คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 1 Before Crisisตอนที่ 2 แสงสว่างที่สาดส่องลงมาในความอ่อนโยน(1/3)
ซ่า!!
เสียงบางสิ่งบางอย่างที่ถูกสาดซัดมากระทบกับดวงหน้าคมคาย ความเย็บแปลบปลาบที่พุ่งมากระทบกับใบหน้าเรียกให้ชายหนุ่มที่หลับไหลอยู่หลุดพ้นจากห้วงนิทรารมย์ ดวงตาสีแดงเลือดเปิดขึ้นมาอย่างงัวเงียพลางสะบัดไล่หยดน้ำที่เปียกเปรอะเส้นผมสีเข้ม รูลเคาะศีรษะสอง สามครั้งเพื่อเป็นการเรียกสติของตัวเอง
ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหันดวงหน้าคมเข้มไปทางเพื่อนหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าก็เห็นว่าบลิทซ์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดยืนอยู่ข้างเตียงของตน ฝ่ามือกำแก้วใสที่เมื่อราวนาทีก่อนเคยบรรจุน้ำเย็นเฉียบ รูลทำหน้าเหวออย่างคนเดาเหตุการณ์ออกก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “โธ่
บลิทซ์ขออีกห้านาทีไม่ได้เหรอ?”
“ห้านาทีครั้งที่เท่าไร่แล้วครับ? ถ้าผมไม่ทำแบบนี้นายก็ไม่ตื่นหรอก” เสียงนุ่มของบลิทซ์ได้เจือความเหนื่อยอ่อนไว้กับน้ำคำ
“น่านะครั้งสุดท้ายแล้ว น๊าๆ” เสียงรูลบีบเสียงทำทีอ้อนเหมือนลูกแมวพลางไสหัวกับท่อนแขนของชายหนุ่มไปมา
“แล้วอีกอย่างคนที่สังกัดกับรูนอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องสอบเข้าด้วยแต่...ถ้านายไม่เต็มใจจะไปที่นั่นฉัน
ก็ไม่ไปหรอก” รูลยิ้มให้บลิทซ์อย่างอ่อนโยน บลิทซ์ยิ้มตอบแทนคำขอบคุณก่อนริมฝีปากบางจะขยับยกขึ้นพูด
“แต่...สำหรับผม...ถึงไม่อยาก...ยังไงแล้ว ผมก็ต้องไปเรียนที่นั้นอยู่ดี นั่นแหละครับ” ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งเคียงข้างเพื่อนคนสนิทก่อนถูกรูลดึงศีรษะโน้มลงกระชับกับมือ บลิทซ์หลับตานิ่งปล่อยให้รูลไล่มือตามเส้นผมสีดำขลับราวกับเป็นคำปลอบใจ
“เพราะมันเป็นหน้าที่ของผู้นำองค์กรสินะ
บลิทซ์?”
บลิทซ์หลับตาลงนิ่งสัมผัสถึงความชื้นใต้ขอบตาที่ร้อนผ่าว
ใช่ เพราะมันเป็น
หน้าที่
หลังจากที่ต้องนั่งคุมรอรูลจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จก็เล่นปาเข้าไปเที่ยงกว่า ก็ในเมื่อเจ้าตัวดีนั่นน่ะพอเผลอเป็นไม่ได้เป็นอันต้องงีบหลับได้ทุกครั้งไป...ถ้าไม่คุมก็คงจะหลับคอพับหัวพิงกำแพงนั่งอยู่บนชักโครกแหง...ไม่รู้ว่าง่วงอะไรนักหนานะ รออยู่จนนานกว่าที่จะได้ก้าวออกจากธรณีประตูเกือบๆจะบ่ายโมงครึ่ง
ถามว่าเพราะอะไรถึงนาน...หนึ่งคือ มันนั่งหลับในห้องน้ำไปชั่วโมงหนึ่ง...สองคือมันนอนเกือกอยู่บนเตียงเล่นกับเรสเทียร์ทั้งชุดคลุมจนขนแมวติดตัวต้องไปอาบน้ำใหม่อีกครึ่งชั่วโมง...นี่ยังไม่รวมเวลาแต่งตัวอีกนะ
อะไรมันจะขนาดนั้นนะครับเนี่ย !!
ในทันทีที่ออกมาจากห้องได้เป็นผลสำเร็จ ทั้งสองคนจึงแยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเองให้เสร็จภายในวันสุดท้ายก่อนเปิดเทอม ธุระของรูลคือต้องตรงไปส่วนกลางของศูนย์ระเบียนนักเรียนในการยื่นเรื่องและทำการยืนยันสถานะนักเรียนระดับพิเศษ...ในวันสุดท้าย
ทั้งที่เขาเปิดทำการมาเกือบเดือน!
นั่นน่ะแหล่ะรูลของแท้ !! ถ้าให้คิดตามนิสัยของคนคนนั้นแล้วหากไม่จวนตัวจริงหรือใกล้เส้นตายต่อให้ฉุดด้วยช้างก็ไม่มีความคิดที่จะทำ!
...ส่วนบลิทซ์ ความจริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่ได้มีธุระหรือกงการอะไรเป็นพิเศษทั้งนั้นเพราะจัดการเรื่องงานทางองค์กร เอกสารของวันนี้เคลียร์เสร็จเรียบร้อยล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวานแล้วอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาว่างจนต้องเดินแกร่วไปมาได้ก็คงเป็นจะเพราะเขาได้ยื่นเรื่องเข้ารับการศึกษาเป็นนักเรียนใหม่ตั้งแต่เดือนที่แล้วในวันเปิดรับวันแรกแถมอาจจะเป็นคนแรกด้วยซ้ำ
ถึงแม้ว่านั่นมันจะเป็นการจัดการอย่างเอาแต่ใจโดยไม่แม้แต่ปรึกษาอะไรก่อนของคนที่เขาเรียกว่า ‘แม่’ ก็ตามทีเถอะ
“ว่าแต่...แล้วนี่เรา จะไปทำรอรูลอะไรดีนะ?” บลิทซ์พึมพำคำถามกับตัวเองระว่างย่างก้าวเดินบนทางเท้าเล็กๆอย่างไร้ที่ไป ชายหนุ่มทำทีไม่สนใจผู้คนขวักไขว่ส่วนทางที่ลอบมองมาทางเขาก่อนจะถูกหลบสายตาทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นเมื่อรู้ว่าถูกคนที่ ‘ถูกมอง’มองกลับ บลิทซ์หลับตานิ่งลอบถอนใจยาวอย่างเหนื่อยหน่ายจากปฏิกริยาคุ้นเคยที่คนอื่นจะมองตนในฐานะของสิ่งที่ ‘แปลกแยก’ พลางก้าวเดินต่อไปพยายามไม่สนใจกับเสียงที่ซุบซิบที่เล็ดรินเข้าสู่โสตอย่างไม่ตั้งใจ
เบื่อจัง
ไม่มีที่ไหนในเมืองนี้เลยเหรอไงนะที่จะ
สงบ
พลันที่ชายหนุ่มได้ละฝีเท้าลงทันทีที่ภาพหนึ่งปรากฏแล่นทันความนึกคิดแม้เจ้าตัวเองก็มิอาจจะปฏิเสธได้ทันและทำความเข้าใจว่าเพราะมีเหตุผลใดถึงต้องเป็นที่นั่น
สวน
เอเดน
แสงเรืองสีทองแห่งดวงสุริยาส่องสว่างลอดตามกิ่งแมกไม้สาขาแห่งต้นไม้ใหญ่มายมากเหลือคณานับ รายเรียงขนาบข้างตามริมทางเดิน กับร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มเดินหลบเลี่ยงแสงอันร้อนระอุในเวลาเที่ยงใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ แสงแดดสะท้อนกระทบกับเกศาสีดำสนิท บลิทซ์ทรุดกายลงนั่งข้างสระน้ำพุที่น้ำใสๆพวยพุ่งขึ้นสู่ที่จนสูงละอองน้ำกระเซ็นไปด้านข้างตามแรงโน้มถ่วงประพรมเส้นผมสีขลับ
เสียงหัวร่อต่อกระซิกของเด็กน้อยที่วิ่งเล่นกันรอบริมสระผนวกกับเสียงดนตรีจากหมู่นกที่ขับขานทำให้รอยยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามราวกับเทพาบันดาล บลิทซ์เงยหน้าขึ้นรับลมเย็น รู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก ต่างจากความรู้สึกอึดอัดตอนที่อยู่ในตัวเมืองลิบลับ เพราะแม้ที่แห่งนี้จะเป็นเพียงสวนสาธารณะเล็กๆที่ไม่เห็นถึงความสำคัญสำรับชีวิตเร่งรีบของคนในเมืองก็ตามแต่
แต่
ที่นี่มัน
ก็ทำให้คิดถึงในที่ๆจากมาเสียเหลือเกิน ที่ๆเขาเองคงจะไม่มีโอกาสที่จะได้กลับไปอีกแล้ว หากทำได้ก็คงจะเป็นเพียงแค่ห้วงคำนึงถึง
“เจอกันอีกแล้วนะคะ” เสียงหวานอ่อนโยนเอ่ยขึ้นทักราวกับเรียกสติที่หลบอยู่ในภวังค์ของชายหนุ่มให้กลับมา ทันทีที่ดวงเนตรสีไพลินเปิดขึ้นเขาก็พบบุษบาแสนบอบบาง ดอกไม้ช่อสีม่วงอ่อนจนเกือบเป็นสีฟ้าตัดกับสีขาวนวลจากปลายกลีบจับกลุ่มเป็นช่อเล็กๆ จนเผลอทำให้ชายหนุ่มถูกสะกดในความหลงใหลในความงาม “for get me not มีความหมายตรงตัวว่า ‘อย่าลืมฉัน’ ค่ะ”
ถ้อยคำเสียงหวานที่แสนคุ้นหูอย่างน่าประหลาดทำให้ชายหนุ่มละความสนใจจากดอกไม้อย่างไม่มีเหตุผล บลิทซ์เงยดวงหน้าขึ้นมองหาเจ้าของเสียงอันแสนไพเราะ พลันภาพที่ประจักษ์ในจักษุโสตจะทำให้ชายหนุ่มถึงกับตกใจจนแทบสิ้นสติ
หญิงสาวเรือนผมสีน้ำตาลเข้มจนออกแดง แลคล้ายสีเพลิงกับเนตรสีฟ้าใสสะอาดราวกับสายนที ที่แม้มองผ่านก็พาลจะถูกสะกดด้วยแววตาสีอ่อนโยนคู่นี้ ริบฝีปากบางได้รูปขยับยกขึ้น ใบหน้าสวยหวานถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น
เธอ...คือผู้หญิงคนๆเดียวกับคนที่เขาพบเมื่อวาน
และเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นระสับแม้เพียงเสี้ยววินาทีแรกที่พบ...และคนๆนี้ที่ว่านั้นกำลังยืนยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขาอยู่เบื้องหน้า
!?
“ห
ให้ผมเหรอครับ?” เสียงนุ่มพาลสั่นเครืออย่างบอกไม่ถูกราวกับคำพูดทั้งหมดจะถูกกลืนหายไปในแววตาสีฟ้าใสคู่นั้น
“ค่ะ...ฉันคิดว่าดอกไม้ดอกนี้คงจะเหมาะกับคุณ” เด็กสาวขยับรอยยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรทำให้เด็กหนุ่มกล้าที่จะเอื้อมมือที่จะเข้าไปสัมผัสดอกไม้ดอกนั้น
เปรียบเสมือนกับเป็นมิตรภาพใหม่ที่เธอได้มอบให้กับเขาพลันที่ดวงหน้าจะขึ้นสีชมพูอ่อนๆอย่างไม่รู้ตัว
“นอร์เฟรเซีย...”
“เอ๋?” บลิทซ์ร้องอุทานขึ้นอย่างตกใจ เด็กสาวยกมือขึ้นทาบระหว่างอกราวกับเป็นการชี้เฉพาะเจาะจงมายังตน “ชื่อของไงฉันคะ นอร์เฟรเซีย ครูสเซอร์ ยินดีที่พบกันอีกนะคะ...บลิทซ์”
“เอ่อ
รู้จักชื่อของผมด้วยเหรอครับ?” บลิทซ์ถามพลางหลุบตาลงต่ำไม่กล้ามองตรง รู้สึกใจเต้นแปลกๆอยากบอกไม่ถูก นอร์เฟรเซียเลิกคิ้วเรียงเหนือดวงเนตรสีน้ำขึ้นก่อนจะสาวเท้าไปใกล้พลางหย่อนกายลงนั่งข้างๆชายหนุ่ม
“ก็เราเคยเจอกันมาก่อนนี่คะ” นอร์เฟรเซียพูดน้ำเสียงหวานฟังดูร่าเริงก่อนจะขยับรอยยิ้มจางๆให้ร่างสูงข้างๆ
เคยเจอ
ที่ร้านเมื่อวานสินะ? แล้วรูลก็เรียกชื่อของเรา
เอ๋
ร้าน
?!
“อ๊ะ! ว่าแต่ไม่ต้องเฝ้าร้านเหรอครับ?” บลิทซ์เอ่ยเปิดประเด็นคำถามด้วยน้ำเสียงซื่อก่อนจะต้องชะงักลงด้วยความไม่เข้าตัวเองว่าจะถามคำถามไร้สาระอย่างนี้ไปทำไม นอร์เฟรเซียไกวขาเรียวยาวมาพลางอมยิ้มน้อยๆอย่างรื่นเริง
“อ๋อ
ร้านนั้นไม่ใช่ร้านของฉันหรอกค่ะแค่ไปช่วยดูแลร้านแทนเจ้าของเท่านั้นเอง เรียกง่ายก็ทำงานพาร์ทไทม์น่ะค่ะ ” เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนเกือบจะเป็นหัวเราะ “อ๊ะ!แต่ว่า ไม่ใช่แค่เท่านั้นนะคะฉันยังทำงานที่ร้านอาหาร ช่วยงานร้านขายของเอย ช่วยคุณพ่อดูแลโบสถ์ อ๊ะ!อันนี้ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าพาร์ทไทม์ได้หรือเปล่านะคะแต่ว่าก็ได้เงินนะ แล้วนอกจากนี้ก็
”
เธอว่าพลางไล่นับนิ้วตามคำพูดก่อนจะชะงักนิดหนึ่งด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนแต่
ก็เจือกระแสของความเศร้าเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม “ดูแลเด็กกำพร้าค่ะ”
“ค...คุณ” บลิทซ์เอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเด็กสาวดูเงียบลง นึกสงสัยว่าเช่นใดรอยยิ้มแสนสดใสเมื่อครู่จึงจางหายไป ถึงแม้จะแปลกใจตัวเองอยู่ไม่หายว่าทำไมถึงต้องสนใจในเรื่องของคนแปลกหน้ากันด้วยนะ ? ทั้งที่ปรกติก็ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยสักครั้ง
เพราะอะไรกันนะ
ไม่เข้าใจเลย
“อ๊ะ!!” เสียงใสร้องขึ้นดันพลันทะลึ่งตัวลุกขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ด้วยอารามตกใจจนทำให้ชายสูงศักดิ์ลื่นไถลลงแถมยังพลาดทำเอาศีรษะไปโขกกับขอบสระน้ำพุที่เขาใช้ต่างที่นั่งไปอีกต่างหาก
“โอย
”เสียงนุ่มร้องครางสบถถ้อยคำแทนความเจ็บปวดพลางคลำศีรษะป้อยๆตามนิสัย ทำตัว...ซุ่มซ่ามให้คนอื่นเห็น...อีกแล้วสิ...เรา...
น่าขายหน้าชะมัด...
“อ๊า!!! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ข
ขอโทษค่ะ” นอร์เฟรเซียร้องลั่นก่อนทรุดกายลงนั่งชันเข่าขนาบข้างชายหนุ่มที่ถึงเขาจะซุ่มซ่ามขนาดไหนแต่การล้มอย่างเสียท่าแบบนี้น่ะไม่เคยมีใครได้เห็นเลยสักคน
นอกจาก
เจ้าเพื่อนสมัยเด็กคนเดียว
“ขอโทษผมทำไมครับคุณไม่ได้ผิดนี่ครับ? ” บลิทซ์เอ่ยประสาซื่อก่อนจะลุกขึ้นโดยการประคองจากหญิงสาว พลางขยับมือลงปัดฝุ่นที่เกาะอยู่ตามเนื้อผ้าสีดำสนิท ก่อนจะทำทีโล่งใจเมื่อเหลียวมองดอกไม้ที่ได้รับมอบมายังคงอยู่ในสภาพดี “ว่าแต่เป็นอะไรไปครับร้องซะดังเชียว?”
“พอดีนึกขึ้นได้น่ะค่ะว่ามีธุระ” นอร์เฟรเซียเอ่ยพลางตรวจสภาพภายนอกของบลิทซ์ราวกับเป็นสิ่งบอบบางที่กลัวว่าจะแตกสลายเอาง่ายๆ
“ผมไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกครับไม่ต้องห่วงหรอก” ราวกลับชายหนุ่มจะอ่านใจออกหรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะประสบณ์การณ์ที่เขาเคยเจอมามาก
ทุกทีสินะ...ไม่ว่าใครก็เห็นว่าเราเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการปกป้องเสมอๆ
ทั้งๆที่เราต่างหากที่อยากจะเป็นฝ่ายที่ได้ปกปกป้อง...
ปกป้องคนสำคัญ
ความคิดเห็น