ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : [SF]•YOU'RE MY LOVE SONG•CHANKAI - happy birthday to chanyeol -
- you’re my love song -
Park Chanyeol x Kim Jongin
[-]Hyphen
** ในวาระครบรอบวันคล้ายวันเกิดของคุณปาร์คชานยอล /เนื้อเรื่องต่อเนื่องกับ I’m just a sad song(จำเป็นต้องอ่านสเปเชี่ยล)**
------------------------------------------------------------------------
จุดจบของความรัก แม้ไม่ได้สวยงามเหมือนกันอดีต แต่ก็พอใจแล้วกับสิ่งที่ได้รับและเป็นอยู่ในปัจจุบัน ความหมายของมันคือ ‘เดินคนละทาง’ แต่ทางที่เลือกเดินกลับเห็นรอยเท่าของอีกคนเดินอยู่ก่อนหน้าเสมอ สุดท้าย....ก็เป็นฝ่ายเดินตามเพื่อมองแผ่นหลังกว้างที่ยังมีชีวิต
ขอแค่ให้ได้รู้ว่าคนคนนั้น หายใจ และใช้ชีวิตอยู่ตรงส่วนไหนของโลกใบนี้ แค่นั้น ก็พร้อมจะยืนอยู่ในจุดที่มองไม่เห็น และชดใช้ความผิดที่เคยกระทำไว้ด้วยตัวเองเงียบๆ เพราะได้ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตโดยขึ้นอยู่กับคนคนนั้นเท่านั้น แม้อีกฝ่ายไม่รับรู้
แต่ไม่เป็นไร....ให้คิดเสียว่าไม่เคยพบเจอสิ่งมีชีวิตประเภทเขาได้เลยยิ่งดี
เช้าวันจันทร์สุดท้ายของเดือนและยังเป็นจันทร์สุดท้ายของเทอม ทำให้ผู้คนใต้ตึกเรียนค่อนข้างบางตานั่นเป็นเพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ที่ยังสอบไม่เสร็จไปรวมตัวชนิดใช้ชีวิตลงหลักปักฐานอยู่ในห้องสมุดกลาง เว้นแต่คณะของเขาที่สิ้นสุดช่วงสอบไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
ใครบางคนนั่งรอเขาอยู่ตรงโต๊ะประจำไต้หลังคาโค้งที่เชื่อมระหว่างตึกวิทยาศาสตร์และตึกศิลปกรรมศาสตร์ จงอินจำได้แม้มองจากที่ไกลๆ เพราะผมฟอกสีจนเกือบขาวเซ็ตทรงสูงตัดกับผมสีดำตรงส่วนที่ทำอันเดอร์คัทนั้นสะดุดตาที่สุด จื่อเทาหันมายิ้มให้เขาเมื่อหางตาคงเห็นว่ามีอะไรกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ลุกมาช่วยเขาแบกกระดานไม้อัดแผ่นใหญ่ไปวางพิงไว้กับเสาที่มีไม้กระดานอีกแผ่นข้างๆ กัน ไม่มีกล่าวพูดทักทาย อีกคนยื่นขนมปังห่อใหญ่ไส้โคโรเกะฟักทองมาให้ทันทีที่ทั้งสองนั่งลง และอีกคนก็รับไว้เหมือนกับทุกที จงอินแกะซองขนมปังแล้วกัดเข้าไปหนึ่งคำเล็กๆ เพื่อเป็นการเทสรสชาติ และก็พยักหน้าเมื่อพอใจกับมัน จริงๆ แล้วก็พอใจทุกครั้งเพราะสิ่งที่จื่อเทาเลือกมาให้มักจะดีเสมอ
จอโทรศัพท์เวอร์ทูสีเงินยื่นมาตรงหน้า มันแสดงข้อมูลบนทวีตเตอร์ของแอคเคาท์หนึ่งที่ทวีตบอกว่าพรุ่งนี้จะปล่อยเพลงของทรอย ซีวานนักร้องคนโปรดของพวกเขา เขาพยักหน้ารับรู้แล้วรับขนมปังคำสุดท้ายเข้าปาก จื่อเทาเห็นอย่างนั้นก็หยิบขวดน้ำเปล่าในกระเป๋าเป้ออกมา เปิดฝาขวดแล้วยื่นไปในตอนที่อีกคนเคี้ยวหมดปากพอดี
เหมือนพ่อกำลังให้ข้าวให้น้ำลูกชายวัยอนุบาล แต่มันเป็นเรื่องปกติไปแล้วของเด็กผู้ชายวัยมหา’ลัยสองคน ไม่มีคำพูดเยิ่นเย้อ ผ่านมาสองสัปดาห์แล้วตั้งแต่วันนั้นบางอย่างบอกให้พวกเขาหลีกเลี่ยงบทสนทนาที่อาจเป็นชนวนทำให้เขานึกไปถึงเรื่องแย่ๆ และจื่อเทาก็เลือกที่จะเงียบแล้วอยู่ข้างๆ เพื่อนอย่างเขาเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด
“เห้ จื่อเทา จงอิน”
เสียงเรียกดังมาจากข้างบนหัว พวกเขามองขึ้นไปเจอกับรุ่นพี่ปีสามคนสนิทที่เป็นแม่งานและนัดพวกเขามาวันนี้ พี่แบคฮยอนกวักมือเรียกส่งสัญญาณบอกให้รู้ว่าถึงเวลาแล้ว พวกเขาพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นเก็บสัมภาระโดยที่จื่อเทาเดินไปแบกไม้อัดแล้วเขาเอากระเป๋าเป้ของอีกฝ่ายมาสะพายแทน
ในห้องเขียนแบบชั้นสามที่พวกเขาไม่ค่อยได้เข้ามาใช้เท่าไหร่เพราะเป็นห้องเรียนใหญ่เชื่อมกับห้องจัดแสดงผลงานนักศึกษา แต่เพราะวันนี้เขากับจื่อเทาถูกเรียกมาเตรียมงานประจำปีที่จัดร่วมกันกับอีกหกคณะ เป็นเจ็ดคณะที่หมดช่วงสอบก่อนคณะอื่นเพราะต้องเตรียมงาน ตัวแทนปีหนึ่งที่ถูกรับเลือกเพียงสองคนอย่างพวกเขาได้รับการไว้วางใจให้มาวาดภาพธีมหลักของแต่ละคณะ อยู่ที่ว่าใครจะได้วาดของคณะไหน และเพราะทุกคณะมีเวลาเตรียมงานอีกแค่สัปดาห์เดียว ดังนั้นวันนี้พวกเขาจะต้องแยกย้ายไปคุยข้อมูลกับคณะที่ได้รับ
“เดี๋ยวพี่จะให้น้องแยกย้ายไปที่คณะอื่นๆ นะ เซฮุนมึงมาแจ้งชื่อคณะให้น้องๆ ใครอยากได้คณะไหนให้ยกมือเลยนะครับ” ในตอนนั้นเองที่จงอินเพิ่งรู้ว่าเซฮุนอยู่ที่นี่ คนตัวเล็กก้มหน้ามองมือตัวเองเมื่อเห็นใครอีกคนเดินเข้ามาหยุดอยู่ท่ามกลางกลุ่มรุ่นพี่ปีสาม เสี่ยวหน้าซีดเซียวที่ติดจะผ่ายผอมกว่าเดิมด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับครั้งล่าสุดที่เจอ จงอินเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าอีกคนมองกลับมาอยู่ก่อนแล้ว คนเด็กกว่าก้มหน้าลงต่ำอีกครั้งแล้วก้มอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาที่รุ่นพี่ปีสองคนนั้นอ่านชื่อคณะ จงอินตั้งใจว่าเหลือคณะอะไรเป็นคณะสุดท้ายเขาก็จะเอาอันนั้นเพื่อเลี่ยงการพูดคุยระหว่างกัน
“เหลือบริหารกับนิเทศฯ ใครยังไม่ได้เลือกครับ?” เสียงพี่แบคฮยอนดังเรียกสติที่จมจ่อม ชื่อคณะที่เหลือทำเอาร่างที่นั่งค้อมตัวจนเสียบุคลิกสะดุ้ง จงอินมองซ้ายมองขวาก็พบว่าทุกคนมองมาที่เขา และจื่อเท่ามีกระดาษชิ้นเล็กๆ อยู่ในมือเขียนว่า ‘วิทยาการจัดการ’
"จงอินยังไม่ได้เลือกหรอ?” เขาพยักหน้าตอบ “งั้นก็เหลือมึงกับน้องอ่ะ จะไปนิเทศฯไหมสาวสวยเยอะ”
จงอินเพิ่งรู้จากคำพูดของพี่แบคฮยอนในตอนนั้นว่าเซฮุนก็เป็นหนึ่งในตัวแทน อา..ใช่สิ เขาลืมไปได้ยังไงว่าเซฮุนเป็นหัวเรือใหญ่ของปีสอง ไม่แปลกที่ทุกๆ กิจกรรมจะมีร่างสูงร่วมด้วยเสมอ และถ้าเขาปล่อยให้มันเป็นไปตามสถานการณ์ตอนนี้เขาจะเสี่ยง เสี่ยงต่อการเจอหน้าใครบางคนที่เขาไม่ควรเลย
"เอ่อ...ถ้าไม่ว่าอะไรผมขอนิเทศฯได้ไหมครับ”
ครั้งแรกที่ยอมมองตาเซฮุนตรงๆ เพราะเขาจำเป็นจริงๆ และต้องการให้คนตรงหน้าเข้าใจ
เพราะจงอินรู้แก่ใจ ว่าถ้าไปคณะบริหารก็อาจจะต้องเจอ การเจอกันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับจงอินนักและที่สำคัญมันไม่ดีกับชานยอล การต้องเห็นหน้าคนอย่างเขาไม่ใช่เรื่องที่ชานยอลต้องการแน่นอนเขามั่นใจ และถ้าต้องเอาหน้าตัวเองไปให้อีกคน เห็น เขาคงถูกเกลียดยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
เพราะฉะนั้นจะไปให้เจอไม่ได้
ชื่อโด คยองซู คือคนที่เขาต้องมาคุยคอนเซ็ปภาพวาดด้วย และเลข3545คือเลขห้องที่เขาต้องมา มันอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง มือหนึ่งถือสมุดกับดินสอที่จะเอามาจดรายละเอียด อีกมือบิดลูกบิดแล้วดันเข้าไปข้างใน ห้องโล่งกว้างที่กินพื้นที่เกือบสี่ห้องเรียนเห็นจะได้เมื่อคะเนจากสายตา จงอินเห็นผู้คนนับสิบกว่าชีวิตในนั้นที่กว่าครึ่งสวมใส่เสื้อผ้าแฟนซีและกำลังซ้อมบทละครกันอยู่ น่าจะใช่
สองขาก้าวอาด กล้าๆ กลัวๆ เมื่อไม่ใช่ที่ที่เขาคุ้นเคย และพอเดินเข้ามาถึงกลางห้องเด็กหนุ่มก็ถามหาคนที่ต้องการเจอเอาจากใครคนหนึ่งตรงนั้น เขาได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มกว้างพร้อมลักยิ้มบุ๋มลึกทั้งสองข้างแก้ม ก่อนใครคนนั้นจะตะโกนไปข้างหลังที่เขาเพิ่งเห็นว่ามีคนอีกเกือบสิบคนกำลังสวมใส่เสื้อผ้าให้ตัวเองและบางคนใส่เสื้อผ้าให้กันอยู่
"คยองซู มีคนจากศิลปกรรมมาหา”
ผู้คนตรงนั้นแหวกทางออกกว้างจนเขาเห็นไปถึงหลังสุดของห้อง ใครคนหนึ่งตะโกนตอบรับแล้วมองมาทางเขายิ้มๆ คนตัวเล็กๆ ตากลมโตที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างข้างซ้ายคือผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่สวมชุดซินเดอร์เรร่า จงอินจำได้ และข้างขวาเป็นผู้ชายผิวขาวจัดที่มองมาทางเขาเช่นกัน บ่ากว้างในชุดเจ้าชายสีแดงเลือดนก
จงอินจำได้....ใครคนนั้นจงอินจำได้แม่นยำแม้ในความผัน...
ไม่ได้เตรียมใจไว้ว่าวันนี้จะต้องเจอ ตลอดมาเขาหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับชานยอลมาตลอด การแอบมองจากที่ไกลๆ ตรงจุดที่อีกฝ่ายจะไม่มีทางเห็นเหมือนคนขี้ขลาดคือวิถีชีวิตของคิม จงอินตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และเพราะอย่างนั้นเขาถึงได้คิดว่าเขาอยู่ได้แต่เปล่าเลย วันนี้เขารู้แล้วว่าเขายังทรมานกับเรื่องเหล่านี้ขนาดไหน ทรมานกับการไม่ถูกรักขนาดไหน
มือสั่นกดข้อความส่งหาเพื่อนรักว่าคุยโพลเสดงานเสร็จแล้ว และไม่ต้องเป็นห่วงเขาต้องกลับบ้านก่อนเพราะมีธุระด่วนให้จื่อเทาอยู่วาดงานล่วงหน้าไปก่อนได้เลย สองขาเดินไม่ไหวและมันหยุดนิ่งอยู่กับที่ตรงลานจอดรถของคณะนิเทศฯ จงอินทิ้งไหล่พิงกำแพงอิฐแล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ปาร์ค ชานยอลถึงกับขอตัวเลิกซ้อมโดยเอาธุระเรื่องคาเฟ่ของพ่อมาอ้าง แต่จงอินรู้ดีว่าไม่ใช่ ชานยอลแค่ไม่อยากอยู่ใช้อากาศในที่ที่มีเข้าเท่านั้นเอง
ยกมือปิดหน้าแล้วปล่อยโฮอย่างน่าอาย จงอินทรมานจนเหมือนจะตายให้ได้เมื่อนึกถึงภาพแผ่นหลังที่เดินจากไป เหมือนวันนั้นไม่มีผิด เจ็บ จนต้องจิกเล็บลงที่เนื้ออกแล้วสะอื้นจนตัวโยน ไม่มีแรงจนต้องปล่อยสองขาให้ทรุดลงนั่งกับพื้นแล้วซบหน้าลงกับท่อนแขนและหัวเข่า...
เจ็บอยู่ข้างใน เจ็บจนอยากจะตายไปเลยยิ่งดี
"เป็นอะไรรึเปล่า?”
ความขมขื่นไม่ได้ทำให้เราต่ำตมแต่มันคือสิ่งที่ฉุดกระชากเราขึ้นมาจากห้วงของความสุข เราเองที่คิดว่าความสุขจะอยู่กับเราตลอดไปจนปล่อยปะละเลยมัน ขีดเส้นกั้นมันไว้ให้อยู่ในที่ที่เราต้องการเมื่อไหร่ค่อยปล่อยออกมาก็พอ จนวันหนึ่งเส้นที่เราขีดไว้กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราเดินเข้าไปหาความสุขไม่ได้อีก เส้นที่ลงมือเขียนด้วยจิตใจใฝ่ทรยศอันหอมหวานและน่าตื่นเต้น ถ่มรดตัวเองด้วยความละโมบโลภมากจนคิดจะถอยหลังกับไปก็ทำไม่ได้
คนตรงหน้าเขาตอนนี้ก็คงเป็นแบบนั้น โอ เซฮุนคือความทรยศในจิตใจของเขา ความทรยศที่หอมหวานในตอนนั้น และเขาเองก็คงเป็นในสิ่งเดียวกันสำหรับผู้ชายคนนี้
รอยเขียวช้ำจางๆ ตรงมุมปากเรียกความสนใจจากเขาไปได้พอสมควร จงอินไม่รู้ว่าควรจะถามดีไหมเมื่อทุกครั้งที่เจอ อีกคนก็มักมีรอยที่ว่านั่นอยู่ที่มุมปากไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่งเสมอในช่วงนี้ กลายเป็นพวกชอบทะเลาะวิวาทตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คำถามต่างๆ ก็ถูกเก็บเอาไว้แล้วให้ความสนใจกับเข็มขัดนิรภัยที่ต้องปลดออกเมื่อถึงที่หมาย นั่นคือบ้านของเขา
"ขอบคุณที่มาส่ง” อย่างน้อยก็ควรขอบคุณในความหวังดี เขาบอกเจ้าของรถแล้วเตรียมจะเปิดประตูออกไป
"เดี๋ยวก่อนสิ” แต่มือขาวซีดก็คว้าขอแขนเขาเอาไว้แล้วออกแรงดึงเบาๆ ให้หันกลับมา “ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น นายก็ไม่เปิดโอกาสให้พี่ได้คุยด้วยเลย”
ไม่จำเป็น....จงอินคิดคำนั้นอยู่ในใจ เขามองนิ่งไปที่เซฮุนและมองต่ำลงมาที่ขอแขน อีกฝ่ายปล่อยออกอย่างรู้ความหมาย
“โทษที”
"ไม่เป็นไร” เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้งระหว่างเราเมื่อเขายอมนั่งนิ่งตามเดิม ไม่มีอะไรต้องพูดอีกนั่นคือในความหมายของจงอิน แต่กับอีกคนคงกำลังคิดหาคำพูดมาเปิดประเด็น ซึ่งก็อีกนั่นแหล่ะ มันเป็นประเด็นที่เขาไม่อยากพูดถึงมัน
“เจอชานยอลมาเหรอ?” และคำพูดที่ใช้ก็เปิดได้ตรงประเด็นที่สุด “ที่ร้องไห้ขนาดนั้น เพราะเจอชานยอลมาใช่ไหม?”
“รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าชานยอลอยู่ที่นั่น” รู้อยู่แล้วว่าใครอีกคนรับเล่นละครให้คณะนิเทศฯ รู้อยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันซ้อมย่อยและฟิตติ้งชุดจริง รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าถ้าเขาไปจะต้องไปเจอใครคนนั้น
"จงอินเลือกจะไปที่นั่นเอง แล้วนายก็ไม่อยากพูดกับพี่ พี่ก็ไม่รู้จะบอกยังไง”
“อ่อ...ความผิดชั้นเองที่เลือกแบบนี้” คำพูดของเซฮุนทำให้จงอินขำให้ตัวเองในใจ “ในชีวิตก็เลือกอะไรผิดพลาดมาแล้วตั้งหลายครั้งทำไมถึงไม่เข็ดสักทีก็ไม่รู้”
“ขอโทษ” เซฮุนหมายถึงสำหรับทุกๆ อย่าง เพราะรู้ดีว่าที่จงอินพูดหมายถึงตัวเขา
"มันไม่จำเป็นอีกแล้วเซฮุน นายพรากเขาไป” สายตาเกรี้ยวกราดจองมองเอาเรื่อง น้ำตาทำท่าจะไหลอีกแล้วแต่จงอินจะเก็บมันไว้ จะไม่ร้องไห้เสียน้ำตาให้กับคนตรงหน้านี้เด็ดขาด
"ขอโทษ ขอโทษจริงๆ “
“พอสักที”
“ถ้ามีอะไรที่พี่พอจะทำให้พวกนายสองคนกลับ...”
“งั้นช่วยไปให้พ้นหน้าทีเถอะ เริ่มจากตอนนี้” คำพูดไร้ซึ่งเยื่อใยพ่นรดใส่หน้าทั้งที่ไม่ได้หันมามองกันเลยด้วยซ้ำ เซฮุนชะงักคำพูดไว้ตรงนั้นและไม่หวังจะทู่ซี้พูดอีก “ตัวเองยังเอาหน้าไปเจอชานยอลไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าสะเออะพูดว่าจะช่วย มันทุเรศ”
จงอินยังเป็นจงอินคนเดิมที่เซฮุนรู้จักดีไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือปัจจุบัน ร่างสูงนิ่วหน้ายอมรับความเป็นจริงเมื่อนึกไปถึงตรงนั้น ก็เพราะเขาเป็นคนทำให้เป็นแบบนั้นเองแล้วจะโทษใคร
ทำไมถึงยอมขึ้นรถมาตอนที่อีกคนเดินมาเห็นเขาร้องไห้ พยุงขึ้นยืน แล้วถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นไยนะเหรอ? จิตใจของคนเมื่อมันอ่อนแอ แม้จะเป็นคนที่เกลียดขนาดไหนเมื่อมาถูกที่ถูกเวลาก็มักจะได้ไปซึ่งความไว้ใจจนยอมพึ่งพา เซฮุนชอบมาในเวลาที่จงอินใจอ่อนจนเลือกตัวเองเสมอ เพราะรู้จักเขาในด้านนี้ดีที่สุด รู้จักดีจนเขาทั้งรังเกียจอีกคนและสมเพชตัวเองไปพร้อมกัน
ห้องนอนที่เป็นระเบียบขึ้นเหมือนไม่ใช่ห้องของเขา แต่มันใช่ มันเป็นแบบนี้มาสองสัปดาห์แล้วและคงไม่ต้องพูดถึงสาเหตุ รูปวาดขนาดต่างๆ ที่เคยวางอยู่เต็มห้อง ตอนนี้มันถูกเก็บเข้าแฟ้มและบางส่วนอยู่ในกล่องเก็บของใต้เตียง เว้นรูปเดียวที่ยังอยู่ที่เดิมตั้งแต่วาดเสร็จไม่เคยเคลื่อนย้ายไปไหน รูปภาพขนาดสองเมตรที่ขึงอยู่บนกระดานไม้อัดวางอยู่บนขาตั้งปลายเตียง รูปภาพของผู้ชายคนที่ใส่เครื่องแบบนักศึกษาแล้วนั่งเล่นกีต้าร์โปร่งตัวเก่งที่พังไปแล้วต่อหน้าต่อตาเขาในวันที่ฝนตก ผู้ชายผิวขาวจัด ปากแดงเข้มคนนั้น จงอินนึกไปถึงตอนที่กลีบปากคู่นั้นคาบมวนบุหรี่ไว้แต่ยังไม่ยอมจุดไฟ เขาเผลอมองมันอยู่อย่างนั้นและนึกเสียดายตอนนิ้วยาวคีบมันออกไปจากริมฝีปาก และเป็นอันต้องสูดหายใจเข้าลึกตอนที่มันกลับมาที่เดิม และคราวนี้คนตัวสูงจุดไฟตรงปลายมวน จังหวะดูดดึงอากาศเข้าปอดเป็นตอนที่จงอินชอบ แต่ชอบที่สุดตอนคนตัวสูงซีดปากก่อนจะพ่นควันออกมาคละคลุ้งไปทั่ว เขานึกอยากเป็นบุหรี่ขึ้นมาเพราะอยากสัมผัสริมฝีปากสีเข้มนั่น แต่ก็ยังแพ้ความรู้สึกอยากเป็นแอลกอฮอล์ที่ได้เข้าไปอยู่ในปากและถูกลิ้นร้อนกลั้วรสชาติ
รู้ตัวอีกที จงอินก็ลูบไล้มือไปบนรูป...
ตั้งแต่วันนั้นที่ได้รับรู้ตัวตนของชานยอลครั้งแรก สัมผัส จังหวะ ทุกอย่างจงอินไม่เคยลืม เขายังอยากได้มันอย่างน่าอดสูให้กับความเป็นไปไม่ได้ ทุกคืนเขายังนึกถึงบางช่วงบางตอนที่โดนต้อนจากช่วงล่างที่ปวดตึง แม้ไม่ใช่ท่วงทำนองที่นุ่มนวลและสวยงาม และนั่นคือสิ่งที่ทำให้จงอินจดจำขึ้นใจ
เพราะชานยอลไม่เคยหยาบโลนกับเขาเหมือนในคืนนั้น
เสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีแดงสลับดำบนไม้แขวนเสื้อที่แขวนไว้กับหัวขาตั้ง จงอินดึงมันออกมา เขาสูดดมราวกับว่ามันทำให้ได้กลิ่นเจ้าของเสื้ออย่างไรอย่างนั้น ค่อยๆ ถอยหลังเชื่องช้าเพราะมัวแต่จมจ่อมอยู่กับกลิ่นที่มโนนึกจนทิ้งตัวลงปลายเตียงอย่างช่วยไม่ได้ ปลดกระดุมเสื้อออกจากรังดุมทุกเม็ดแล้วสอดมือทั้งสองข้างเข้าแขนเสื้อให้มันห่อหุ้มตัวเขาจากด้านหน้า ปลายนิ้วโผล่พ้นความยาวมาได้นิดหน่อยยกจับปกเสื้อขึ้นสูดดม ตรงนี้มีกลิ่นน้ำหอมเจือจางแต่ก็ชัดเจนกว่าส่วนอื่นๆ เขาเหมือนคนบ้าไปแล้วเพราะพฤติกรรมโรคจิตนี้มันไม่ใช่ครั้งแรก จงอินยิ้มพอใจเมื่อรับรู้ว่ากลิ่นยังหลงเหลืออยู่แม้จะสูดเข้าไปเป็นรอบที่สอง แสะสาม
อย่าว่ากันเลยนะ...ถ้ารู้ว่าคิม จงอินเป็นคนยังไงและทำอะไร ชีวิตนี้ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาทำอะไรน่าอายอย่างนี้เลยเพราะงั้นอย่าโกรธเลยนะ อย่ารังเกียจถ้ารู้ว่าเขาทำอะไรกับเสื้อตัวนี้บ้างในวันที่คิดถึงจนทนไม่ไหว
"ชานยอล...”
นิ้วเล็กสั่นเทิ้มกอบกุมก้อนเนื้อที่โผล่พ้นซิปกางเกงเอาไว้แล้วรูดรั้งอย่างเคย มืออีกข้างจับเนื้อผ้าขึ้นสูดดม มันเพิ่มแรงกระตุ้นเร้าได้มากทีเดียวเมื่อสองตามองคนที่อยู่ในภาพวาดไปด้วย ขนาดเท่าตัวจริงทำให้จงอินหลอกตัวเองได้ว่านั่นคือชานยอลจริงๆ แล้วเรียกชื่ออย่างมีความหวัง น่าสงสาร แต่ก็น่ารังเกียจ เขาช่วยตัวเองโดยใช้เสื้อตัวนี้หลายครั้ง มันช่วยให้เขาใช้ชีวิตอยู่ได้ในแต่ละวัน
จังหวะเร่งเร้าของข้อมือทำให้จงอินรู้ว่าใกล้จะถึงจุดเต็มทีแล้วจึงกอบกุมของตัวเองไว้ด้วยสองมือ เสียงหอบหายใจกระเส่าและสั่นเครือเล็ดลอดออกจากริมฝีปากที่ถูกขบกัดจนกลัวว่าจะได้เลือด หัวคิ้วห่างรั้งขึ้นน่าสงสารเมื่อความต้องการทั้งหมดกำลังมารวมตัวกันอยู่ที่ส่วนปลาย นิ้วโป้งข้างหนึ่งกดหัวมนไว้เพราะกลัวว่าของเหลวจะฉีดพุ่งโดนเสื้อเขาเลยตั้งใจจะถอดมันออกก่อนแต่ไม่ทันแล้ว ครั้งนี้เขาต้องการมากเกินไปเพราะได้เจอกับเจ้าของเสื้อในระยะประชิด เปลือกตาปิดสนิท ภาพเมื่อครั้งจูบกันในรถหลายครั้งต่อหลายครั้งฉายวนอยู่ในความมืด จงอินเลียลิ้นรอบปากล่างของตัวเองเมื่อเขาอยากได้แบบที่ภาพในหัวเห็น ตอนที่ถูกทาบทับลงมาบนหลังแล้วถูกความใหญ่โตแทรกผ่าน จงอินกระชากตัวเองถี่และแรงขึ้น และตอนที่ถูกความอุ่นวาบฉีดพ่นมาในกาย ของเหลวสีขาวขุ่นของตัวเองก็ทะลักล้นออกมาจนนิ้วโป้งที่กดไว้ก็กั้นไม่อยู่
"อึ!!” หยดน้ำไหลลงที่หางตา จงอินเอามือตะครุบบังวิถีฉีดพุ่งของมัน บังไม่ให้มันกระเด็นมาโดนเสื้อบนตัวจนเปรอะเปื้อนเต็มมือไปหมด กางเกงยีนสีเข้มเลอะเป็นด่างดวง และบางส่วนกระจายอยู่บนพื้นไม้ปาเก้ เขารูดรั้งอีกหลายทีจนมั่นใจว่าไม่มีตกค้างอยู่ภายใน ลืมตาขึ้นมองผลงานของวันนี้และพบว่าความต้องการของเขามากมายเกินไป
“ฮือ...ชานยอล”
ไม่ไหว หัวใจจงอินบอกว่าหล่อเลี้ยงร่างกายนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะหัวใจมันบอบชั้นเกินไปและเขาต้องการจุดสิ้นสุด เขาหนีมันไม่ได้อีกแล้วเพราะถ้าไม่ไปให้พ้น เขาคงต้องเผชิญหน้า
“บอกว่าจะช่วยใช่ไหม...”
เพราะวันเวลาไม่อาจเปลี่ยนแปลง และตัวเขาไม่อยากเจ็บปวดอีกต่อไป...
.
.
.
.
.
“ไม่ต้องห่วงนะ เราแค่อยากออกมาหาที่วาดรูปที่บรรยากาศดีกว่าหมา’ลัยกับในห้องนอน” จื่อเทายังเป็นคนเดียวที่ห่วงเขาตลอดเวลา แม้ตอนที่เขาโทรไปบอกว่าวันนี้จะไม่เข้าไปวาดรูปงานประจำปีด้วยกันที่มหา’ลัย เพื่อนของเขาก็ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกว่าเขาไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า สองขาเดินมาหยุดอยู่ตรงม้านั่งตัวหนึ่งใต้ต้นไม้แล้วจัดแจงกางขาตั้ง ขึงกระดาษบนกระดานด้วยมุดทั้งสี่มุมระหว่างฟังจื่อเทาบ่น
“ไม่ได้จะหายไปไหนสักหน่อย ไม่เอาหน่า ถ้าเป็นห่วงมากนักเราอนุญาตให้โทรมาเช็คได้ทุกสิบนาที สัญญาว่าจะไม่ปิดเครื่องด้วย” ปลายสายยังคงดื้อดึงจนเขายิ้มขำแต่ก็ดูอ่อนลงเยอะเมื่อเขายอมให้โทรจิกอย่างนั้น
"ขอบคุณมากเลยนะครับที่เป็นห่วง คุณพ่อ” เขาหัวเราะใส่ จื่อเทาเองก็ค่อนแคะส่งมาให้ว่าไม่ต้องทำเป็นพูดดี และให้รีบกลับบ้านอย่าอยู่นานนัก เขารับคำว่าง่ายเพื่อไม่ให้บทสนทนายืดยาวไปกว่า ก่อนจะหยิบอุบกรณ์ทำมาหากินออกจากกระเป๋าเป้ ลงมือร่างแบบที่จินตนาการไว้ในหัวหลังจากทบทวนคอนเซปทั้งหมดด้วยดินสอ
เสียงกีต้าร์โป่รงแว่วเข้าหูในช่วงสาย จงอินละมือจากภาพเพื่อหันรีหันขวางไปรอบตัว จุดแรกที่เขามองคือที่นั่งที่สร้างด้วยปูนเป็นทางยาวใกล้กันกับที่เขานั่งอยู่แต่ก็พบเพียงคุณปู่คนหนึ่งที่นั่งมองหลานชายวิ่งเล่น ไม่ไกลจากตรงนั้นมีชายหญิงนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิง เขาหันไปมองอีกทางก็เจอกับต้นกำเนิดเสียงที่เขาหา ใครคนหนึ่งยืนเล่นกีต้าร์อยู่ข้างทางที่ผู้คนกำลังวิ่งออกกำลังกายส่วนไปมา และก้มหัวขอบคุณคนที่เอาเงินมาวางไว้ให้ในหมวก
คิดว่าจะได้เห็นใครอยู่ตรงนั้นน่ะเหรอ มันบ้าสิ้นดีในเมื่อรู้อยู่แก่ใจ
ก็ไม่ได้หวังหรอกว่าจะมา ไม่ใช่เพราะเซฮุนไม่ยอมช่วยเหลือเอาคำพูดของเขาบากหน้าไปบอกเพื่อนเคยรัก เขารู้ว่าเซฮุนจะทำถึงแม้รอยช้ำที่หน้าจะเพิ่มขึ้นถ้าต้องไปเจอ แต่เพราะคนที่เขาฝากเซฮุนไปบอกว่าเขาจะรออยู่ที่นี่ทั้งวัน ไม่อยากมาเจอเขาต่างหาก
วันที่สองเขาก็ยังมาในเวลาเดิม และจื่อเทาบ่นหนักกว่าเดิมเพราะมันไม่ใช่แค่วันเดียวอย่างที่เจ้าตัวคิดไว้ เขาดูเป็นเด็กดื้อไปแล้วในสายตาเพื่อน แต่จะให้ทำไงได้ในเมื่อโอกาสของเขามีน้อยนิด เซฮุนโทรหาเขาเมื่อเช้าเพื่อบอกว่าได้บอกบอกชานยอลแล้วว่าวันนี้เขาก็จะมารอ เซฮุนเสี่ยงมากกับการเข้าไปหาชานยอลที่คาเฟเมื่อคืนนี้ตอนที่อีกคนกำลังทำงาน แต่เขาคิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดี ชานยอลจะไม่ลงไม้ลงมือกับเซฮุนในร้านของพ่อ
วันนี้ไม่มีเสียงกีต้าร์จากคนเมื่อวาน มันค่อนข้างเหงาหูทีเดียว และอากาศเริ่มหนาวเย็น เขาอยู่แค่ถึงห้าโมงเย็นไม่ใช่สองทุ่มเหมือนเมื่อวาน เพราะจื่อเทาเอาแต่โทรมาทุกสิบนาทีและขู่ว่าจะออกมาหา แล้วเซฮุนก็โทรมาบอกอีกว่าชานยอลมีซ้อมละครถึงสี่ทุ่มดังนั้นคงไม่มาพบเขาในวันนี้
ไม่ได้หวังว่าจะมา... ไม่ได้หวังว่าจะให้อภัยกันในเร็ววัน หรือแม้แต่โอกาสละเล็กละน้อย คิม จงอินไม่ได้หวังว่าจะได้จากชานยอลในวันนี้
และวันที่สามก็เหมือนกัน รูปที่ต้องวาดให้คณะนิเทศฯเสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ไม่มีข้ออ้างอะไรจะอ้างกับจื่อเทาอีกเพราะฉะนั้นเขาจึงยอมรับในน้ำเสียงโกรธเคืองที่มีให้เขาจากปลายสาย แต่เขาก็ยังมาเพราะความหวังลมๆ แล้งๆ เขานั่งอยู่ที่เดิมตรงม้านั่งใต้ต้นไม้เหมือนเมื่อวานและสองวันก่อน จริงๆ แล้วมันคือที่เดิมมาตลอดตั้งแต่ก่อนเขาจะรู้จักกับชานยอล ผู้ชายที่ชอบมานั่งดีดกีต้าร์อยู่ตรงที่นั่งปูนไม่ไกลจากเขาคนนั้นมาที่นี่ทุกวัน ไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่เจอ เขาเผลอละจากรูปวาดหันไปมองบ่อยครั้งในตอนแรก และหลังจากนั้นเขาก็มองบ่อยขึ้นเพราะแอบเอาชานยอลมาเป็นนายแบบในสมุดสเก็ตภาพ
กระทั่งทุกวันนี้ชานยอลก็ไม่เคยรู้ว่ามีรูปภาพของตัวเองมากขนาดไหนในห้องนอนของเขา
เสียงฟ้าร้องและท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาอึมครึมเหมือนกับใจของเขาในตอนนี้ จงอินเลยหน้าขึ้นมองขึ้นไปบนนั้นแล้วหลับตา ความหวังใกล้จะลิบหรี่เต็มทน เขาสำนึกรู้ได้ชัดเจนตอนที่หยดน้ำเย็นจัดหนึ่งหยดตกลงบนเปลือกตา ความเย็นของน้ำฝนหน้าหนาวใม่ใช่เรื่องน่าขำขัน แต่เขายิ้ม ยิ้มให้กับจุดจบของตัวเอง
ไม่ได้หวังเลย...
เขาโกหก...จงอินหวัง มองฝ่าความมืดที่เริ่มโรยตัวไปตรงซุ้มขายน้ำดื่มที่ห่างออกไปยี่สิบเมตร เขาหวังว่าชานยอลจะเห็นใจเขาในวันนี้ เขาหวังว่าจะได้เห็นใครคนนั้นยืนแอบอยู่หลังซุ้มนั้นเหมือนที่เขาเคยทำในวันที่ชานยอลมานั่งรอเขากลางฝน เขาหวังว่าชานยอลจะไม่ทำแบบเขา ไม่ทิ้งเขาให้นั่งจมน้ำฝนเย็นจัดที่กำลังตกหนัก
แต่ไม่มี
จงอินสั่นไปทั้งตัว สั่นเพราะความหนาวเหน็บที่เกาะกินไปถึงขั้วหัวใจ มีเพียงสิ่งเดียวที่อุ่นคือน้ำที่ไหลออกจากหางตา ร่างเล็กกอดตัวเองไว้ไม่ยอมลุกไปไหนเพราะคำว่าโอกาสสุดท้ายผูกร่างกายไว้กับเก้าอี้ หน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลบอกเวลาหนึ่งทุ่มตรงนั่นหมายความว่าเขานั่งตากฝนมาเกือบชั่วโมงแต่มันยังน้อยนิดเมื่อเทียบกับวันที่ชานยอลรอเขา
ความหวังที่ลิบหรี่กำลังจะหมดสิ้น ในตอนนั้นจงอินหันไปเห็นใครคนหนึ่งถือร่มเดินออกมาจากหลังซุ้มขายน้ำ ร่างกายสั่นเทิ้มลุกขึ้นยืน ใบหน้าเปื้อนยิ้มปิดไม่มิด สองขาเดินเข้าไปหาในขณะที่อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ใครสักคนในชุดนักศึกษาที่พอเดินมาถึงบริเวณที่ไฟนำทางสาดส่องมาถึง จงอินก็หยุดฝีเท้าไว้เท่านั้น
"กลับเถอะ วันนี้ชานยอลก็มีซ้อมใหญ่”
ใครคนนั้นที่ใส่กางเกงยีนสีซีดไม่ใช่ชานยอล
ทันทีที่ถึงบ้าน เขาไล่เซฮุนกลับไปโดยไม่กล่าวขอบคุณเรื่องที่ขับรถมาส่งสักคำ เดินขึ้นไปบนห้องโดยไม่ฟังคำเรียกขานของแม่ เขาได้ยินเสียงเซฮุนวิ่งตามขึ้นมาจนถึงบันไดหน้าห้องแต่เขาก็ปิดประตูใส่หน้าและตะโกนไล่ให้กลับไปอีก ในความมืดของห้องนอนที่ไม่ได้เปิดไฟ กระดาษหลายสิบแผ่นกระจัดกระจายเต็มพื้นห้องและตัวเขาเปลือยเปล่านั่งมองหน้าคนในภาพวาดรางๆ เพราะมันกระทบกับแสงจันทร์จากหน้าต่าง ความหนาวทำให้เขากระชับเสื้อลายสก็อตสีแดงดำเข้ากับตัวแน่นขึ้นแต่ไม่หยิบผ้าห่มขึ้นมา แล้วคืนนั้นเขาก็ช่วยตัวเองกับเสื้อของชานยอล...
เคยพูดเอาไว้ว่า ‘ไม่เคยโกรธเลย’ ที่ทิ้งกันไปในวันนั้น และยังคงรู้สึกอย่างนั้นไม่ผิดเพี้ยน ไม่เคยโกรธ...ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่โกรธ เพราะไม่มีสิทธิ์แล้วจะกล้ารู้สึกอย่างนั้นได้อย่างไร ทุกวันนี้แค่โอกาสในการดีใจที่ได้มองเห็นการมีอยู่ของอีกคน ก็ยังไม่รู้เลยว่าได้รับอนุญาตให้รู้สึกแบบนั้นหรือเปล่า
นั่นเพราะตัวเขาไม่ได้เป็นที่รักอีกแล้ว...
.
.
.
.
“จงอิน...”
เขาลืมตาตื่นในเช้าของวันถัดมาแล้วพบว่าเป็นจื่อเทาที่เขาได้ยินเสียงเรียกในความฝัน
“นี่มันอะไรกันเนี่ย เกิดอะไรขึ้น”
เขาพยายามเพ่งมองสีหน้าเป็นคำถามของเพื่อนรัก และมองตามไปยังจุดที่สายตาของจื่อเทากำลังมอง ที่พื้นห้องแทบไม่มีที่ยืนเพราะมีแต่กระดาษหลายขนาดอยู่บนนั้น และมองกลับมาที่ตัวเขาอีกครั้ง คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อไม่ได้รับคำตอบ
"เราถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับจงอิน” มือเย็นเฉียบจับมาที่ไหล่ของเขา นั่นทำให้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้ใส่เสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อคืน “ทำไมเป็นแบบนี้”
ขายิ้ม และไม่ตอบอะไรออกไปทั้งสิ้น
โชคดีที่ไม่ได้เป็นไข้ นั่นเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาสำหรับคนที่เอาตัวเองออกไปตากลมหน้าหนาวติดกันสองสามวันและยังตากฝนเป็นชั่วโมง ซ้ำยังนอนไม่ใส่เสื้อผ้าถึงในห้องจะเปิดฮีทเตอร์ก็ตามที จื่อเทานั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะกินข้าวและแม่ของเขากำลังเตรียมอาหารให้สำหรับเขาสองคน เป็นเรื่องน่าอึดอัดเมื่อเขาถูกสายตาเป็นคำถามของคนสองคนส่งมาให้พร้อมกัน และทั้งคู่รู้ดีว่าคนอย่างเขาหรือจะพูดอะไร เป็นแม่ของเขาที่ขอตัวไปอาบน้ำเปิดโอกาสให้เขาและจื่อเทา
"อย่าบอกชานยอลนะ เรื่องที่จื่อเทาเห็นในห้องเรา”
“ทำไม?...จงอินไม่คิดเหรอว่าถ้ารุ่นพี่รู้อาจจะหายโกรธก็ได้” เขาส่ายหน้า
"ขอร้องล่ะจื่อเทา ตอนนี้สำหรับเรามันจบไปแล้ว ต่อให้ชานยอลรู้เรื่องนี้ก็ไม่มีความหมาย ชานยอลไม่ได้รักเราแล้ว”
“แต่จงอินรักรุ่นพี่”
ไม่เคยบอกใครเลยแท้ๆ แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยรู้
“ขอร้อง..”
"เราไม่เข้าใจจงอินเลย...”
วันศุกร์สุดท้ายของเดือนและเช่นเดียวกัน มันคือวันศุกร์สุดท้ายของเทอม เจ็ดคณะแม่งานจัดเตรียมงานอยู่ที่ตึกของตัวเองส่วนพวกเขาก็มีหน้าที่เอาม้วนภาพไปส่งยังคณะที่ตัวเองได้รับมอบหมาย ที่นิเทศฯวันนี้ครึกครื้นกว่าปกติเพราะมีละครเวทีสั้นๆ แสดงให้ชมหนึ่งรอบ จื่อเทามาเป็นเพื่อนเขาเพื่อส่งรูปให้รุ่นพี่คยองซู อีกฝ่ายชื่อชมรูปภาพฝีมือเขาแล้วขอตัวไปจัดการกันความเรียบร้อยของนักแสดง
เขาไม่พยายามมองหาใครสักคนที่แสดงเป็นเจ้าชาย นั่นทำให้จื่อเทาสะกิดไหล่เขาตอนที่ใครคนนั้นเดินเข้ามาในห้องและพยักเพยิดมาที่ม้วนภาพอีกใบในมือเขา แต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นรอบตัวเจ้าชายทำให้เขาบอกตัวเองว่ายังก่อน
ช่วงเที่ยงจื่อเทาถูกรุ่นพี่เรียกตัวให้ไปช่วยงานและเขาต้องนั่งอยู่คนเดียวในห้องเขียนภาพที่ใช้เรียกเกือบทุกวัน ในมือมีม้วนกระดาษแผ่นใหญ่ที่เขาเฝ้ารอให้ถึงวันนี้เพื่อที่จะได้เอามาให้เจ้าของที่แท้จริง ริปบิ้นสี่แดงผูกเป็นโบว์สวยงามเพราะมันคือของขวัญที่เขาตั้งใจที่สุด ตั้งใจสร้างมันขึ้นมาและวันนี้ก็ต้องการใช้มันเพื่อการจากลาที่ชัดเจน
'ไม่มาดูละครเวทีเหรอ ใกล้จะจบแล้วนะ เจ้าชายใกล้จะออกแล้ว’
เซฮุนส่งข้อความมาบอกเขาในตอนบ่าย เขาแค่เปิดอ่านแต่ไม่ได้ส่งกลับไป
'จบแล้ว’
สิบห้านาทีหลังจากนั้นก็ส่งมาอีก เขาเปิดอ่านแล้วส่งอีโมติค่อนหน้านิ่งไปให้ และจื่อเทายังไม่กลับมา
เขานั่งอยู่อย่างนั้นอีกครึ่งชั่วโมงกว่า จื่อเทาก็โทรมาบอกให้เขาไปเจอกันที่หน้าโรงอาหารกลาง เขาขมวดคิ้วสงสัยว่าพวกรุ่นพี่ใช้ให้จื่อเทาไปทำอะไรถึงโรงอาหารกลาง แต่เสียงเจียวจาวทำให้เขาตัดใจไม่ถามและลุกออกจากห้องไปยังจุดนัด
ที่หน้าโรงอาหารเขาโทรหาจื่อเทาเพื่อขอพิกัดชัดเจนเพราะเขาไม่เห็นเพื่อนสนิทอยู่ที่นี่ แต่จื่อเทาไม่รับสาย เสียงดังแซงแซ่และจำนวนคนหลายร้อยบริเวณลานฟุตบอลตรงข้ามโรงอาหารนี่เองคือสิ่งที่เขาได้ยินมาจากปลายสายในตอนนั้น เรียกความสนใจของเขาให้หันไปมอง และยิ่งดังขึ้นไปอีกเมื่อเพลงจบลงแล้วบรรดาผู้หญิงก็กรี๊ดลั่น เสียงทุ้มต่ำพูดออกไมค์หลังจากนั้น เขาจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงใครโดยไม่จำเป็นต้องเห็นหน้า
ขายาวหยุดเมื่อเดินมาถึงจุดที่มองเห็นเวทีไกลๆ พร้อมกันนั้นก็เห็นหน้าคนบนเวที เสื้อเชิ้ตสีขาวปกดำพาดกีต้าร์โปร่งคือภาพจำของชานยอล ร่างสูงโปร่งดูดีนั่งอยู่บนเก้าอี้และกำลังเริ่มร้องเพลงถัดไป เพียงแค่ไม่กี่ตัวโน๊ตที่ได้ยิน จงอินก็จำได้ทันทีว่ามันคือเพลงนั้น...
เพลงรักของเขา...
แรงฉุดดึงที่ข้อมือทำให้เขาหลุดภวังค์ เป็นเซฮุนที่ทำอย่างนั้น ร่างสูงพยายามพาเขาฝ่าฝูงชนตั้งแต่ท้ายแถวเข้าไปและเขายื้อยุดสุดแรง เซฮุนหันมาจ้องเข้าด้วยใบหน้าติดหงุดหงิด แต่เขาสิควรเป็นฝ่ายทำแบบนั้น เขาส่ายหน้าไม่ยอมเมื่อเซฮุนออกแรงดึงจนเขารู้ว่าสู้ไม่ไหว แต่ไม่ทันแล้ว เขาถูกพาแทรกตัวลึกเข้าไปเรื่อยๆ ข้างในนี้อัดแน่นไปด้วยผู้คน เขาสองคนเบียดเข้าไปอย่างยากลำบากทั้งทีตอนนี้อยู่แค่ช่วงกลางแถวเท่านั้นเอง
"ฉันมารอจื่อเทา ให้ฉันออกไปเถอะ” เสียงเขาเบาเมื่อเทียบกับเสียงดังทั่วบริเวณ แต่เซฮุนได้ยินเพราะเขาพูดอยู่ข้างหู
“ไอ้นั่นน่ะ จะเอามาให้ชานยอลไม่ใช่หรือไง ถ้าไม่ให้วันนี้มันจะเรียกว่าของขวัญวันเกิดเหรอ” เซฮุนตะโกนบอกถึงม้วนภาพที่อยู่ในกอดของเขา แล้วรู้ตัวอีกทีเขาก็เข้ามาอยู่เกือบหน้าสุดของเวที
เพลงใกล้จะจบแล้วและเซฮุนบอกให้เขาส่งม้วนกระดาษนั่นให้ชานยอลจากตรงนี้ จากจุดที่เขาอยู่มองเห็นชานยอลชัดเจนแต่เจ้าตัวที่กำลังมองออกไปไกลๆ ไม่ทันเห็นเขา
“เร็วสิจงอิน” เซฮุนเร่งเร้าแต่เขาเอาแต่นิ่งจนอีกคนกระชากหายใจออกแรงแล้วคว้าเอาม้วนกระดาษนั้นไปถือไว้ ในตอนที่ชานยอลลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเซฮุนชู้ม้วนกระดาษนั้นขึ้นไป สายตาของคนบนเวทีมองลงและเห็นเขา จังหวะนั้นเขาสะบัดมือออกจากเซฮุนแล้วรีบพาตัวเองออกไปจากทีนี่ให้เร็วที่สุด
เขาไม่กล้า เขาไม่พร้อมสำหรับการจากลา
เขาวิ่งออกมา แต่หูยังแว่วได้ยินเสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ดังอยู่ไกลๆ จื่อเทาโทรเข้ามาถามว่าเขาอยู่ที่ไหน จงอินตอบและทรุดนั่งลงตรงโต๊ะหินอ่อนหน้าคณะวิศวะ เขาไม่ได้ยินเสียงจากเวทีแล้วเพราะมันอยู่ไกลจากเดิมมาก เกือบสิบนาทีจื่อเทาจึงมาถึงตัวเขา เรากอดกันและเขาร้องไห้โดยมีจื่อเทาลูบหัวลูบหลังเหมือนกับรู้ว่าเขาเจอเรื่องอะไรมา
"มันจบแล้วเหรอ? จงอินทำลงไปแล้วใช่ไหม” จื่อเทาถาม และเขาส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“......”
"แล้วทำไม”
“เราหนี เราไม่พร้อมเลยจื่อเทา” เขาสะอื้นอยู่อย่างนั้นพูดจาฟังไม่ได้ศัพท์ ไม่อายคนที่เดินผ่านไปผ่านมา “แค่ชานยอลมองหน้าเรา ตอนนั้นเราก็กลัวกับสิ่งที่จะเกิด เรากลัว”
“จงอิน...” มือหนาดันไหล่เขาออกมามองหน้า ปัดผมที่ปรกหน้าเขาเสยขึ้นแล้วปาดน้ำตาบางส่วนออกให้ “ฟังเรานะ ฟังเราให้ดีๆ “
“......” น้ำเสียงจริงจังทำเขานิ่งเงียบ และฟังอย่างที่อีกคนบอก
"หมดเทอมนี้รุ่นพี่จะเทียบโอนหน่วยกิจไปเรียนต่างประเทศ” น้ำตาทำท่าจะหยุดไหลไปเสียดื้อๆ โสตประสาทในการรับรู้เสียงก็มีทีท่าว่าจะหยุดทำงานไปแล้ว จงอินมองหน้าอีกคนไม่มีแววล้อเล่น “เราเห็นรุ่นที่เข้าไปแจ้งเรื่องไว้เมื่อสองวันก่อนตอนที่จงอินไม่มา”
"...ไม่จริงใช่ไหม?” เขาส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อหู
"มันเป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้นเราอยากให้จงอินคิดให้ดีๆ ไม่ว่าตอนนี้จะตัดสินใจยังไงเราอยากให้จงอินชัดเจน ถ้าจะตัดขาดกันไปก็แค่ปล่อยเลยตามเลยเพราะยังไงจงอินก็จะไม่ได้เจอรุ่นพี่อีก แต่” เสียงเข้มเว้นระยะให้เขาหายใจขัด “ถ้าจงอินยังรักรุ่นพี่”
รักสิ เขารักผู้ชายคนนั้นที่สุด
"เราอยากให้จงอินวิ่งกลับไป ไปบอกขอโทษกับสิ่งที่ผ่านมา แล้วบอกรุ่นพี่ว่าจงอินรักรุ่นพี่แค่ไหน”
จงอินหลับตาไหล่หยดน้ำที่เอ่ออยู่ตลอดคำพูดที่ได้ยิน เขาปล่อยโฮเพราะสิ่งที่อัดอั้น ไม่ต้องถามตัวเองอีกแล้วเมื่อเขาตัดสินใจได้ตั้งแต่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังจะไปอยู่ในที่ที่เขามองไม่เห็น
"เราอยากเห็นเพื่อนเรามีความสุขเหมือนคนปกติทั่วไปเขาเสียที”
สิ้นประโยคนั้นจงอินก็ลุกขึ้นวิ่ง วิ่งกลับไปที่เดิมที่เขาจากมา ชนใครบ้างเขาก็จนใจจะนับ บนเวทีไม่ใช่นักร้องคนเดิมอีกแล้วเพราะเป็นวงดนตรีร็อคสักวงที่นักร้องนำมีเนื้อเสียงแหลมแสบแก้วหู จงอินวิ่งอ้อมไปรอบๆ เพื่อมองไปให้ถึงข้างๆ เวทีเผื่อว่าชานยอลจะยังอยู่ แต่ไม่มี จงอินพยายามมองไปรอบๆ มองหาด้วยความหวังที่ไม่เห็นความเป็นไปได้ที่ชานยอลจะอยู่แถวนี้ ผู้คนพลุกพล่านทำให้เขาเวียนหัวตาลาย แล้วเซฮุนก็จับแขนเขาไว้เหมือนก่อนหน้านี้
"ทำไมยังอยู่ตรงนี้ ชานยอลมันกลับไปแล้ว”
"ไปนานหรือยังเซฮุน ตอบสิชานยอลไปนานหรือยัง” เขาตะคอกใส่อีกคนเพราะความใจร้อน
"ลงจากเวทีก็ไปเลย สิบห้านาทีได้” จงอินกุมขมับ เวลาขนาดนั้นชานยอลคงออกนอกมหา’ลัยไปแล้ว และเขาไม่รู้จักบ้านของชานยอล “แต่ก่อนไปฉันได้เอาของที่จงอินจะให้มันไปส่งถึงมือเลยนะ”
“......” นั่นดูเป็นรื่องไม่สำคัญไปแล้วสำหรับจงอิน
“มันเลยบอกว่า ก่อนกลับบ้านจะแวะไปที่ที่ได้เจอเด็กคนหนึ่งครั้งแรก อะไรสักอย่างนี่แหล่ะ”
จุดจบของความรัก ไม่ได้สวยงามเหมือนกันอดีต และตัวเขาไม่พอใจกับสิ่งที่ได้รับและเป็นอยู่ในปัจจุบัน ความหมายของมันคือ ‘เดินคนละทาง’ แต่เขาจะทำให้เราได้กลับมาเดินเส้นทางเดียวกันอีก
เขาจะทำให้ชานยอลรู้สึกถึงความรักที่เขามี...
.
.
.
.
มีคนนั้งอยู่ตรงนั้น จงอินมองเห็นได้จากจุดที่รถแท็กซี่จอด ทั้งที่วิ่งสุดแรงแล้วแต่ก็ยังดูช้าไปในความรู้สึก แผ่นหลังกว้างที่เขาคิดถึงทุกคืนทุกวันกำลังเคลื่อนไหวช้าๆ ตามจังหวะหายใจราวกับกำลังทอดถอนอารมณ์เพื่อเก็บเกี่ยวความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ จงอินลดฝีเท้าลงแล้วค่อยๆ เดินไปหา
เสียงรองเท้ากระทบพื้นปูนทำให้ชานยอลหันมา และทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร ร่างสูงก็ลุกขึ้นยืนและมองมาราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตา แล้วน้ำตาก็ไหลตั้งแต่ตอนนั้น...
ไม่อยากให้เขารู้ขนาดนั้นเลยหรือว่ากำลังจะไป แล้วอย่างนั้นจะมาที่นี่อีกทำไม...ที่ที่มีแต่ความทรงจำระหว่างเราจะกลับมาทำไม ทั้งๆ ที่เขามารอทุกวันก็ไม่เห็นมา ทำเหมือนอยากลืมๆ มันไปให้หมด แต่เวลานี้กลับเลือกที่จะกลับมา จงอินอยากถามว่าทำไมแต่กพูดอะไรไม่ออกสักคำ
“ชานยอล...” ได้แค่นั้นจริงๆ แล้วตัวเขาก็โดนกระชากกอดจนจมมิดเข้าไปกับอก ตากลมเล็กเบิกโพรงในนาทีแรกและสวมกอดตอบในนาทีถัดมา ไม่มีใครพูดอะไรและจงอินใช้เวลานั้นสูดดมกลิ่นกายของคนที่เฝ้าคิดถึง
"นึกว่าจะไม่ได้เจอแล้ว” นั่นควรเป็นคำพูดของเขาไม่ใช่เหรอ? จงอินคิดในใจ
"ผมก็คิดว่าจะไม่ได้เจอชานยอลแล้วเหมือนกัน” เขาว่าทั้งน้ำตา แล้วพายามดันตัวออกมาเพื่อมองหน้าอีกคน “ผมขอโทษ อย่าไปเลยนะ”
"...... "
"ถ้าสิ่งที่ทำให้ชานยอลตัดสินใจจะไปเป็นเพราะเรื่องนั้น ถ้ามันเป็นเพราะผม...”
“เดี๋ยวก่อน” ชานยอลห้ามเขาที่เอาแต่ก้มหน้าพรั่งพรูไม่หยุด นิ้วโป้งปาดเช็ดน้ำใสจากหางตาทั้งสองข้างแล้วดันแก้มเข้าให้เงยหน้า “ไหน ใครบอกจงอินว่าพี่จะไปไหน จงอินไม่ใช่เหรอที่กำลังจะไป”
"......” เราทั้งคู่มีสีหน้ามึนงงไม่ต่างกัน
"เซอุนบอกพี่ว่าจงอินจะเทียบโอนหน่วยกิจย้ายตามคุณพ่อไปเรียนที่อื่น” สิ่งที่ได้ยินนั้นทำเอาคิ้วผูกกันเป็นโบว์ จงอินครุ่นคิดตามในคำพูดแล้วปากก็ขมุบขมิบบอกสิ่งที่ได้ยินมา
"ไม่ใช่นะครับ จื่อเทาบอกว่า ชานยอลจะไปเรียนต่างประเทศ” พูดทั้งๆ ที่ยังขมวดคิ้วมุ่น
“แล้วได้บอกด้วยไหมว่าพี่จะมาทิ้งทวนความหลังในที่ที่เจอกับจงอินครั้งแรก อะไรทำนองนั้น”
"......” เขาพยักหน้า
"เพิ่งรู้ว่าสองคนนั้นสนิทกันจนถึงขั้นร่วมมือกันทำเรื่องพวกนี้ได้แล้ว พวกเราโดนต้มซะเปื่อยเลย” ชานยอลเท้าเอวหันหลังแล้วถอนหายใจ แต่เขาทรุดลงนั่งชันเข่ากับพื้นเมื่อรู้ว่ามันคือเรื่องล้อเล่น
"ผม...นึกว่าจะเสียชานยอลไปแล้วจริงๆ” เขาร้องไห้เสียงดังมากเขารู้สึกได้ ยกฝ่ามือปิดหน้าเพราะทั้งน้ำหูน้ำตาไหลจนน่าเกลียด ตอนนั้นเขาเห็นปลายรองเท้าหนังหันกลับมาจากช่องว่างตรงหว่างนิ้ว “นึกว่าจะไม่ได้พูดสิ่งที่อยากจะบอกไปตลอดชีวิต”
"......” เขาเห็นว่าคนตรงหน้านั่งลง แล้วน้ำหนักนุ่มนวลบนหัวก็ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
"......”
“ไหนว่ามาสิครับ มีอะไรจะพูด” สีหน้านั้นเคร่งขรึมกว่าตอนแรกจนจงอินใจหาย แต่ในเมื่อตั้งใจไว้แล้ว คิม จงอินจะทำให้ได้
เขารัก และจะไม่ยอมให้ความรักครั้งนี้หลุดมือไป
“ผม...ผมขอโทษกับเรื่องที่เคยทำ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมผิดไปแล้ว” เขาจับมือที่ลูบหัวเขามาจูบ “ผมรู้ว่ามันยากเพราะความผิดที่ผมทำมันเกินกว่าที่ชานยอลจะให้อภัย แต่ผมอยากจะบอกว่าผมไม่ได้รักเซฮุน ผม...”
"......” เขาจับมือชานยอลให้แนบไปที่แก้มเขา เขามองไปที่เจ้าของดวงตาโตแต่ดุดันนั้น มองให้ลึกเข้าไปในนั้น ให้เชื่อมันในสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้ว่ามันคือความสัตย์จริง
"จงอินรักชานยอล..รัก..รักจริงๆ”
"......”
"จะเป็นไปได้ไหมถ้าผมจะขอโอกาสอีกครั้ง ให้ผมได้แก้ตัวนะชานยอล”
“......” เหมือนจะหยุดหายใจเมื่อชานยอลเอาแต่นิ่ง ยังนั่งมองเขาที่เอาแต่ร้องไห้ น้ำตาไหลอาบแก้มกว่าเดิมและพูดว่าขอร้องซ้ำๆ กับฝ่ามือของคนใจแข็ง
"ขอร้องนะชานยอล...ขอร้อง”
"จริงๆ แล้ววันนี้พี่มาเพื่อขอร้องไม่ให้จงอินไป...เลยอึ้งนิดหน่อยที่ถูกพูดอะไรแบบนี้” ชานยอลว่าอย่างนั้นแล้วดึงเขาไปกอดอีก จงอินอุ้งทำอะไรไม่ถูก “พี่รักจงอินขนาดไหนไม่เคยรู้เลยเหรอ? ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่พี่ทำ ที่แสดงออกทุกอย่างไม่ทำให้จงอินรู้ว่าพี่รักมากขนาดที่ยกโทษในสิ่งที่เคยทำไว้ทั้งหมดเลยเหรอ?”
"......”
"พี่รักจงอิน ยิ่งรู้จักยิ่งรักมากขึ้นทุกวัน ยิ่งรู้ว่าจงอินก็รักพี่ถึงขนาดที่ในห้องมีแต่รูปวาดพี่เต็มไปหมด แค่นั้นพี่ก็ลืมไปหมดแล้วว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องแย่ๆ อะไรขึ้นบ้าง”
"ชานยอลรู้ได้ยังไง....จื่อเทาบอก..?”
"หมอนั่นเชื่อใจไม่ค่อยได้หรอกนะ” ชานยอลมองดุ แต่ก็ยิ้มปิดท้ายในตอนหลัง
“ผมขอโทษ”
"ไม่ต้องพูดแล้ว ลืมมันไปให้หมด พี่เองก็จะลืมมันเหมือนกัน”
“.......” เขาพยักหน้าตอบรักอย่างว่าง่าย
"เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะครับ เลิกร้องไห้แล้วยิ้มให้ดูหน่อย”
เขาสูดน้ำมูกแล้วยิ้มให้ดูอย่างที่ชานยอลขอ และได้แต่คิดในใจว่ามันไม่ง่ายเลยไม่ใช่เหรอสำหรับผลลัพในวันนี้ นี่เขาฝันไปหรือเปล่าถึงได้เห็นภาพว่าชานยอลยกโทษให้เขาสำหรับความผิดที่ผ่านมา เขาควรจะขอบคุณจื่อเทาไหมที่เอาเรื่องภาพวาดชานยอลที่เขาห้ามมาบอกเจ้าตัว ไหนจะเรื่องที่โกหกเขาว่าชานยอลจะย้ายไปเรียนต่างประเทศนั่นอีก หรือเขาควรจะขอบคุณเซฮุนที่โกหกในเรื่องเดียวกันกับชานยอล แต่ไม่มีทาง สำหรับเซฮุน หมอนั่นคือคนที่ทำให้เขาทรมานกับการไม่ถูกรักอยู่สองสัปดาห์ เขาจะจดเอาไว้ในสมุดโน้ตถึงความผิดของ โอ เซฮุน แต่จะหักลบด้วยความดีความชอบ
“ผมรักชานยอลนะ รักมาก”
"พี่ก็รักจงอินมากเหมือนกันครับ รักที่สุดเลย” เราจูบกัน จูบกันในสวนสาธารณะที่ผู้คนเริ่มเข้ามาใช้งาน เราเป็นนักศึกษาชายสองคนที่ทำเรื่องแบบนี้กลางวันแสกๆ
"ผมรักชานยอลมากกว่า”
“รู้ได้ไง”
“รักมากกว่าจริงๆ”
ไม่เอาแล้ว เขาจะไม่ทำให้ผู้ชายคนนี้เสียใจเพราะเขาอีก แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วสำหรับเรา เขาจะชัดเจนในความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับชานยอลตลอดไป สัญญา
เพราะเขารัก
รักผู้ชายที่หยิบยื่นทุกอย่างให้เขา ทั้งความรัก ความสุข และความอบอุ่น
เขารักผู้ชายคนที่บูชาความรักยิ่งกว่าใคร เพราะเขาเองก็บูชาความรักไม่แพ้ชานยอลเช่นกัน
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะครับ ชานยอล”
และในวันที่รู้ตัวว่ารักมากที่สุด มั่นใจว่ารักมากกว่าทุกๆ วัน
จงอินก็ได้ชานยอลกลับมาอยู่ด้วยกันตลอดไป
End
------------------------------------------------------------------------------------------------
คิดดูแล้วกันว่าอดทนขนาดไหน คือเนื้อเรื่องนี้ต่อจากเรื่อง I’m just a sad song (#SadsongCK)ที่ลงในเว็บไปตั้งแต่ตุลาคมปีที่แล้ว ส่วนสเปเชี่ยลพาร์ทลงในเล่ม7tracks KAIKE เนื้อเรื่องส่วนใหญ่อ้างอิงต่อจากสเปฯในเล่ม ตอนนั้นคิดว่าจะแต่งลงให้ทันวันเกิดชานปีนั้น(2014) แต่ไม่ทัน ผ่านมา1ปีเรายังคงสตรองเพื่อความรักของเขาทั้งคู่ โดนด่ามา1ปีเต็มๆ เพราะไม่ยอมทำให้สองคนนี้สมหวัง ตอนนี้สมหวังแล้วนะ เลิกว่าเราได้แล้ว
ชอบ หรือไม่ชอบยังไง เม้นต์ให้กำลังใจหรือติชมให้ด้วยน้า หรือจะเข้าไปสกรีมใน #LovesongCK ก็ได้ เราจะเข้าไปอ่านเรื่อยๆ
ขอบคุณและรักมาก
[-]Hyphen
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น