ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Axis of Exorcist พันธะบาปสีเลือด

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 เสียงกระซิบจากพระองค์กับถ้อยคำแห่งแสงสว่างจากลูกแกะที่หลงทาง

    • อัปเดตล่าสุด 18 มิ.ย. 53


                  

                    เนิ่นนานนับแต่วันสร้างโลกที่กายาของมนุษย์สถิตตัวตนอยู่ยัง ณ. ที่แห่งนี้

                    ทุกสิ่งอย่างล้วนถือกำเนิดมาอย่างเท่าเทียม...ไม่ว่าจะทั้งเงามืดที่มีแสงสว่างเป็นจุดก่อกำเนิดหรือแม้สีขาวที่ผสมผสานสีดำก่อกำเนิดให้เป็นเทา

                            หรือแม้กระทั่งจิตใจที่ดีงามเองย่อมมีจุดบอดอยู่เช่นกันและหากปล่อยนานวันเข้าก็จะยิ่งลุกลามใหญ่โตเสียจนควบคุมไม่อยู่...ใช่...ใจของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่บอบบางนัก บอบบางมากเสียจนแทรกตัวตนแห่งความมืดมิดเข้าไปได้อย่างง่ายดาย 

    และยามใดก็ตามที่จิตใจแตกสลายมนุษย์ย่อมจะทำได้ทุกอย่าง...ทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือการควบคุมจนแปรเปลี่ยนเป็นบาปที่หนาหนักยากที่จะชำระราวกับเป็นโซ่ตรวนขาที่ไม่อาจปลดออก

    และนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เอ็กซ์โซซิสท์ถือกำเนิดมา 

    บุรุษผู้ปิดบังใบหน้าภายใต้หน้ากากไร้อารมณ์ นัยน์เนตรคู่คมที่ส่องสะท้อนกับแสงจันทรากายาที่แปดเปื้อนด้วยเลือดจะสะบัดชายผ้าคลุมสีดำสนิทท่องไปยังทั่วทุกที่เพื่อชะล้างบาปของคนสามานย์ด้วยพรอันแสนล้ำค่าจากปลายอาวุธสังหาร

    คือการชำระบาปที่แลกด้วยชีวิต

    เพื่อให้วิญญาณบริสุทธิ์ได้พ้นพันธะจากร่างกายทีแปดเปื้อน เอ็กซ์โซซิสท์ผู้นั้นจะรับบาปสีเลือดและคำประนามทั้งหมดไว้กับตัวเอง

    สมกับที่ได้ชื่อนักบุญคนบาป...

    "ท่ามกลางเสียงสวดภาวนาที่ท่านเอ่ยจากริมฝีปาก พวกเจ้าใคร่เคยสงสัยในบทถ้อยวัจนาที่แสนงดงามเหล่านี้หรือไม่ ว่าคำเอื้อนเอ่ยแสนวิเศษนี้กล่าวถึงสิ่งใดที่จะนำมาซึ่งแสงสว่างแห่งชีวิตกัน" 

    น้ำเสียงทุ้มทว่านุ่มนวลเอ่ยพูดตามอักษรที่จารึกบนหนังสือคำภีร์เล่มหนา แสงสว่างส่องลอดจากบานหลังคากระจกคริสตัลเปล่งประกายสะท้อนเส้นผมสีทองสว่าง ชายหนุ่มร่างโปร่งในชุดบิชอปสีขาวนั่งสวดภาวนาอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นองค์พระแม่ด้วยใบหน้าที่สุขุมเปลี่ยมไปด้วยความศรัธรา

    แว่วดังถึงเสียงเปิดของบานประตูที่ทำให้บทสวดหยุดลง นัยน์เนตรสีฟ้าลืมตาขึ้นตื่นก่อนบิชอบหนุ่มจะกระหวัดสายตาหันไปยังต้นเสียง 

    แสงสว่างเจิดจ้ารอดผ่านบานประตูหอสวดภาวนากระทบร่างโปร่งของชายหนุ่มเรือนเส้นผมสีจลับในชุดสีดำสนิท ใบหน้าถูกสวมทับด้วยหน้ากากสีขาวล้วนที่เจาะให้เหลือเพียงตาทั้งสองเป็นทรงพระจันเสี้ยวราวกับเป็นใบหน้าของตัวตลก...ทว่ากลับเป็นตัวตลกที่แปดเปื้อนใบด้วยเลือด 

    ดวงหน้าคมหวานของบิชอปหนุ่ม ออซ ยูเรียส นิ่งสงบลงเล็กน้อย นัยเนตรสีฟ้าใสหลับลงก่อนจะสะบัดดวงหน้าเเปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่จริงใจ

    "ยินดีต้อนรับกลับมาขอรับท่านเอ็กซ์โซซิสท์"

    เอ็กซ์โซซิสท์คือนักบุญแห่งบาปในมุมมืดหนึ่งในศาสนจักร กล่าวคือเขาคือนักบวชผู้ที่คอยชำระล้างบาปให้แก่เหล่าอาชญากรที่กฏหมายมิอาจเอาผิดได้ด้วยมาตราใดๆ...หน้าที่ของเขาชำระล้างบาปด้วยพรสีเลือดที่เท่ากับความตาย

    ทว่านั่น...คือสิ่งที่ชนภายนอกศาสนจักรรับรู้เท่านนั้น

    ชายหนุ่มเอียงคอลงเล็กน้อยที่ออซพอจะดาได้ว่าคงจะหงุดหงิดเหลือทน ฝ่ามือยกขึ้นถอดหน้ากากชโลมเลือดออกเพยให้เห็นถึงเจ้าของนัยน์เนตรคู่สีแดงราวกับเลือดชาด คิ้วเรียวเข้มขมวดมุ่นอย่างคนอารมณ์เสีย 

    "บิชอปออซ ยูเรียส! " เสียงเข้มร้องดุที่ทำให้ออซสะดุ้งตัวน้อยๆ นัยน์เนตรคู่สีฟ้าหรี่ลงดด้วยใบหน้าคมคายที่ยังคงสงบและสง่างามสมกับชื่อบิชอปแห่งวัจนา

    "ต้องขออภัยหาทำให้ท่านขุ่นเคืองท่านบิชอปอิริค อาร์ค ทว่าหากท่ายังคมสวมใส่อยู่ภายใต้หน้ากากเงินนั่นท่านก็มิใช่ท่านเสียหน่อย" ออซคลี่รอยยิ้มพลางหัวเราะน้อยอย่างสุภาพ...ใบหน้าที่ดูไร้เดียงสาทว่าสงบนิ่งเช่นนี้ยิ่งทำให้ไม่แน่ใจว่านี่เป็นความใสซื่อของจริงหรือเพียงแต่แค่อยากกวนให้เขาอารมณ์เสียกันแน่ 

    แต่กับคนอย่างบิชอปออซ ยูเรียสแล้วนั้นเขามันใจว่าเป็นความไร้เดียงสาของจริง

    "ข้าเตรียมอาภรณ์บิชอปรอท่านไว้เเล้วเปลี่ยนเสียสิ" น้ำเสียงเอ่นพูดอย่างนุ่มนวลที่ค่อนไปทางสง่างามน่าเลื่อมใสตามแบบของนักบุญผู้ทรงเกียรติแล้ว อิริคสั่นศรีษะเล็กน้อยรับอาภรณ์เครื่องแต่งกายสีขาวไม่เข้ากับตัวเองมาแล้วจัดการถอดชุดทรงดำชโลมเลือดของตนออก...เบื้องหน้ารูปปั้นองค์พระแม่

    ตัวข้าที่เป็นสีขาวคือนักบุญในสายตาของศาสนิกชน

    ตัวข้าที่เป็นสีดำคือคนบาปในสายตาของทุกชนชั้น

    ตัวข้าที่เป็นนักบวชที่แปดเปื้อนด้วยสีเลือด

    ตัวข้าที่เอ่ยเอื้อวัจนาธรรมเพื่อก่ลอมจิตใจให้กับเหล่าผู้เลื่อมใสในตัวข้า

    ข้าที่เป็นทั้งนัยน์เนตรและแขนขาขององค์พระเจ้าเบื้องหน้าที่เป็นบิชอปและเบื้องหลังที่ทำตัวราวกับนักฆ่า

    ทว่าข้านั้นก็คือ...เอ็กซ์โซซิสท์...

    นักบุญผู้แปดเปื้อนด้วยบาป อิริค อาร์ค

    "กลับมาครานี้จะพักผ่อนอยู่ที่ศาสนจักรอีกนานเท่าไรหรือขอรับ?" ออซเอ่ยถามน้ำเสียงนิ่ง ดวงตาคู่สีฟ้าใสดูเป็นห่วงใยที่ได้รับการสั่นศรีษะจากผู้ถูกถามมาแทน อิริคโยนผ้าขนหนูลงไปในอ่างใส่น้ำอุ่นแล้วถอนหายใจยาว

    "ถ้าไม่มีงานเข้ามาก่อนก็คงอยู่อีกสักเดือน"  น้ำเสียงเอ่ยเรียบเฉยก่อนจะจักการวางผ้าแพรคลุมไหล่สีขาวคลิบขอบด้วยดิ้นน้ำเงินลงกับบ่าเป็นอันเสร็จพิธีในการทรงเครื่องแต่งกายของบิชอปที่สมบูรณ์ อิริคโคลงหัวน้อยๆ กับเครื่องแต่งกายสีขาวสะอาดที่ไม่สวมใส่มาร่วมสองอาทิตย์ สายตาของเขาเหมือนกับกำลังบ่งบอกว่าไม่คุ้นเคยกับเครื่องแบบสีขาวที่สวมใส่อยู่กับตัวเอาเสียเลย

    มันดูบริสุทธิ์เสียจนน่ารังเกียจ

    ดูหลอกลวงเกินกว่าที่เขาจะยอมรับได้ว่ามือตัวเองที่แปดเปื้อนด้วยเลือดบาปนี่สวมใสอยู่

    ก็แค่รู้สึกงี่เง่าที่ตัวเองเป็นได้ทั้งสีขาวและสีดำมันก็เท่านั้น

    "ถ้าเช่นนั้นก็ถือโอกาสนี้หาตัวพาร์ตเนอร์ดีไหมขอรับ" ออซเอ่ยน้ำเสียงแจ่มใสฝ่ามือเรียวยกขึ้นปรบระดับอกแล้วคลี่ยิ้มราวกับเด็กน้อยที่คิดเรื่องดีๆ ออก 

    "ไม่ล่ะขอบใจ" ตอบแบบทันทีโดยไม่คิดสักนิดจนออซถึงกับนิ่งค้าง คิ้วเรียวสีทองขมวดมุ่นแล้วเอียงคอลง

    "มิได้นะขอรับ" เขาแย้งด้วยใบหน้าที่เป็นห่วงเสียมากกว่าไม่พอใจในคำตอบที่ไร้เยื่อใยของอีกฝ่าย "ท่านบิชอปอิริคทำหน้าที่เอ็กซ์โซซิสเพียงลำพังมาตลอดนับตั้งแต่พิธีรับตำแหน่ง...เรื่องเช่นนั้นมันน่จะเกินกำลังของคนเดียวที่จะ..."

    "ข้าทำได้" น้ำเสียงเรียบเย็นเอ่ยสั้นๆ เป็นเชิงตัดบท "ข้าทำหน้าที่มาเกือบปีโดยลำพังยังทำได้แทนที่ห่วงข้าเจ้าห่วงตัวเองก่อนเถอะบิชอปออซ ยูเรียส" อิริคเอ่ยปัดความหวังดีนั้นไปจนหมดสิ้น การหาพาร์ตเนอร์ไม่ได้ต่างกับการหาตัวภาระที่เกะกะมาให้ตัวเองเลยสักนิด พอแค่คิดว่าจะมีไอ้หนูที่ไหนมาคอยเกะกะพันแข้งพันขาระหว่างทำงานแค่นั้นเขาก็นึกโมโหเสียเต็มทน  

    "อย่าพูดเช่นนั้นสิขอรับ....ถึงท่านอิริคจะเป็นเปก็นที่ทำงานได้อย่างไร้ที่ติเสียแค่ไหนแต่ก็มีข้อเสียตรงที่ไม่แคร์ใครเลยสักนิดอย่างน้อยหากมีพาร์ตเนอร์คอยช่วยดูแลเรื่องตรงจุดนั้นบ้างมันก็เป็นทางเลือกที่ดีมิใข่หรือ?" ออซพูดน้ำเสียงติเล็กน้อยอย่างรู้ดีด้วยเพราะทั้งเขาและคนเบื้องหน้าแม้อายุจะต่างกันแต่ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นในการฝึกจริยาแห่งนักบวชเช่นนั้นมีหรือที่เขาจะไม่รู้จักนิสัยข้อนั้น

    บิชอปอิริค อาร์คถึงแม้จะทำอะไรทุกอย่างด้วยความใจเย็นแต่นิสัยที่ไม่ออมชอมแถมไร้ซึ่งความอ่อนช้อยเลยมักถูกมองว่ากระทำการป่าเถื่อนเสียอยู่เรื่อย

    แต่กลับกันเขาก็รู้ดีถึงนิสัยดีหลายอย่างของคนนั้นที่น่ารักเสียจนไม่น่าเชื่อเลยล่ะ

    "ขอปฏิเสธทุกความคิดเห็น" พูดเสียงปัดก่อนร่างโปร่งจะยืดตัวเต็มส่วยสูง ชายผ้าคลุมสีขาวพัดไปตามแรงสะบัดก่อนจะกดดวงตาคู่เรียวคมสีเลือดจ้องมองบิชอปอีกองค์ 

    "อีกครึ่งชั่วโมงจะเริ่มพิธีมิสซาคงจะเป็นการดูไม่ดีแน่หากบิชอปสองในห้าจะมาสายและหนึ่งในคนนั้นคือว่าที่พระคาร์ดินัลอย่างเจ้าบิชอปออซ ยูเรียส"

    กล่าวทิ้งไว้เช่นนั้นแล้วเดินทิ้งบิชอปออซ ยุเรียสไปอย่างไม่เห็นหลัง เจ้าของเรือนเส้นผมสีทองไหวศีรษะน้อย...ก่อนจะหันหน้าไปทางรูปปั้นพระแม่สองมือสอดประสานกันระดับองก่อนก้มหน้าลงเอ่ยวัจนาอ้อนวอนอธิฐาน

    "พระองค์ข้าหวั่นใจเหลือเกิน...หวาดกลัวต่ออนาคตที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้....ได้โปรดเถิดหากเส้นด้ายสีทองแห่งโชคชะตาที่ท่านกำลังทักทอบนพระกรท่านนี้เป็นของเขาผู้นั้น พระองค์ทรงโปรดช่วยชักนำแสงสว่างแห่งดวงตะวันอันอ่อนโยนเพื่อละลายหัวใจที่ทับทมด้วยหิมะเย็นชานั้นด้วยเถิด....อาเมน"


    ร่างโปร่งของบิชอปหนุ่มผู้มีเรือนเส้นผมสีดำและนัยน์ตาสีแดงดุจโลหิตเฉิดฉายอยู่ในดวงตาแห่งความเลื่อมใสของเหล่าคนมากมายที่เขาเดินผ่าน ด้วยท่วงท่าที่สง่างามหน้าชื่อชมสมกับตำแหน่งหนึ่งในห้าบิชอปแห่งวัจนาและ ใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายงดงามเสียยิ่งกว่ารูปปั้นเทพองค์ใดยิ่งทำให้เขาได้รับความศรัทธราจากศาสนิกชน

    ยิ่งเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้อยากเห็นเสียเหลือเกินว่าในวันใดที่คนเหล่านั้นรู้ว่าบิชอปที่ตัวเองนับถือมีอีกโฉมหน้าคือเอ็กซ์โซซิสท์ที่ถูกรังเกียจประนามว่าเป็นนักบุญคนบาปแล้วจะรู้สึกอย่างไร

    ดีไม่ดีเขาหรืออาจจะถูกตรึงกางเขนแล้วจับเผาไฟทั้งเป็นก็ได้

    อิริคกระตุกมุมปากยิ้มเหยียดเย็นระหว่างเดินลอดผ่านซุ้มประตูเดินเข้าไปในตัวโบสถ์ที่ตั้งประดิษฐานรูปปั้นแห่งพระองค์เจ้า รับรู้ถึงแรงสะกิดเรียกจากเบื้องหลังที่ทำให้จ้องหันกลับมามองพระบิชอปทั้งสารรูป

    คนแรกคือคนที่สะกิดทักเขาเป็นชายหนุ่มในร่างสูงโปร่งดูสง่า เรือนเส้นผมสีทองอ่อนราวกับรวงข้าวยาวประกับหลังแม้ว่าจะรวบไว้แล้วก็ตาม นัยน์เนตรคู่สองสีที่มีสีฟ้าสดใสในข้างซ้ายและม่วงเข้มในข้างขวากำลังมองมาทางเขาและยิ้มระริกระรี้ชนิดที่น่าวาดส้นเท้าเข้ากลางแสกหน้าอย่างสุดซึ้ง 

    “ออซล่ะ?” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามพลางเอียงคอลงเล็กน้อยเมื่อเขาไม่เห็นคนสำคัญที่สุดในพิธีวันนี้ ทั้งที่นี่ก็ใกล้เวลาจะเริ่มไปทุกที “เจ้าคงไม่เอาพ่อหนูน้อยนั่นไปหมกป่าหรอกนะ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแม้ว่าตัวเองจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่เล่นด้วยก็ตามแต่แค่เห็นเรียวคิ้วนั่นขมวดลงมันก็สนุกพอแล้ว

    สนุกแบบไม่กลัวตายเลยไม่ว่า...

    “บิชอบออซ ยูเรียสกำลังสวดภาวนาอยู่ในวิหารพระแม่แต่ถ้าอยากเจอคนหมกอยู่ในป่ามากนักข้าก็สนองให้เจ้าได้ บิชอปเรฟเพนเซีย เนเรนอร์ธ” อิริคเอ่ยน้ำเสียงดุใส่ นัยน์ตาสีเลือดกดลงมองเสียจนเรฟเพนเซียหงอรีบกระหวัดมือมาอุดปากด้วยเพราะมั่นใจว่าเกิดพูดมากวันพรุ่งนี้เขาอาจนอนแห้งอยู่ป่าข้างโบสถ์สักโบสถ์ในศาสนจักรได้

    ก็เลยแต่แต่วาดหางตางอนๆ ใส่เจ้าเพื่อนบิชอปทั้งสามอย่างงอนๆ เพราะตัวเองทำอะไรไม่ได้

    “ข้าพูดเล่นเหรอน่าอิริคแถมถ้าเกิดเจ้าทำงั้นกับออซจริงขี้คร้านเจ้าเลเนกซ์มันจะมาเผาหัวให้” เรฟเพนเซียร้องพลางห่อปากส่งเสียงบู่ๆ ที่รบกวนโสตประสาทอย่างสุดซึ้ง อิริคเอียงศีรษะลงเล็กน้อยชักอยากจะเดินออกห่างจากเจ้าบิชอปไม่เต็มบาทนี่ตะหงิดๆ

    ไม่สิเดินหนีออกมาแล้วแต่มันก็ยังเดิมตามมามากกว่า

    สาระหรือก็ไม่มีแถมยังน่ารำคาญอีก น่าสงสัยนักเชียวไอ้คนพรรค์เลื่อนขั้นเป็นบิชอปได้ยังไง

    แทนที่จะเอาเวลามาพูดมากกลับไปจัดการงานของตัวเองซะจะยังดีกว่า

    “ทำหน้าเครียดเชียวนะครับ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยดังจากบิชอปผมน้ำตาลเมื่อเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของอิริค ดวงตาคู่สีเพทายหรี่ลงเล็กน้อยอย่างสุภาพ ปลายนิ้วกดลงกับหัวคิ้วที่แทบจะติดเป็นปมโบของอีกฝ่าย “เกิดทำเช่นนี้บ่อยๆ เดี๋ยวสุขภาพเสียเอานะครับ”

    “ใช่เลย อย่างที่นาสคิลด์บอกเครียดมาหน้าแก่เร็วนะจะบอกให้” เรฟเพนเซียเสริมแต่ไม่นานก็ต้องรีบอุดปากเพราะเจอสายตาดุคูณสองฟาดเข้าใส่ให้ 

    “เจ้าน่ะเงียบไปเลยครับ บิชอปเรฟเพนเซีย” นาสคิลด์ส่งเสียงดุจนเรฟเพนเซียหงอรอบสอง เจ้าของเรือนเส้นผมสีทองอ่อนรวบสองแขนกอดตัวเองด้วยความสยองพองขน 

    โดยเฉพาะตอนที่ถูกหางตาดุๆ นั่นฟาดใส่ทีไรมันก็ยิ่งอยากจะทำให้เขาลาออกจากการเป็นบิชอปแล้ววิ่งหนีกลับไปปลูกถั่วงอกทีบ้านเกิดซะทุกที 


    แม้ว่าบ้านเกิดของเขามันจะไม่ได้ปลูกถั่วงอขายก็ตามทีเถอะ

     “ทำตัวสงบเสงี่ยมอย่างบิชอปเฟรเดอริคบ้างไม่ได้หรือครับ” นาสคิลด์ถามพลางปรายตามองชายอีกคนที่ยืนนิ่งเป็นหุ่น...ไม่สิ...น่าจะเรียกว่ากลมกลืนไปกับรูปปั้นหินอ่อนเลยมากกว่า

    “อภัยบิชอปเรฟเพนเซียและบิชอปนาสคิลด์ แต่ข้าแค่ไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องพูดกล่าวในสิ่งที่หาสาระมิได้เพียงเท่านั้น” น้ำเสียงนิ่งเอ่ยสวนกลับมาแทบจะทันทีจากชายหนุ่มดวงตาสีทอง เฟรเดอริคเอียงคอลงด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยไม่ต่างจากคนที่ตายด้าน 

    แต่พูดจาเจ็บแสบเหลือจะกล่าว!

    “ประสาท” อิริคพ่นสบถออกมาอย่างนึกหงุดหงิด เพื่อนร่วมงานที่ต่างนิสัยกันแบบสุดขั้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจเพราะอะไรถึงทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันได้มาตั้งสี่ปีโดยไม่ฆ่ากันตายไปเสียก่อน

    อิริคเดินหนีบิชอปทั้งสามาอย่างขี้เกียจจะพูด ดวงตาสีเลือดหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อมองเห็นว่าเจ้าตัวบิชอปคนสำคัญได้ก้าวเข้ามาถึงโบสถ์พิธีการแล้ว

     ออซคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าแผ่วๆ เป็นเชิงบอกริ่มพิธีการ


    “กล่าวกันว่าพระองค์มอบหน้าที่ให้กับมนุษย์แต่ละคน มากบ้างน้อยบ้างไม่ว่าจะเป็นฐานะที่ยิ่งใหญ่ก็ดีหรือน้อยศักดิ์ก็ดีแต่มนุษย์ทุกผู้ทุกคนนั้นต่างก็ย่อมมีสิ่งที่ต้องให้คิดที่จะทำในยามตะวันสางกันทั้งนั้น” น้ำเสียงเอ่ยพร่ำหน้าแท่นบัลลังก์พิธี ออซยืนร่ายวัจนาเทศนาอยู่ตรงกึ่งกลางของบิชอปทั้งห้าด้วยใบหน้าที่เปี่ยมรอยยิ้มชวนให้เลื่อมใสนับถือ

    “เช่นนั้นแล้วสัตบุรุษทั้งหลายเอ๋ย...หลังจากจบพิธีในวันนี้ไปแล้วนั้นโปรดจงใช้ใจคิดใคร่ดูเถิดว่าตัวเจ้านี้จะปฏิบัติหน้าที่แสนลำค่าที่พระองค์มอบให้เยี่ยงไรให้ดีที่สุดเพื่อว่ายามที่ลมหายใจหมดลงเจ้าจะได้พบกับพระองค์ท่านอย่างทรงเกียรติ”

    และเมื่อถ้อยคำสุดท้ายในบทร่ายวัจนาได้จบลง พิธีมิสซาในวันนี้เสร็จสิ้นไปอย่างงดงามด้วยคำเทศนาที่กินใจของบิชอปออซ ยูเรียส กล่าวกันว่าหากใครได้ฟังคำสอนของเขาต่อให้เป็นมนุษย์ใจหยาบกระด้างสักเท่าไรก็ต้องหลั่งน้ำตาแห่งความซาบซึ้งรสพระธรรมด้วยกันทั้งนั้น...

    แม้จะดูไม่น่าเชื่อแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความจริงเพราะบิชอปทั้งห้ารวมถึงองค์สันตะปาปาต่างเห็นมากับตาแล้วทั้งนั้น

    นัยน์เนตรคู่สีแดงเลือดทอดมองภาพจองเหล่าศาสนิกชนเบื้องหน้าแล้วพวยพ่นลมหายใจเหนื่อยอ่อนออกมา รู้สึกดีที่พิธีได้จบลงเสียที

    เขาไม่ได้เกลียดพิธีมิสซาแต่เกลียดสายตาศรัทธาที่จ้องมองมาทางเขาต่างหาก

    “เก็กหน้าจนเหนื่อยเหรอไงอิริค?” น้ำเสียงทุ้มขี้เล่นของเรฟเพนเซียเอ่ยกระเซ้าพลางตบมือลงกับบ่าของอิริคที่นึกอยากจะวาดส้นเท้าใส่กบาลทองๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ใจก็คิดจะเดินเลี่ยงเพราะขี้เกียจจะเสวนาต่อยอดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะบิชอปและบาทหลวงจะต้องด้วยกันจนกว่าเหล่าสัตบุรุษทั้งหลายจะกลับกันไปหมดก่อน

    แล้วยิ่งพิธีในวันนี้มีบิชอปแห่งวัจนาอยู่ครบทั้งห้ารูปอีก...คนที่มาเข้าร่วมพิธีเลยเยอะเป็นทวีคูณ

    บิชอปผมดำพ่นลมหายใจยาวเหยียด ทั้งเบื่อทั้งรำคาญแต่เพราะเป็นหน้าที่ถึงจะไม่ชอบก็ต้องอดทน

    “อย่างนั้นแหละ...อย่าเพิ่งหนีไปจากตรงนี้นะอิริค” แว่วเสียงกระซิบจากชายตาสองสี เรฟเพนเซียคลี่รอยยิ้มให้กับบิชอปอายุน้อยกว่าเล็กน้อย

    เพราะเจ้ายอมรับชะตากรรมของตัวเองมากเกินไป...มากจนน่ากลัวว่าจะแตกสลาย  

    อย่าเพิ่งหนีไปจากที่ตรงนี้ทั้งนัยตรงและนัยอ้อมเลยนะเจ้าหิมะที่แสนกระด้างเย็นชา

     “ท...ท่านบิชอปคะ...” น้ำเสียงเล็กๆ ราวกับกระดิ่งลมของเด็กหญิงร่างเล็กวัยประมาณสิบสองปีเดินตรงเข้ามาทางเหล่าบิชอปทั้งห้าด้วยทีท่ากล้าๆ กลัวๆ มือบางทั้งสองกุมกันแน่นจนสั่นระริก...บอกได้ดีเชียวว่าเธอต้องรวบรวมความกล้ามากขนาดไหนเพื่อเอ่ยปากเรียกพวกเขา

    “มีอะไรหรือ เด็กน้อย” น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยจากเจ้าของเรือเส้นผมสีทองสว่าง ออซหรี่ตาคลี่รอยยิ้มอย่างอบอุ่นให้เด็กหญิงผ่อนคลายก่อนย่องตัวลงนั่งกับพื้นเพื่อให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกับร่างน้อยอย่างไม่ถือตัว

    “มีเรื่องอันใดในจิตใจของเจ้าที่อยากจะบอกกล่าวกับข้าอย่างงั้นหรือ” เขาเอ่ยถามพลางคลี่รอยยิ้มอบอุ่นที่ทำให้นัยน์ตาคู่กลมกระหวัดหันมองร่างของเหล่าบิชอปที่ยืนรอบๆ ตัวเธอ

                    ดอกไม้ช่อน้อยในมือถูกยื่นส่งมาให้อย่างกล้ากลัว เป็นช่อดอกเดซี่เล็กๆ หลายสีที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งเด็ดออกมาจากสวนข้างลานน้ำพุ...ดูไร้ค่าในราคาแต่กลับคุณค่าอย่างเหลือจะกล่าวในความหมาย...คือความจริงใจที่แสนไร้เดียงสาของเด็กน้อยที่มอบให้กับเหล่าบิชอปคนสำคัญทั้งห้าแห่งศาสนาจักร

     เห็นถึงรอยยิ้มดีใจจนแก้มปริบนใบหน้าอ่อนเยาว์เมื่อออซรับดอกไม้ไป เด็กหญิงแก้มแดงโค้งลาเหล่าบิชอปสุดตัวแล้วรีบวิ่งตรงกลับไปหาหญิงผู้เป็นมารดาซึ่งรอห่างออยู่ออกไปไม่ไกล

                    “น่ารักจังเลยนะขอรับ” ออซเอ่ยพูดพลางโบกมือลากเด็กหญิงคนนั้นด้วยที่น่าที่สง่างามสุภาพ มือคู่เรียวกระชับช่อดอกไม้ในมือแน่นเข้ายามทอดสายตาส่งเหล่าศาสนนิกชนกลุ่มสุดท้ายที่กำลังจะออกจากประตูโบสถ์

                    และแล้วตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่พวกเขาเหล่าบิชอปแห่งวัจนาทั้งหน้าเท่านั้น ความเงียบเฉียบที่เข้าครอบครองโถงกลางของโบสถ์กว้าง เจ้าของเรือนเส้นผมสีทองกระหวัดหันไปมองเพื่อนร่วมงานทั้งสี่

                    “ไปกันเถอะขอรับ” พูดเอ่ยอย่างแผ่วเบา ออซสบสายตาทุกคู่อย่างรู้ความหมาย

     “ไปพบกับองค์สันตะปาปา”



    โถงกลางขนาดใหญ่กว้างสีขาวหินอ่อน ปูด้วยพรมกำมะหยี่สีน้ำเงินกรมท่าที่ขลิบด้วยดิ้นไหมสีทองคาดเกี่ยวกับไหมสีเงินเกิดเป็นวสดลายแสนวิจิตร แสงสว่างสาดส่องจากระจกแก้วคริสตัลกระทบกับร่างของชายบนบัลลังค์ 

    เขาเป็นชายที่ดูสง่างามทว่ากลับบดบังใบหน้าด้วยผ้ากรองแสงสีขาวขุ่น ร่างโปร่งสวมใสเครื่องทรงและอาภรณ์สีขาวบริสุท์ประดับประดาด้วยเครื่องทองและมงกุฎอัญมณีดูหรูหราสมตำแหน่ง เรียวนิ้วกลางด้ายซ้ายสวมใส่แหวนเพชรสีแดงเข้มอันเป็นสิ่งยืนยันได้ดีว่าเขาคนนี้นั้นคือผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของศาสนจักรแห่งนี้

    บิชอปทั้งห้าองยืนยืนเรียงแนวหน้ากระดานเบื้องหน้าบัลลังก์ก่อนจะโค้งคำนับเพื่อเป็นการเคารพอย่างพร้อมเพรียงโดยมีออซเป็นตัวแทนเอ่ยกล่าว

    “มิได้พบกันเสียนานนะขอรับองค์สันตะปาปา”

    “อย่ากล่าวด้วยถ้อยคำที่ห่างเหินเช่นนั้นเลยบิชอปออซ ยูเรียสที่รัก” น้ำเสียงทุ่มและนุ่มนวลเอ่ยกล่าวเห็นถึงริมฝีปากได้รูปที่ขยับยิ้มแสนอ่อนโยน

    “มิได้หรอกขอรับ” ออซตอบกลับด้วยน้ำเสียงฟังสุภาพเขายังคงก้มหน้าลงต่ำด้วยเพราะตามกฏแล้วนักบวชศักดิ์ต่ำชั้นกว่าคาร์ดินัลมิสามารถมองพระพักต์ขององค์สันตะปาปานอกเวลาส่วนพระองค์โดยตรงได้

    “ยูเรียส...” ทว่าเมื่อองค์สันตะปาปาเอ่ยเรียกเขาด้วยนามก่อนบวช ออซก็ต้องสะดุ้งเอือกแล้วเงยหน้าขึ้นมาทันที บิชอปผมทองยิ้มแห้งๆ ที่ทำเอาเพื่อร่วมตำแหน่งทั้งสี่ถึงกับถอนหายใจยาว

    เพราะรู้กันดีในหมู่นักบวชรุ่นเดียวกันว่าอาจารย์ของบิชอปออซ ยูเรียสนั้นก็คือองค์สันตะปาปานั่นเอง

    “พวกท่านคงจะทราบถึงเหตุผลที่ข้าเรียกเหล่าบิชอปแห่งวัจนาทั้งห้ามาที่นี่แล้วสินะ”

    เหล่าบิชอปทั้งห้าต่างหันมองตากันเองอย่างพร้อมเพรียงด้วยความสงสัยจัดจนองค์สันตะปาปาคลี่ยิ้ราวกับพึงพอใจ

    อิริคหรี่ตาลงเมื่อรับรู้ว่าตนถูกมองโดยชายสูงศักดิ์บนบัลลังก์แต่ถึงจะสงสัยแต่ก็ต้องเก็บไว้ในใจ...เพราะพูดไม่ได้แล้วก็ขี้เกียจจะพูดด้วย

    “ภารกิจครานี้ลำบากมากไหม?” พระสันตะปาปากล่าวถาม ดวงตาภายใต้ม่านผ้ากรองหรี่ลงมองมาทางร่างโปร่งของบิชอปผมดำจนทำทำให้อิริคต้องหมุ่นคิ้วหนัก ชายหนุ่มเอียงคอลงสงสัยนักว่าการปฏิบัตหน้าที่ของตนนั้นมันเกี่ยวข้องกับการนัดรวมตัวในครั้งนี้ตรงไหน

    “ขอขอบพระทัยในความเมตตาขอรับองค์สันตะปาปา แต่ทว่าความลำบากของข้านั้นมิสามารถเปรียบเทียบกับความเจ็บปวดของดวงวิญญาณที่แปดเปื้อนเลยแม้แต่น้อย” อิริคตอบอย่าสุภาพทั้งที่ปากก็พูดไปงั้นแต่ในใจคืออยากเอาลูกตะกั่วยัดปากเจ้าพวกอาร์คบิชอปที่ลงมติเห็นชอบโยนงานมหาหินแบบนั้นมาให้ใจแทบขาด

    คงเพราะเห็นว่ายังไงเอ็กซ์โซซิสท์ก็ถูกประณามอยู่แล้วก็ล่ะสิเลยโยนเผือกโยนมันร้อนมาให้เรื่อย

    “เป็นคำตอบของเรื่องได้ดีเชียว” แล้วองค์สันตะปาปาก็พูดต่อไปท่ามกลางความฉงนใจของเหล่าบิชอป ออซหันหน้ามองเพื่อนทางซ้ายทีทางขวาทีก็ได้สายตางงๆ ตอบกลับมากันหมด

    คิ้วเรียวสีทองขมวดเล็กน้อย ออซทำสีหน้าครุ่นคิดหนัก

    เรื่องที่เรียกมากับเรื่องของเอ็กซ์โซซิสท์หากจะเกี่ยวข้องกันแล้วก็คงไม่พ้นเรื่องของ

    “การขยายจำนวนของไพร์มสินะขอรับ” แล้วอิริคก็เป็นคนตอบคำถามทั้งหมด มณีคู่สีเลือดจรดจ้ององค์สันตะปาปาไม่วาง...ความมั่นใจที่บ่งชัดราวในดวงตากับจะบอกว่าสิ่งที่เขาพูดมานั่นถูกต้อง ชายหนุ่มหรี่หัวคิ้วลงอย่างข้องใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆ ในลำคอจากชายสูงศักดิ์

    “ถูกต้องแล้วล่ะบิชอปอิริคที่รัก” องค์สันตะปาปาตอบน้ำเสียงเรียบนุ่ม เขาลูบไล้แหวนมณีสีแดงที่นิ้วกลางด้านซ้ายเบาๆ และยิ่งสัมผัสแหวนวงนั้นก็ยิ่งส่องแสงราวกับเรียกหาบางอย่าง

    “ยิ่งนับวันเหล่าไพร์มนั้นก็ยิ่งขนาดจำนวนเพิ่มมากขึ้นตามสัดส่วนของการก่ออาชญากรรม...ซึ่งนั่นก็หมายความว่า...”

    “จุดบอดในใจของมนุษย์นับวันจะยิ่งเพิ่มขึ้นมา...งั้นหรือขอรับ” แล้วออซก็ชิงแทรกขึ้นมา ดวงตากลมโตสีฟ้าใสจ้องมององค์สันตะปาปา...สาวตาที่รอคอยคำตอบแม้ว่าเขาจะไม่คาดหวังกับมันก็ตาม

    “ใช่”  ชายสูงศักดิ์เอ่ยรับด้วยถ้อยคำที่ทำให้สีหน้าของออซต้องเปลี่ยนไป ใบหน้าอ่อนเยาว์ของบิชอปน้อยดูติดรอยกังวลใจอย่างหนัก...ซึ่งก็มิใช่เรื่องใดนอกจากเป็นห่วงเพื่อนผู้ที่ต้องรับภาระหนักกับจำนวนไพร์มมหาศาลเหล่านั้น...เขากลัวว่าอิริคจะทานรับมันไม่ไหว

    นาสคิลด์มองใบหน้าของออซเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนข้างสีหน้าดูเปลี่ยนไป ฝ่ามือใหญ่เคลื่อนสัมผัสบ่าของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบโยน

    เขาหันไปหาองค์สันตะปาปา แม้จะมิอาจสู้สายพระเนตรคู่นั้นตรงๆ ได้แต่เขาก็ต้องการคำตอบของคำถามที่มีในอก

    “เช่นนั้นแล้วจุดประสงค์ที่ท่านพวกเรามานี้” นาสคิสด์เงียบลงเล็กน้อย บิชปอผมน้ำตาลกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากความกดดันที่ต้องประจันหน้ากับองค์สันตะปาปานั้นทำอย่างไรเขาก็มิอาจจะชินชาได้อย่างออซหรืออิริค ไม่สินะไม่น่าจะมีเพียงแค่เขาเหล่าบิชอปรูปอื่นเองก็เช่นกัน

    แม้ว่าพวกเราจะอยู่ในสถานะที่สูงสักเท่าไรแต่หากเทียบกับองค์สันตะปาปาแล้วนั้นบิชอปแห่งวัจนาก็เป็นเพียงแค่แสงสว่างเท่าเปลวเทียนเท่านั้นเอง

    “เพราะท่านจะบอกเราว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เอ็กซ์โซซิสท์จะต้องรับผิดชอบอยู่ฝ่ายเดียวใช่ไหมขอรับ” เสียงที่พยายามเปล่งออกมาจากปากดูมั่นคงเสียจนอิริคต้องแค่นเสียงหัวเราะ มีไม่กี่ครั้งเท่านนั้นล่ะที่นาสคิสด์จะกล้าพูดจาต่อหน้าพระพักตร์ได้แม้จะถูกสายตากดดันอยู่ก็ตาม

    ทั้งที่ปรกติหมอนี่ก็เป็นคนกล้าพูดกล้าทำขนาดกษัตริย์ยังกล้าพูดตอกกลับได้หน้าตาเฉยแท้ๆ แต่พอมาอยู่ในสายพระเนตรองค์สันตะปาปาเข้าหน่อยก็ถึงกับเกร็ง

     “ถ้าเป็นเรื่องนั่นแล้วล่ะก็ท่านก็อย่าได้ห่วงเลยขอรับองค์สันตะปาปา” ออซตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มใสซื่อสองมือประสานกันระดับอก ดวงหน้าอ่อนเยาว์ดูเปี่ยมเต็มด้วยความอ่อนโยน “เพราะเหล่าบิชอปเองก็มิปรารถนาให้ท่านเอ็กซ์โซซิสท์ต้องแบกรับเพียงลำพังเพราะว่านี่คือหน้าที่ที่พระองค์ประสงค์ให้เราทำเช่นกัน”

    อิริคโคลงศรีษเบาๆ แล้วถอนหายใจ

    คำพูดที่ฟังดูห่วงใยเอย คำพูดที่ราวกับจะปลอบโยนเอย ทั้งที่ไม่ได้เรียกร้องแท้ๆ แต่มันกลับเข้ามามากมายซะจนไม่อยากรับ...

    ที่ห่วงเพราะว่าเขาเป็นเอ็กซ์โซซิสท์ที่ต้องทำงานร่วมกับคำประนามหรือไง

                    อย่ามางี่เง่าหน่อยเลย!

                    ได้ยินเสียงจององค์สันตะปาปาที่กำลังหัวเราะน้อยๆ ทั่งที่แผ่วเบาทว่ากลับได้ยินชัด

                    “จะเข้าใจเป็นเช่นนั้นก็มิผิดนักหรอกนะบิชอปออซที่รัก” เขาพูดน้ำเสียงเรียบง่ายทว่าติดตรึงอยู่ในโสตของบิชอปเจ้าของนัยน์เนตรสีเลือด

    เข้าใจไม่ผิดอย่างงั้นเหรอ...

                    งั้นไอ้ที่ถูกต้องกว่านี้ล่ะ?

                    ฟังดูเป็นความเอาแต่ใจที่งี่เง่าชะมัด...ไอ้คำพูดพรรค์นี้น่ะ             

                 

                    อิริคหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ในหัวของเขากำลังคิด...คิดถึงเรื่องของไพร์มที่นับวันจะยิ่งทวีจำนวนมากขึ้นแต่เก่า...ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงบางทีจิตใจที่แสนบอบบางของมนุษย์คงทานรับไม่ไหวจต้องขนาดเปิดรับความมืดได้ง่ายดายขนาดนั้น

                    เมล็ดพันธ์สีดำที่ทวีจำนวนขึ้นมากมายขนาดนี้...ชักเป็นห่วงเอ็กซ์โซซิสท์รุ่นต่อไปจริงเชียวว่าไอ้หนูพวกนั้นมันจะรับมือไหวไหมหากเจอจำนวนไพร์มมหาศาลอย่างที่เขาต้องจัดการ

                    แต่มันก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่ใช่ว่าจะมาถึงในวันพรุ่งนี้เสียหน่อยหรือก็คือไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญที่ตอนนี้เขาจะต้องเก็บเอาคิดมากให้หนักหัว

                    เรื่องในอนาคตน่ะแค่อยู่เฉยๆ ปล่อยให้ผ่านตัวไปเดี๋ยวกันก็กลายเป็นอดีตเองนั่นแหละ

                    จะใส่ใจไปก็ใช่ที่

                    คำพูดหลากหลายไหลเข้าหูทว่าอิริคกลับปิดโสตนิ่งไม่รับฟังเอามาใส่ใจ ในเมื่อประเด็นสำคัญของการประชุมครั้งนี้ไม่มีส่วนไหนเลยที่เขาต้องรับรู้ไปมากกว่า ไพร์มเพิ่มจำนวนและเขาต้องไปลดมันก็แค่นั้น

                    แล้วพออยู่นิ่งๆ ไปสักพักการประชุมก็จบลงพอดีโดยได้ใจความแค่องค์สันตะปาปาต้องการให้เหล่าบิชอปเป็นแรงหนุนช่วยลดจุดบอดในใจคนซึ่งเป็นจุดกำเนิดของไพร์ม...ซึ่งก็คงไม่พ้นการร่ายเทศนายาวเหยียดกับพิธีล้างบาปตามธรรมเนียมนั่นแหละ

                    แต่เขาก็เข้าใจว่าคำพูดของบิชอปแห่งวัจนานั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์...คือวาจาสิทธิ์ที่คอยชำระล้างให้จิตใจสบเยือกเย็นและปลอดโปร่ง

                    เพราะว่าบิชอปคือผู้เยียวยาและเอ็กซ์โซซิสท์คือผู้ทำลาย

                    มันคือวัฏจักรง่ายๆ ที่เข้าใจกันหมู่นักบวชระดับสูงในศาสนจักร

                    แม้ว่าครานี้ผู้เยียวยากับผู้ทำลายจะเป็นคนๆ เดียวกันก็ตามทีเถอะ

                    เสียงลมหายใจแผ่วจางดังพร้อมกับการประชุมสิ้นสุดลง อิริครู้สึกถึงอิสระและความผ่อนได้รับ หลังจากนี้เขาจะกลับไปที่ห้องพักหมกตัวนอนจนกว่าจะถึงพิธีสวดมนต์เช้าวันพรุ่งนี้...ใช่...อย่างน้อยๆ อยู่แต่ในห้องก็ไม่ต้องไม่ร่ายเทศน์มหาชาติที่ไหนให้ใครฟัง

                    แล้วก็ไม่ต้องทนเดินท่ามกลางสายตาของใครต่อใครด้วย

                    “ประเดี๋ยวก่อนเอ็กซ์โซซิสท์เอ๋ย...” เสียงเรียกที่ทำให้อิริคต้องชะงักฝ่าเท้าที่เดินตามบิชอปองค์อื่นๆ ลง ชายหนุ่มแสร้งปั้นสีหน้าสงบนิ่งหันไปมองยังแท่นบัลลังก์ขององค์สันตะปาปาทั้งที่ใจหนึ่งอยากจะร้องสบถคำหยาบออกมาสักคำสองคำใหญ่ๆ

    อิริคใช้หลังมือดันเฟรเดอริคเป็นเชิงบอกให้พาบิชอปองค์ที่เหลือออกไปก่อน...เพราะเขารู้ดีว่าการที่องค์สันตะปาปาออกปากรั้งไว้นั้นต้องเป็นเรื่องที่คุยกันเฉพาะสองคนเท่านั้น

    นี่คือการคุยกันระหว่างแสงสว่างที่ถูกเชิดชูและเงาดำมืดของศาสนจักร

    เพราะองค์สันตะปาปาเรียกเขาว่า เอ็กซ์โซซิสท์ยังไงล่ะ


     

    แสงของดวงดาวในยามรัตติกาลแม้จะไม่มากมายนักหาแต่เมื่อมองจากมุมมองของคนที่ยืนมองเป็นตึกสูงแล้วช่างดูสวยงามราวกับหิ่งห้องกระพริบแสง น่าหลงใหลแต่ก็ไม่อาเอื้อมมือไปจับต้อง... ไขว่คว้าไปมันก็เท่านั้น ดื้อรั้นปรารถนาไปก็ไม่ได้ความ

    เพราะงั้นแค่มองให้มันกระพริบแสงอยู่บนฟ้าเฉยๆ ก็พอแล้ว

    อิริคกระชับชายผ้าคลุมสีดำให้เข้ากับตัว ดวงตาสีแดงจับจ้องหน้ากากเงินที่ส่องสะท้อนกับแสงจันทร์แล้วนึกโมโหที่อยู่ๆ ดีๆ ก็ต้องมา ทำงานทั้งๆ ที่ตัวเองเพิ่งกลับมาแท้ๆ

    หงุดหงิดแต่ปฏิเสธไม่ได้เนี่ยมันน่าโมโหชะมัด

    ชายหนุ่มพวกพ่นลมหายใจยาวออกจากริมฝีปาก สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงแค่ปล่อยให้ผ่ายเลยตามเลยเท่านั้น บิชอปแห่งวัจนาไม่มีสิทธิ์โต้แย้งคำสังสั่งขององค์สันตะปาปาเพราะงั้นถึงไม่อยากก็ตเองทำ เบื้องสูงสั่งมาจะให้เขาขัดใจมันก็ใช่ที่ ดีไม่ดีเดี๋ยวจะเกิดผลกระทบกับงานตามมาอีก

    เอ็กซ์โซซิทส์หลุบนัยน์เนตรลงมองยังเงาหนึ่งใดของตรอกเบื้องล่างแล้วต้องย่นคิ้วกับกลิ่นสาปขยะที่เคล้าไปด้วยคาวเลือดลอยแตะจมูก

    เสียงกรีดร้องอย่างทรมานแสนสาหัสดังรอดเข้ามาในหู อิริคจ้องมองร่างของหญิงสาวที่ถูกมีดจ้วงชำแหละจากน้ำมือชายหนุ่มทั้งสองด้วยแววตานิ่งเฉยไร้ซึ่งความปราถนาที่จะเข้าช่วยหรือสงสารแม้แต่น้อย ความเวทนาน่ะไม่มีอยู่ในหัวหรอกก็ในเมื่อเขาไม่คิดที่จะช่วยนางแต่แรก

    นัยน์ตาสู่สีเลือดกระหวัดหันมองนาฬิกาบนหอคอยสูงที่บ่งบอกว่าอีกไม่นานจะถึงเที่ยงคืน

    ได้เวลาแล้วล่ะมั้ง

    หน้ากากสีเงินที่ถูกสวมใส่บนใบหน้าส่องประกายสะท้อนแสงก่อนร่างโปร่งของเอ็กโซซิสท์หนุ่มจะกระโดดลงจากตึกสูงที่ตนเคยยืนลงสู่พื้นเบื้องล่าง แว่วกลิ่นกระไอของเลือดที่ลอยมาตามลมราวกับจะบอกว่าอีกไม่ช้ากายานี้จะต้องแปดเปื้อนเลือดบาปอีกครั้ง

    อีกทั้งคำพูดเองก็ยังคงอยู่ในหัว

    คำสั่งที่เหมือนกับคำร้องขอ

    และคำร้องขอที่เหมือนคำสั่ง

     

    เอ็กซ์โซซิสท์ที่รักเอ๋ย...โปรดจงฟังคำเอ่ยเอื้อนของเรา

     

    “อุตส่าห์ลงทุนมาอยู่กลางรังโจรเชียวนะ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างเชิดหยิ่ง ชายหนุ่มขยับยิ้มภายใต้หน้ากากตัวตลกไร้อารมณ์ก่อนจะคว้าบางอย่างอกมาจากชายเสื้อคลุมสีดำสนิท...ดวงตาสีเลือดทอดมองซากปลักเศษรูปปั้นเก่าๆ และความเสื่อมโทรมย่านชานเมืองที่ไร้ซึ่งความเจริญทั้งที่อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน

    แต่เศษซากสิ่งของก็ไม่ชวนขยะแขยงเท่ากับซากศพเหม็นเน่าที่ถูกทิ้งให้นอนแห้งจนเหลือเนื้อติดกระดูกพวกนั้นหรอก

    พลันที่ผ้าสะบัดพลิ้วไปกับสายลมเสียงลั่นของไกปืนก็ดังขึ้นหนึ่งครั้ง พร้อมกับร่างของชายที่จมกองเลือดโดยไม่ทันตั้งตัว

    เลือดชาดสีแดงออกดำข้นคลั่กไหลจากหน้าท้อง ร่างกายซีดขาวจนเกือบโปร่งใส ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดแต่กระนั้นเขาก็ยังพยายามขยับเคลื่อนไหว อิริคก้าวเดินอย่างเงียบเชียบใช้ฝ่าเท้ากดลงกับรูบนท้องของร่างที่นอนตะเกียกตะกายจนเลือดล้นปริ่มออกมาจากปากแผล ได้ยินทั้งเสียงกรีดร้องและน้ำตาที่ไหลพรากจากเขาคนนั้น

    ก่อนที่คมกระสุนจะดังขึ้นอีกครั้งด้วยความเมตตาที่ล้นเปี่ยม

    “หนึ่ง”

    น้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ซึ่งความอ่อยโยนใดรอดออกจากริมฝีปาก ได้กลิ่นของคาวเลือดที่ต้องกับจมูก...ขนาดเขายังได้กลิ่นซะฉุนขนาดนี้

    เป็นเหยื่อล่อชั้นดีเลยล่ะ

    เอาล่ะ...ใช้เลือดของเจ้าล่อเพื่อนออกมาให้ข้า ปลดปล่อยเถอะนะเจ้าไพร์มผู้แปดเปื้อน...

                    


    เรเบลล่าเมืองหลวงแห่งเรานี้ มิได้มีแต่แสงทองสว่างแห่งกรของพระองค์อีกต่อไปแล้ว

     

    อิริคชักฝ่าเท้าออกมาจากศพ สะบัดปลายผ้าคลุมสีดำปื้อนเลือดด้วยทีท่าองอาจไม่สะทกสะท้านต่อเงามืดซ่อนเร้นเร้นที่กำลังจับจ้องมาทางเขาอย่างกระหาย มือกร้านภายต้านถุงมือหนังบรรจุกระสุนใส่แมคกาซีนราวกับเตรียมตัวพร้อมตอบรับทุกเมื่อ

    ดวงตาสีแดงที่สะท้อนกับประกายแสงเหยียดมองฆาตกรอีกคน แล้วนึกขำกับความงี่เง่าที่ไม่ยอมโผล่หัวออกมาสู้ตรงๆ ทั้งที่มือก็ถือมีดแท้ๆ

    แล้วไอ้ที่พกอยู่นั่นน่ะก็ปืนไม่ใช่หรือไงกัน

    อิริคคลี่ยิ้มก่อนจะถอยตัวออกห่างแล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย...แม้หน้ากากตัวตลกจะทำให้มองไม่เห็นใบหน้าแต่แค่ท่าทาง...ดูก็รู้แล้วว่ากวนประสาทเห็นๆ

    กระสุนพุ่งยิงจากปากกระบอกตรงเข้าหาร่างของเอ็กซ์โซซิสท์หนุ่มที่หยุดยืนอยู่นิ่งๆ ราวกับจะรอรับตะกั่วเข้าหัวอยู่ไม่มีผิด

    อิริคคลี่ยิ้มอย่างมาดมั่น ริมฝีปากบางร่ายสเปลเวทมนต์ที่ก่อกำเนิดม่านสายลมแรง เพียงแค่ชายหนุ่มปัดมือออกกระสุนก็สิ้นฤทธิ์ลงไปกองกับพื้น

    เพราะสติที่ถูกฝึกและลับมาอย่างดีแต่เด็กมันทำให้รู้เห็นและมองทิศกระสุนได้อย่างชัดเจน กับอีกแค่การยิงในระยะประชิดแค่นั้นต่อให้เป็นตัวเขาตอนอายุสิบสองก็ทำได้!

                    อิริคลั่นไกตอบโต้แต่ทว่าที่รับลูกกระสุนกลับหญิงสาวที่เป็นเหยื่อคนล่าสุดของพวกมันต่างหาก มันให้นางเป็นโล่บังตัวเองและทิ้งขว้างลงกับพื้นอย่างไร้ใยดีเมื่อหมดประโยชน์          

                    “ชิ...” น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยแข่งกับสายลมราตรีพร้อมกับร่างไร้ชีวิตที่ล้มลงบนพื้นนองเลือด...ตายอีกเป็นครั้งที่สอง

                    บ้าเอ้ย!

                   


                    เนื่องด้วยมีหมาป่าได้ลักลอบเข้ามาล่อลวงและทำร้ายเหล่าแกละผู้ไร้ซึ่งความผิดใดๆ จนขนสีขาวที่มีแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท...เจ้าคงรู้ถึงความหมายของมันสินะ...เอ็กโซซิสท์เอ๋ย...

                           

                            เข้าใจอยู่แล้วล่ะน่าแต่เลิกร่ายวัจนายืดยาวเข้าใจยากสักทีเถอ!!

                    ปัง!

                    อิริคได้แต่นึกฉุนเฉียวกับคำที่องค์สันตะปาปารับสั่งให้ฟัง แต่เพราะแสดงกริยาโต้ตอบไม่ได้ตอนนี้ก็เลยได้แต่โมโหไปพลางอาละวาดกราดยิงใส่คนไปพลางราวกับหาที่ระบายอารมณ์

                    หากท่านหมายถึงไอ้ฆาตกรต่อเนื่องที่อยู่ในเมืองนี้ล่ะก็ข้าก็บอกได้คำเดียวเลยนะว่ามันบ้าบอชะมัด คนอุตส่าห์เพิ่งกลับจากภาระกิจยังทะเล่อมีโจรมาอาละวาดในเมืองหลวงอีก อยากจะบ้า ตำรวจสมัยนี้ดูแลประชาชนยังไงปล่อยให้นักบวชมาจัดการโจรบ้างเล่า!

                    ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับไพร์มข้าก็ไม่อยากแย่งงานตำรวจทำหรอกน่า!

                    ไพร์ม...

                    หรือในคัมภีร์นั้นเรียกว่ารากเหง้าแห่งบาปนั้นเกิดจากจุดบอดในจิตใจของมนุษย์...คือสีดำที่แต่งแต้มบนแสงสว่างซึ่งนับวันจะยิ่งเพิ่มทวีจนเป็นช่องว่างในจิตใจ....

                    จนก่อให้เกิดเมล็ดพันธ์แห่งบาปนามว่าไพร์ม จิตวิญญาณด้านมืดที่ไม่แตกต่างจากปิศาจร้าย มันเกาะกินจิตใจอ่อนแอของมนุษย์ราวกับกาฝาก คอยควบคุมให้ขาดสติ ไร้สามัญสำนึก กระตุ้นความกระหายอยากและลบการยับยั้งชั่งใจที่ควรมีออกไป

                    จนสุดท้ายก็จะเกิดอาชญากรรมน่ากลัวจนไม่อาจจินตนาการขึ้นเพราะมนุษย์ไม่มีสำนึกผิดชอบชั่วดีหลงเหลือจากการบงการของไพรม์

    แม้ว่าเมื่อก่อนจะเป็นคนแสนดีเพียงไหนแต่พอจิตใจไม่มั่นคงก็จะถูกไพร์มสิงสู่ก็จะพลิกการกระทำเป็นหลังมือได้

    คือกาฝากแห่งบาปทีพระองค์ไม่อาจควบคุม

    เพราะฉะนั้นจึงต้องมีเขา...มีเอ็กซ์โซซิสท์ผู้เป็นดังมือเท้า

    เพื่อปลดปล่อยวิญญาณที่ถูกควบคุมโดยจิตบาป...เพื่อปลดปล่อยออกจากร่างกายที่สติไม่อาจควบคุม

    สุดท้ายนี้ก็คงไม่พ้นซึ่งความตาย...

    รับรู้ถึงกระแสความร้อนที่ไหววูบ อิริคหรี่สายตาแล้วยิ้มเหยียดๆ เมื่อมองลูกไฟเวทที่พุ่งใส่เฉียดหน้าแม้จะดูบอบบางบางจนเป่าด้วยปากก็ดับแต่ก็พอรู้ได้อย่างว่ามันจนตรอกมากพอที่จะเอาของอ่อนด้อยมาสู้กับเขา...หรือไม่ก็...

    ก็กำลังจะบอกให้เขารู้ว่าความสามารถในการใช้สเปลไม่ได้จำกัดอยู่นักบวชและผู้ใช้เวทมนต์อีกต่อไป!

    ชายหนุ่มควงปืนไปมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก้าวเดินอย่างเย็นใจเพราะเจ้าตัวขี้เกียจจะลีลาเล่นกับอีกฝ่ายแล้ว...หรือก็คือที่ถ่วงเวลาอยู่นี่ก็แค่อยากจะหาที่ระบายอารมณ์เท่านั้นเอง

    “เลิกเล่นได้ยัง” เขาเอ่ยถามก่อนจะหรี่ตามองนาฬิกา

    อีกสามวินาที

    อีกสองวินาที

    อีกวินาที

    ปัง!

    เสียงปืนที่ดังพร้อมกับนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน ระฆังส่งเสียงแสบแก้งหูราวกับจะเป็นเครื่องนำทางของวิญญาณสองดวง

    ยามเมื่อเจ้าหลุดพ้นจากกายาสกปรกนี้แล้วนั้นข้าก็ขออวยพรให้เจ้าได้ไปจุติยังสถานที่ใหม่ที่ตราบาปมิอาจตามตัวได้อีก...เสียงระฆังนี้จะนำวิญญาณเจ้ากลับสู่อ้อมกอดอันพิสุทธิ์ของพระองค์

    “ถ้าเรเบลล่ายังมีไพร์ม ชายแดนนอกเมืองก็ไม่ต้องพูดถึงล่ะ...หือ?” อิริคอุทานแผ่วเบาเมื่อพบกับขนนกสีเทาร่วงหล่นมาจากจากท้องฟ้า ท่ามกลางเสียงสะท้อนของระฆังบนหอนาฬิกาขนนกบอบบางปลิดปลิวเคล้าคลอกับแสนจันทร์ราวกับดวงดาวที่กำลังเริงระบำร่วงสู่มือที่เปื้อนเลือด...

    และเมื่อเสียงระฆังหยุดลงนั้นอิริคก็แทบจะต้องถลาตัวพุ่งไปข้างหน้า

    เพราะว่าท่ามกลางกระแสนขนนกนั้นก็คือร่างของมครคนหนึ่งซึ่งกำลังรวงหล่นลงมาจากหอนาฬิกาด้วยร่างกายเปื้อนเลือดอันไร้สติ!

     

    เส้นด้ายสีทองบนมือนี้จะถักทอให้เจ้าค้นพบกับประกายแสงตะวันอ่อนโยน

    โชคชะตาที่กำหนดให้พบพานนี้จะนำพาเจ้าสูแสงสว่าง

    ด้วยพรที่เปี่ยมล้นนี้จะนำพาให้ค้นพบซึ่งคำตอบของคำถามทั้งมวล

    แด่แสงสว่างอันเป็นนิจนิรันดร์ที่พวกเจ้าจะสร้างขึ้นมา...

    ...อาเมน...

    +++++++++++++++++

    ตัดจบฉึบ! (ด้วยความขี้เกียจ)

    อัพระหว่าหาข้อมูลทำการบ้าน

    (เลวววว)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×