คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : [SF]-My Security-“ Ryokan & Onsen “ (Kyunghoon x Jongin) - 2
ผมได้รับคำบอกกล่าวจากแบคฮยอน
ว่าตัวเล็กยังนอนหลับอยู่ในห้องในเวลาเกือบเที่ยงวันของวันหยุด
“ไม่เจอกันนานเลยนะพี่”
ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับคำทักทาย หมอนั่นยังคงเป็นผู้ช่วยที่ดี
ตั้งแต่ความสัมพันธ์ของผมกับเด็กคนหนึ่งที่แบคฮยอนเอ็นดูเหมือนน้องชายแท้ๆ
ข้ามขั้นจากผู้ดูแลความปลอดภัยกับศิลปินในความดูแล
เป็นสถานะในความลับต่อแฟนคลับและคนทั่วไป
เพราะเด็กหนุ่มหน้าหวานแต่นิสัยห้าวคนนั้นไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่ศิลปินกับศิลปินคบกัน
มันอาจจะมาจากปมของอดีตในใจของหมอนั่นหรือเปล่าผมก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ดังนั้นการที่ผมซึ่งเป็นแค่การ์ดคนหนึ่งดูจะเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจสำหรับแบคฮยอนพอดู
ถึงได้ยินดีที่จะสนับสนุนผมมากกว่าเพื่อนในวงด้วยกันและยังรีบบอกผมอย่างหน้าชื่นตาบานว่าตัวเล็กบ่นถึงผมเมื่อวานนี้ยังไง
อีกเหตุผลหนึ่งคงเพราะหมอนั่นก็คบกับสไตล์ลิสของวงอยู่
แล้วผมก็รู้เรื่องนั้นดีกว่าใครทั้งหมด
ห้องนอนของตัวเล็กคือห้องขวามือสุดทาง
ผมเคยมาที่นี่สองสามครั้งแต่ทุกครั้งจะได้แต่นั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
บนโซฟาที่หรืออีกความหมายหนึ่งคือที่นอนของแบคฮยอน
เคาะประตูพอเป็นพิธีแล้วถือโอกาสบิดลูกบิดเปิดประตูเข้าไป
ภาพที่เห็นคือเด็กหนุ่มอีกคนกำลังนั่งใส่เสื้อยืดแขนยาวอยู่บนเตียงนอนชั้นล่าง
ผมไม่คิดว่าจะเจอใครในห้องนี้โดยเฉพาะชานยอลแต่นั่นก็เป็นเพราะผมลืมนึกไปว่าใครบ้างที่เป็นรูมเมทของจงอิน
อีกฝ่ายมองหน้าผมนิ่งด้วยวิธีแค่เหลือบตาขึ้นมือก็จัดชายเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง
ไม่มีกล่าวทักทาย ไร้ซึ่งความเคารพ
ผมกรอกตา
ยักไหล่แบบขอไปที่หลังจากอีกคนเดินสวนออกไปจากห้อง
มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บเอามาใส่ใจในเมื่อตอนนี้ผมกับเด็กที่นอนอยู่บนเตียงชั้นสองเป็นแฟนกันและทุกคนที่นี่ก็รู้
ดังนั้นปาร์ค ชานยอล ในสายตาของผมก็แค่พี่ชายร่วมวงธรรมดา ไม่พิเศษไปกว่านั้น
ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าชานยอลอาจจะคิดอะไรกับตัวเล็กแต่นั่นก็ถือเป็นข้อดีเมื่อคิดไปถึงเวลาที่ผมไม่อยู่
แบคฮยอนบอกเสมอว่าชานยอลดูแลจงอินดียังไง และหมอนั้นขี้หวงจงอินกับคนอื่นๆ ขนาดไหน
คิดๆ ดูแล้วมันก็เป็นข้อดีที่น่าหงุดหงิดใจ แต่ยังไงก็เป็นข้อดี
“อืม...”
เสียงครางหงุดหงิดทันทีที่ผมวางมือบนหัว เตียงสองชั้นไม่สูงมาก
มันพอดีกับส่วนสูงของผมและไม่ลำบากเกินไปที่จะลูบหัวตัวเล็ก ร่างที่นอนหันหลังอยู่พลิกตัวหันกลับมาแต่ตายังไม่ยอมเปิด
นั่นทำให้ผมไม่มั่นใจนักว่าเขาตื่นแล้วหรือยังจมอยู่ในฝันที่มีผมเข้าไปก่อกวน
คิ้วบางขมวดมุ่นขัดใจแล้วค่อยๆ ซุกหน้าลงไปใต้ผ้าห่มเรื่อยๆ จนมิดจมูก
ผมยิ้มเอ็นดู ขยี้นิ้วโป้งลงไปที่ไรผมบริเวณหน้าผาก
แล้วผมก็ได้เสียงครางงัวเงียขัดใจกลับมาอีกครั้ง
ครั้งนี้ผมยิ้มขำ
จงอินน่ารักจนผมเขย่งเท้าขึ้นไปจูบและหอมหน้าผากเขาเบาๆ
นึกด่าตัวเองในใจพอรับรู้ได้ว่าจมูกของผมเย็นมากเมื่อเทียบกับหน้าผากอุ่นๆ
จงอินขมวดคิ้วอีกเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสเย็นจัดแต่ก็ยังไม่ยอมตื่น ขี้เซาชะมัด
เป็นแฟนกันแล้วมันดียังไง
ผมแทบสาธยายออกมาไม่หมดเลยคุณเชื่อไหม
เสียงโทรศัพท์ที่ผมตั้งไว้สำหรับเบอร์ลูกน้องในทีมเท่านั้นดังขึ้นขัดห้วงอารมณ์เอ็นดูเด็ก
ผมนึกด่าใครสักคนที่โทรเข้ามาตอนนี้ในใจตั้งแต่ยังไม่เห็นชื่อด้วยซ้ำ
เพราะไม่ว่าก็ตามที่โทรเข้ามา
มันคงไม่รู้ตัวว่าได้สร้างรอยย่นตรงหว่างคิ้วให้เด็กน้อยของผม
ฮยอนจุน
คือชื่อของมัน ผมรีบกดรับก่อนที่เสียงอ้าเย่ของฮยอนอาจะทำให้ตัวเล็กตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“ว่า?”
(เสียงเย็นชา) มันว่าด้วยเสียงน้อยใจ ผมรู้ว่ามันพูดออกมาด้วยความปลอมและเปลือกขนาดไหน ดังนั้นผมจะไม่เก็บมาใส่ใจให้รกสมอง แล้วถอนหายใจแรงๆ ใส่มันให้รู้ถึงสัญญาณอันตราย (ไรวะหัวหน้า ทำไมต้องหงุดหงิด จะโทรมาถามว่าอยู่ไหน ประชุมงานเสร็จก็หายไปเลย กูจะชวนมึงไปดื่มฉลองวันหยุดยาว)
“อยู่หอตัวเล็ก” มันร้องอ่อ ขึ้นมาเบาๆ ตอนนั้นเองผมเห็นคนบนเตียงขยับเหมือนไม่สบายตัว
(ได้หยุดหลายวันทั้งคู่นี่หว่า กูก็ลืมไป)
“เออ รู้แล้วก็เลิกรบกวนเวลากูได้ละ” ผมกระซิบเบากว่าเดิม
(หน่ะ...) ผมกรอกตาเพราะรู้ว่าคนอย่างมันคิดอะไรและจะพูดอะไร (ไล่กู กระซิบใส่กู....มึงทำอะไรกันอยู่?)
“ทำเหี้ยอะไร สัส พูดให้ดีๆ” พูดไปก็เหลือบมองคนบนเตียงไป ผมกลัวว่าเขาจะตื่น มากกว่านั้นผมไม่อยากให้เขาได้ยินผมพูดคำหยาบคายที่ใช้บ่อยๆ กับพวกเพื่อนกระโปกอย่างไอ้ฮยอนจุนเป็นต้น ผมละมือจากหัวกลมบนเตียงเดินไปนั่งคุยที่เตียงเดี่ยวอีกเตียงที่อยู่แยกออกมาอีกฝั่ง
(ก็มึงทำกูสงสัย)
“ตัวเล็กหลับอยู่
กูไม่อยากเสียงดัง”
(อ่อ...ถ้าจงอินตื่น
ก็เสียงดังกันได้งี้)
“ไอ้....”
(หัวหน้า กูล้อเล่นนนน ตั้งแต่ได้เป็นหัวหน้านี่โหดกับกูจ๊าง ใช่สิกูไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ของมึงนี่จะได้เพิ่มความละมุนหัวใจให้ตามตำแหน่ง ยิ่งสูงยิ่งอบอุ่น) ผมเกลียดเสียงมัน ผมอยากให้พวกคุณมาได้ยินเหมือนที่ผมได้ยิน เพื่อนสันดานที่ชอบหาความเอากับทุกการกระทำของผม
“ใช่
มึงไม่ใช่จงอินและไม่มีทางใช่” จริงๆ
แล้วไม่มีใครเหมือนตัวเล็กอีกแล้วในโลกนี้ครับ “แล้วก็ใช่อีกที่กูเป็นหัวหน้า
และกูก็อยากให้มึงระลึกไว้ในใจเสมอว่า กูเป็นหัวหน้า”
ผมเน้นคำว่า
หัวหน้า ให้มันได้สติ มันเงียบครับ แล้วไม่นานผมก็ได้ยินเสียงกระซิกๆ ที่ปลอมเปลือกกว่าเดิม
“มึงจะวางได้ยังกูไม่ได้มีเวลาว่างให้มาเสียไปกับมึงนะ”
(ใช่ซี่....)
“เหี้ยฮยอนจุน
กูนับหนึ่ง...”
(เออๆๆ กูวางละ มึงนับทีไรกูโดนส่งไปทำงานดูแลพวกนักมวยตัวมันเลื่อมไม่ก็นักฟุตบอลขนหน้าแข้งดกๆ
ทุกที ไม่เจริญหูเจริญตาเลย มึงจำตอนที่...)
“นับสอง”
(ไอ้เพื่อนชั่วววว...)
ผมตัดสายทิ้งในตอนนั้น
กดปิดเครื่องเพื่อตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างตั้งใจ
เพราะผมเชื่อว่านอกจากไอ้ฮยอนจุนแล้วยังมีไอ้จินแท
กับไอ้ซานอีอีกที่ต้องการระรานชีวิตรักของผม
ไม่มั่นใจจนกระทั่งลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นว่า
เจ้าของคำสบถหยาบคายมากมายพวกนั้นคือตัวใหญ่
นับเป็นเรื่องใหม่อีกเรื่องที่ได้รับรู้
คิม จงอินเซอร์ไพรส์อีกแล้ว ตั้งแต่เรื่องนิสัยบนเตียง และก่อนหน้านี้ที่พวกคุณไม่ทันได้รู้คือเรื่องเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมดรีมซิคิวลิตี้ของบริษัท
เป็นเรื่องที่ผมมองไม่เห็นถึงข้อดี...การได้เป็นหัวหน้าทีมนี่มันดียังไง?
นอกจากหน้าที่การงานที่ดีขึ้น ผมก็เห็นว่ามันมีแต่ข้อเสียล้วนๆ
มีเวลาเจอกันน้อยลง
มีเวลาคุยกันน้อยลง ไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนด้วยกัน...เรียกได้ว่า มีเวลาใส่ใจดูแล
คิม จงอินน้อยลง จะง่ายกว่า
แล้วตอนนี้เรื่องที่อีกคนดูเหมือนไม่ใช่
อิม คยองฮุนคนสุภาพพูดเพราะกับผมในเวลาปกติ ดูจะเป็นหัวข้อใหม่ล่าสุดสำหรับผม จะให้พูดยังไงดีล่ะครับ ผมก็ไม่ใช่เด็กเรียบร้อย
หรือคนที่คนอื่นต้องมาพูดจาลื่นหูด้วยตลอดเวลา แต่
ในเมื่อตัวใหญ่แสดงออกกับผมแบบนั้นมาตลอด มันก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า จริงๆ แล้วแบบไหนกันแน่ที่เป็นตัวตน
ผมแกล้งหลับเหมือนหลายครั้งที่ชอบทำเวลาไม่อยากเผชิญหน้า
น้ำหนักมือที่ลูบอยู่ที่หัวนุ่มนวลคุ้นเคย ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ
แล้วไม่นานก็ถูกจูบที่หน้าผาก มันคล้ายกับในฝันก่อนหน้านี้ก่อนที่จะตื่น
“ยังไม่ตื่นอีกหรือนี่”
ตัวใหญ่พูดแล้วก็ใช้จมูกเกลี่ยไปมากับปลายจมูกของผม
น่าจะใช่เพราะผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ เป่ารดตรงปากบน ขนลุก...
รู้ตัวอีกทีก็ถูกจูบที่ปาก จูบคลอเคลียอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ได้สอดลิ้นเข้ามา
“อืม...”
ผมทำทีว่ารู้สึกตัวเพราะไม่อยากให้อะไรมันยืดยาวไปกว่านี้
และอีกอย่างผมก็อายเป็นนะครับถ้าเกิดใครเข้ามาเห็นเข้า
ผมเองก็ไม่รู้จะมุดหัวหลบเสียงล้อเลียนจากพี่ๆ ในวงยังไง
“อรุณสวัสดิ์ครับ
ตัวเล็ก”
เป็นแฟนกันแล้วมันก็ดีแบบนี้
ไม่ต้องขัดเขินที่จะมองตาและกล้าที่จะพูดคำหวานๆ เช่นคำข้างต้นใส่กัน
ก็เพราะเป็นแฟนกันแล้วจะต้องกลัวอะไรอีก
ผมขยี้ตาใส่เพราะเขินอยู่ในทีและไม่รู้จะเอาสายตาไปทอดมองที่ตรงไหน จริงๆ
แล้วผมยังคงขัดเขินแม้จะเป็นแฟนกันแล้ว หรือจริงๆ แล้วมันเป็นเพราะถูกลักหลับด้วยจูบก่อนหน้านี้
จริงๆ แล้วคงเพราะถูกจ้องตาในระยะขนอ่อนเกี่ยวกัน
จริงๆ
แล้วผมควรทำยังไงกับผู้ชายตรงหน้าดี??
“มาได้ไง
ไม่ต้องทำงานหรือไงคุณหัวหน้า” ผมว่า แล้วยันตัวลุกขึ้นตัดปัญหาในใจ
“ไม่มีครับ
ประชุมเสร็จแล้วก็ว่างยาว” เขาพูด ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ “เมื่อคืนนอนดึกหรอครับ?”
“นิดหน่อย
เซฮุนชวนเล่นเกมถึงตีสองได้มั้ง แล้วนี่ตัวใหญ่มาทำอะไร?”
ผมเลิกคิ้วถามด้วยสงสัยจริงๆ ปกติแล้วจะมาหาก็จะโทรมาก่อนเสมอ
เขารู้ตารางงานของผมในขณะที่ผมแทบไม่รู้เลยว่าวันวันหนึ่งตัวใหญ่ทำอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง
จะรู้ก็ต่อเมื่ออีกคนว่างมาเจอแล้วเล่าให้ฟังในรถบ้าง ในร้านอาหารบ้าง
“มารับตัวเล็กไปเที่ยว
ไปอาบน้ำสิครับ”
“เที่ยว?”
ผมถามย้ำ ตัวใหญ่พยักหน้าแล้วยิ้มเป็นคำตอบ
ผมพยักหน้าเข้าใจส่งกลับไปให้อีกคนยิ้มกว้างกว่าเดิม
ก็ดีเหมือนกันเพราะถ้าไม่ได้ไปไหนวันนี้ผมก็คงนอนเบื่ออยู่ในห้องทั้งวัน
ได้ไปนั่งรถเล่นกินลมชมวิวบ้างก็น่าสนุกดี
ขยับตัวจะลงบันไดของเตียงแต่อีกคนดึงแขนไว้ให้หันมา
ผมโน้มหน้าลงไปตามแรงฉุดเพื่อรับจูบเบาๆ จากคนข้างล่างอีกที
“รีบอาบนะครับ
จะได้รีบมาเตรียมตัว”
นะ...เป็นแฟนกันแล้วมันดีแบบนี้
ผมค่อนข้างพาตัวเองไปอาบน้ำอย่างว่าง่ายและเร่งรีบกว่าทุกครั้ง
ไม่ถึงสิบนาทีก็พาตัวเองมายืนเช็ดผมอยู่หน้าประตูห้องนอน เบื้องหน้าผมคือคนตัวใหญ่กำลังกางกระเป๋าเดินทางสีเทาเข้มใบใหญ่สุดของผมไว้กับพื้นแล้วหันมาถามผมว่า
ตัวนี้จะเอาไปด้วยไหม?
“ทำอะไรครับ?” ผมยังถูผ้าขนหนูไปกับเส้นผม
ในขณะเดียวกันก็ส่งสายตาเป็นคำถามไปให้
“เก็บเสื้อผ้าไงครับ
ตัวเล็กจะเอาอะไรไปบ้าง?” บทสนทนาชวนงง ผมเดินเข้าไปใกล้
ชะโงกหน้ามองในกระเป๋ามีแต่เสื้อโค้ทหนาๆ กับผ้าพันคอ ถุงมือ และหมวกบีนี่
“เราจะไปไหนกัน
ทำไมต้องเก็บกระเป๋าด้วย ตัวนั้นผมใส่ไม่ได้แล้วอ่ะ มันคับ” ผมนั่งมองคนตัวใหญ่จัดข้าวของอยู่บนเตียงพี่คยองซู
แม้จะยังไม่รู้คำตอบที่ชัดเจนแต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนกับการกระทำ
“ตัวนั้นของพี่ชานยอล เอาไปไม่ได้”
“ไปญี่ปุ่นครับ”
ตัวใหญ่ตอบก่อนจะโยนเสื้อคอเต่าแขนยาวสีเขียวขี้ม้าของชานยอลเข้าตู้
ไม่เก็บเข้าไม้แขวนเหมือนตอนแรก
“ญี่ปุ่น?” พี่คยองฮุนพยักหนาแล้วหยิบกางเกงขายาวอีกสองตัวใส่ลงไป
“เดี๋ยวก่อนนะ....ไปเมื่อไหร่?”
“สี่โมงเย็นครับ”
ลมแทบจับ ผมดูนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาเที่ยงครึ่ง “พาสปอร์ตล่ะครับ?
อย่าลืมพกไปด้วย”
“แล้วใครบอกว่าผมจะไปกับตัวใหญ่
งานการไม่ต้องทำแล้วหรือไงครับคุณหัวหน้า” คุณหัวหน้าหันมายิ้ม คนในชุดสูทผูกไทแดงที่เป็นยูนิฟอร์มของบริษัทรูดซิปกระเป๋าเดินทางเป็นอันเสร็จแล้วลากมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
“ได้หยุดยาว
ตัวเล็กก็เหมือนกันนี่ครับ”
“เห้ย
แต่แบบ...”
“ไปด้วยกันนะ...นานๆ
จะได้หยุดตรงกันแบบนี้สักที ตัวเล็กก็รู้ว่าตั้งแต่พี่เป็นหัวหน้า เราได้เจอกันน้อยลงขนาดไหน”
“ก็ใครใช้ให้ไปเป็นหัวหน้าล่ะ”
“โถ่...”
เขาทำหน้าน้อยใจใส่ผม ให้ตายเถอะอายุก็ปาเข้าไปสามสิบแล้วยังจะมาทำตัวเหมือนเด็กๆ
“ก็ได้
ผมไปด้วยก็ได้ เห็นแก่จะได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น ฟรีๆ หรอกนะ” ผมย้ำ
เขาหัวเราะเมื่อได้ยิน
“จะไม่ปล่อยให้เสียเงินแม้แต่เยนเดียวเลยครับ”
เรามาถึงญี่ปุ่นตอนสี่ทุ่ม
รถที่ให้พี่เขยเช่าไว้ขับมารอรับที่จุดจอดรถขาเข้าชั้นหนึ่ง
ตัวเล็กมองผมด้วยหางตา
ราวกับว่าผมที่เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้สำหรับทริปของเราครั้งนี้ดูไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
ผมยิ้มให้แล้วเปิดประตูรถให้เขาเข้าไปนั่งอย่างว่าง่าย ช่วยคนขับรถยกกระเป๋าของเราไปใส่ท้ายรถก่อนจะเข้าไปนั่งข้างๆ
เขาที่เบาะหลัง จุดมุ่งหมายคือเกียวโตเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น
เมืองที่ผมเคยบอกเขาว่าจะพามาเที่ยวเมื่อมีโอกาส
เมืองที่อยู่ห่างจากโอซาก้าแค่หนึ่งชั่วโมง
ที่พักคืนนี้เป็นเรียวกังระดับห้าดาวบวกติดริมแม่นั้นที่พี่เขยจัดการจองให้อีกเช่นเคย
แน่นอนว่าจองแค่ห้องเดียวเท่านั้น ไม่ใช้เพราะกลัวสิ้นเปลืองอะไรนะครับ
แต่คนเป็นแฟนกันแล้ว เรื่องอะไรจะนอนแยกจริงไหม?
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อดีที่ผมไม่อยากพูด
ห้องที่เราพักอยู่ฝั่งแม่น้ำ
ชื่อห้องโมมิจิ ผมอ่านเอาจากตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่ติดอยู่หน้าห้อง พนักงานผู้หญิงใส่ชุดยูกาตะพาเรามาแนะนำห้องและบอกผมว่าจะพาไปแนะนำส่วนอื่นๆ
ที่ต้องรู้ แน่นอนว่าเธอพูดด้วยภาษาอังกฤษเพราะผมไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลยสักคำทั้งที่มีพี่เขยเป็นคนญี่ปุ่น
ตัวเล็กบอกว่าจะอยู่รอที่ห้อง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ผมที่จะไปศึกษาทุกซอกทุกมุมมาถ่ายทอดให้ตัวเล็กฟังอีกที
กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงที่ต้องจดจำว่าห้องทานอาหารเช้าอยู่ชั้นไหน อาหารค่ำอยู่ชั้นไหน
มีห้องนวดด้วยและผมคิดว่าจงอินต้องชอบ และที่พลาดไม่ได้คือห้องแช่ออนเซน
ผมเดินเข้ามาในห้องและพบว่าตัวเล็กไม่ได้อยู่ในนี้
ในห้องน้ำก็ไม่มี ระหว่างที่เอาแต่คิดว่าอีกคนไปไหน
พนักงานอีกคนที่ผมจำได้ว่าเธอเป็นคนเช็คอินให้ก็เดินหอบฟูกผืนใหญ่เข้ามา
ผมถามเธอถึงเด็กผู้ชายที่มาด้วยกัน และเธอพูดมาคำเดียวว่า ออนเซนรูม
อากาศอุณหภูมิติดลบสององศากับน้ำแร่ธรรมชาติอุณหภูมิเกือบห้าสิบ...ผมเห็นควันสีขาวๆ
กระจายเต็มห้อง เอาจริงๆ แล้วมันคือหมอกที่เกิดจากอุณหภูมิที่ต่างกันเกินไป
แต่ผมก็ยังเห็นจงอินอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนในโซนกลางแจ้งที่ยื่นออกไปนอกระเบียง
มันเป็นบ่อหินขนาดไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่เท่าสระว่ายน้ำ
ตัวเล็กของผมกำลังยืนแช่น้ำหันหลังอวดหัวไหล่ขาวอยู่ริมโขดหิน ไม่ไกลกันนั้นคือกองชุดยูกาตะสีขาวลายทางดำและสายผูกเอวสีน้ำเงินเข้มของโรงแรม
ใครอีกคนยังไม่ได้รับรู้การมาถึงของผม กินเวลาเกือบนาทีที่ผมถอดชุดออกวางข้างๆ
กันกับของตัวเล็ก
กระทั่งผมหย่อนตัวลงในน้ำร้อนจัดเสียงน้ำและคลื่นทำให้คนในบ่อลืมตา ผมค่อยๆ
เดินเข้าไปหาในจังหวะที่เขาหันมามองผมผ่านหัวไหล่
โคตรเซ็กซี่ในความคิด
“มานานหรือยัง”
“สักพัก”
“ทำไมไม่รอล่ะ”
เขาเงียบตอนที่ผมถามแล้วหันหน้ากลับไป หยิบผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กบนหัวลงมาจุ่มน้ำ
บิดหมาด แล้วแปะลงไปที่เดิม ผมนึกเอ็นดูเขาเพิ่มขึ้นกว่าเดิมในตอนนั้น “จะได้มาพร้อมกัน”
ผมยังคงเร่งเร้าเขาที่เอาแต่ก้มหน้ามองไปทางอื่น
ผมไม่รู้ว่าตัวเล็กเป็นอะไรเพราะในตอนแรกทุกอย่างก็ยังดูปกติ
เราไม่ได้ทะเลาะกันและผมก็ดูออกว่าเขาไม่ได้โกรธผม จมูกแดงๆ
ที่อาจจะเกิดจากอากาศเย็นจัดทำให้ผมไม่อยากคาดคั้นเขาอีกต่อไปและต่อให้คาดคั้นไปผมก็คงไม่ได้คำตอบ
ตรงกันข้าม ผมดึงจงอินที่แขนเบาๆ ให้เอาหลังมาชิดอก
ขนอ่อนตรงต้นแขนของตัวเล็กลุกซู่ในจังหวะนั้น ผมเองก็เช่นกัน
มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกแต่ผมรู้แค่ว่าบรรยากาศตอนนี้มันง่ายเหลือเกินที่ทั้งผมและเขาจะรู้สึกถึงเรื่องพวกนั้น
และง่ายเหลือเกินที่จะรับรู้ความคิดอีกฝ่ายได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพูดขอต่อกัน
“เด็กดื้อ
ถามก็ไม่ตอบ”
ผมอยากสัมผัสเขา...ไม่สิ
เราอยากสัมผัสกันและกัน
ตอนนี้
ผมเลือกที่จะจูบหัวไหล่เขาเป็นอย่างแรก
จูบเบาๆ หนึ่งครั้ง สองครั้ง และอีกหลายครั้งต่อจากนั้น
มีหยดน้ำเกาะพราวตรงที่ผมจูบและผมลากลิ้นดูดซับมัน ตัวเล็กใช้มือข้างหนึ่งสอดเข้าที่กลุ่มผมของผมเขาขยุ้มตามจังหวะที่ผมเร่งเร้า
ครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่เป็นริมฝีปากที่ใช้พูดต่างหาก
“อ่ะ...”
เสียงหายใจขาดห้วงและแรงขยุ้มแรงขึ้นจนเกือบกระชากตอนที่ผมดูดดึงเนื้อตรงไหล่
มันเกิดรอยจางๆ สวยงามในความคิดผม จงอินเอียงหัวไปอีกทางเมื่อผมไล่ระดับขึ้นไปตามฐานคอ
เขาขยุ้มแรงอีกเมื่อผมพ่นลมหายใจออกตรงนั้น เขาสั่น
แล้วจิกเล็บกับท่อนแขนของผมที่กอดเอวเขาอยู่ใต้น้ำ
“เริ่มมีหน้าท้องนิดๆ
แล้วนะ” ผมกระซิบบอกเขาที่ข้างหูพร้อมกับมือก็ลูบไปบนท้องน้อยของเขา
จงอินร้องประท้วงหดเกร็งตัวงอจนบั้นท้ายโดนกับส่วนนั้นของผม
มันตื่นตัวอยู่ก่อนแล้วและยิ่งตื่นเต็มที่เพราะถูกกระตุ้น “.....ออกกำลังกายกันไหมครับ”
ผมชวนเขาด้วยน้ำเสียงทะลึ่งที่สุดเท่าที่เคยพูดชวนใครออกกำลังกาย
จงอินขยับสะโพกถูไถกับตรงนั้นของผม เขาหยอกล้อกับมันและครางหวิวทุกครั้งที่มันซุกซนกับระหว่างแก้มก้นกระชับ
ผมไม่ปล่อยให้เขาสนุกคนเดียว ผมขยับเอวขึ้นหาตอนที่ตัวเล็กกดลงมา
อา....ผมอยากทำตอนนี้และเดี๋ยวนี้ ลิ้นของผมสอดเขาไปในหูเขาเพื่อหยอดล้อ
ขบเม้มติ่งหูนิ่มไปมาและกัดเบาๆ
ตัวเล็กร้องเสียงหลงในคอและหลับตาเงยหน้าขึ้นสูง ร่างกายเปลือยเปล่าของเราที่แนบชิดนัวเนียกระตุ้นกันและกันขนาดไหนจงอินคงไม่รู้
จริงๆ
แล้วถึงเขาใส่เสื้อผ้าครบชิ้น
ร่างกายของเขาก็เชิญชวนผมให้ทำเรื่องระยำตำบอนได้อยู่ดี
ก็เพราะร่างกายนั้นเป็นของคิม
จงอิน หัวใจผมเองก็เช่นกัน
“ที่นี่ไม่ได้...”
ใช่ ที่นี่ไม่ได้ เพราะอากาศแบบนี้
ถ้าผมทำกับเขาที่นี่เขาจะป่วยเหมือนครั้งนั้น
น้ำพุร้อนไม่ควรแช่นานเกินสิบนาทีและผมมั่นใจว่าเราจะออกกำลังกายกันทั้งคืน
จงอินพูดจบแล้วหันหน้าเขาหา
เขาคล้องคอด้วยสองแขนแล้วจูบผม สองขายกขึ้นเกี่ยวกับเอวจนผมต้องรัดเอวเขาไว้แน่น
จริงๆ แล้วไม่น่าสอดลิ้นเข้ามา ไม่น่ามองตากันอย่างนั้น...
เพราะผมทนไม่ได้ที่จะยกตัวเขาขึ้นแล้วดันตรงนั้นของผมเข้าไปโดยไม่ต้องใช้มือจับมันเลยด้วยซ้ำ
“อึ!!”
ผมนิ่วหน้า
และตัวเล็กร้องดังด้วยความเจ็บ
มันไม่เข้า...ไม่เข้าแม้แต่นิดเดียวของส่วนหัว
“โถ่เอ้ย”
เขาสบถหงุดหงิด ได้ยินอย่างนั้นผมก็บอกขอโทษเขาแล้วอุ้มเขาขึ้นไปนั่งบนพื้นไม้ด้านบน
“ที่นี่ไม่ได้จริงๆ
นั่นแหล่ะ”
เขาเกลียดพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงความเร่งรีบ
เรารีบเดินมากจนเหมือนจะวิ่ง
จริงๆ เรารีบกันตั้งแต่ใส่ชุดยูกาตะในห้องแช่น้ำแร่แล้ว พนักงานดูแลรอบดึกของเรียวกังคนเดิมยิ้มทักทายพวกเราตรงทางเดิน
เธอคงอยากจะพูดคุยด้วยแต่พวกเราก็วิ่งผ่านเธอมาเสียเฉยๆ
ตัวเล็กสบถออกมาอีกตอนที่ผมใช้เวลาเกือบนาทีควานหากุญแจห้องในกระเป๋าเสื้อคลุมยูกาตะ
แล้วตอนที่เราพาตัวเองเข้ามาในห้องได้
เราก็ไม่ปล่อยเวลาแม้แต่เสี่ยววินาทีให้สูญเปล่า ตัวเล็กกระชากสาปเสื้อผมออกจากหัวไหล่เพราะกระตุกเชือกที่เอวไม่ออกมันเป็นผลจากการที่เราเร่งรีบใส่ชุดกันเกินไปจนทำให้ต้องผูกแบบเงื่อนตาย
เราแลกจูบกันไปมาตั้งแต่หน้าประตูห้องจนถึงกลางห้อง จงอินปัดป่ายมือหาสวิตซ์ไฟดวงใหญ่เพื่อเปิดมัน
และเมื่อทำสำเร็จเราก็หันกลับมาโรมรันกันต่อเพื่อไม่ให้สงครามยุติ
ผมดันตัวเล็กเข้ากับตู้เสื้อผ้า
ฟอนเฟ้นเขาที่ซอกคอก่อนจะยึดข้อมือเขาไว้เหนือหัวด้วยมือเดียวอย่างเช่นทุกทีที่เราทำกัน
ตัวเล็กชอบ ชอบให้ผมทำแบบนี้และผมรู้ดี ผมกระตุกเชือกที่เอวเล็กออกไปตอนไหน
คนตัวเล็กเองก็ไม่มีสติพอจะรับรู้และผมเลือกที่จะไม่ถอดชุดของเขาออก
ผมเคยบอกตัวเล็กว่า ชอบให้บนร่างกายของเขายังหลงเหลือเสื้อผ้าบางชิ้นไว้
มันให้ความรู้สึกเหมือนกับได้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออกตลอดเวลา
ผมชอบให้ตัวเล็กรุ่ยร่ายตอนมีอะไรกัน
ผมว่ามันดูน่าค้นหาและเพิ่มอรรถรสระหว่างกิจกรรมได้ดี จริงๆ แล้วมันอาจจะดูเหมือนได้รังแก...
ตัวเล็กเองก็ชอบที่ตัวเองยังมือเสื้อผ้าบางชิ้นอยู่บนตัว
แต่บนตัวผมต้องไม่มีอะไรเลย
จงอินอารยะขัดขืนในตอนนั้น
ผมปล่อยให้ร่างกายใหญ่โตของตัวเองถูกนำพาไปโดยคนตัวเล็กกว่า
รู้ตัวอีกทีช่วงเอวของผมก็กระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง มันคือแผ่นไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกยึดไว้กับผนังห้องเพื่อใช้เป็นที่วางของ
บนนั้นมีของใช้จำพวกเครื่องประทินผิว ผมเพิ่งรู้ในความเข้าใจของผม
ตอนที่หันไปเห็นกระจกแผ่นไม่ใหญ่มากติดอยู่เหนือขึ้นไปว่าตรงนี้คือโต๊ะเครื่องแป้ง
มั้งนะ....
มือเล็กถอดชุดผมออกจนมันลงไปกองอยู่ที่พื้น
เขาไม่รอให้ผมห้ามปรามได้ทันเพราะปากกระจิริดกำลังทำในแบบเดียวกันกับที่ผมทำกับเขาก่อนหน้านี้
ตัวเล็กเก่งในการปั่นหัวผมและช่ำชองนักที่จะทำให้ร่างกายผมปั่นป่วน หัวทุยค่อยๆ
เลื่อนต่ำลงในขณะเดียวกันผมก็จับยึดแผ่นไม้ด้านหลังไว้ทั้งสองมือเพื่อบรรเทาความเสียวซ่านที่เด็กน้อยของผมทำไว้
จงอินร้ายกาจตรงที่เขารู้จักทำให้เหยื่อไปไหนไม่รอด ผมหมดสภาพได้ในเงื้อมือเล็กๆ
ของเขา และเมื่อลิ้นร้อนนั้นไล้เลียบนปุ่มไตของผมแล้วกัดเบาๆ ผมก็เผลอขย้ำหัวของตัวเล็กโดยแรง
ตัวเล็กร้องเสียดอึดอัดในลำคอ
และไม่นานก็หัวเราะชอบใจ
“อา...”
ความหวามไหวที่ตัวเล็กสร้าง ผมรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้
ผมเผลอยกมือบีบบั้นท้ายของตัวเล็กเป็นจังหวะเดียวกันกับแรงดูดดึงอ่อนๆ ของริมฝีปาก
แล้วบีบแรงขึ้นตอนถูกกัด
เสียงจุ๊บดังสลับเบาเมื่อตัวเล็กค่อยพาตัวเองทรุดตัวลงไปเรื่อยๆ
หน้าท้องที่เป็นคลื่นหดเกร็ง ทุกอย่างอยู่ในกำมือของคนตัวเล็กทั้งหมดแม้กระทั่ง....
กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอตอนที่นิ้วป้อมกอบกุม
‘มัน’
ไว้ทั้งสองมือ ประคองเบาแล้วมองมันก่อนจะมองขึ้นมาที่ผม
ตัวเล็กรู้ว่าผมจะเจ็บจากการโดนช่องทางฝืดของเขาบีบรัดถ้าใส่เข้าไปโดยไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเปียกชุ่ม
และเขาเองจะเป็นคนที่เจ็บมากกว่าใครทั้งหมด
ใบหน้าที่ผมหลงใหลมีเม็ดเหงื่อเกาะตรงหน้าผาก มันเซ็กซี่และเย้ายวนผมอยู่ในที
และตอนที่ดวงตาคมหวานหลุบมองต่ำไปที่มัน
ผมก็กัดกรามรอสิ่งที่จะเกิดขึ้นในลำดับถัดไป
“ซีด....”
ความรู้สึกของลิ้น เลียวนรอบตรงส่วนปลาย ผมรู้สึกได้ว่ามันเต้นตุบๆ
ถี่ขนาดไหน เพราะเส้นประสาทและเส้นเลือดทั้งหมดเหมือนจะมารวมตัวกันอยู่ตรงนั้น
จงอินค่อยๆ รูดรั้งมันช้าๆ พร้อมกันนั้นก็เอาปากเล็กของตัวเองครอบครองมัน
ผมพยายามบังคับให้มือตัวเองจับอยู่ที่แผ่นไม้ด้านหลังและข่มตัวเองไม่ให้ขยับเอว
“ฮ่า...อืม...”
ตัวเล็กปล่อยลมหายใจร้อนออกทางปากใส่มัน และกลืนกินมันต่อทันที
ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะปลดปล่อยออกมาอยู่แล้วตอนที่ก้มลงมามองของๆ
ตัวเองหายเข้าไปในปากนุ่มนิ่ม อีกคนเหมือนจะรู้ว่าผมกำลังมองอยู่
เขามองผมตอบขณะที่กำลังเล่นกับมัน มือเล็กยังรูดผนังด้านนอกช้าสลับเบา
น่าสงสารเหลือเกินที่ตัวเล็กพามันเข้าไปในปากได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ปากของเขาเล็ก
เล็กเกินไปสำหรับสิ่งนี้แต่เขาก็พยายาม...
เสียงครางหวิวทรมานเหมือนหว่างคิ้วที่รั้งขึ้น
ผมมองปากตัวเล็กที่ค่อยๆ เม้มตรงหัวตอนที่ดึงมันออก
ผมนึกไปถึงตอนที่เขาทำกับไอศกรีมในโฆษณา
น้ำลายของเขาฉ่ำทั้งที่ปากและที่ตัวตนของผม
ค่อยแตะริมฝีปากไปตรงส่วนหัวอีกและผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่...
“ตัวเล็กครับ...”
“...อีกนิดนึงนะ..อึ...”
ตัวเล็กเลียมันจากด้านข้างตั้งแต่โคนถึงปลาย
ตอนนั้นเองทำให้ผมคิดว่าถ้าตัวเล็กดึงดันเอามันเข้าปากจนสุด มันคงทิ่มไปถึงคอหอยแล้วทักทายกับลูกกระเดือกเป็นแน่
คิดไปถึงอย่างนั้นผมก็ยิ่งเกิดความต้องการ
ผมอยากใส่เข้าไปในตัวเขาเดี๋ยวนี้เลยให้ตายเหอะ
“ตัวเล็ก...”
ผมเร่งเร้า
“อืม....”
และเขาดื้อดึงด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“พอแล้วครับ...พี่อยากเข้าไปในตัวตัวเล็กแล้ว...”
ผมจับปอยผมของเขาทัดหู
ลิ้นเล็กยังคงเลียไม่หยุดแต่ผมจับรอบสันคางตัวเล็กเอาไว้ “ให้พี่เข้าไปนะครับ...ก่อนมันจะทนไม่ไหวเข้าไปในปากเล็กๆ
นี่ซะก่อน”
และถ้าตัวเล็กยังไม่ยอมหยุด
ผมมั่นใจว่าผมทำแน่...
“ตัวเล็ก...ยกขาขึ้นหน่อยสิครับ”
ผมกระซิบบอกที่ข้างหูจากข้างหลัง
เรียวขายาวข้างขวายกขึ้นพาดกับแผ่นไม้อย่างว่าง่าย
ตัวเล็กยืนเท้ามือยันตัวเองไว้กับพื้นไม้ เสี่ยวหน้าหันกลับมามองข้างหลังอย่างสนใจ
สะโพกแอ่นรอรับการล่วงล้ำที่สมควรแก่เวลา
ผมจับชายชุดยูกาตะตัวยาวที่ตัวเล็กสวมใส่รวบขึ้นไว้เหนือสะโพกด้วยสองมือ
ยึดไว้มั่นแล้วจ่อปลายแก่นกายกับช่องทางสวยงามตรงหน้า เขามองตาผมในจังหวะนั้น
กัดริมฝีปากล่างของตัวเองเหมือนร้องขอให้ผมจูบลงไปตรงนั้น แล้วผมไม่รีรอ
ผมจูบเขาตอนที่ส่วนหัวค่อยๆ กดย้ำเข้าไปภายใน แรงดันทำให้ตัวเล็กเสียการทรงตัว
เขายันมือข้างหนึ่งไปบนกระจกเบื้องหน้าเพื่อไม่ให้ล้ม
ผมดันเข้าไปอีกและเริ่มรู้สึกว่ามันยังคับแน่นเกินไป
เขายกขาสูงขึ้นเพื่อเปิดช่องทางให้กว้างขึ้น ผมออกแรงดันจนมันเข้าไปได้ครึ่งทาง
จงอินร้องท้วงในลำคอ
เราละจูบจากกันเพื่อหอบหนักให้กับกิจกรรมที่เพิ่งเริ่ม
ตอนนั้นผมแทบทนไม่ไหวอยากดึงดันตัวเองเข้าไปให้ได้แต่พอคิดได้ว่าตัวเล็กจะเจ็บมากขนาดไหนผมก็บอกตัวเองให้ตั้งสติ
“ทำไมมันถึงเข้ามายากกว่าทุกที”
เขาถาม มันเป็นคำถามที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม
แต่ก็เหมือนจะรู้เมื่อมองเข้าไปในกระจกแล้วเห็นตัวเขาในนั้น
คิม
จงอินที่ทั้งตัวแดงเรื่ออยู่ในชุดยูกาตะที่สวมใส่ได้ไม่เรียบร้อยนัก
เพราะสาบเสื้อหลุดออกจากหัวไหล่หมดแล้วทั้งสองข้าง
หัวคิ้วรั้งขึ้นสูงแล้วหอบหายใจถี่กระชั้น ปากเขาแดงช้ำเพราะจูบของเรา
แล้วพอเราสบตากันในกระจก ผมรู้ตัวเลยว่าคยองฮุนน้อยมันโตขึ้นอีกแล้ว
“อืม...”
เขานิ่วหน้าเพราะคงรู้สึกอึดอัด ผมดึงตัวเองออกมาจากในตัวเขาด้วยไม่รู้จะทำยังไงต่อไป
น้ำลายจากคนตัวเล็กยังชุ่มโชกอยู่ที่แท่งเนื้อของผมแต่อีกไม่นานมันคงจะระเหยออกจนหมด
“ถ้าไม่ไหวก็หยุดเถอะ
ไม่เป็นไร” ผมบอกเขาตอนที่รูดรั้งแก่นกายตัวเองอยู่ตรงปากทางคับแน่น
ตัวเล็กส่ายหน้าแล้วมองไปที่ขวดและหลอดครีมมากมายบนนั้น
“มันต้องเข้าได้สิ”
มือเล็กคว้าหลดแฮนด์ครีบที่เป็นเจลใสออกมาเทลงบนมือ
เขาทามันลงบนช่องทางของตัวเองแล้วสอดลึกเข้าไปด้วยนิ้วสองสามครั้ง
ก่อนจะบีบใส่มืออีกพอสมควร คราวนี้ไม่ใช่เพื่อช่องทางด้านหลัง มือน้อยๆ
กำไปที่มันแล้วชโลมเจลแฮนด์ครีมลงไป มันทั้งเย็นทั้งลื่นเปียกไปทั่วทั้งอัน
ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเขาก็ดึงมันจ่อเข้าไปในตัวเขาเอง
ผมดันสะโพกสอดเข้าไป
มันง่ายกว่าเดิมมากแต่ก็ยังคับแน่นจนเสียวไปทั้งตัว
ตัวเล็กร้องหนักตอนที่ผมดันเข้าไปจนสุดแล้วกดย้ำเกินความยาวของตัวเอง เขาจุก
ผมรับรู้ได้ด้วยเสียงทรมานจากลำคอ
ไม่รอให้เสียเวลาผมเริ่มขยับช้ำๆ
เนิบนาบหลายครั้ง... ตัวเล็กเอาขาลงจากแผ่นไม้ในตอนที่ทุกอย่างเริ่มชิน
เราจูบกันอีก จูบที่เป็นไปตามจังหวะสอดใส่ที่เน้นย้ำ เสียงแผ่นไม้ดังกึ่ก กึ่ก
ทุกครั้งที่ผมกระแทก ผนังไม้ของห้องแบบญี่ปุ่นสั่นสะเทือนและดังเสียดหู
แต่เราไม่สนใจ ผมรูดชายเสื้อขึ้นสูงเหนือสะโพกขึ้นไปอีก
เอวคอดกิ่วเว้าลึกสวนกลับในตอนที่ผมดุนดันจนเกินเสียงเนื้อกระทบกัน
ตัวเล็กก้มเมื่อผมละจูบแล้วไซ้จมูกกับต้นคอ
“เร็วอีก...ห่ะ!!” จังหวะเร็วและแรงขึ้นจนรู้สึกได้
ผมลากลิ้นไปทั่วแล้วฝากรอยจางๆ ไว้ตรงต้นคอของเขา ไล่ต่ำลงมาที่หลังและทำรอยทิ้งไว้อีกก่อนจะวกกลับมาจูบเขาต่อ
ผมขยับแค่สะโพกเข้าออกรุนแรงในกายเขา กดย้ำกระแทกกระทั้นในแบบที่เขาชอบ
“ให้แรงกว่านี้อีกไหม”
ผมถามแล้วจ้องไปที่ตาเขา เขาพยักหน้าแล้วผมก็ซอยถี่ทันทีที่เห็นอย่างนั้น
“!!....ห่ะ...ห่ะ...อ่ะ”
อารมณ์ของผมรุนแรงเกินไปจนมันหลุดออกจากช่องทางคับแน่นตอนที่กระชากออก แต่ผมดันมันกลับเข้าไปแทบจะทันทีแล้วขยับต่อเนื่อง
ตัวเล็กร้องดังกว่าปกติและลมหายใจขาดห้วงรุนแรง
เขาสั่นไปทั้งตัวแล้วยกฝ่ามือขึ้นมากัดเพื่อกลั้นเสียงที่เหมือนกับจะร้องไห้
เสียงผิวเนื้อโดนกระแทกดังไปทั่วห้อง คนตรงหน้าผมดูทรมานกว่าทุกครั้ง
สะโพกแอ่นกว่าเดิมและยกสูงขึ้น นั่นเป็นเพราะผมดุนดันเขาหนักหน่วง
โคมไฟรูปดอกไม้อะไรสักอย่างที่ติดอยู่กับกระจกโยกคลอนเหมือนกับจะหลุดออกมา
ข้าวของที่วางอยู่หน้ากระจกบนแผ่นไม้กระดานล้มระเนระนาด และผนังสั่นเหมือนจะพัง
ผมรุนแรง กดย้ำ
และขยำร่างกายเขาจนเกือบแหลกคามือ
ตัวเล็กร้องเหมือนจะขาดใจและผมยังคงกระแทกเข้าไปไม่หยุด
ไม่มีอะไรหยุดเราได้แล้วในเวลานี้
เขายันตัวยืนตรงแล้วพิงหลังเข้ากับอกของผม
สองขาเหมือนจะยืนไม่อยู่แล้วจากที่เห็น ผมใช้สองแขนจับไหล่ห่องุ้มของเขาไว้
มันสั่นสะท้านน่าสงสารแต่ก็น่ากระทำชำเราไปพร้อมๆ กัน เขาพิงหัวกับคางของผม
ผมจูบหน้าผากเข้าในตอนที่ช่วงล่างยังคงขยับช่วงชิงทุกสติของตัวเล็ก เส้นผมชื้นที่ยังไม่แห้งสนิทดีตั้งแต่ตอนแช่น้ำยุ่งเหยิงและสั่นคลอนไปมาตามแรงดัน
“ผมจะไม่ไหวแล้ว..”
ผมก็เหมือนกัน บีบหัวไหล่มนแรงขึ้น
“อืม...อีกนิดนะครับ”
แน่นชะมัด แม้จะถูกกดย้ำกี่รอบก็ไม่มีท่าทีจะขยายมากไปกว่านี้
“ตัวใหญ่....อ่ะ...”
สวนกายหนักหน่วงจนขาเรียวแทบลอยจากพื้น
เสียงหอบหายใจถี่กระชั้นของทั้งคู่กำลังจะพาเราไปยังจุดที่สุขสมพร้อมกัน
เรามองกันผ่านกระจก
ก่อนที่เขาจะร้องระงมเรียกชื่อผมตอนปลดปล่อยไปทั่วหน้ากระจก
แล้วผมก็ปล่อยทั้งหมดเข้าไปในตัวเขาหลังจากที่ถูกปากนุ่มเงยขึ้นมาจูบย้ำที่สันคาง
ผมแทบจะฟัดเขาตอนที่เขาทำอย่างนั้น
แล้วผมเลือกที่จะดุนดันอีกหลายครั้งแม้จะปล่อยออกมาหมดทุกหยด
บางส่วนย้อยออกมาจากข้างในไหลตามเรียวขาทั้งที่ผมยังไม่ได้เอาออก เขาสวนสะโพกกลับมาเช่นกัน
ผนังด้านในเต้นตุบๆ และตอดรัดราวกลับไม่อยากให้ผมออกไปเพราะยังไม่พอ
“จริงๆ
แล้วแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศก็บอก เบื่อบนเตียงในห้องตัวใหญ่แล้วเหมือนกัน”
แต่ถึงไม่ทำแบบนั้นผมก็ตั้งใจจะไม่เอาออกแล้วพาเขาไปทำอีกรอบ
หรืออีกหลายๆ รอบบนฟูก
แต่เขาใจร้อนทั้งที่แทบยืนไม่ไหว
ตัวเล็กจับแก่นกายของผมดึงออกแล้วหมุนตัวกลับเข้าหา
ทิ้งบั้นท้ายลงกับแผ่นไม้ ขาขวายกขึ้นเกี่ยวกระวัดกับช่วงเอวของผม
แล้วมันก็ได้ชำแรกเข้าไปในช่องทางคับแน่นอีกครั้งอย่างเอาแต่ใจ
“แรงอีก...”
“ครับ”
“...เร็วกว่านี้”
“ได้ครับ”
ได้ทุกอย่างตามที่ต้องการเลย
เป็นแฟนกันแล้วมันก็ดีแบบนี้แหล่ะครับ
ความจริงไม่พูดอะไรมากก็คงดูออกได้ด้วยการกระทำ
จริงไหม?
END
เช้าวันต่อมาบนฟูกนอนสีขาวที่ถูกใช้งานแค่อันเดียว อากาศยังคงหนาวเย็นด้วยอุณหภูมิติดลบทำให้คนสองคนภายในห้องต้องอาศัยกกกอดกันและกันแม้ว่าจะเปิดฮีตเตอร์แล้วก็ตาม
ใครบางคนยังไม่ตื่นเพราะมีความสุขกับการนอนซุกตัวอยู่บนหน้าอกของคนตัวใหญ่
คยองฮุนนอนนิ่งมองคนในอ้อมกอดยุกยิกไปมาใต้ผ้าห่มผืนหนา
ขาเรียวยาวก่ายไปบนตัวไม่อยู่นิ่ง
และมันสร้างความทรมานให้เช้าตรู่นี้ให้ทวีคูณ
เขาเป็นผู้ชายที่มีร่างกายแข็งแรงมากถึงมากที่สุด
และเพราะมันแข็งแรงขนาดนั้น
ก็ไม่แปลกที่ทุกเช้าเขาจะเกิดภาวะเฉกเช่นเด็กหนุ่มวัยคะนองทั่วไป
ที่ใต้ผ้าห่ม
อะไรบางอย่างกำลังถูกรุกราน
ร่างสูงเปิดผ้าห่มขึ้นเล็กน้อยแล้วสอดสายตาดูคยองฮุนน้อยที่กำลังยืนตรงเคารพธงชาติ
ทั้งที่เมื่อคืนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมาหมาดๆ ทำไมเลือดรักชาติยังไม่หมดสักที
“อึก...” หัวเข่าของคนที่หลับเลื่อนขึ้นมาสะกิดมันจนสั่น คยองฮุนหลับตาแน่นแล้วร้องท้วงในคอ มันดังพอจะทำให้จงอินตื่น หัวเข่าเจ้ากรรมยังคงอยู่ตรงตำแหน่งนั้น คิม จงอินรู้สึกได้ทันทีเพราะตื่นด้วยสติครบถ้วน
เกิดเดธแอร์ขึ้นภายในห้องกว้างของเรียวกังชานเมืองเกียวโต
คิม
จงอินเงยหน้าขึ้นมองหน้าคนตัวใหญ่ อีกคนยิ้มอ่อนๆ ส่งมาให้
นั่นทำให้อีกคนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
ในเมื่ออีกคนแก่แต่อายุแต่ร่างกายไม่แก่ตามไปด้วยเลยสักนิด
และตัวเขาเองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ไอ้นั่นมันตั้งดันผ้าห่มขึ้นมาขนาดนั้น
“ตัวเล็กจะทำอะไรครับ?”
ถามเมื่อคนตัวเล็กถดกายลงไปใต้ผ้าห่ม
“เฉยเถอะน่า” ร่างสูงนอนนิ่งตามคำดุ เหลือบตามองผ้าห่มเคลื่อนไหวไม่ขยับไปไหน ไม่นาน...ขนอ่อนก็ลุกพรึ่บทั้งตัว
“อ่า....ตัวเล็กครับ”
ความเปียกชื้นเล่นริ้วตั้งแต่โคนจรดปลาย เส้นผมคลอเคลียอยู่บริเวณท้องน้อยจนรู้สึกได้ มันขยับขึ้นลงให้เสียววาบไปหมดและเมื่อมองจากข้างนอก คยองฮุนเห็นผ้าห่มขยับขึ้นลงเป็นรูปส่วนหัวของคนตัวเล็ก
เสียกอุกอักในคอดังออกมานอกผ้าห่ม คยองฮุนข่มกรามเมื่อเด็กของเขาเร่งเร้า ทั้งมือที่กอบกุมและรูดเร็วๆ มันทำให้เขาจะไปอยู่รอมร่อ แต่อยู่ดีๆ อีกคนก็ถอนปากออก...
ร่างสูงเปิดผ้าห่มออกเผยให้เห็นหัวทุยๆ
อยู่บริเวณท้องน้อยที่คละไรขนของเขา ความชื้นทำงานอยู่ที่ตรงนั้น
ลิ้นเล็กลากไปทั่ว ขบงับเบาๆ แถวสะดือ
เขาจับหัวคนตัวเล็กไว้เพราะอัดอั้นจากการกระทำที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ปลดปล่อย
กลุ่มผมดำค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาจนทาบทับกันอยู่ในระนาบเดียวกัน
จงอินเงยหน้าขึ้นมายิ้มทะเล้นใส่เขาที่ปลายคาง
น่าตีที่สุดในความคิดเขา
“ทำกันนะ” จงอินถาม
ไม่ทันไรก็ยกก้นขึ้นแล้วจับคยองฮุนน้อยใส่เข้าไปแล้วกดสะโพกลงรับจนหมดทั้งที่ยังจ้องตาคนตัวใหญ่ใต้ร่าง
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนคยองฮุนตั้งรับไม่ทัน
แต่ความสุขสมที่ถูกปรนเปรอก็ทำให้ปล่อยผ่านมันไป
“ถ้าออกกำลังกายบ่อยๆ จะมีซิคแพ็คแบบนี้เหมือนตัวใหญ่รึเปล่า?” จงอินถาม เท้าแขนกับหน้าท้องแข็งแรงแล้วขย่มตัวเองอยู่บนนั้น เสยผมหน้าที่ปรกตาน่ารำคาญออกไป โยกไปมาราวกับควบม้าในสนามแข่ง
“ถ้าออกท่านี้ก็อาจจะมี
แต่ถ้านอนนิ่งๆ เหมือนทุกทีก็คงยาก” คนตัวเล็กยิ้มขำรู้ทัน
และพอรู้สึกเหนื่อยก็โถมตัวทาบลงมาแล้วกระซิบที่ข้างหูคนตัวใหญ่
“ขยับที..เหนื่อยแล้ว”
ครับ.....ได้ตามที่ต้องการอีกเหมือนเดิม
END จริงๆ
ไม่ยาวและไม่มีอะไรเลย ลาก่อนความเวิ้งว่าง
เรื่องที่แล้วเพื่อนพี่คยองฮุนชื่อฮยอนซอง เรื่องนี้เปลี่ยนเป็นชื่อฮยอนจุน(ชื่อจริงของการ์ดที่เป็นเพื่อนพี่คยองฮุน)
ปล.รอบนี้ลงฟิคพร้อมพี่อิ๊ค(Blackstar Secret) อย่าลืมไปอ่านของพี่อิ๊กด้วยนะ
สกรีมติดแท็ก : #พี่การ์ดของน้องไค
[-]Hyphen
ความคิดเห็น