นน้ำเสียงเอ่ยเบาบางราวกับไร้น้ำหนักของเสียงที่แสนเหงาหงอย
“เพื่อนแค่เพียงคนเดียว
”
หากแต่ทุกถ้อยทุกคำพูดที่แสนบางเบาของชายหนุ่มนั้นคนฟังกลับสนับได้ยินสู่โสตของหญิงสาวอย่างชัดเจน
แม้เพียงเบาบาง...ก็รับรู้
เพราะเป็นเขา...
“ไม่ใช่หรอกค่ะ” นอร์เฟรเซียเปรยขึ้นก่อนจะเอนหลังพิงกับเสา บลิทซ์หลุบดวงเนตรสีน้ำเงินลงต่ำปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ
ไม่ใช่เหรอ?... นั่นสินะใครจะอยาก...เป็นเพื่อนกับคนแบบเรา
“ไม่ใช่ ‘คนเดียว’ แต่เป็น ‘สองคน’ ต่างหาก อย่าลืมฉันไปสิคะ” เด็กสาวเอ่ยขับรอยยิ้มกว้างอย่างเริงร่าปลายนิ้วยกขึ้นชี้ที่มุมปาก หากแต่ถ้อยคำที่ฟังเป็นมิตรนั้นกลับทำให้คนฟังเจ็บปวดและหวาดกลัวอย่างน่าประหลาดในมิตรภาพนั้น
“อ๊ะ แต่ว่าก็ไม่ใช่แค่สองนี่เนอะแต่ว่าต้องเป็นอีกหลายๆคนเลยเนอะ
” เด็กสาวพูดต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนอดไม่ได้ที่จคดถึงใครบางคน...ที่ดูเหมือนกัน...
บลิทซ์เงยหน้าขึ้นมองนอร์เฟรเซีย ดวงเนตรน้ำเงินไพลินเข้มหรี่ลงพยายามจะขยับมุมปากให้ฝืนยิ้มเพื่อซ่อนความเจ็บปวด
ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยมายาวนาน
จากการตีตนออกห่างจากคนรอบกายที่มองเขาด้วยสายตาแปลกแยก
เมื่อรู้ว่าเขา
คือใคร
...บลิทซ์ อฟอรดีเทร เซเรสเซียร์ ซีซัส...ประธานสภาสูงสุดลำดับที่ 4 ของรูน...
“ที่พูดแบบนั้นเพราะคุณ
คงไม่ทราบสินะครับว่าผม
มาจากที่ไหน” น้ำเสียงขาดห้วงราวกับคนพูดพยายามคุมให้ให้พร่าสั่นเครือหากแต่คนฟังกับเลิกขึ้นขึ้นหนึ่งข้างพลางเอียงคอลงด้วยความงุ่นงงนอร์เฟรเซียดันตัวเองออกจากเสาต้นใหญ่ที่พิงเดินมาใกล้ร่างสูงโปร่ง ดวงหน้าหวานสั่นช้าๆรอยยิ้มบางๆแต่งแต้มริมฝีปากบางชมพู...
“แต่ฉันก็รู้อยู่แล้วนี่คะ ว่าเธอเป็นประธานสภาสูงสุดของรูน เด็กๆทุกคนอย่างไลท์หรือชายน์ก็รู้ ถึงเธอจะไม่ออกสื่อแทบนับครั้งได้แต่ฉันก็ทราบดีค่ะ
.เพราะเป็นเธอ
.”
ฉันรู้ดีนะคะ...ฉันรู้ดี...บลิทซ์ว่าเธอน่ะโดดเดี่ยวแค่ไหน...
“แต่
!” พลันฝ่ามือเรียวบางวางลงบนริมฝีปากอันอ่อนนุ่ม นอร์เฟรเซียจ้องลึกในดวงตาสีเข้ม ค่อยๆสั่นศีรษะ “ไม่มีคำว่า ‘แต่’ ค่ะ ฉันรู้ค่ะว่าเธอก็คือเธอที่เป็นคนธรรมดาเหมือนกับพวกเราทุกคน ใช่ค่ะเพียงแค่คนธรรมดาที่ยืนอยู่บนจุดที่สูงกว่า
มันก็ต้องมีบางคนนั่นแหละที่มองเธออย่างแปลกแยกเพราะว่าเขาเห็นเธอเหมือนกับเป็นสิ่งที่สูงส่ง
และ...น่าเทิดทูน...”
นอร์เฟรเซียนิ่งลงสักพักก่อนจะเลื่อนฝ่ามือลงสัมผัสดวงแก้มของชายหนุ่มตรงหน้าเบาๆ“แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่นะคะ
คนๆนั้นเองก็เหมือนกันเพราะ
เขารู้ถึงตัวตนจริงๆของเธอ...ตัวตนของคนที่ชื่อบลิทซ์ ซีซัส ไม่ใช่บลิทซ์ อฟอรดีเทร เซเรสเซียร์ ซีซัส ผู้นำองค์กรรูนคนปัจจุบัน”
นอร์เฟรเซียก้มหน้าลงนิ่ง นัยน์ตาสีน้ำเจือประกายไหววูบ
“...แต่เพียงแค่เธอกล้าที่จะเปิดใจให้ พวกเราทุกคนพร้อมจะอยู่เคียงข้างเธอ พร้อมที่จะเป็น ‘เพื่อน’ ของเธอค่ะ ฉันสัญญานะคะไม่ว่าจะเมื่อไร่ฉันก็จะขออยู่คียงข้างเธอเสมอ...ไม่ยอมให้เธอเจ็บปวดหรอกค่ะ...ไม่ยอมหรอก”
บลิทซ์มองนอร์เฟรเซียทั้งความทึ่งและความปิติความรู้สึกมากมาต่างๆนานาเขามาผสมปนเปกันจนแยกแทบไม่ออก...ไม่รู้จริงๆว่าเขารู้สึกเช่นไม่รู้
แต่วินาทีนี้เขารู้แค่เพียงแต่
.
ฝ่ามือวางทับลงบนมือบอบบางอย่างเบาๆและถนุถนอมบลิทซ์หลับตาลงขยับรอยยิ้ม
“ขอบคุณ
ครับ”
ดวงหน้าขาวระเรื่อสีแดงน้อย นอร์เฟรเซียชักมือออกจากการเกาะกุมอย่าเบาที่สุดด้วยความเขินอาย “ยินดี
ค่ะ” เด็กสาวเอ่ยรับก่อนจะยิ้มทั้งที่ใบหน้ายังคงเป็นสีแดงเรื่อๆวางมืออีกข้างสัมผัสมือข้างที่ถูกบลิทซ์จับเบาๆแล้วก้มหน้าลงซ่อนความร้อนรอบในหน้าด้วยเรือนผมสีน้ำตาลเพลิงยาวซ่อนกระไอร้อน
...ทำไม
ถึงได้น่ารักแบบนี้กันนะ
ท่าทางที่ทำให้บลิทซ์อดคิดไม่ได้
บางทีกับคำว่าน่ารัก...ก็ยังน้อยไป... บลิทซ์ขยับอมยิ้มบางปล่อยให้เด็กสาวระลักระล่ำต่อคำ
“ว่าแต่คนๆนั้นคงจะเป็นคนพิเศษสำหรับเธอสินะคะ
เอ่อ..ฉันเหมายถึงเพื่อนคนสำคัญน่ะค่ะ
อย่าคิดไปไกลนะ!!”
บลิทซ์เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ก็จะขยับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายผสมเคยชิน ปรกติคนที่บอกว่าอย่าให้คนอื่นคิดไปไกลน่ะส่วนใหญ่เจ้าตัวมักจะคิดไกลกันทุกคนนะครับ...แล้วว่าแต่นอร์เฟรเซียเขาคิดอยู่ล่ะครับเนี่ย !?
“ครับ
อ๊ะ!” เสียงนุ่มสบถร้องราวกับนึกบางอย่างออก “ขอโทษนะครับนี่เวลาเท่าไร่แล้ว?” นอร์เฟรเซียพยักหน้ารับพลางเงยขึ้นมองดูนาฬิกาแขวนทันทีที่บลิทซ์พูดจบ
“เอ่อ ทุ่มครึ่งแล้วน่ะค่ะ”
สิ้นคำตอบจากเด็กสาวทำให้ชายหนุ่มถอนใจอย่างเสียไม่ได้ เขาอยู่ที่นี่นานถึงขนาดนี้เชียว? หากแต่ชายสูงศักดิ์กับรู้สึกว่ามันผ่านไปรวดเร็วราวกับสายลมหวิววูบ บางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกความรู้สึก
ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาเนิ่นนานเท่าใดกันแล้วนะ
“ถ้าอย่างนั้นผม
.ขอตัวก่อนนะครับ” จนถึงสุดท้ายก็ต้องเอ่ยคำนี้ออกมาทั้งๆที่ใจเองยังอยากจะอยู่ที่นี่ต่ออีก...อยากจะอยู่ที่นี่อยู่กับ
เธอ
กับทุกๆคนอีกสักนิดอยากอยู่กับเพื่อนคนสำคัญคนนี้
แต่
เราเองก็มีคนที่ต้องกลับไปหาอีกคนเหมือนกัน
ความคิดเห็น