ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    You don't know I LOVE [ChanKai] ft.EXO

    ลำดับตอนที่ #6 : You don't know I LOVE [Chan x Kai] ft.EXO : SIX

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.พ. 59





    CHAPTER : SIX

     

    ------------------------------------------------------------------



     

     

                   บางครั้ง แค่เริ่มต้น...


                   เราก็รู้แล้วว่าจุดจบมันอยู่ตรงไหน

     


     



                   สายของวันที่อากาศไม่เป็นใจ ฝนทำท่าจะตกแต่โชคดีที่เขามาถึงก่อนที่มันจะลงเม็ด ถึงแม้ว่ามันยังไม่มีทีท่าว่าจะตกลงมาเดี๋ยวนี้แต่คาดว่าคงไม่เกินอีกครึ่งชั่วโมงแน่ๆ เวลาแบบนี้กับบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนทุกคนคงยังคุ้ดคู้อยู่บนที่นอน เพราะยังไม่อยากเจอใครโดยไม่มีจงอินอยู่ด้วยดังนั้นเขาถึงอาศัยช่วงเวลานี้กลับเข้าหอ


                   เสียงโทรทัศน์ตรงห้องนั่งเล่นทำให้คยองซูรีบเร่งฝีเท้าเพื่อจะได้เข้าห้องให้เร็วที่สุดโดยไม่ได้มองว่าใครคือคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นใครเขาก็ไม่พร้อมจะพูดคุยด้วยในเวลานี้ เพราะแน่นอนเขาต้องเจอคำถามประมาณว่า ‘ไปนอนที่ไหนมา’


                   และเพราะไม่ทันได้มองว่าคนคนนั้นเป็นใคร เลยไม่ทันระวังตัวว่าอาจจะโดนแบคฮยอนคว้าข้อมือจากด้านหลัง....


     


     


                  “ไปไหนมา ทำไมเมื่อคืนไม่กลับห้องอีกแล้ว” และแล้วเขาก็หนีไม่พ้นทั้งคำถามและคนคนนี้ น้ำเสียงทุ้มนุ่มเจือแววเป็นห่วงเอ่ยถาม คยองซูมองข้อมือที่ถูกจับสลับกับเจ้าของฝ่ามือหนากว่าไปมา เท่านั้นเองแบคฮยอนถึงได้ปล่อยมือ


                    “......”


                    “รู้ไหมว่าเป็นห่วง”


                    “......” มันเป็นความกดดันแบบแปลกๆ ผสมกับความรู้สึกทำตัวไม่ถูก เอาจริงๆแล้ว..คนตรงหน้านี้เป็นยังไงกันแน่ เหมือนเขาเริ่มรู้สึกมั่นใจว่าที่ผ่านมารู้จักแบคฮยอนดี เพราะภาพที่เห็นที่ผับวันนั้นกับการกระทำวันนี้มันต่างกัน รวมถึงเหตุการณ์เมื่อคืนและเมื่อเช้าที่บ้านจงอินทำให้เขามองแบคฮยอนด้วยความรู้สึกเปลี่ยนไปอีกนิดหน่อย สบสนขึ้นอีกนิดหน่อย...


                    “คยองซู...” เสียงอ้อนเว้าวอนแบบที่เคยทำให้ใจอ่อน มองคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอในเวลานี้ไม่วางตา แบคฮยอนเลือกที่จะทำอะไรเหมือนเดิมเผื่อคยองซูจะคิดเหมือนเขา “ถ้าคยองซูไม่ว่าอะไร ฉันอยากจะคุย..”


                    ยังไม่ทันพูดจบประโยคอีกคนก็เปิดประตูห้องเข้าไปข้างใน ห้องที่แชร์กันระหว่างคนตัวเล็ก จงอิน และชานยอลมันว่างมากว่าสี่วันแล้วถ้ารวมวันนี้ ไม่มีใครกลับมาห้องนี้เลยซึ่งนั่นทำให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่กังวนเป็นเรื่องจริง เหตุการณ์ที่ผับวันนั้นคยองซูมาทันเห็นเขากับชานยอล แบคฮยอนเดินเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะ ก็ในเมื่อเจ้าของห้องไม่ได้ห้ามและไม่ได้ไล่ตะเพิดทั้งที่รู้แล้วว่าเขาเข้ามาก็ไม่จำเป็นต้องหน้าบางหรือใจเสาะ


                    ภาพที่เห็นคือคยองซูเอาเสื้อผ้าไม่กี่ชุดยัดใส่กระเป๋าเหมือนเร่งรีบจะไปไหน หรืออาจจะไม่อยากอยู่ร่วมกับเขาในห้องแคบๆ นี้นานกว่านี้ 


                    “คือ...”


                    “ถ้าจะถามเรื่องคืนนั้นฉันตอบให้ก็ได้ว่าเห็น...” พอได้ฟังจากปากความกลัวมมันชัดเจนกว่าคิดไปเองหลายเท่า “แต่ถ้าจะอธิบาย ฉันไมต้องการคำอธิบายอะไรทั้งนั้น”


                    “คยองซู มันไม่ใช่อย่างที่เห็นเลยนะ”


                    “แบคฮยอนก็เป็นแบบนี้...ชอบมีเหตุผลมาอ้างอิงกับฉัน ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ทุกครั้งที่เราทะเลาะกันไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่แบคฮยอนจะไม่พูดว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด..ครั้งนี้แบคฮยอนก็บอกอีกว่ามันไม่ไดเป็นอย่างที่ฉันเห็น....หึ คนอย่างฉันนี่มันโง่ถึงขั้นคิดอะไรไม่ออกมองอะไรก็ผิดไปหมดขนาดนั้นเลยเหรอ? คงเป็นคนคิดเองเออเองจนน่าเวทนาเลยสินะ”


                    “คยองซู...” เสียงเรียกชื่ออย่างอ่อนใจ เห็นไหม แค่นี้ก็เหนื่อยใจกับเขาขนาดนี้แล้ว ความจริงคงเหนื่อยมากกับการมีเขา... มือใหญ่กว่าที่จับต้นแขนเหมือนจะงอนง้อจากอีกคนไม่ได้ทำให้คยองซูรู้สึกดีขึ้น ทุกการกระทำไม่สามารถลบคำถามในใจเขาออกไปได้ “จะให้ฉันพูดยังไงนายถึงจะยอมรับฟังแล้วเชื่อว่ามันเป็นอุบัติเหตุ โอเค ฉันยอมรับว่าตอนนี้ยังงงอยู่เลยว่าเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น ผีอาจจะเข้าไอ้ชานยอลจนมันบ้ามา... เออ ก็อย่างที่เห็น แต่มันไม่ใช่อย่างที่นายเข้าใจแน่ๆ ขอร้องล่ะ ฟังกันหน่อยได้ไหม”


                    ที่สุดแล้วมันจะเป็นอย่างไรก็คงต้องแล้วแต่คนตรงหน้า แต่อย่างน้อยแววตาอ่อนแสงนั่นก็บอกให้แบคฮยอนได้รู้ว่าเขาได้รับโอกาสแล้ว


     



     


                    ปวดหัว...


                    มือสีแทนยกขึ้นกุมขมับ ทันที่ลืมตาตื่นแสงแดดจากหน้าต่างก็ส่องเข้าตาจนต้องรีบหันไปอีกทาง นั่นจึงทำให้เขารู้สึกมึนและปวดหัวขนาดนี้ จำได้ว่าเมื่อคืนดื่มไม่เยอะเพราะหลังจากรบเร้าให้เซฮุนไปดื่มเป็นเพื่อนแถมยังไม่ฟังที่มันห้ามเรื่องที่เขาเกิดรู้สึกต้องการเรื่องแบบนั้นและเกือบจะไปตามคำชวนผู้หญิงในผับจนลืมไปว่าเขาคือไอดอลชื่อดัง แต่เขายังสามารถพาตัวเองกลับมาบ้านได้สำเร็จ


                    “......” แต่อะไรบางอย่างก็ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นคือคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ยังเช้าตรู่อยู่เลยเพราะเพิ่งจะ7โมงแท้ๆ แต่อีกคนก็อาบน้ำและทำท่าเหมือนจะไปไหน คยองซูเดินเช็ดผมแล้วมาหยุดยืนข้างเตียง มองหน้าจงอินเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไมได้พูด คนเป็นน้องเห็นท่าทางแบบนั้นก็คิดว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายพูดหรือเปล่า เพราะเขาได้ทำเรื่องร้ายแรงลงไปแล้ว


                    “ปวดหัวหรือเปล่า”


                    “พี่คยองซู คือผม..”


                    และก็ได้แต่อึกอักใส่กันเพราะจังหวะที่พูดสวนกันขึ้นมา จงอินลุกขึ้นนั่งในขณะที่อีกคนนั่งลงบนเตียงหันหลังให้พรางเช็ดผมที่เปียกชื้น เสี้ยวหน้าแดงก่ำที่เขาเห็นคงเกิดจากความอาย นี่เขาทำอะไรลงไป...


                    “พี่ครับ ผมขอโทษ” 


                    “หืม?”


                    “มันไม่ควรเกิดขึ้น ผมขอโทษที่ทำทุกอย่างพลาดไปหมด ถ้าพี่จะโกรธจะเกลียดผมก็ไม่แปลกเลย แต่ฟัง...”


                    “เดี๋ยวก่อนจงอิน” ยังไม่ทันพูดสิ่งที่คิดออกไปได้หมด คยองซูทึ่มีสีหน้างงจัดตั้งแต่คนน้องกล่าวขอโทษก็ยกขาขึ้นนั่งเต็มตัวบนเตียงแล้วหันมาห้ามทับจงอินจริงจัง เพราะเท่าที่ฟังดูแล้วจงอินกำลังคิดว่าตัวเองทำอะไรแย่ๆ ใส่เขาไปเมื่อคืนใช่หรือเปล่า “นี่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?”


                    “ผมขอโทษ” ยังคงก้มหน้าไม่กล้าสบตาคนโตกว่าและเอาแต่ขอโทษในสิ่งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ “ผมเมา ผม..”


                    “โอเค พี่เข้าใจแล้ว” แล้วมันก็กระจ่างในความคิดของคยองซูในประโยคต่อมานั้นเอง “จงอินกำลังคิดว่าตัวเองพลาดล่วงเกินพี่ใช่ไหม?”


                    จงอินพยักหน้าด้วยความรู้สึกกระดากอายต่อคนตัวเล็กที่เขารัก มันคงเป็นเรื่องตลกร้ายน่าดูเมื่อคิดไปถึงเรื่องที่เขากระทำต่อต่อคนที่รักแต่เป็นการกระทำที่พลาดพลั้งไม่ได้สติ คยองซูถอนหายใจยาวเหยียดแล้วเอื้อมมือมาจับบ่าจงอินไว้ ไม่คิดเลยว่าจงอินจะคิดมากจนไม่รู้สึกเลยว่าร่างกายของตัวเองไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกหลังมีเรื่องอย่างว่ากับใครเลย


                    ใช่ เพราะเขากับจงอินไม่ได้มีอะไรกัน แล้วมันจะไปรู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร


                    “จงอินฟังพี่นะ นายไม่ได้ทำอะไรพี่ เมื่อคืนนี้จงอินเมามากจนหลับไป แล้วพี่ก็เป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นายเอง แค่นั้นจริงๆ” คนเด็กกว่าจ้องมองใบหน้าคนพูดตลอดเวลา สิ่งที่ได้รับทั้งทำให้ดีใจที่เขาไม่ได้เป็นผู้ชายน่าสมเพชที่ทำกับใครโดยไม่มีสติ แต่อีกใจหนึ่งก็วูบโหวง เขาเกิดความรู้สึกเหล่านี้ได้ยังไง ทำไมกลับรู้สึกโล่งใจที่ตัวเองไม่ได้มีอะไรผูกมัดไว้กับพี่คยองซู ทำไมถึงดีใจที่ไม่ต้องรับผิดชอบกับการกระทำ


                    ทำไมความรู้สึกถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ เขาไม่เข้าใจ


                    “เลิกคิดมากได้แล้ว คิ้วจะผูกกันเป็นโบว์อยู่แล้ว”คยองซูแตะนิ้วที่หว่างคิ้วคนเป็นน้องก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง จงอินมองอีกคนด้วยท่าทีนิ่งเงียบเพราะยังคงไม่สร่างจากเรื่องราวที่ได้รับเท่าไหร่


                    “แล้วนี่พี่จะไปไหนครับ?”


                    “กลับหอ” คนตัวเล็กตอบสั้นๆ จงอินพยักหน้าอยู่ข้างหลังแม้ใครอีกคนที่ยืนแต่งตัวอยู่จะไม่เห็น เข้าใจว่าพี่คยองซูจะกลับไปปรับความเข้าใจกับพี่แบคฮยอน และเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี “พี่คงอยู่ที่นั่นตอนนี้ไม่ได้ จะกลับไปเก็บเสื้อผ้าแล้วขอมารบกวนที่นี่อีกสักสามสี่วัน ได้ไหม”


                    ถ้าเป็นคิม จงอิน คนเมื่อก่อน จะตอบพี่คยองซูไปว่ายังไง...จนแล้วจนรอดความสับสนก็ยังคงเกาะกินจิตใจของเขาอยู่ตลอดเวลา



    20%




                คิมจงอินคนก่อนหน้านี้ที่ทุกอย่างคือ โดคยองซูมันหายหัวไปไหน ปล่อยให้อะไรมันเข้ามาบดบังความรู้สึกเหล่านั้นไปหมดแล้วหรือ? ตอบไปสิ ว่ายินดีขนาดไหนที่จะได้อยู่ด้วยกัน ยินดีขนาดที่ถ้าต้องการจะอยู่ด้วยกันไปตลอดก็ยังได้


               บอกสิว่ามีความสุขกับปัจจุบันนี้ขนาดไหน


               “ผมว่าเรา...” 


               “ทำหน้าเครียดอะไรขนาดนั้น แค่ไปเอาเสื้อผ้าเอง” กลืนคำที่จะพูดลงคอเมื่อคนตัวเล็กวางมือลงบนไหล่เบาๆ คนที่ดูเหมือนยังไม่สร่างเมาดีทำเอาเขาตลกจนขำออกมา พอบอกว่าจะกลับไปหอเท่านั้นก็ดึงหัวคิ้วขมวดเข้าหากันขนาดนี้ 


               “......”


     


               “จงอินรู้อะไรไหม” น้ำเสียงทุ้มเบาตัดสินใจเรียกให้คนน้องเบนสายตาเหม่อลอยให้หันมาสบ จงอินมองหน้าคนที่ตอนนี้เอาตัวเองกลับมานั่งที่เดิมก่อนหน้านี้ตอนที่อธิบายเหตุการณ์เมื่อคืน รอยยิ้มที่ประดับประดาบนใบหน้าที่เขาแสนรักต่างกับความเกร็งเขม็งของเขาอย่างชัดเจน “เมื่อคืนนี้ถึงที่สุดแล้วจะไม่ได้เกิดอะไรขึ้นระหว่างพี่กับนายก็ตาม”


     


               พี่คยองซู....ผมว่าเรากลับไปอยู่ที่หอกันดีไหม กลับไปฟังคำอธิบายของพี่แบคฮยอนกันก่อนหน่อยดีไหมครับ? มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิดก็ได้


               “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอะไรเกินขึ้นเลย” แทบไม่รู้ตัวว่าส่ายหน้าออกมา “เรากอดกัน เราจูบกัน และพี่ก็รู้ว่าพี่ไม่ได้รังเกียจแล้วก็ไม่ได้นึกอยากต่อต้านเลย”


               แทบไม่รู้ตัวเลยว่าเกือบหลุดคำพูดอะไรที่ตั้งใจจะพูดก่อนหน้านี้ คิมจงอินไม่รู้ตัวว่าในหัวใจมันไม่ได้ร่ำร้องว่าดีใจแทบบ้า


     


               “มันเป็นไปได้แล้วนะจงอิน สิ่งที่นายต้องการมาตลอด เมื่อคืนนี้มันเกิดขึ้นตรงนี้”


               จงอินแทบไม่รู้ตัวว่าขืนแรงตรงฝ่ามือในตอนที่คนตัวเล็กตรงหน้าเอื้อมมาจับแล้วยกมันขึ้นไปวางตรงหัวใจ


               “พี่คยองซู...” เขาสัมผัสได้ถึงแรงเต้นหนักหน่วงตรงหัวใจเล็กๆ จนต้องมองหน้าเจ้าของของมัน ไม่ปฏิเสธว่ามันก็ทำให้ใจของเขาเต้นเหมือนกัน มันทำให้เขารู้ว่าความรักที่มันเอ่อล้นมาตลอดสี่ปียังคงท่วมท้นกระทั่งในเวลานี้ เขารู้...แม้จะมีบางอย่างที่เขาตอบตัวเองไม่ได้ว่ามันคืออะไรเข้ามาปะปน แต่เขารู้


               ว่าพอมองอีกคนในระยะประชิดจนได้ยินเสียงหายใจอย่างนี้


               เขาก็ยังคงรู้สึกได้ว่ารักอย่างชัดเจน


     


               “ยอมรับแล้ว พี่ยอมรับความรักของจงอินแล้ว เพราะฉะนั้นอย่ากังวลเลยว่าพี่จะให้โอกาสผู้ชายที่ชื่อแบคฮยอนอีก”


     


               แล้วเขาก็ได้รับมันตอบกลับมาแล้วจากคนคนนี้


     


     


     


               ยังคงปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับห้วงเวลาสับสนแม้บางอย่างจะชัดเจนในสายตาและการกระทำ พี่คยองซูออกไปสักพักแล้วแต่เขายังนั่งอยู่บนที่นอน เหมือนฝันกับคำพูดของพี่คยองซู ใช่ บางทีเขาอาจจะฝันแต่หัวใจยังคงเต้นรัวตึกตัก จริงหรือที่เขาได้รับโอกาส จริงหรือที่ได้รับความรักจากโดคยองซูคนนั้น มันอาจจะเป็นเพราะใครคนหนึ่งเพิ่งแสดงออกว่ารักใครอีกคนออกมาหรือเปล่าเขาถึงได้เป็นตัวแทน


     


               เมื่อนึกมาถึงตรงนี้หน้าใครคนนั้นก็ลอยเข้ามาในความคิดจนต้องส่ายหัวให้ผมเผ้ายุ่งเหยิงกว่าเดิม


               เคยเป็นหรือเปล่า อารมณ์ที่ไม่แน่ใจว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งให้เราได้รับรู้เกี่ยวกับมันในเวลานั้น เราก็จะมีปฏิกิริยากับมันอย่างชัดเจน โฟกัสอยู่แค่มันเท่านั้น จนเมื่อเวลาผ่านไปเราถึงได้รู้ว่า


                จริงๆ แล้วยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่เราเป็นกังวล


     


                จริงหรือที่ใครบอก ว่าบางอย่างแค่เริ่มต้นเราก็มองเห็นจุดจบ แต่ตอนนี้ดวงตาของเขามืดบอดเกินจะมองเห็นกระทั่งระหว่างทางข้างหน้าว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาดี ไม่ต้องพูดถึงจุดจบเสียด้วยซ้ำ


               อะไรบางอย่างกระทบกับแสงสว่างจนมันสะท้อนเข้าในตาตอนที่กำลังจะเดินลงบันไดไปชั้นสองเพื่อหาน้ำดื่ม โลหะสีเงินวาวชิ้นเล็กที่ว่างอยู่บนพื้นไม้ปาเก้ จงอินก้มลงไปหยิบ และทันทีที่เห็นในระยะใกล้เขาจำได้....


               คนที่ได้รับมันไปจะรู้หรือเปล่าว่ามันมีแค่สองชิ้นบนโลก


               หนึ่งชิ้นเป็นของคิม จงอิน ส่วนอีกชิ้น...


               เขาให้ปาร์ค ชานยอลไปแล้ว


     


     


     


     


               “นี่อะไร?” หลังจากที่เขาถามพร้อมยื่นลูกกุญแจในมือไปให้ คนตรงหน้าก็ได้แค่มองของในมือเขาแต่ไม่พูดอะไร สุดท้ายก็เป็นแบบนี้ เขาไม่เคยรู้มาก่อนจนกระทั่งเรื่องบ้าๆ นี่เกิดขึ้นในช่วงสามสี่วันที่ผ่านมาว่าปาร์คชานยอลเป็นคนดื้อเงียบแค่ไหน แค่ไม่อยากพูดก็จะเก็บปากเก็บคำจนน่าหงุดหงิด


               “......”


               “ผมจะถามอีกครั้ง...นี่อะไร?” เหมือนคนโง่ยืนพูดคนเดียว ทำไมล่ะ แค่ตอบคำถามเขามันยากตรงไหน ทำไมต้องทำให้อะไรๆ มันยาก แล้วเขาต้องหัวเสียไปกับมันเท่าไหร่ ปาร์คชานยอลคนซี่อ โง่ และบ้าคนนั้นกำลังเล่นแง่กับเขาหรือ? 


               “ลูกกุญแจ”


               “พี่ไปที่นั่น?...” เห็นอะไรบ้าง บอกผมว่าอะไรทำให้พี่ต้องทิ้งลูกกุญแจที่ผมทำให้หลังจากวันที่พี่ขับรถมาหากลางดึกแล้วเอาแต่เคาะประตูจนเหมือนจะพังมันเมื่อผมไม่ยอมลุกไปเปิดสักที แล้วบ่นไม่จริงจังว่าถ้ามีกุญแจก็จะได้ไม่ต้องเคาะให้ผมหงุดหงิด... ตอบสิ


               “......” อย่าเงียบ อย่าทำเหมือนว่าจะไม่เป็นปาร์คชานยอลคนเดิมของเขา มันมีความกลัวก่อขึ้นในใจเมื่อคนตรงหน้าเอาแต่เงียบแล้วยืนหันหลัง คนน้องจับมือใหญ่จนชานยอลชะงัก ถ่ายกุญแจในมือส่งไปให้แล้วยังคงยึดเอาไว้ไม่ปล่อย แต่คนตรงหน้ายังคงนิ่ง..


                นิ่งจนอยากจะร้องไห้


               “ปลอบหน่อย...” พูดออกไปแล้ว


                จงอินรู้ว่าคำนี้มีความหมายกับชานยอลถึงได้เลือกเอามันออกมาใช้เหมือนคนขี้โกง สอดประสานนิ้วมือให้แน่นขึ้นกว่าเดิมเหมือนคนขลาดเขลาที่หวาดกลัวการสูญเสีย ก็เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไง การกระทำของคนตรงหน้ากำลังบอกให้รู้ชัดเจน ให้เตรียมตัวกับการไม่มีปาร์คชานยอล แล้วเขาจะยอมรับมันได้ยังไงในเมื่อตลอดมาก็ยืนอยู่ข้างๆ เพื่อเขาไม่ใช่หรือ? แล้วตอนนี้ล่ะ? จะไม่อยู่ข้างกันแล้วใช่หรือเปล่า?


               “......”


               “พี่ชานยอล...” ตั้งใจจะอ้อนวอน


               “จะให้ทำอะไรให้อีก? ถึงได้มา ‘ให้’ ถึงที่แบบนี้” 


               “......” เหมือนถูกตบจนหน้าชา ยิ่งคนพูดหันมาก้มหน้ามองก็ยิ่งรู้สึกว่าอยากหายตัวไปจากตรงนี้ ไม่อยากยืนให้เขาคิดว่าเราเป็นอะไรที่ใช้ความต้องการของเขามาเป็นเหยื่อล่อ ไม่อยากให้คิดว่าถ่อมาถึงที่นี่เพื่อเอาร่างกายมาให้


               “ถ้าต้องการให้ปลอบจริงจะให้ปลอบเรื่องอะไรล่ะ หืม?” น้ำเสียงที่จงอินเพิ่งรู้สึกว่าวันนี้มันช่างกวนประสาทเอ่ยเหมือนจะเย้ยหยันไม่ใครก็ใคร ชานยอลยังคงพูดถึงจงอินจะมีสีหน้าไม่สู้ดี ไม่ได้คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่พูด ไม่ได้เตรียมใจให้กับมัน “ปลอบเรื่องที่ได้เป็นฝ่ายอยู่เหนือคนอื่นเป็นครั้งแรกเหรอ?”


                คำว่าเหนือคนอื่นที่ชานยอลพูดออกมาแทงใจคนฟังจนเหมือนถูกตบซ้ำๆ  ความเจ็บแล่นริ้วจากทุกส่วนวิ่งตรงเข้าที่จุดเดียวคือหัวใจ


               พอเถอะ เขาควรพอแล้วใช่ไหม?


               เขาเองก็หลงลืมไป คิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญแต่คงไม่ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้สำหรับพี่ชานยอลไม่ใช่เขาอีกแล้ว เพราะอย่างนี้ใช่ไหมถึงได้มีท่าทีต่างจากที่เคยราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ…


              ...เข้าใจแล้ว


     


              สิ้นเสียงทุ้ม จงอินหลับตาเมื่อชานยอลดันให้นั่งลงกับปลายเตียง ราวกับจะบอกว่า ‘จะเอาอย่างนั้นก็ได้’ เจ้าของส่วนสูงร้อยแปดสิบกว่าเซ็นยืนค้อมตัวลงจูบปากนุ่มหนาน้อยๆ ที่เผยอรับอยู่ก่อนแล้ว เรียวนิ้วแกร่งสอดใต้กลุ่มผมข้างกกหูก่อนจะพาริมฝีปากตามไปขบกัดติ่งหูเล็กไร้รอยเจาะ แว่วเสียงโลหากระทบพื้นแต่ไม่มีใครสนใจ ชานยอลสนใจแต่สองมือที่ขย่ำเสื้อยืดสีดำตัวเก่งของเขาอยู่บริเวณอก จงอินปล่อยใจไปให้ว่าง่ายตามจังหวะชักพาของเขา คล้ายตั้งใจพาร่างกายมาให้เขาเสพสมเพื่อเอาบุญเหมือนอย่างเคย


              “อึก...อย่า” กลั้นเสียงเพราะลิ้นชื้นลากเลียกับปลายคางและสัมผัสไล้เบาที่ใต้เสื้อจนเผลอปล่อยเสียงออกมาเหมือนทุกที ชานยอลยืดตัวตรงเพื่อถอดเสือที่เพิ่งใส่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงออก ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงจนระดับไล่เลี่ยกัน  ปากประกบกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นจงอินที่จับสองข้างแก้มของชานยอลไว้แน่น  อารมณ์มากมายที่ถาโถมเข้ามาเขารู้ว่ามันยากจะควบคุมจนบางครั้งเขาเหมือนคนขาดสติ ต้องการเกินกว่าคนตรงหน้าจะคาดเดาอย่างเช่นในเวลานี้  ป้อนรสจูบที่ตั้งใจเร่งเร้าให้คนบนพื้นขาดใจ กวาดต้อนสติสัมปชัญญะให้จดจ่ออยู่ที่เขาเท่านั้นห้ามคิดถึงเรื่องอื่นหรือแม้แต่คนอื่น


               “......” มือหนาล้วงเข้าใต้เสื้อยืดสีเทาอ่อนตัวบาง และเพราะปลายนิ้วจึงทำให้เกิดเสียงที่ยากจะควบคุม ปากหนาละออกจากความหวานที่ไม่ได้สัมผัสมานานหลายวัน จุดมุ่งหมายของมันคือบางอย่างที่นิ้วเย็นนวดคลึงอยู่ใต้เสื้อ


              

               “อืม...”



               “......” และทันทีที่ถูกเลิกเสื้อขึ้นสูงมือป้อมแต่นุ่มก็เอื้อมปิดปากช่ำชองไว้ ชานยอลเงยหน้าขึ้นมามองไม่เข้าใจและตอนนั้นเขาได้ส่งแววตาแห่งความโกรธเคืองไปให้ชัดเจน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้รับคำพูดจาทำร้ายจิตใจจากคนคนนี้ คิมจงอินผิดเองที่คิดว่าเป็นคนสำคัญ ไม่ว่ายังไงปาร์คชานยอลจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน จะรักและเอ็นดูแต่เขาเท่านั้น แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าต่อให้ตลอดมาถูกรักมากยังไง ในตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว


               จำใส่กะโหลกเอาไว้


     


              ปลดตะขอรูดซิปกางเกงตัวเอง ยกตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อร่นขอบกางเกงให้หลุดออกจากช่วงสะโพกในขณะที่ยังคงสบตาคนที่อยู่ต่ำระดับกว่าอย่างท้าทาย


               ถอดจนหมด ไม่เหลือแม้แต่กางเกงใน...


               บางสิ่งบางอย่างที่ดันชายเสื้อให้เห็นเป็นรอยนูนสูง บางอย่างที่เหมือนกับของอีกคนที่ตัวใหญ่กว่า


     


               “ทำมันให้ที่” จงอินสอดมือเข้าข้างแก้มชานยอลอีกครั้งก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้สายตาคมมองมาด้วยความไม่เข้าใจด้วยเสียงราบเรียบ แล้วมือเล็กก็เปิดชายเสื้อยืดของตัวเองออก


               “......”


     


               ผมจะไม่มีทางให้พี่ได้รู้เลยชานยอล พี่จะไม่มีวันรู้


     


              “ทำเหมือนที่พี่คยองซูทำไง”


     


               รู้ตัวอีกทีก็ถูกความชื้นเข้าครอบครองทั้งหมด ปาร์คชานยอลยังคงเป็นคนโง่เขลาที่ทำตามคำพูดของเขาจริงๆ แต่เชื่อเถอะว่าครั้งนี้มันแค่มาจากความต้องการของเพศชาย ไม่ใช่ความต้องการจากจิตใจเหมือนอย่างเคย


               ชานยอลลากลิ้นขึ้นตั้งแต่โคนจนถึงปลาย ฉุดกระชากสติให้พาร่างกายอ่อนระทวยบนเตียงมายืนบนปากเหว แล้วไม่นานก็จะถูกผลักในตกลงไป จำไม่ได้ว่าขยุ้มมือลงไปบนกลุ่มผมสีแดงเข้มหรือเปล่าแต่พอบังคับสายตาให้หันกลับมามองอีกทีก็เห็นว่ากำลังเอาหลังมือเช็ดคราบคาวที่เข้าปลดปล่อยออกมาทั้งที่ไม่รู้ตัว


              โง่


              ชานยอลคนโง่


     


              ลุกจากเตียงแล้วดันหัวไหลให้หงายหลังลงไปกับพื้น ก่อนจะคร่อมไปทั้งช่วงล่างลำตัว จงอินทำเอาชานยอลสับสนแต่ก็ยากจะปฏิเสธสิ่งที่ถูกหยิบยื่นมาให้


              “จงอิน....อา....” ร่างเล็กกว่าซุกใบหน้าตรงต้นคอ ดูดดึงผิวหนังจนเกิดรอยจางมากกว่าหนึ่ง ชานยอลสอดนิ้วมือเข้ากับศีรษะทุยเพื่อบังคับทิศทางให้ไปตามอารมณ์ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าน้องจะทำแบบนี้ให้ หยัดตัวขึ้นนั่งตามกันเมื่อมือเล็กปลดซิปกางเกงยีนที่คนพี่สวมอยู่ เอื้อมมือไปข้างหลังเพื่อดึงขากางเกงให้หลุดจากปลายเท้า ระหว่างนั้นชานยอลก็จูบไซ้ไปทั้งแผงคอของคนที่ยังมีอาภรอีกตัวคือเสื้อยืดสีเทา จงอินหันมามองหัวสีแดงขยับไปมาเมื่อถอดกางเกงให้ชานยอลเสร็จ จับใบหน้าหล่อด้วยสองมือแล้วป้อนจูบหนักๆ ดันให้นอนลงไปตามเดิมด้วยปากแล้วลากลิ้นที่ยังดุนดันกันอยู่ในปากออกมาที่ปลายคางคละไรหนวด


              เวลาปล่อยให้ตัวเองโทรมทีไรก็จะมีหนวดแบบนี้ทุกที ไม่รู้หรือไงว่าเขาชอบเวลาชานยอลเป็นแบบนี้ ชอบมากยิ่งกว่าเดิมเวลามีอะไรกัน แล้วเหมือนชานยอลจะรู้หลายครั้งจึงชอบพาร่างกายโทรมๆ กับหน้าคละหนวดมาหาเวลาเขาเรียก


     


              “อึ๊....เจ็บ” เท่านั้นคนข้างร่างก็กุลีกุจอดึงมันออกแล้วจูบขมับเล็ก 


              “ใจเย็นๆ อย่าดึงดันมันนัก” คนตัวใหญ่กระซิบ “ลองอีกที ค่อยๆ นะ” 


              “......บ้าจริง” สบถอย่างนั้นแล้วจับแก่นกายใหญ่โตให้จอกับปากทางของตัวเองอีกครั้ง คราวนี้มันเข้าได้เพราะชานยอลชโลมน้ำลายเหนียวหนืดของตัวเองไปตรงนั้น คงกลัวว่าเขาจะเจ็บอีก “เข้าแล้ว”


              “เก่งมาก...อ่ะ...”


              “อื้อ....อย่าเพิ่งขยับ”


              ถึงจะว่าอีกคน แต่เขากลับกดย้ำเสียเอง หยัดตัวนั่งตรงแล้วจับชายเสื้อตัวเองขึ้นสูงถึงชายโครง ร่อนสะโพกจนเกิดเสียจากข้างใน ชานยอลนอนมองด้วยสีหน้าพอใจแล้วเอื้อมมือมาจับสะโพกกลมกลึง จ้องมองสะดือที่มีจิวสีเงินประดับอยู่ส่ายไหว ชั่วครู่เท่านั้นจึงหันมาให้ความสนใจกับใบหน้าชื้อเหงื่อแทน


              “ถอดไหม” ชานยอลหมายถึงเสื้อ เขาส่ายหน้า เพราะรู้ว่ามันเร้าอารมณ์ชานยอลมากกว่าตอนถอดหมด “ให้ตายเถอะจงอิน....”


              “ตายซะได้ก็ดี....ห่ะ...อ้ะ...”


              “......”


              “....อ่ะ”


              “......”


              “.....อ้ะ...อ้ะ”


              “ซีด.....”


              “อื้อ.....”


              หลังจากชานยอลปลดปล่อยครั้งแรก เขาก็ถูกอุ้มขึ้นไปบนเตียงเพื่อสานต่อ......หลายต่อหลายครั้ง....


     


     


     


              ไม่ว่ายังไงก็จะไม่มีวันบอก


     


              มันไม่ใช่ความเจ็บปวดทางกายแค่อย่างเดียว ทำไมเขาถึงเจ็บที่ใจรุนแรงขนาดนี้ 


               ชานยอลนอนคว่ำตัวหลับสนิทหลังจากนั้น จำนวนรอบและแรงที่กระทำคงทำให้คิดว่าเขาเองก็คงไม่มีแรงจนหลับไปเหมือนกัน แต่ถ้าเขาได้หลับไปบ้างก็คงดีกว่าตื่นเต็มตาแล้วต้องมานอนมองร่างกายที่คุ้นเคยข้างๆ นี้


               ไม่ชินเลยที่ต้องมานอนมองชานยอลตอนหลับ จะให้นับดีๆ ครั้งแรกคือที่บังกะโลนั่นแล้วก็ครั้งนี้ ขนาดว่าแชร์ห้องในหอพักด้วยกันแต่เขาก็ไม่เคยใส่ใจอีกคนมากนักหรอก กลับกันเขาคือคนที่ถูกใส่ใจเสียมากกว่า ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกมากๆ ที่ต้องมาทำอะไรอย่างนี้ 


              เสียงแอพพลิเคชั่นไลน์ดังจากโทรศัพท์ที่กระเด็นออกมาจากกระเป๋ากางเกงตรงพื้นข้างเตียง เขาโน้มตัวลงไปคว้าได้เพราะมันอยู่ไม่ไกล เวลามีอะไรกันเราถอดเสื้อผ้าไม่เป็นที่เป็นทางนักหรอกแต่มันก็อยู่ใกล้ๆ กับที่เกิดเหตุนี่แหล่ะ มือป้อมไม่จำเป็นต้องกดปลดล็อกเพื่อเข้าไปดูข้อความเลย ตัวอักษรไม่กี่พยางค์เด่นหลาตรงหน้าจออยู่แล้ว มันมาจากใครอีกคนที่ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของลูกกุญแจหนึ่งในสองดอกบนโลกนี้แทนเขา


     


              ‘รีบกลับนะ^^ จะรอออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกัน’


     


              แผ่นหลังที่ช่วงนี้เต็มไปด้วยมัดกล้ามกำยำชุ่มเหงื่อ ผมเผ้าไม่เป็นทรง นอนหายใจสม่ำเสมอไร้วี่แววจะตื่นมาเร็วๆ นี้ จงอินทอดสายตาวางโทรศัพท์ลงกับพื้นโดยไม่ได้ตอบก่อนจะนอนตะแคงข้างเข้าหา พินิจใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ที่ไม่เคยตั้งใจมองเสียเท่าไหร่ รู้ว่าหล่อแต่แค่ไม่เคยวิเคราะห์ว่าจุดไหนหล่อยังไง เกลี่ยนิ้วชี้ลงใบที่ใบหู ตรงนี้เขาจำได้ว่าวันแรกที่เจอกันในห้องซ้อมเมื่อห้าปีก่อน มันคือสิ่งที่ทำให้เขาจำชานยอลได้ ถึงจะไม่เคยพูดถึงให้เจ้าตัวเลยแต่ก็อยากให้รู้ว่าไม่เคยนึกขำมันเหมือนคนอื่นๆ เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าเขาชอบมันขนาดไหน ลากต่อมาที่หางตาโดยไม่ได้ยกปลายนิ้วขึ้นเลยจนหัวคิ้วกดลึกเหมือนถูกกวนในความฝัน ชานยอลมีหางตาชี้รับกับตาสองชั้น สิ่งนี้ทำให้ดูสวยมากกว่าหล่อ ชานยอลมีตาที่สวยกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก ต้องโทษพี่ยูราหรือเปล่านะ จิ้มเบาๆ ไปที่คิ้วจนมันคลายปม เกลี่ยไล้เล่นเป็นช่างแต่งหน้าอย่างไรอย่างนั้น จงอินยิ้มเมื่อชานยอลทำหน้าเหมือนจั๊กจี้


     


              ไม่มีวันให้รู้


     


              แล้วพอมองมาที่ปลายจมูกที่เขาว่าหลายครั้งเวลาเจ้าตัวบ่นว่ามันยังไม่โด่งทั้งที่มันโด่งเหมือนเทือกเขา ชานยอลเสริมมันกี่ครั้งนะ เขาเองก็จำไม่ได้แม่นเท่าไหร่ แต่มันหลายครั้งเสียจนครั้งสุดท้ายเข้าถึงกับต้องเอ่ยปากพูดอ้อนวอนให้พอ คนเสพติดศัลยกรรมอย่างชานยอลถึงได้ยอมหยุด


              ‘พี่หล่ออยู่แล้วทำไมจะต้องเสริมมันอีก หล่อมากกว่านี้ผมก็อายจะเดินกับพี่แล้วนะ’


     


              เบื่อเขาแล้วใช่หรือเปล่า...เขาเอาแต่ใจมากใช่ไหม เขาใช้อารมณ์ อาศัยความรักของพี่สร้างประโยชน์ให้ตัวเองโดยไม่นึกถึงจิตใจจนพี่เหนื่อยกับมันแล้วใช่หรือเปล่า...เขาอยากถามกับริมฝีปากหยักนั้น


     


              ก้มลงจูบลงไปเมื่อมองอยู่นานจนไม่พอใจอยู่แค่มองอีกแล้ว


     


              น้ำตาไหลอาบแก้มจนสะดุ้งเหมือนคนไม่รู้ตัว...แล้วพอรู้ตัวมันก็ไหลออกมามากมายเหมือนทำนพพัง สะอื้นออกมาจนต้องเอามือปิดปากไว้เพราะกลัวว่าคนที่หลับอยู่จะตื่นมาเห็น พอเสียงสะอื้นเบาลงก็ค่อยๆ พาตัวเองเข้าไปใกล้ สอดมือข้างหนึ่งเข้ากับมือใหญ่ที่วางไว้ข้างหมอน มือหยาบกร้านจากการทำงานหนัก หักโหมแต่งเพลงและเล่นดนตรี...


     


              เหนื่อยกับผมมากหรือเปล่า...?


     


              ดึงมาแนบกับแก้ม วาดแขนอีกข้างเข้ากอดแผ่นหลังที่ยังคงเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ หลับตาและปล่อยใจ 


              แค่ตอนนี้ ปล่อยเขาไว้ ขอแค่นิดเดียวเท่านั้นให้เขาได้ซึมซับกับอะไรที่เขาไม่รู้ว่าทำไมแค่ได้ทำก็ชื้นที่หัวใจ ขอแค่ได้ทำแบบนี้อีกสักหน่อย นอนหลับสักงีบข้างๆ กัน แล้วเขาสัญญาว่าเขาจะไปก่อนชานยอลจะตื่น


     


     


     


              บางครั้ง แค่เริ่มต้น...


               เขาก็รู้แล้วว่าจุดจบมันอยู่ตรงไหน เพราะจุดจบนั้นเขาจะสร้างมันเอง


     


     


              ชานยอลทำให้เขาเหมือนจะขาดใจ สติสัมปชัญญะของเขาขาดสะบั้นทุกครั้งที่อยู่ในอ้อมกอดคนคนนี้ เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่คิมจงอินในเวลาปกติ... ชานยอลกระชากเอาอีกด้านหนึ่งของเขาออกมาเสมอ ทั้งความเห็นแก่ตัว ความกระสันอยากได้อยากมี ความต้องการที่น่าสมเพช...


              และถึงแม้บางครั้งแทบจะทนไม่ไหวจนเกือบหายใจไม่ออก แต่พอสำนึกรู้ได้ว่าคนที่กกกอดเขาอยู่เป็นใคร จงอินก็ใจชื้นขึ้นมาทั้งอย่างนั้น


     


              ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ให้รู้เด็ดขาด


     


              เพราะสำหรับจงอินแล้วมีแต่ชานยอลมาโดยตลอด...


     


              ไม่มีวัน


     



     


    TBC


     


    --------------------------------------------------


     

    **เข้ามาแก้ไขบทความนิดหน่อยค่ะ**

     


    พาร์ทนี้เป็นความในใจที่ไม่เคยมีใครรู้ แม้แต่จงอินเองก็ไม่มั่นใจในความหมายของความรู้สึกนั้นเท่าไหร่


    เป็นกำลังใจให้น้องและเราด้วย


    พูดถึงฟิค ติ ชม ในทวีตเตอร์รบกวนติดแท็ก #ชานไคด้อนโนว ค่ะ จะตามไปอ่านน้า


    ---------------------


    มีเรื่องคุยเพิ่มนิดหน่อย คือเรามีแพลนจะรวมเล่มเรื่องนี้พร้อมกับอีก 2โปรเจกต์ที่คิดไว้นานแล้ว รวมทั้งหมดเป็น 3เล่ม/1เซ็ต

    อย่าเพิ่งตกใจนะคะ 

    ขนาดคือ A6(ครึ่งA5 หรือเท่านิยายญี่ปุ่นตามคิโนะคุนิยะ) หรือB6(เท่าเล่มหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น) เหมือนกันทั้ง 3เล่ม ซึ่งราคาต่อเล่มไม่แพงแน่นอนเพราะเนื้อหาแต่ละเล่ม(อาจจะ)ไม่มาก(หรือเปล่า) แต่ปกติเรื่องสั้นแบบจริงจังของเราก็ 10,000 ตัวอักษรอัพ

    ซึ่งสำหรับเรื่องนี้เราวางไว้ที่15ตอนไม่เกินนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องดูกระแสตอนรับว่าคนชอบมากแต่ไหน รวมเล่มแล้วจะมีคนซื้อไหม ถ้าเรื่องนี้คนไม่อินเท่าไหร่เราก็จะพับไปค่ะ รวมแค่ 2เล่มหลังแทน

    สำหรับเซ็ตประกอบไปด้วย

    1. you don't know i love(พาร์ทหลัก 15ตอน+SP 2ตอน) - 1เล่ม

    2. When i'm feeling blue(รวม7เรืองเศร้าชานไคที่แต่งใหม่ทั้งหมด+sadsongทั้งพาร์ทหลักและพาร์ทSPที่เคยลงในkaike_project) - 1เล่ม

    3. อีกเล่มเป็น 'จงอินกับคนเมะทั้ง7' ชื่อเล่มยังไม่ไฟนอลค่ะ เป็นรวมเรื่องสั้นจงอินกับผู้ชายอีก7คนที่ไม่มีชานยอล คนละ1เรื่อง แต่งใหม่ทั้งหมดเช่นกัน (เซฮุน, พี่คยองฮุน, แบคฮยอน, แทมิน, ซีวอน, ราวี่ และ มิโน่) - 1เล่ม

    จัดอยู่ในแพ็คเกจแบบบ็อกซ์เซ็ต หรืออาจจะมีการเปลี่ยนแปลง และซื้อแยกได้

    *** เป็นรายละเอียดคร่าวๆ ที่ยังไม่ตกผลึกทางความคิด แต่คิดว่าได้ทำแน่นอนสำหรับ 2เล่มหลัง ***



    [-]Hyphen




    @SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×