ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    You don't know I LOVE [ChanKai] ft.EXO

    ลำดับตอนที่ #5 : You don't know I LOVE [Chan x Kai] ft.EXO : FIVE

    • อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 59





    CHAPTER : FIVE

     

    ---------------------------------------------------------------- 

     




     

     

                อยู่ไหนนะ....

     

     

     


     

                ปัง!!!!

     

                ประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดแล้วผลักอย่างแรงจนกระแทกกับผนังอีกด้านหนึ่งเสียงดังลั่น ร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บุหนังหมุนได้ หันมามองต้นเสียงแค่สองวินาทีก่อนหันกลับไปให้ความสนใจกับการจ้องสิ่งของที่ไม่น่าสนใจต่อ เมื่อเห็นว่าคนที่มาเยือนเป็นใคร และเป็นคนที่ไม่อยากเจอที่สุดตอนนี้

                ร่างกายหอบสั่นดูเหน็ดเหนื่อยในชุดลำลองสีเข้มเดินเข้าไปอย่างถือวิสาสะ ไม่ต้องรอให้ใครมาอณุญาต เพราะถึงไม่อณุญาตเขาก็จะเข้าไปกระชากคอเสื้อแล้วเค้นเอาคำให้การจากคนคนนั้นให้ได้

     

     

     

                “ อธิบายผมมา “ ทันทีที่ถึงตัวเจ้าของห้อง ร่างที่ยืนหอบตัวโยนอยู่ข้างหลังก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ชานยอลยังนั่งหันหลังนิ่งไม่ไหวติง เพราะคำถามที่ได้รับเขาเองยังไม่รู้เลยว่าคำตอบมันคืออะไร? ให้อธิบายในสิ่งไหน แล้วรู้หรือเปล่าว่าแค่เห็นหน้าก็นึกคำพูดอะไรไม่ออกซักคำ  ยังจะมาเอาคำอธิบายอะไรอีก

     

                “......”

     

                “ พี่ชานยอล “ เมื่อเห็นว่าคนที่พูดด้วยไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ จงอินจับพนักพิงเก้าอี้หมุนให้อีกคนหันมาเผชิญหน้า

                “......” ชานยอลในเวลานี้ก็ยังคงเป็นชานยอล ที่ไม่ใช่เวลาที่อยู่บนเวทีหรือต่อหน้ากล้อง  แต่เป็นชานยอลที่นิ่งเงียบแบบนี้ทุกครั้งที่ทะเลาะกับจงอิน....นั่นสินะ  พี่ชานยอลก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง “ซ้อมเต้นเหนื่อยหรือเปล่า? ดูสิ เหงื่อเต็มหน้าไปหมด “

                ทิชชู่สองสามแผ่นถูกดึงจากกล่องบนโต๊ะมาเพื่อหวังจะซับเหงื่อให้น้อง ชานยอลลุกขึ้นยืนแต่ก็ถูกคนน้องผลักไม่เบานักจนเสียหลักแทบล้มแต่มือก็ยันกับโต๊ะไว้ได้ทัน ปฏิเสธิความหวังดีของเขาทุกๆอย่างแม้กับแค่ทิชชู่ไม่กี่แผ่น จงอินมีสีหน้าโกรธกว่าเดิมเมื่อชานยอลเลี่ยงที่จะตอบคำถามและทำเป็นไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ใช่เขาเหนื่อย เหนื่อยกับความรู้สึกตัวเอง เหนื่อยที่ต้องซ้อมเต้นมาตลอดทั้งวันแล้วยังต้องตามหาใครบางคนที่ไม่ยอมเข้าบริษัท หนีห้องซ้อมที่มีแต่บรรยากาศมาคุมาหลบอยู่ที่นี่ เขาเหนื่อยที่พอหาเจอก็ต้องมาโดนทำเมินใส่  ไม่เข้าใจเหรอว่าเหนื่อยแค่ไหน มองคนเป็นพี่ที่ถูกผลักนิดเดียวก็ถึงกับเซจะล้มก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าอีกคนคงไม่ได้พักผ่อนเท่าที่ควร ท่าทางอิดโรยและกลิ่นแอลกลฮอล์อ่อนๆจากลมหายใจ คงยังมึนๆจากการดื่มหนักๆเมื่อคืน  หรืออาจจะหนักอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า

     

                “ พี่รู้ไหมว่าพี่คยองซูเห็น “

     

                “......”

     

                ตัดสิ่นใจพูดออกไปแม้จะบอกตัวเองว่าจะหาวิธีพูดให้ดีกว่านี้ แม้ไม่อยากทะเลาะ แต่ท่าทีเหมือนไม่รู้สึกรู้สาก็พาเขาหงุดหงิดเกินจะใจเย็นไหว คำถามมากมายที่อยากถามแต่ก็พูดไม่ออกตั้งแต่มาถึงที่นี่ ชานยอลหลบหน้าเสมองไปทางอื่น ทิชชู่ในมือยับย่นเพราะแรงบีบ และแล้วก็ต้องเผชิญกับคำถาม

                “ พี่คยองซูเสียใจมากขนาดไหนพี่รู้หรือเปล่า พี่รู้ไหมว่าพี่คยองซูมีสภาพเป็นยังไงตลอดทั้งคืน “ ตลอดทั้งคืน.. ทั้งคืนที่เขาได้ยินแต่เสียงร้องไห้  “ พี่คยองซูร้องไห้ทั้งคืนบนเตียงที่ห้องผมเพราะไปเห็นพี่สองคน...”

                “ พูดอะไรอย่างนั้นหล่ะจงอิน “ มือหนาวางบนกลุ่มผมนุ่มที่โยกไหวไปตามแรงเคลื่อนจากการตะเบ็งเสียงพูด ลูบเบาๆด้วยมือสั่นตั้งแต่ได้ยินคำว่าบนเตียงที่ห้องผม ห้องชั้นสี่ใต้หลังคานั่นน่ะเหรอ? “ มันก็ดีแล้วนี่ใช่ไหม? ได้ปลอบหรือเปล่าหื้ม? ความจริงต้องดึงเข้ามากอดแล้วจูบปลอบสิ แต่เราคงทำโดยที่พี่ไม่ต้องสอนอยู่แล้ว “

                “ พี่รู้ว่าพี่คยองซูเห็น “

                “ มันเป็นสิ่งที่เราต้องการอยู่แล้วจงอิน “

                “ พี่นี่มัน... “ ปัดมือที่ยังลูบกลุ่มผมออกแรง ทำไมถึงรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่เขาเคยรู้จัก เหมือนไม่ใช่ปาร์คชานยอล ในขณะเดียวกันเขาเองก็สับสนไปหมด ถึงแม้จะมองดวงตาคู่เดิมแต่จงอินรู้สึกว่าอะไรๆมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้วตั้งแต่ได้ยินคำบอกเล่าจากปากพี่คยองซูพร้อมกับความชัดเจนจากคำพูดของร่างสูงตรงหน้า คิมจงอินสับสนไปหมด เขาไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปในทางทีเขาต้องการมาตลอด แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกดีอย่างที่ควรจะเป็น เขากำลังมีพี่คยองซูแต่ก็ต้องแลกกับการเสียพี่ชานยอลไปงั้นหรือ?

                แต่ทำไมหล่ะ...มันเลือกง่ายออกไม่ใช่หรือไง โดคยองซู กับ ปาร์คชานยอล ตัวเลือกที่เขาสมควรรู้อยู่แก่ใจว่าจะเลือกใคร

                ทำไมตอนนี้กลับสับสนจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

     

                “ มันมาถูกทางแล้ว ทุกๆอย่างมันเป็นเพราะเพื่อให้เรามีความสุขจงอิน “ ได้ยินแค่นั้นดวงตาใสก็สั่นระริก มือหนาที่ถูกปัดป้องในตอนแรก ยังคงดื้อด้านลูบแก้มใสชื้นเหงื่อ แต่คราวนี้จงอินยินยอม

                “...... “ จงอินรู้สึกเหมือนในอกมันบีบแน่นไปหมด มือของคนที่จับแก้มเขาสั่นแค่ไหน แต่จะรู้ไหมว่ามันไม่แพ้กันกับสองแขนที่แนบอยู่ข้างลำตัว จงอินก็สั่นไม่แพ้ชานยอล  ทำไม?  ทำไมถึงรู้สึกเหมือนกำลังจะสูญเสียอะไรไป พี่ก็สั่น ผมก็สั่น  พี่ชานยอล...พี่กำลังรู้สึกเหมือนจะสูญเสียคนสำคัญไปเหมือนผมหรือเปล่า?

                “ พี่เคยบอกนายว่าจะไม่ทำให้เสียใจอีกแล้วจำได้ไหม? “ คนเป็นน้องส่ายหน้าช้าๆ ไม่ได้ตอบคำถาม แต่เขากำลังส่ายหน้าไม่ยอมรับความจริง

     

               

                “ พี่รักพี่แบคฮยอนจริงๆเหรอ?.. “

     

                “......” ....ถามอะไรอย่างนั้นคิมจงอิน... ถามเหมือนกับไม่รู้ว่าพี่รักนายเท่าไหร่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยทำให้เข้าใจพี่ขึ้นมาบ้างเลยหรือ? นี่คนคนนี้ยังแสดงออกไม่พอใช่ไหมถึงทำให้คิดอะไรแบบนั้นออกมาได้...ถึงได้พูดทำร้ายจิตใจ และตัดสินกันได้อย่างเลือดเย็นแบบนั้น แว่วเสียงแหบพร่าในลำคอ  เท่านั้นมือหนาก็ยกขึ้นเอาทิชชู่ที่ยังอยู่ในมือซับเหงื่อข้างขมับชื้น “ ดูสิเหงื่อเต็มไปหมด “

     

     

                “ พี่รักพี่แบคฮยอนใช่ไหม? “ ตอบสิ...ตอบมาว่ารักหรือไม่ได้รัก ตอบให้ชัดเจน ถ้าพี่ไม่รัก ผมจะกลับไปอธิบายกับพี่คยองซูว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด พี่คยองซูจะได้ไม่ร้องไห้แล้วกลับมายิ้มเหมือนเดิม ถึงตอนนี้นเราค่อยมาปรึกษากันใหม่นะว่าจะทำยังไงให้พี่คยองซูหันมามองผม เรามาช่วยกันหาวิธีอื่นกันดีไหม?  แต่ถ้าพี่รัก...

     

               

                “ รออยู่นี่นะเดี๋ยวพี่เอาน้ำมาให้ “

                “......” ผมจะไม่อยู่ตรงนี้ให้พี่มองว่าเป็นเด็กที่เอาแต่ถามคำถามเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาทั้งๆที่พี่รำคาญและไม่อยากตอบจะแย่อีก..... “ ทำไมต้องทำให้มันเป็นแบบนี้...”

                จงอินวิ่งแซงหน้าชานยอลที่เดินยังไม่ทันพ้นประตูเพราะสะดุดกำคำพูดทิ้งท้านยั้น คนเป็นน้องออกไปอย่างรวดเร็ว ขายาวหยุดชะงักเมื่อเห็นน้องวิ่งลงบันไดไปแล้ว  จบแล้ว ทำถูกแล้วชานยอล ทำดีแล้ว

     

     

                ‘ ทุกๆอย่างมันเป็นเพราะเพื่อให้เรามีความสุขจงอิน ’

                ถึงแม้แผ่นหลังคนเป็นน้องจะเริ่มเลือนลางและพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องยิ้มให้กับความสำเร็จในครั้งนี้ของปาร์คชานยอล...








                   สามวันแล้วที่เขามาอยู่ที่นี่ ไม่กลับหอ ไม่ออกไปไหนกับใครแม้กระทั่งพี่ซูโฮ ซ้อมเสร็จก็กลับมาห้องของจงอิน ห้องที่เขาเคยชินในการอาศัยมันได้อย่างรวดเร็วแปลกๆ สบายใจกว่ามากกับการต้องเจอหน้าคนที่ทำเขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างแบคฮยอน แค่ดูก็รู้ว่าอีกฝ่าอยากอธิบายขนาดไหน เพราะถึงเขาไม่ได้บอกว่าเห็นแต่การทีเขาไม่ได้ไปรับที่ผับตามเวลานัด แถมยังหลบหน้าอยู่แบบนี้ คนฉลาดเสมอมาอย่างแบคฮยอนคงเข้าใจสถานการณ์ได้ไม่ยาก แต่จะให้เขาฟังคำอธิบายอะไรหล่ะ? ถ้าสิ่งที่จะได้ยินไม่ใช่สิ่งที่ใจอยากฟัง..



                อย่าว่าแต่แบคฮยอนจะอธิบายอะไรกับเขาเลย เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยากฟังเรื่องราวแบบไหนจากอีกฝ่าย... ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ ตลอดระยะเวลาแค่สามวัน แค่สามวันแต่จงอินทำให้เขารู้สึกไม่อยากฟังอะไรจากใครแล้วทั้งนั้น จงอินดูแลเขาทุกอย่างราวกับว่าเขาไม่จำเป็นต้องพูด จงอินพูดแทนให้ เขาแทบไม่ต้องคิด จงอินคิดแทนให้ แล้วมันก็ตรงใจเขาทุกอย่าง นี่หรือเปล่าคือผลจากการเฝ้ารักเขามาแรมปี เขาอยากบอกน้องเหลือเกินว่ามันค่อนข้างได้ผลแล้ว เพราะเขาสามารถคิดถึงเรื่องแบคฮยอนได้โดยไม่ร้องให้

     

     

                ตากลมโตมองไปยังนาฬิกาเรือนใหญ่หลังโทรทัศน์ สี่ทุมแล้วแต่จงอินยังไม่กลับมา มันเป็นแบบนี้ตลอดสามวันที่จงอินบอกให้เขากลับก่อนเพราะน้องบอกว่ามีธุระ สายตาที่ไม่ยอมสบกัน ทำให้เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าธุระของจงอินคือคนที่ไม่เข้าบริษัทเลยตลอดสามวัน ชานยอลไม่ยอมมาเจอทุกคนนั่นหมายถึงทุกอย่างจึงไม่รับการอธิบายไม่ว่าจะจากใครก็ตาม ห้องนอนในหอพักห้องหนึ่งไม่มีใครอยู่เลยนั่นคือห้องที่เขาสามคนแชร์ด้วยกัน ไม่มีใครถามถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปแม้ว่าจะรับรู้ได้ชัดเจน ทุกคนมองออกชัดเจนแม้กระทั่งพี่อี้ซิง

     

     

                กดรีโหมดทีวีเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ปกติแล้วเขาไม่ชอบดูรายการโทรทัศน์เท่าไหร่ ถนัดนั่งฟังคนอื่นๆคุยกัน ผลัดกันรับส่งมุกตลกมากกว่า ยิ่งเป็นช่วงไม่มีตารางงานแน่นมากอย่างตอนนี้แล้วทุกคนยิ่งชอบมารวมกันในห้องนั่งเล่นแล้วคุยกันในเรื่องสัพเพเหระ ถ้าอยู่ที่หอ ตอนนี้เขาคงได้หัวเราะออกมาบ้างแล้วกับมุกของแบคฮยอนหรือเวลาหมอนั่นล้อจื่อเทา เหมือนช่วงเวลาไม่เป็นใจเมื่อเขากดเลื่อนมาเจอหาของคนที่อยู่ในมโนนึกปรากตอยู่บนจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ตรงหน้า ขอบจอด้านหนึ่งขึ้นชื่อรายการที่เขาคุ้นดี เพราะมันเป็นรายการเรียลลิตี้ที่ชานยอลเข้าร่วมอยู่ตอนนี้ สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคนที่ต้องกินข้าวผัดใส่แตงกวาทำให้เขานึกย้อนไปถึงเมื่อก่อน แต่ไหนแต่ไรแบคฮยอนก็ไม่เคยเปลี่ยน ยังกินแตงกว่าไม่ได้เหมือนเดิม....



                ไม่สิ ไม่เหมือนเดิมหรอกคนอย่างหมอนั่น ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

     

     

     

                ยังไม่ทันจะกดปิดทีวีเครื่องสีขาว เสียงประตูห้องที่ถูกเปิดจากข้องนอกก็เรียกความสนใจจากคนในห้องให้หันไปมอง เจ้าของห้องตัวจริงที่คยองซูนั่งรอหลายชั่วโมงกลับมาแล้ว สภาพจงอินบ่งบอกได้ดีกว่ากลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆที่โชยมาตามแอร์เหนือบานประตู คนเป็นน้องคงดื่มมาไม่น้อยแต่ไม่ถึงกับเมา

     

     

     

                “ จงอิน...ดื่มมาเหรอ? “ ยิ่งอีกคนเดินเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้กลิ่งแรงมากเท่านั้น คยองซูรู้สึกว่าคำว่า ไม่น้อย ของเขาคงจะผิดเสียแล้ว 

                “......” ยิ้มอ่อนๆส่งมาให้ก่อนจะนั่งลงข้างๆเขาบนโซฟา จงอินเหลือบมองไปที่จอทีวีทันเห็นหน้าทันเห็นภาพหน้าแบคฮยอนก่อยจะตัดไปที่สมาชิคในบ้านคนอื่นๆ สายตาคมของคนเมาหันกลับมามองก่อนจะหยิบรีโมทในมือเขาไปกดปิดทีวีโดยที่ยังไม่ละสายตาไปไหน

                “......” บรรยากาศในห้องเงียบเกินไปจนได้ยินเสียงลมหายใจ หรืออาจจะเป็นเสียงแอร์เขาก็ไม่รู้  เมื่ออีกคนเอาแต่มองหน้าอยู่อย่างนั้น คยองซูเองก็มองตอบกลับไปไม่ละสายตา ไม่รู้ว่าจงอินต้องการสื่ออะไรแต่เขาก็เลือกที่จะมองตอบน้องเหมือนกัน ดวงตาที่ดำสนิทของคนเด็กกว่าดูน่าค้นหาในสายตาคยองซูแปลกๆ เช่นกันมันมองเหมือนต้องการค้นหาอะไรในตาเขา ทั้งยังแฝงแววลังเลสงสัย และอยากออดอ้อนอยู่ในที “จงอิน...?”

                “กินข้าวหรือยังครับ?” ไม่พูดเปล่า มือหนากว่ายังยกขึ้นเกลี่ยแก้มคนพี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ

                “......” คยองซูได้แต่ทำหน้างง มองจงอินที่มองมือตัวเองเกลี่ยแก้มเขาช้าๆ

                “อาบน้ำแล้ว?”


                “จงอิน...เป็นอะไรหรือเปล่า?” ปกติไม่เป็นแบบนี้ สัมผัสแปลกๆและลมหายใจอุ่นจนร้อนนั่นทำให้คยองซูรู้สึกว่าสถานการณ์มันไชอบมาพากล ท่าทีที่ไม่เหมือนคิมจงอินคนเก่า แต่ก็เรียกเลือดสูบฉีดบนใบหน้าเขาได้แบบที่ไม่เคยเป็น คยองไม่เข้าใจว่าจงอินเป็นอะไร เหมือนน้องไม่ได้สติ นั่นอาจจะเป็นเพราะดื่มมาหรือเปล่า

                “ผมไม่ได้เมานะ” ใจกระตุกวูบนิดหน่อยที่เห็นเปลือกตาที่หลุบมองแก้มเขาในทีแรกลืมขึ้นมองตาเขา “กลับบ้านเองได้ด้วย”

                “......” น้ำเสียงกลัวหัวเราะไม่ได้ทำให้คยองซูสบายใจหรือเชื่ออีกคนได้เลย เพราะจมูกที่แทบจะชนกับจมูกของเขาอยู่ตอนนี้มันเป็นอะไรที่แบบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยเมื่อตอนจงอินปกติดี “จงอิน เดี๋ยว”

                “ไม่เดี๋ยวแล้วครับ...” รู้สึกตัวอีกทีหลังก็ราบไปกับพื้นโซฟาโดยมีอีกคนทาบทับจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกัน “คิดไม่ผิดจริงๆที่กลับมา”

               



     

                “เดี๋ยวก่อนจงอิน...”

     

                “......”

     

                “......”

     

                .

     

     

     

     

                    ไม่คิดว่าจะเจอใครที่นี่ในเวลานี้แล้วแท้ๆ ชานยอลเกือบจะเผลอหันหลังกลับทันทีที่เดินเข้ามาแล้วเจอโอเซฮุนยืนส่องกระจกอยู่ในห้องน้ำ คนที่อยู่ก่อนมองผู้มาใหม่ผ่านกระจกตลอดทางที่ชานยอลเดินผ่านหลังไปยืนที่อ่างล้างมือด้านในสุด สภาพของคนที่เขาไม่ได้เจอมานานกว่าสามวัน ไม่ต่างอะไรกับเด็กติดยาระยะเริ่มต้น   ที่พูดไปก็ไม่เคยเห็นกับตาหรอกว่าเด็กติดยาเขามีสารรูปเป็นยังไงกัน แต่เพื่อบรรยายให้ดูโทรมที่สุด เซฮุนก็นึกได้แต่ประโยคเปรียบเปรยนี้  เพราะไม่ใช่แค่ขอบตาคล้ำจากการอดนอน แต่สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง เครื่องหน้าที่ไม่ได้รับการดูแล รวมไปถึงร่างกายที่ซูบผอม เขาเดาไม่ออกเลยว่าชานยอลทรมารตัวเองแบบนี้ไปเพื่ออะไร

                “ไม่เจอกันแค่สามวัน ผมนึกว่าไม่ได้เจอฮยองเดือนนึงได้” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะทักเขาเลย เซฮุนจึงเริ่มต้นทักก่อน แม้จะแปลกใจที่เห็นชานยอลที่นี่ แต่ก็นั่นแหล่ะ ไม่เกินพรุ่งนี้เขาเดาว่าพี่เมเนต้องไปลากคอมาจนได้นั่นแหล่ะ อีกอย่างก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ติดต่อกันเลยเสียเมื่อไหร่...

                “.......”

                “นี่ใจคอจะไม่คุยกับผมนอกจากในคาทกหน่อยเหรอ?” ทิชชู่ขยำเป็นก้อนหลังจากเช็ดน้ำที่มือแล้วโยนทิ้งถังขยะ เซฮุนมองอีกคนผ่านกระจงแบบไม่หลบตาในขณะที่คนพี่ยังวุ่นอยู่กับการรื้อของในกระเป๋า “จงอินเป็นยังไงบ้าง?...คำถามนี้ก็ได้ ผมจะได้ตอบเหมือนทุกที”

                “......” มือหนาชะงักก่อนจะเบนสายตาไปสบกับเซฮุนในกระจก เซฮุนไม่ได้ทำสายตากวนอารมณ์ หรือทำน้ำเสียงอ้อนตีนเขาอย่างที่คิด แต่นั่นก็ทำเขาไม่สบอารมณ์เมื่อเซฮุนเอาเรื่องนี้มาพูดต่อหน้า

                “อ้อแต่ลืมไป ฮยองคงไม่อยากรู้หรอกว่าวันนี้จงอินเป็นไง”

                “โอเซฮุน..” ขอถอนคำพูดที่บอกว่าเซฮุนไม่ได้ทำสายตากวนอารมณ์หรือทำน้ำเสียงชวนเท้ากระตุก เพราะท่าทางหันหลังเอาสะโพกพิงขอบที่ล้างมือแล้วกอดอกมองมาทางเขาแบบนั้นมันทำเขาโมโหได้ไม่น้อย คงไม่มีใครอยากนึกหรอกว่าคนไม่ได้นอนสามวันแล้วต้องมาเจอท่าทางแบบนี้จะมีอารมณ์หงุดหงิดขั้นไหน

                “......” เซฮุนไม่ได้รู้สึกกลัวกำน้ำเสียงขึงขังนั้น ตรงกันข้าม เสียงหึในลำคอพอให้ได้ยินทั้งคู่ บวกกับสายตาที่เหมองไปทางอื่น บ่งบอกได้อย่างดีว่าโอเซฮุนก็กำลังไม่สบอารมณ์ “อะไรๆมันไม่ได้ง่ายดายเหมือนที่พี่คิดอีกแล้วชานยอล”

                “......”

                “ ผมพูดถูกมั้ย?” สีหน้าเคร่งเครียดที่ไม่มีว่าของใครมากกว่ากันระหว่างคนที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ตอนนี้

                “......”

                “......”

                “ผิด”

                “แล้วอะไรหล่ะที่ถูก?” ไม่มีอีกแล้วโอเซฮุนที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ตอนนี้มีแต่โอเซฮุนที่ไล่ต้อนคนคนนึงจนจนมุม หลบสายตาของเขาแบบที่เขาเคยเป็นเมื่อก่อน ตอนโดนปาร์คชานยอลกดดัน “ใช่เรื่องที่ผมไม่จำเป็นต้องกลัวฮยองอีกต่อไป แล้วสามารถมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในเรื่องของจงอินหรือเปล่าที่ถูก!!........!!!!

                “......”

                “!!!!!...อึก!

                “มึง......” คอเสื้อยืดสีเทาเข้มถูกกระชากแล้วดันไปกระแทกประตูห้องน้ำอีกฝั่ง เซฮุนรู้สึกจุกมากกว่ากลัวชานยอล หรือกลัวว่าเสียงดังขนาดนี้จะมีใครมาเห็นเสียอีก ถึงแม้แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยคิดว่าจะโดนชานยอลลงไม้ลงมือ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคย อารมณ์รุนแรงแบบนี้เขาเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง

                “.......” ใจดีสู้เสือแกะมือหนากว่าที่คอเสื้อออกไม่ง่ายนัก แต่เซฮุนก็โตขึ้นพอที่จะปะทะกับชานยอลได้บ้างแล้ว ชานยอลปล่อยมือออกก่อนจะหันกลับไประงับอารมณ์โกรธของตัวเอง

                “อย่าแม้แต่จะคิด” เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะมารับฟังสิ่งที่กลัว ใช่....อะไรคือความกลัวมากมายที่เกาะกินจิตใจเขามาตลอดสามวัน มันมากกว่าความโหยหาคิมจงอิน แต่มันคือความกลัวตลอดระยะเวลาที่ไม่ได้เจอ “มึงอย่าแม้แต่จะคิดเซฮุน”

                “......”

                “กับคนที่กูไม่ยอมคือกูไม่ยอม” แต่กับคนที่ต้องยอม ต่อให้มาก่อน ต่อให้รักมากกว่าก็ต้องยอม

                “......” อะไรคือความน่าสงสารมากมายหลังจากเขาฟังน้ำเสียงแบบนั้นเอ่ยจนจบประโยค... ตาเสี้ยวพระจันทร์หลุบมองพื้นก่อนจะมองคนที่กำมือแน่นยืนหันหลังให้ ชานยอลดูร้อนรน กังวล และกลัว ...

                ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าชานยอลรักจงอินแค่ไหน..โธ่...เขาต่างหากที่รู้ยิ่งกว่ารู้ รู้ยิ่งกว่าใคร ยิ่งกว่าที่จงอินรู้ เพราะเขาต้องรับรู้และแบกรับ..ความกดดันจากคนคนหนึ่งที่มีสภาพจิตใจบิดเบี้ยวอันเกิดจากการส่งความรู้สึกนั้นไปไม่ถึง มันถูกตีกลับหนักๆเสมอ และโอเซฮุนคนนี้เห็นทุกอย่างมาตลอด

                ถ้าชานยอลถามตัวเองว่าทำไมต้องเป็นตัวเองที่เป็นฝ่ายปล่อยมือ... เขาก็อยากถามกลับไปเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นเขาที่เสียสละ...เป็นชานยอลหรือเปล่าที่เพิ่งมาเจ็บหนักเอาตอนนี้ แต่เขาต่างหากที่เจ็บมาตลอด แล้วถ้าปาร์คชานยอลไม่ได้คนอย่างเขาแบกรักความรู้สึกตรงนั้นไว้ ทุกวันนี้จะได้มานั่งเสียใจแบบนี้หรือเปล่า


     

                “ไม่ต้องกลัวไปหรอก...ไม่ต้องมีผมฮยองก็ไม่ชนะ”

     

                “......”

     

                “จงอินเพิ่งให้พาไปเที่ยวผู้หญิง...หึ” เห็นรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของน้องเล็กทันทีที่เขาหันไปมองอย่างไม่เชื่อหู รอยยิ้มเยาะทีเหมือนจะขำกับตัวเองของเซฮุนไม่ได้เข้ากับความรู้สึกของเขาตอนนี้เลย  “โอ๊ะๆๆๆ อย่าทำหน้าแบบนั้น มันกลับบ้านไปแล้ว แล้วก็ไม่ได้หิวใครกลับไปทั้งนั้น”

                “......” ชานยอลมองคนที่เดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือข้างอ่างล้างมือ คำพูดปั่นหัวเขามากมายยังคงวนเวียนและชัดเจนในหัว ป่วนความรู้สึกของเขาให้ตีกันยุ่งกว่าเดิม ไม่เข้าใจว่าเด็กคนนั้นกำลังจะทำอะไร

                “ทั้งๆที่ดูยังไม่หมดอารมณ์แท้ๆ”

                “......”

                “แต่ผมหมดอารมณ์ซ้อมเต้นละ...ฝากฮยองบอกเทามันด้วยละกันว่าผมกลับหอแล้ว” พูดจบก็เดินออกจากห้องน้ำไปไม่สนใจอีกคนที่ยืนนิ่งหลังจากได้ยินประโยคเหล่านั้น

     

     

     

                ชานยอล...พี่ไม่รู้หรอกว่าใจหนึ่งผมทั้งเกลียดที่พี่รักจงอิน เกลียดที่กีดกันทุกคนให้พ้นทางเพื่อตัวเองคนเดียวที่ได้ยืนข้างๆ ผมเกลียดความเห็นแก่ตัวที่มาพร้อมความรักมากมาย... แต่ผมก็อยากเอาใจช่วยไปพร้อมๆกัน...ทั้งๆที่คือศัตรูแต่ครั้งนี้ ผมสงสารเกินกว่าจะไม่ช่วยอะไรเลย

     
     

                เซฮุนยืนมองร่างสูงใหญ่วิ่งออกจากห้องน้ำไปยังประตูทางออกของตึก อยู่หลังบ้านประตูกระจกทึบไม่ไกล หลังจากออกมาจากห้องน้ำได้ไม่นานก็พาตัวเองมาหลบมุมอยู่ตรงนี้ ไม่นานก็เห็นชานยอลวิ่งออกมาอย่างที่คิดไว้ ก่อนตัวเองจะเดินเบี่ยงไปอีกทางที่เป็นที่ตั้งของห้องซ้อมเต้นใหญ่หลังจากร่างของชานยอลลับสายตา เขาแค่หวัง อยากให้อะไรๆมันดีกว่านี้ เพราะเมื่อก่อนมันเคยดีกว่านี้  ทุกๆอย่างเคยดีตอนจงอินมันมีชานยอลคอยดูแล

                เขาก็แค่อยากให้ได้คุยกัน...

     


               

     

     

     

                  ใครคือคนที่คิมจงอินไว้ใจยอมเล่าทุกอย่างให้ฟังที่สุด......โอเซฮุน

                ใครคือคนที่คิมจงอินรักและอยากอยู่ด้วยมากที่สุด........โดคยองซู

     

                  ไม่มีชื่อ ปาร์คชานยอลมาตั้งแต่แรก...

                .

                .

                .

                มือที่ถือลูกกุญแจอยู่ สั่นยิ่งกว่าวันที่หนาวที่สุดในรอบปี...ภาพตรงหน้าหลังจากที่ถือวิสาสะไขกุญแจห้องที่เขาอาจจะไม่ได้รับสิทธิ์ให้มาเหยียบอีกแล้ว คือเตียงกว้างหกฟุตที่ยับย่น ร่างสองร่างใต้ผ้าห่มที่เขามองไม่ออกว่าอยู่ในสภาพไหน แต่รู้ว่าเป็นใครนอนอยู่แนบชิด

                ไม่น่ามาตอนนี้ ไม่น่ามาที่นี่ตั้งแต่แรก เซฮุนคงอยากให้เขามาเห็นอะไรที่มันชัดเจแบบนี้สินะ ถึงได้พูดจาให้เขาขาดสติจนต้องมาดูให้ได้เห็นกับตา ตลอดทางก็บอกตัวเองว่ำไม่มีอะไร

     

                ไม่มีเราเขาก็มีความสุข...

                นี่สินะสิ่งที่แสดงถึงเขากับจงอินได้เป็นอย่างดีในเวลานี้... ลืมไปแล้วเหรอว่าคิมจงอินรักโดคยองซู การมั่วกับเขาไม่กี่ครั้งไม่ได้แปลว่าจะทำให้ความจริงข้อนี้เปลี่ยนไป ยังไม่จำว่าอย่าหลงลืมว่าไม่เคยมีแม้เศษเสี้ยวของความสำคัญในชีวิตน้อง ลูกกุญแจที่เคยดีใจเมื่อตอนได้รับ แต่ตอนนี้เขามองมันเหมือนของแสลง  คำพูดที่บอกว่าจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีในเวลานี้เมื่อนึกถึง

               

                คิมจงอินจะทำให้เขารู้สึกสมเพชตัวเองอีกกี่ครั้ง?

     

                คนตัวสูงทรุดตัวนั่งลงพิงตัวเองเข้ากับผนังห้องด้านนอกข้างบ้านประตู มือหนาเอื้อมมือค่อยๆดึงประตูปิดเข้ากรอบให้เบาที่สุด เขาไม่ต้องการให้คนในห้องออกมาเห็นสภาพเขาตอนนี้

     

                แค่น้ำตาไหลไม่รู้ตัวก็สมเพชตัวเองพอแล้ว อย่าให้ตื่นมาเห็นเขาฟูมฟายเลย....

     

               

     

     





     

                “นี่อะไร?”

                “......” ชานยอลมองของในมือป้อม สลับกับเจ้าของมือที่ถามคำถามเด็กอนุบาล ประมาณว่าสุนัขคืออะไร แล้วถ้าตอบว่าหมา ก็ถือว่าเป็นคำตอบที่ผิด

                “ผมจะถามอีกครั้ง..นี้คืออะไร?” น้ำเสียงขึ้นจมูกพยายามข่มอารมณืเย็นลงจนรู้สึกได้

                “ลูกกุญแจ”

                “มันเป็นกุญแจที่ผมให้...พี่ไปที่นั่น?” เห็นไหมว่าเด็กอนุบานต้องการคำตอบเดียวในใจ แม้ว่าเขาจะตอบว่าหมา แต่เด็กอนุบาลเชื่อว่ามันเป็นสุนัข คำตอบที่ถูกต้องจึงเป็นสุนัขไม่ใช่หมา ชานยอลถอนหายใจ “ผมไม่เอาคืน”

                “......” เห็นเขาเป็นตัวอะไร ถึงได้เล่นกับมันได้สนุกนัก ...จงอินจับมือคนที่ยืนหันหลังให้ ชานยอลชะงักมือที่กำลังหยิบเสื้อคลุมลายสก็อตสีแดง สัมผัสเย็นๆจากโลหะเล็กในมือเป็นความรู้สึกที่ชัดเจน จงอินค่อยยัดมันใส่มือเขา แต่ไม่พอ น้องจับมือเขาไม่ปล่อย...

                “ปลอบหน่อย”

                ปลอบ...เป็นคำที่มีความหมายกับเขาเหลือเกินในตอนนั้น นิ้มมือที่ผสานเขามาเรื่อยๆเรียกความรู้สึกไผ่ต่ำของชานยอลให้กลับมา เขาไม่รู้ว่าจงอินเป็นอะไร ต้องการอะไรจากเขา ทั้งที่ให้ไปทั้งหมดแล้วทั้งความรักที่ยอมให้เป็นฝุ่นผง ทั้งร่างโง่ๆที่พยายามไม่เฉียดเข้าไปใกล้ ทั้งยอมทำทุกอย่างให้ใครอีกคนยอมเปิดรับจงอิน แต่ที่เขากำลังได้รับตอนนี้คืออะไร ใครอธิบายเขาได้บ้าง หรือแค่ยังมีอะไรที่ยังได้ไม่พอ ต้องการให้ขำทำให้อีกหรือเปล่า



                “พี่ชานยอ...”


     

                “จะให้ทำอะไรให้อีก? ถึงได้มาให้ถึงที่แบบนี้”

     

                “......” พอเห็นน้องนิ่งไปก็อยากตบปากตัวเอง แต่จะให้เขาทำยังไง เมื่อมันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว ในเมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้วเมื่อคืนนี้ว่าชานยอลไม่เคยเป็นอย่างอื่น นอกจาก...

                “หรือถ้าต้องการให้ปลอบจริงๆ...จะให้ปลอบเรื่องอะไรหล่ะ หืม?” หันหน้ามาเผชิญหน้ากับคนตัวเล็กกว่า สีหน้าจงอินดูไม่ดีนัก และดูสับสนกับคำพูดของเขา นั่นทำให้ชานยอลเองก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันถูกหรือเปล่า “ปลอบเรื่อง..” ชานยอลก็แค่อยากปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวด “ที่ได้เป็นฝ่ายอยู่เหนือคนอื่นครั้งแรกเหรอ?” โดยที่ลืมคิดไปว่าบางที การกระทำนั้นอาจจะพาเอาความเจ็บย้อนมาที่ตัวเองหนักหนาสาหัสกว่า

                สิ้นเสียงทุ้ม ชานยอลดันจงอินให้นั่งลงกับปลายเตียง เจ้าของส่วนสูงร้อยแปดสิบกว่าเซ็นยืนค้อมตัวลงจูบปากนุ่มหนาน้อยๆที่เผยอรับอยู่ก่อนแล้ว เรียวนิ้วแกร่งสอดใต้กลุ่มผมข้างกกหูก่อนจะพาริมฝีปากตามไปขบกัดติ่งหูเล็กไร้รอยเจาะ แว่วเสียงโลหากระทบพื้นแต่ไม่มีใครสนใจ ชานยอลสนใจแต่สองมือที่ขย่ำเสื้อยืดสีดำตัวเก่งของเขาอยู่บริเวณอก

                “อึก.....” ต้องกลั้นเสียงแค่ไหนเขารู้ดี เพราะปกติเวลาเขาใช้ลิ้นกับปลายคางทีไร จงอินต้องร้องดังกว่านี้ หรือเวลาเขาสอดมือใต้เสื้อ จงอินพูดว่า “อย่า...” อ่า...ใช่ พูดแบบนี้แหล่ะ

                “......” ชานยอลยืดตัวตรงเพื่อถอดเสือที่เพิ่งใส่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงออก ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงจนระดับไล่เลี่ยกัน  ปากประกบกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นน้องที่จับสองข้างแก้มของเขาไว้แน่น  อารมณืมากมายที่ถาโถมเข้ามาเขาเองก็เรียบเรียงมันไม่ถูก คนตรงหน้าก็เช่นกัน น้องในเวลานี้เหมือนคนขาดสติ รสจูบที่เร่งเร้าเขาให้ขาดใจเป็นฝีมือของคนบนเตียง

                “อื้ม....” มือหนาล้วงเข้าใต้เสื้อยืดสีเทาอ่อนตัวบาง และเพราะปลายนิ้วจึงทำให้เกิดเสียงที่ยากจะควบคุม ปากหนาละออกจากความหวานที่ไม่สัมผันมานานหลายวัน จุดมุ่งหมายของมันคือบางอย่างที่นิ้วเย็นๆสัมผัสอยู่ใต้เสื้อ

                “......” และทันทีที่เลิกเสื้อขึ้นสูง มือป้อมแต่นุ่มก็ปิดปาดเขาไว้เสียก่อน ชานยอลเงยหน้ามองหน้าน้อง และตอนนั้นถึงได้เห็นแววตาแห่งความโกรธเคืองชัดเจน และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คนเป็นน้องปลดตะขอรูดซิปกางเกางตัวเองแล้วเรียบร้อย คนบนเตียงยกตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อร่นขอบกางเกงให้หลุดออกจากช่วงสะโพกสีแทน

                ถอดจนหมด ไม่เหลือแม้แต่กางเกงใน...

                บางสิ่งบางอย่างที่ดันชายเสื้อให้เห็นเป็นรอยนูนสูง บางอย่างที่เหมือนกับของเขาในตอนนี้

     

                “ทำมันให้ที่” จงอินสอดมือเข้าข้างแก้มเขาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้เขาไม่เข้าใจ แล้วมือเล็กก็เปิดชายเสื้อยืดของตัวเองออก

     

                 “......”


               

     

     

                “ทำเหมือนที่พี่คยองซูทำไง”

     

     

     

     

     

                ใครคือคนที่คิมจงอินไว้ใจยอมเล่าทุกอย่างให้ฟังที่สุด......โอเซฮุน

                ใครคือคนที่คิมจงอินรักและอยากอยู่ด้วยมากที่สุด........โดคยองซู

     

                ไม่มีชื่อ ปาร์คชานยอลมาตั้งแต่แรก...

     

     

     

     

                เว้นเสียแต่คำถามจะเป็น  ใครคือคนที่รักคิมจงอินที่สุด......

     

                ....คำตอบจะเป็นปาร์คชานยอล

     

     

     

     

     

    ใกล้กันแต่เหมือนว่าไกลสุดขอบฟ้า

    เอื้อมมือออกไปไม่ถึงเธอซักครั้ง

    จะต้องรักให้มากเท่าไหร่ จึงจะมีความหมายขึ้นมา

    บอกฉันหน่อยฉันต้องทำขนาดไหน...

    ...จะพอให้เธอรัก

     

     



     

     

    TBC

     
    ------------------------------------------------------------

     

     


    วึ่นวือ......น้ำล้วนๆ ที่เห็นนี่คือตันมาก - -

    เชปนี้ไม่มีอะไรเลย แค่พยายามจะดราม่าเฉยๆอ่ะ

    อะไรอ่ะไคซู....

    เซฮุน^^

    ชานยอล TT

    ติดแท็ก #ชานไคด้อนโนว เวเลาพูดถึงฟิคเรื่องนี้นิดนึง

    [-]Hyphen
     

    @SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×