ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF]--"You And I" Story-Chankai- รวมช็อตฟิค[-]Hyphen

    ลำดับตอนที่ #4 : [SF]-My Security-“ Dome & Hotel “ (Kyunghoon x Jongin)

    • อัปเดตล่าสุด 22 ม.ค. 59


    O W E N TM.







    My Security

    “ Dome & Hotel “

    พี่การ์ดของน้องไค  ตอน พี่การ์ดคยองฮุน


















    ผมแค่ไม่อยากให้ใครบางคน เปียกน้ำ.....
    แต่เด็กก็ยังคงเป็นเด็กที่เมื่อโดนขัดใจไปแล้วให้พูดยังไงก็ไม่ยอมฟังกันดีๆ เด็กตัวเล็กของผมที่เฝ้าดูแลเป็นอย่างดีหันหน้าหนีไปอีกทางทันทีที่ผมยื่นคำขาดกับทีมซีคิวริตี้ในวันซ้อมก่อนวันแสดงจริง ว่าด้วยเรื่องความไม่เหมาะสมของสถานที่อันจะก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัย เนื่องจากวันนี้เวทีบางส่วนยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี จึงทำให้ยังมีเรื่องให้ถกเถียงกันอยู่พอสมควร ตั้งแต่คอนเสิร์ตวันที่สองในเกาหลีผมก็ไม่สามารถละเลยการตรวจเช็คสถานที่ด้วยตัวเองได้เลย ทว่าสตาฟ์ฟยังคงดื้อคล้อยตามคนตัวเล็กที่ไม่ว่ายังไงก็อยากให้มีน้ำในช่วงเพลงเบบี้ด้อนท์คราย แต่เมื่อผมยกเหตุผลจากแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อม ผลสรุปเป็นอันว่า คอนเสิร์ตที่โอซาก้าครั้งนี้จะไม่มีน้ำตอนโซโล่มาทำให้เสื้อเชิ้ตสีขาวโปร่งแสงแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะคนที่ยังนั่งหันหลังให้ผมคนนั้น...ไม่สบาย



    “ไม่ต้องมาช่วย” นั่นปะไร....เสี้ยงขึ้นจมูกพูดเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน ผมทำทีจะไปยืนสแตนด์บายตรงจุดเดิมในทุกครั้งที่คอนเสิร์ตดำเนินมาถึงช่วง...ผับ ที่พวกคุณเรียกกัน ตลอดทั้งวันเจ้าของน้ำเสียงอู้อี้พูดประโยคนั้นกับผมเป็นประโยคแรก  เขาสั่งไม่ให้ผมเข้าใกล้ตั้งแต่เริ่ม และตอนนี้ก็กำลังห้ามไม่ให้ผมไปทำหน้าที่โดยชอบธรรมของตัวเองอีกด้วย ใจร้ายนะครับ ตัวก็เล็กแค่นี้ทำไมถึงมีอำนาจเฉียบขาดต่อความเป็นไปในชีวิตผมนัก เพราะแค่เอ่ยเบาๆ ขาขวาที่ก้าวขึ้นบันไดไปถึงขั้นที่สองก็เป็นอันต้องยกกลับมาวางบนพื้นราบตามเดิม ยืนมองคนเก่งติดสายสริงเองอย่างชำนาญ ทั้งที่ก่อนหน้านี้บ่นนักหนาว่ามันติดยากเย็น ลำบากให้ผมวิ่งขึ้นไปติดให้รอบตัวซ้ำยังถอดให้ด้วยความยินดี แต่ครั้งนี้เขาโกรธผมจนไม่แม้แต่จะห่วงความปลอดภัยของตัวเอง ผมไม่เคยต้องการ ไม่เคยชอบให้เขาโกรธหรือไม่พอใจ เขาจะรู้หรือเปล่าว่าไม่ว่าเขาจะรั้นยังไงผมก็ชอบที่จะตามใจ หรือเพราะรู้ถึงได้ดื้อดึงอยู่บ่อยๆ ผมรู้ว่าสิ่งที่ทำขัดใจเขาแต่ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของความเป็นห่วงเป็นใย ถ้าเขาสังเกตมันสักนิดเด็กตัวเล็กของผมก็จะเข้าใจ



    มันเป็นแบบนี้แม้กระทั่งวันที่สอง เพราะผมยกเหตุผลมาอ้างอิงจนทั้งสองวันไม่มีการใช้น้ำในคอนเสิร์ตแน่นอน ดังนั้นชะตาของผมจึงวนลูป คนตัวเล็กไม่แม้แต่จะมองหน้าอย่าพูดถึงบทสนทนาเลยครับ ไม่แน่ใจว่าจบทัวร์คอนเสิร์ตตลอดทั้งปีนี้เขาจะพูดกับผมหรือเปล่า เพราะฉะนั้นไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ต้องทิ้งทิฐิมาคุยกับผมแต่เป็นผมเองต่างหากที่ต้องคว้าโอกาสไว้ทุกครั้งที่มี อย่างเช่น ตอนที่เขาเหนื่อยจนแทบหายใจไม่ออกเลยต้องมานั่งตรงบันไดในจุดที่ผมยืนทื่ออยู่นี่


    “ เหนื่อยไหม? “ อ่อนโยนที่สุดแล้วครับ ผู้ชายตัวใหญ่กับงานที่ทำรวมถึงหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ไม่เคยเอื้อต่อความละมุนละไม ผมไม่เคยยิ้มบางหรือพูดด้วยเสียงอ่อนโยนกับบรรดาแฟนคลับของเขาหรือไม่ว่ากับใคร เสียงของผมแข็งทื่อ ท่าทางกระด้างที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรมักสร้างความไม่พอใจให้คนรอบข้างเสมอ แต่เพราะสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างหน้าผมตอนนี้ แค่เห็นหน้าเขาผมก็นึกออกแต่เรื่องดีๆ และนึกเอ็นดูอย่างเดียวเท่านั้น เขานิ่ง นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมได้รับ แต่น่ารักนะครับ เขาอดทนไม่พูดกับผมมาได้สองวันเต็ม ทำให้ผมนึกเอ็นดูความพยายามนั่นขึ้นมาติดมุมปาก เขาก้มหน้าหายใจเหนื่อยหอบอย่างน่าสงสารอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแห้งสนิททั้งตัวแต่ก็ยังมีบางจุดตรงกลางหลังที่ชื้นเหงื่อ ไม่ตอบคำถามแต่ยกหัวไหล่ขึ้นเช็ดเหงื่อตรงขมับ ผู้ดูแลที่ดีอย่างผมรีบสาวเท้าเข้าไปอีกหนึ่งก้าวระหว่างนั้นมือก็หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวขึ้นมาหวังจะเช็ดให้ตรงจุดเดิม เขาเบี่ยงหน้าหนี  ใจผมกระตุกวูบขึ้นมาหนึ่งครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ได้รับอนุญาตให้แตะเนื้อต้องตัว...ดังนั้นผมจึงทำได้แค่ส่งขวดน้ำเย็นให้เขาดื่มแล้วยืนพัดให้จนหายเหนื่อย



    คอนเสิร์ตวันที่สองจบลงแล้วด้วยรอยยิ้มของสมาชิกทุกคน ที่ชัดเจนที่สุดคือคนตัวเล็กที่ยืนอยู่กึ่งกลางคนนั้น เขาพูดอะไรซักอย่างยืดยาวเป็นภาษาญี่ปุ่นที่ผมฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ผู้คนในเคียวเซร่าโดมต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องและปรบมือให้เขาเสียงดังกว่าคนอื่นๆ ผมยืนมองแล้วเผลอยิ้มตามอย่างชื่นใจ


    “ ร้านไซโนะอันเป็นไง ปิดทั้งร้านเลยได้ไหมครับ” รู้ตัวอีกทีผมก็มายืนซ้องหลังเขาอยู่ไม่ไกล พวกเราทั้งทีมดรีมซีคิวริตี้กำลังรอปฏิบัติหน้าที่ที่จะได้รับมอบหมาย ว่าจะให้กลับที่พักหรือให้ตามไปดูแลสมาชิกที่จะไปเลี้ยงฉลองความสำเร็จกันต่อ เด็กตัวเล็กที่ยืนเงียบไม่ออกความคิดเห็นตรงหน้าผมอาบน้ำจนตัวหอมฉุยฟังชานยอลวางแผนกับผู้จัดการ ผมเดาว่าเขาจะไม่ไปต่อกับคนอื่นๆ เพราะหวังว่าเด็กดีควรรู้ตัวว่าตัวเองที่กำลังไม่สบายแถมยังทุ่มกำลังทั้งหมดไปกับการแสดงของสองวันที่ผ่านมาจะตัดสินใจพาตัวเองกลับห้องเพื่อพักผ่อน


    “จงอินล่ะ ว่าไง” เพราะจงอินไม่มีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น คนเดิมจึงเร่งถามเสียงดังฟังชัด ชานยอลมองคนถูกถามอย่างรอคำตอบ ผมยังเห็นเขาเอาแต่ก้มหน้าแต่สักพักก็เงยขึ้นตอบตกลงเอาด้วย ผมทันเห็นคนตัวสูงที่สุดในวงร้องเยสเบาๆ ด้วยความดีใจ แต่ผมไม่ดีใจเลย ผมเป็นห่วงจนเผลอแตะมือตรงต้นแขนของเขาแล้วรั้งเบาๆ เขาหันหน้ามามองเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตในสายตาคนอื่น


    “อย่าไปเลย กลับโรงแรมไปพักผ่อนเถอะ กลับกับพี่” เป็นจังหวะเดียวกับที่ชานยอลตะโกนนับสมาชิก ซึ่งหมายถึงทั้งหมดที่อยู่ตรงนี้ เพราะถ้าสมาชิกทั้งวงไป ทีมของผมก็ต้องไปด้วยทั้งหมดเช่นกัน เขาถือโอกาสนี้ดึงต้นแขนออกจากมือผมก่อนจะค้านเสียงของชานยอลด้วยโทนเสียงนิ่งเรียบแต่ขึ้นจมูก

    “ผมว่า ซิคิวฯฮยองไม่ต้องไปกับพวกเราก็ได้นะครับ ถ้าไปกันทั้งหมดนี่ก็ยี่สิบกว่าคนเราคงโดนเจอเข้า ทีนี้จะลำบากกันหมดนะครับ” เขาตัดโอกาสผม


    “แต่ถ้าไม่มีคนของดรีมซีคิวริตี้ทีมไปเลย พี่กลัวว่าเวลาเกิดเหตุการณ์คับขันพวกเราจะซวยกว่าเดิมน่ะสิ” ซูโฮที่ห่วงความปลอดภัยของสมาชิกมาเป็นอันดับแรกเสนอความคิดเห็น แม้แววตาของหัวหน้าวงจะสื่อว่าค่อนไปทางเห็นด้วยกับความคิดของน้องเล็ก “นายเองก็ยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย พี่ว่า...”


    “งั้นก็ให้พี่จินแทกับพี่ซานอีไปด้วย แค่สองคนก็น่าจะพอแล้วมั้งครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นผมจะรีบวิ่งไปเกาะหลังพี่ชานยอลก็แล้วกัน” พูดจบก็เดินผ่ากลางวงไปยืนข้างๆ คนตัวสูงที่ว่า อีกฝ่ายยิ้มจนเห็นฟันกรามก่อนจะยกแขนโอบไหล่เล็กให้กระชับเข้าหา ซูโฮไม่พูดอะไรต่อจากนั้นอีกคนอื่นๆ ก็ได้แต่ยักไหล่อย่างเสียไม่ได้ ผมยืนอยู่อย่างนั้น ยืนนิ่งไม่ได้มองหน้าใครตรงนั้นอีกเลย แว่วเสียงหนึ่งในผู้จัดการวงบอกว่าตกลงตามที่คุย แล้วให้ทุกคนเตรียมตัวขึ้นรถ มีคนสะกิดผมให้ขึ้นรถอีกคันเพื่อกลับโรงแรม ผมก้าวขาขึ้นรถอย่างไม่เต็มใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่ตัวเล็กของผมโดนดันหลังขึ้นอีกคันที่จอดอยู่ข้างหน้า พอขบวนรถขับขึ้นเนินจนโผล่พ้นออกจากลานจอดรถชั้นใต้ดินของเคียวเซร่าโดม คันของเขาขับไปทางซ้าย ส่วนคันของผมเลี้ยวมาอีกทาง...







    ความเจ็บปวดของมนุษย์เราเกิดขึ้นบ่อยครั้ง บางครั้งเกิดจากปัจจัยหลายอย่างที่ค่อยๆ ต่อแถวเรียงคิวเข้ามา ทั้งที่รู้ล่วงหน้าและไม่ทันได้ตั้งตัว บางครั้งก็ประดังเข้ามาพร้อมๆกัน  แม้ทุกครั้งเราจะรู้สึกเจ็บปวดจนเหมือนจะตาย แต่ก็ไม่เคยตายจริงๆ เสียที  ชั่วชีวิตของ อิม คยองฮุน ยังไม่เคยสัมผัสความขมขื่นที่ใกล้เคียงกับคำว่าเจ็บปวดสักครั้ง ครอบครัวที่ค่อนข้างมีอันจะกิน พี่สาวที่แต่งงานกับสามีชาวญี่ปุ่นที่ฐานะเหมาะสมกัน ต่างฝ่ายต่างเข้ากันได้ดีจนเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ยิ่งส่งเสริมให้สภาพแวดล้อมรอบๆตัวผมดีขึ้นไปกว่าเดิม ถ้าให้ย้อนกลับไปกระทั่งวัยเรียน ความเจ็บปวดของการถูกดุด่าจากครู อาจารย์ ก็ไม่เคยมี สังคมเพื่อนดี หรือระดับมันสมองของผมก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับเจ้าของของมัน ซ้ำยังทำให้ผมสามารถใช้มันต่อยอดความฝันสมัยเด็กที่ฝันอยากเป็นทหารหรือตำรวจเหมือนเด็กทั่วไป เพราะความสมบูรณ์แบบเหล่านั้น ผมจึงนึกไม่ออกว่าคนอย่างผม จะต้องไปพบเจอกับความเจ็บปวดด้วยเหตุผลอะไร



    จนได้มาเจอ คิม จงอิน  เขาเป็นทุกปัจจัยที่ทำให้ผมทั้งสุขและทุกข์ได้ในคราวเดียว เวลาสุข ผมสุขจนราวกับลอยได้บนอากาศ เวลาทุกข์ ผมก็ทุกข์แทบขาดใจตาย แม้ที่ผ่านมาทุกการกระทำ ทุกคำพูด เหมือนจงใจแสดงออกว่าผมพิเศษ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ย้ำให้ผมรู้ตัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนไม่มีทางลืมได้เลย  ว่าผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน นอกจากซีคิวริตี้ที่ถูกจ้างด้วยตัวเลขสูงลิ่วเพื่อมาดูแลศิลปินชื่อดังอย่างเขา เราก็ไม่มีอะไรมากมายไปกว่านั้นระหว่างกัน




    เมื่อนึกถึงมัน...ผมก็เจ็บปวดทุกครั้งอย่างห้ามไม่ได้... 
    .

      .

    .

    .

            .

            .
    ผมยังไม่พร้อมจะอยู่ในพื้นที่จำกัดในขณะที่มีพี่คยองฮุนอยู่ใกล้ๆ
    เพราะผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนงี่เง่าระดับไหน และตลอดสองวันมานี้ทำตัวเลวร้ายอะไรกับใครไว้บ้าง แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่รับรู้แต่ไม่ยอมรับดังนั้นจึงยังไม่พร้อมกับการเผชิญหน้าในระยะประชิด คิม จงอิน เป็นคนมีเหตุผลพอครับ แต่บางครั้งเหตุผลก็ได้รับการยกเว้นถ้าสถานการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นโดยมีตัวแปลเป็นคนตัวใหญ่ หลายครั้งที่ผมเป็นแบบนี้โดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม ทั้งๆ ที่ตัวเองผิด ดื้อด้านและงี่เง่าอยู่คนเดียว แต่ทำไมถึงไม่คิดจะยอมรับความใส่ใจ ผมสับสนเหมือนที่เป็นมาตลอดครึ่งปีมานี้ แววตาใสซื่อที่พร้อมทำตามคำบอกของผมตลอดเวลา ร่างสูงใหญ่กำยำคอยระแวดระวังภัยรอบด้านให้ ไม่เคยมีสักครั้งที่จะขัดใจ แต่เมื่อสองวันที่แล้วเพิ่งจะมีครั้งแรกเกิดขึ้น และเพราะผมไม่สบาย ดังนั้นก็ช่วยไม่ได้ที่ผมจะงี่เง่ามากกว่าเดิมเพราะพิษไข้


    อย่างที่บอกว่าผมเป็นอย่างนี้บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยการยอมความจากอีกฝ่าย พี่คยองฮุนจะเข้ามาขอโทษและยอมรับความผิดไปคนเดียวทั้งหมดแม้จะเห็นชัดเจนว่าไม่ได้ผิด แต่ครั้งนี้....อ่า หรือมันเป็นเพราะเหตุผลข้างต้น เพราะผมงี่เง่ามากกว่าทุกที หรือเปล่า? ไม่ใช่ว่าการไม่มีอ่างน้ำตอนโซ่โล่ในคอนเสิร์ตมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แต่พวกคุณก็รู้ ที่นี่คือญี่ปุ่นใช่ไหมครับ คิม จงอินเป็นที่รักและเอ็นดูของคนที่นี่ ผมอยากตอบแทนพวกเขาด้วยการแสดงที่สมบูรณ์แบบถึงร่างกายจะไม่อำนวยก็ตาม  ฤดูใบไม้ร่วงของที่นี่หนาวมากนั่นทำให้คนตัวใหญ่กังวลกับอาการของผม แต่ในโดมถูกเซ็ตอุณหภูมิให้เป็นปกติ ไม่เห็นจะต้องกังวลไปให้มากความเลย ดังนั้นผมจึงโกรธและโมโหตัวใหญ่มากกว่าที่ผ่านมา



    ผมบอกคนที่เอาแต่นั่งลูบต้นขาผมไปมาว่าขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เริ่มมึนแล้วครับ เพราะชานยอลไม่ยอมให้แก้วเบียร์ของผมพร่องลงเกินครึ่งสักที ดื่มมากเข้าเลยว่าจะลุกไปเข้าห้องน้ำเอาน้ำเสียในกระเพาะปัสสวะออกไปบ้าง ชานยอลถามว่าให้ไปเป็นเพื่อนไหม ผมส่ายหน้าแล้วปัดมือลวกๆ แบบขอไปที ไม่จำเป็นหรอก ถึงแม้ท่านจงอินคนนี้จะเดินโซซัดโซเซ แต่ใช่ว่าจะล้มหงายท้องได้ง่ายๆ ขอทางคนที่นั่งฝั่งเดียวกันอีกหกเจ็ดคนให้ขยับพื้นที่ด้านหลังระหว่างเก้าอี้กับผนังร้านจนออกมาได้สำเร็จ ใครก็ช่างให้ผมนั่งในสุดติดกำแพง ชานยอลหรือว่าผมเดินเข้าไปเองนะ....เริ่มมึนแล้วครับเพราะฉะนั้นอย่าสนใจเอาความกับผมเลย ห้องน้ำอยู่ชั้นล่าง พวกเรานั่งกินดืมกันอยู่บนชั้นสอง เราเหมาทั้งร้านไว้แล้วดังนั้นไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะมีคนนอกเข้ามาเจอ ตอนนี้ทั้งชั้นล่างเรียกได้ว่าไร้ผู้คนเพราะพนักงานทั้งหมดขึ้นไปดูแลแขกชุดใหญ่บนชั้นสอง 



              ยืนปล่อยน้ำเสียเสร็จก็ได้เวลาคว้ามวนนิโคตินขึ้นมาคาบด้วยมือที่ยังไม่ได้ล้างทำความสะอาด ผมมองจนทั่วห้องน้ำแคบๆ นี้แล้วว่าไม่มีป้ายห้ามสูบบุหรี่ เมื่อแน่ใจถึงได้กล้าจุดปลายมวนให้แดงวาบดันก้นขึ้นนั่งบนขอบอ่างล้างมือแล้วพิงหัวตื้อๆ ไว้กับผนัง โทรศัพท์ยังคงไร้มีสคอลจากคนที่หวังว่าจะโทรมาถามความเป็นไปของผมตอนห้าทุ่มแบบนี้บ้างแต่ก็ว่างเปล่า ผมหวังอะไรนะ...หวังอะไรจากคนที่ผมไม่สมควรคิดอะไรไปมากกว่าการ์ดที่มีหน้าที่ดูแลศิลปินคนหนึ่ง เราเป็นแค่พี่น้องกันมาตลอด แต่สถานะที่ว่ากลับทำให้ผมแคลงใจทุกครั้งเมื่อทบทวนทุกความห่วงใยที่เรามีให้กัน มันขัดแย้งเสมอเพราะเราสองคนปฏิบัติต่อกันต่างจากคำว่าพี่น้อง  แม้ไม่ใช่ด้วยวาจาแต่การกระทำชัดเจน แม้ไม่เคยแตะต้องถึงขั้นเลยเถิดแต่เราใสใจในทุกความรู้สึก ผมแคร์เขาและเขาก็ใส่ใจผมตลอดเวลา แปลกเกินไปแล้วระหว่างเรา ผมสับสนไปหมด จมกับความคิดเนิ่นนานจนไม่ได้ยินเสียงชานยอลที่เปิดประตูเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ชานยอลไม่มีสีหน้าแปลกใจที่เห็นผมสูบบุหรี่ เรามองหน้ากันแป๊บเดียวคนตัวสูงกว่าก็เดินผ่านผมไปยืนปลดซิปกางเกงเพื่อขับน้ำเสียออกบ้าง  ผมเปิดน้ำในอ่างใช้น้ำไหลรดปลายบุหรี่ให้ดับสนิทก่อนจะโยนทิ้งลงถังขยะตรงปลายเท้า ลงมายืนกับพื้นล้างมือกับน้ำเปล่าจากก๊อก กดสบู่เหลวอนามัยมาขัดๆ ถูๆ เพื่อความสะอาดหมดจด  ยังไม่ทันได้ล้างน้ำออกอะไรบางอย่างคลอเคลียอยู่ตรงฐานคอไล่ขึ้นมาถึงกกหู...อ่าหะ ผมนึกออกแล้ว ชานยอลนั่นแหล่ะที่เป็นคนบอกให้ผมนั่งในสุดของโต๊ะ เพราะจะได้หาเศษหาเลยกับผมได้สารพัดแบบนี้ไง



    “จะสูบบุหรี่ก็ไม่บอก เห็นเดินเซออกมาเข้าห้องน้ำแต่หายไปนานสองนาน เป็นห่วงนะนึกว่าตกส้วมไปแล้ว” ปากคนครับ พูดไปก็เอาเปรียบผมไปพร้อมๆ กันได้ ผมเบี่ยงหน้าออกเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่หลุดพันธนาการเพราะสองมือที่โอบรัดอยู่ตรงหน้าท้อง ชานยอลหัวหึในคอ ตาโตใสสะท้อนความเจ้าเล่ผ่านกระจกบานใหญ่ตรงหน้า พอโดนผมมองไม่พอใจก็กดจมูกลงกลางกระหม่อมไม่เบาแรง ช่วยคลายปมที่หว่างคิ้วของผมออกได้โดยง่าย มือยาวฉวยเอามือทั้งสองข้างของผมไปถูฟองสบู่ออกกับน้ำที่เปิดทิ้งไว้ และเพราะชานยอลโอบผมไว้อย่างนี้ผมเลยโดนทั้งจูบทั้งหอมไปทั่วท้ายทอย ล้างเสร็จ มือเปียกก็ถือวิสาสะเลิกชายเสื้อของผมขึ้นแล้วแตะมือเย็นเฉียบลงไป เล่นเอาท้องน้อยหดเกรงพร้อมกับกล่าวพรุศวาสไม่เป็นภาษา “อยากจะแย่อยู่แล้ว...”


    “ก็ให้แย่ไปสิ ไม่เดือดร้อน” ยังมีหน้ามาพูดจาไม่กระดากปากใส่คนอื่นอีก ชานยอลพ่นลมหายใจอุ่นร้อนไม่ห่างไปจากต้นคอเสียที


    “อย่าใจร้ายหน่า”


    “ผมไม่สบายอยู่...”


    “ขอนิดเดียว สัญญาว่าจะไม่ถอด” 


    “......”


    “นะ...”


    “...ไปล็อกประตู”


    “ล็อกแล้ว”


    “......” ให้น้ำทะเลจืดสิ เป็นแบบนี้ทุกที  ชานยอลจับผมยกขึ้นที่เดิมที่ก่อนหน้านี้ผมใช้นั่งสูบบุหรี่ คนตัวสูงเสยผมหนึ่งครั้งแล้วกดมุมปากลึกยิ้มพอใจเมื่อเห็นผมกำลังร่นกางเกงยีนส์ของตัวเองลงไปไว้ตรงหัวเข่า ก่อนชานยอลจะรูดซิปกางเกงของตัวเองอีกครั้งอย่างรีบร้อนทำเวลา  ทั้งๆ ที่ก็นอนห้องเดียวกันในโรงแรมแต่ชานยอลไม่เคยอดเคยทน ไม่เคยปิดบัง มีแต่หาโอกาสแสดงออกเพื่อร้องขอจะทำเรื่องเหล่านี้กับผมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายที่มีความต้องการ ผมไม่ปฏิเสธว่าทุกครั้งก็ทำกันด้วยความสมัครใจ ผมเต็มใจและไม่ได้รังเกลียดเรื่องแบบนี้ที่ชานยอลทำกับผม ในเมื่อทำแล้วมีความสุขทั้งคู่และเราก็ไม่มีเรื่องทางใจมาผูกมัด ผมเองก็เป็นผู้ชาย จะเท่าไหร่ จะกี่ครั้งก็ไม่เสียหายหรือบุบสลายอยู่แล้ว







    “ยี่สิบนาทีไม่ขาดไม่เกิด” ผมยักไหล่ไม่สนใจเสียงนกเสียงแร้งของพี่แบคฮยอนที่ทำทียกนาฬิกาขึ้นมาดู พอทุกคนเห็นชานยอลเดินขึ้นบันไดกลับมาพร้อมกัน ใครมีน้ำเมาในแก้วก็ยกขึ้นดื่มใครไม่มีก็รีบเทเติม หากิจกรรมทำเพื่อจะได้ละสายตาไปจากพวกผมสองคนเพราะทุกคนกำลังมองพวกเรานานเกินไป จะมีก็แต่เจ้าของประโยคข้างต้นเท่านั้นที่พ่นคำข้ามทั้งโต๊ะอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจมืด “คนนึงบอกไปเข้าห้องน้ำ อีกคนบอกจะไปสุบบุหรี่ นี่มึงสูบหมดซองเลยหรอวะไปนานขนาดนี้”


    “เสือกครับ” ชานยอลตอบเสียงนิ่งแล้วเดินตามผมเข้ามานั่งด้านใน พี่แบคฮยอนบุ้ยหน้าเจ็บปวดไปทางพี่จงแดที่นั่งอยู่ข้างๆ ชี้ไปมาระหว่างตัวเองกับชานยอลราวกับจะฟ้องเรื่องที่ถูกด่า พี่จงแดก็ได้แต่บอกว่ากูไม่เกี่ยวแถมยังสมน้ำหน้า


    “ไอ้เลว ไรผมชื้น เหงือเกาะหน้าผาก ไอ้เหี้ยชานมึงนี่มัน” พอได้เห็นหน้าเพื่อนในระยะใกล้แค่โต๊ะกั้น พี่แบคฮยอนก็คงไม่รู้จะหาคำพูดมากล่าวหาคนตัวสูงข้างๆ ผมยังไงดี


    “สามานย์ เงียบปากแล้วแดกๆ ไปแบคฮยอน” เงียบครับ โชคดีที่เก้าอี้ของแต่ละคนห่างกันพอสมควร แล้วบรรยากาศร้านที่เปิดเพลงไปด้วย พนักงานของร้านก็ทำโอโคโนะมิ ยากิ ไปด้วย ไอ้เรื่องที่พูดกันจึงยังจำกัดวงให้แคบอยู่แค่บรรดาคนที่รู้  รู้ตัวอีกทีผมก็โดนหิวปีกมายืนเป๋อยู่หน้าร้าน เที่ยงคืนแล้วแต่ทุกคนลงความเห็นว่าจะไปต่อ ส่วนคนไม่สบายที่ฝืนทำทุกสิ่งเหมือนคนปกติดีมาทั้งวันอย่างผมเริ่มรู้สึกตัวว่าจะไม่ไหวอยู่รอมร่อ มติเป็นเอกฉันท์ให้พี่จินแทพาผมนั่งแท็กซี่กลับมาส่งที่โรงแรม แค่สิบห้านาทีจากที่ตั้งของร้าน ผมก็ได้มายืนมึนให้พี่จินแทประคองคุยโทรศัพท์อยู่ตรงทางเข้าด้านข้างโรงแรม คุยกับใครไม่รู้แต่พอคุยเสร็จก็พาผมเดินเข้าด้านใน มีเบลบอยจะเข้ามาช่วยแต่พี่จินแทก็ยกมือปฏิเสธ คงเห็นว่าผมยังมีสติพอจะเดินไปได้แม้ขาจะขวิดกันไปมา นี่ผมดื่มไปเท่าไหร่กันนะ ทำไมโลกมันหมุนคว้างขนาดนี้ จำได้ว่าโรงแรมที่เราเข้าพักมีลิฟต์อยู่แปดตัวที่ชั้นล็อบบี้ แต่ตอนนี้ผมเห็นเป็นร้อยเลยครับ ท่าทางจะไม่ไหวจริงๆ แล้ว อีกนิดผมคงวูบหลับไปตรงพื้นเย็นนี่แหล่ะ ตัวลอยแล้วครับ ขอไม่รับรู้กับอะไรทั้งสิ้นเลยแล้วกัน ราตรีสวัสดิ์นะครับ






    “ที่ผ่านมาพี่เคยทำให้ตัวเล็กเจ็บหรือ?....ขนาดปล่อยให้เจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อยยังไม่กล้า แล้วถ้าต้องเป็นคนลงมือทำให้เจ็บด้วยตัวเอง พี่คงเป็นการ์ดของตัวเล็กต่อไปไม่ได้...”


    ห้ะ?....เสียงใคร....แล้วตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน???

    .

    .

    .

    .

    .

            .

    ถึงจะเป็นห่วงจนแทบบ้า แต่จะทำอะไรได้นอกจากรอ
    ผมอารมณ์เสียทุกครั้งที่จงอินไม่รักตัวเอง ไม่ประมาณตนถึงร่างกายที่ไม่ได้แข็งแรงเท่าคยองซูหรือมินซอก ดื้อและไม่ยอมฟังคำห้ามปรามของผม เวลานี้ความกังวลเรื่องที่จงอินยังไม่กลับดูจะมากกว่าเรื่องที่ยังไม่เคลียร์ก่อนหน้านี้ เขาคือเจ้าของความปลอดภัยของตัวเอง ส่วนผมก็เป็นแค่ผู้ปกป้องรักษา ในเมื่อเจ้าของร่างกายเขาไม่อนุญาตให้ผมปกป้อง แล้วผมจะเสนอหน้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายได้ยังไง ห้าทุ่มแล้วแต่ผมยังหลับไม่ลง พาตัวเองมานั่งจิบเหล้าฟังเพลงด้วยชุดนอนกางเกงผ้านิ่มกับเสื้อกล้ามสีเทาอ่อนในห้องอาหารกึ่งบาร์บนชั้นยี่สิบสาม ผมเลือกที่นั่งตรงเคาน์เตอร์เพราะไม่อยากชงเหล้าเอง ทอดอารมณ์ละเลียดบุหรี่ตัวสุดท้ายของซองได้เพียงครึ่ง ก่อนจะขยี้ลงบนที่เขี่ยบุหรี่ที่อัดแน่นไปด้วยก้นบุหรี่ทั้งซอง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองทำท่าจะกดเบอร์ล่าสุดแต่ก็กดวางก่อนจะเข้าสัญญาณ เป็นอย่างนี้อยู่หลายสิบครั้ง


    “ถ้าไม่โทร กูโทรให้ไหม? รำคาญชิบหาย” เกือบลืมไปแล้วว่ามีมันนั่งอยู่ข้างๆ ผมคว้าโทรศัพท์คืนมาจากฮยอนซองก่อนมันจะเอาไปกดโทรออกจริงๆ อย่างที่ปากว่า “เด็กคนเดียวเอาไม่อยู่ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”


    “จำเป็นต้องให้รู้ไปถึงไหน แล้วทำไมกูต้องอาย” เพื่อนชั่ว หาความเอากับผมเรื่องจงอินทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ผมปรายตามองมันในสภาพชุดนอนแบบเข้าเซ็ต บนหัวมีไม้คาดผมสีส้มจนสะท้อนแสง


    “ไม่ต้องไปไหนไกลเอาแค่ในทีมเราแปดคนก็พอ หรือมึงอยากให้ไปไกลถึงหัวหน้ากูก็จัดให้ได้ เห้ย กูพูดเล่นอย่าทำกู” เกือบได้ลงไม้ลงมือกับมันจริงๆแล้วครับ ในทีมของเราไม่มีใครรูปร่างผอมแห้งสักคน แต่ก็ไม่มีใครแข็งแรงเท่าผม “กูพูดจริงๆ นะไอ้ฮุน ถ้ามึงจะมัวมานั่งรันทดหมดมู้ดแบบนี้ แถมยังไม่กล้าโทรไปหาเด็กถึงแม้จะเป็นห่วงไปยันลำไส้ของเขา กูว่ามึงโทรไปหาไอ้จินแทก็ยังดี มันอยู่ที่นั่นมันต้องตอบคำถามมึงได้ จงอินทำอะไรอยู่ เขาดื่มไปรึเปล่า แล้วดื่มเยอะไหม และอีกมากมายที่มึงอยากรู้” แสนรู้จริงเพื่อนผม พูดหมดเปลือกราวกับมานั่งอยู่ในความคิด


    “กูไม่อยากวุ่นวายกับจงอินมาก กูกลัวเขาไม่พอใจ” แล้วถ้าเขาไม่พอใจกูขึ้นมามึงจะเป็นคนแรกที่กูคาดโทษ


    “ตั้งแต่มึงรักมึงชอบเด็กนี่...มึงคิดเล็กคิดน้อยเก่งนะ กูไม่ได้บอกให้มึงไปวุ่นวายกับตัวเล็ก เออ...จงอิน  แต่กูให้มึงไปวุ่นวายกับไอ้จินแท โทรไปเลย กูกดให้จะได้หายฟุ้งซ่านขึ้นมาบ้าง” มันยื่นโทรศัพท์ที่โชว์เบอร์ของจินแทมาให้ผม ผมรับมาอย่างลังเลแต่ก็ยกแนบหูรอปลายสายตอบรับ



    (ว่าไงวะ?) รอไม่นานก็ได้ยินเสียงเพลงดังแทรกมาพร้อมเสียงเจ้าของเครื่อง ผมเดาว่าคงปิดร้านนั่งสังสรรค์มากกว่าทานอาหาร อย่างนี้ไม่ต้องถามก็พอจะรู้ว่าตัวเล็กคงดื่มไปบ้างแล้วอยู่ที่ว่ามากหรือน้อย ผมถามมันไปว่าเป็นยังไงบ้าง หมายถึงสถานการณ์ตรงนั้น ไม่ได้เจาะจงถามถึงใครเป็นพิเศษแม้จะอยากก็ตาม (ตัวเล็กไปเข้าห้องน้ำอยู่ เอ้ย จงอินไปเข้าห้องน้ำ เพิ่งไปเมื่อกี้นี้เอง) นี่ผมมีเพื่อนร่วมงานเป็นหมาหรือครับถึงได้แสนรู้กันยกทีมแบบนี้ แล้วไอ้อาการเผลอเรียกจงอินว่าตัวเล็กนี่เป็นกันทุกคน ผมว่าผมคงต้องหาเวลานั่งสัมภาษณ์เรียงตัวเสียแล้ว อยากรู้จริงๆ ว่าลับหลังผมไอ้พวกนี้มันเรียกจงอินว่าตัวเล็กบ่อยแค่ไหนถึงได้หลุดมาเข้าหูผมทุกครั้งขนาดนี้  แว่วได้ยินเสียงมันบอกกับใครสักคนว่าผมโทรไป เดาว่าเป็นซานอี 


    “กูถามถึงทั่วๆ ไป สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ยังไม่ได้ถามถึงจงอินสักคำ” ไอ้ฮยอนซองเบะปากใส่ผมหนึ่งทีและคงพรุศวาสในใจไปด้วยถึงความตอแหลลงตับของผม


    (ตอแหล คนอย่างมึงหรือจะโทรหากูที่ได้รับรู้การดำเนินชีวิตของ คิม จงอิน ใกล้ชิดที่สุดในขณะนี้ เพื่อจะถามว่า สถานการณ์ ณ ร้านโอโคโนมิ ยากิ เป็นยังไงบ้าง ให้คนออกลูกเป็นควายสิครับมึง กูไม่ได้โง่) มึงฉลาดของจริง


    “ทำไม ทีพ่อแม่ไอ้ฮยอนซองยังคลอดลูกออกมาเป็นควายเลย” 


    (เออก็จริง) ลูกคนเดียวอย่างฮยอนซองรู้ได้ในทันทีว่าโดนเพื่อนด่า มันขมุบขมิบปากว่าผมหลอกด่ามัน ผมเลยบอกให้มันสบายใจว่าผมไม่ได้หลอก (อยากรู้อะไรอีก นี่ชานยอลก็ตามออกไปด้วย เห็นบอกว่าจะไปสูบบุหรี่ แต่กูว่าไม่ใช่ แบคฮยอนแซวใหญ่ว่าขอให้แค่ไปสูบบุหรี่อย่างที่บอกเถอะ กูว่าเรื่องนี้มีเงี่ยนงำ)


    “พูดจาอะไรคิดถึงหน้าจงอินด้วย จงอินยังเด็กมาก มึงอย่าเอาสีดำทมึนไปใส่เขา”


    (จ้า กูแตะไม่ได้เลยเนี่ย ระวังไว้บางก็ดีนะมึง ใครๆ ก็พูดกันทั้งนั้นว่าชานยอลกับจงอินสนิทกันมาตั้งแต่ก่อนเดบิว มึงก็เห็นว่ากับมึงชานยอลไม่ค่อยจะญาติดีด้วยเลยนี่หว่า เด็กมันอยู่ด้วยกันมาก่อนตั้งนานอยู่ดีๆ มีมนุษย์ตัวใหญ่ใจละมุมมาวนเวียนป้วนเปี้ยนใกล้จงอิน ไม่ช้าก็เร็วถ้าชานยอลคิดอะไรกับจงอินจริงๆ มึงก็อดไปครับเพื่อนเพราะน้องเขาคงไม่เลือกมึง ถ้าคิดจะจริงจังก็ต้องระวังไว้ก่อน) 


    “หาความ กูไม่ได้คิดกับจงอินถึงขั้นนั้น” ไม่กล้าคิด ไม่มีสิธิ์คิดด้วยซ้ำ แต่เจ็บครับ ทุกประโยคของจินแทซึมเข้าไปในสมองและก้อนเนื้อที่เต้นตุบตุบอยู่ในอกผมทั้งหมด


    (ไม่ได้คิด แต่มึงก็รัก มึงอยากดูแลและมึงก็ดูแลได้ดี กูแค่เตือนไว้ เผื่อว่าวันหนึ่งมึงเกิดคิดขึ้นมาจะได้ไม่สาย)


    “พอแล้วสัส กูช้ำ” มันหัวเราะชอบใจครับ คุยอีกสองสามประโยคมันก็บอกว่าจงอินกลับมาแล้วพร้อมชานยอล ก่อนจะวางสายผมกำชับมันว่าระวังอย่าให้จงอินเมา แล้วถ้าเมา ก็วานให้มันเป็นคนพามาส่งด้วยอย่าให้น้องไปต่อกับคนอื่นเด็ดขาด มันรับคำแล้วรีบวางสายไป ผมนั่งดื่มอีกไม่นาน มองนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนสิบห้านาทีเข้าไปแล้ว เรียกบริกรมาเก็บเงินเพราะตั้งใจว่าจะกลับไปฟุ้งซ่านต่อที่ห้อง ระหว่างรอเซ็นลายเซ็นลงใบเสร็จ คนที่ผมเพิ่งวางสายไปหนึ่งชั่วโมงก่อนก็กำลังโชว์หน้าหล่อเข้มอยู่บนจอโทรศัพท์ที่กำลังแผดเสียง รับสายจากมันได้ไม่ถึงสิบวินาที ผมก็ต้องหันไปบอกให้ฮยอนซองจัดการเรื่องลายเซ็นบนใบเสร็จและบัตรเครดิต ปลอมให้เหมือนไม่อย่างนั้นมึงก็นอนมันที่นี่แหล่ะ ส่วนผมรีบพาตัวเองมาที่ลิฟต์ กดไปที่ชั้นสิบเอ็ดเพื่อเข้าไปเอาคีย์การ์ดอีกหนึ่งใบที่วางอยู่บนโต๊ะในห้อง ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว วิ่งไปที่ลิฟต์อีกครั้งคราวนี้ผมกดลงไปชั้นล่างสุด ทำไมลิฟต์ของโรงแรมนิว โอตานิ ถึงได้ช้าแบบนี้ ผมจะรายงานถึงปัญหาเพื่อครั้งต่อไปจะได้ไม่ต้องเข้าพักที่นี่อีก  ผมรู้สึกเหมือนยืนบนบันไดเลื่อนตอนกำลังรีบ แต่ทั้งสองฝั่งมีมนุษย์โลกไร้ระเบียบวินัยยืนขวางลำเต็มไปหมด จะเดินขึ้นไปก็ไม่ได้เลยต้องปล่อยให้ตัวเองไปถึงจุดหมายด้วยความเร็วสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทันทีที่ลิฟต์เปิดออกไอเย็นจัดกระทบใบหน้าและลำตัวที่ใส่เพียงเสื้อกล้ามบางๆ ข้างหน้าผมเห็นคนสองคนกำลังเดินมาทางนี้อย่างทุลักทุเล คนหนึ่งสติสมบูรณ์ดีส่วนอีกคนเรียกได้ว่าประครงสติไม่อยู่แล้ว จังหวะนั้น ผมพุ่งตัวด้วยความเร็วเข้าไปรับตัวเขาที่กำลังจะทิ้งน้ำหนักลงพื้น






    ตัวเขาร้อนกว่าเดิมนิดหน่อย เดาว่าพิษไข้คงเพิ่มขึ้นและกำลังเล่นงานเขาไปพร้อมๆ กับแอลกอฮอล์ปริมาณพอควร ในห้องเปิดฮีสเตอร์เอาไว้ ที่รู้เพราะผมอุ้มจงอินขึ้นมาบนห้องด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครช่วย ไม่อนุญาต ด้วยสิทธิ์ของการ์ดประจำตัวผมจึงมีคีย์การ์ดของห้องจงอินเก็บไว้กับตัวอีกหนึ่งชุด เพื่อที่หากเกิดเรื่องด่วนหรือเรื่องร้ายแรง ผมก็สามารถเข้ามาช่วยเขาได้ทันที ผมถอดเสื้อโค้ทตัวหนาออกให้เหลือแค่เสื้อยืดสีขาวข้างในเพื่อให้เขานอนได้อย่างสบายตัว พาดไว้กับเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลแล้วหันมาถอดรองเท้าออกให้ทั้งสองข้าง ปัดผมเผ้าที่ปรกหน้าเขาออก แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ บนเตียง เรียกตัวเล็กเบาๆ แล้วดึงชายเสื้อยืดลงปิดหน้าท้องให้มิดชิด 


    ในห้องน้ำไม่มีกะละมังหรือภาชนะที่ใช้ใส่น้ำได้เลย ผมคว้าผ้าขนหนูผืดเล็กมาชุบน้ำจากก๊อกที่เปิดเฉพาะน้ำร้อน ทนร้อนนิดหน่อยเพื่อให้ทั้งผืนชุ่มทั่วกัน กัดฟันทนอีกครั้งตอนต้องบิดน้ำออกให้ผ้าเปียกหมาดๆ แล้วจึงเอาไปเช็ดตัวคนป่วย อิม คยองฮุนไม่เคยเช็กตัวให้ใคร ผมจำเป็นต้องเปิดกูเกิ้ลเพื่อเรียนรู้วิธีเช็ดตัวที่ถูกต้อง ในนั้นเขียนบอกไว้ว่าให้เช็ดเข้าหาหัวใจ ผมเริ่มเช็ดจากปลายนิ้วไล่ขึ้นไปถึงข้อศอกและต้นแขน ทำอย่างนั้นซ้ำๆ ทั้งสองข้างจนผ้าเริ่มหายร้อน ลำบากตรงต้องเดินมาชุบน้ำร้อนในห้องน้ำเรื่อยๆนี่แหล่ะครับแต่ก็ทำด้วยความยินดี แต่เดินออกมาจากห้องน้ำคราวนี้ คนบนเตียงเขานั่งอยู่ครับ...



    สมองประมวนผลแทบไม่ทัน ผมจับคนป่วยตาแป๋วให้นอนลงตามเดิมก่อนจะเกิดคดีสะเทือนขวัญในห้องหมายเลข 1764 เหตุเกิดจากเจ้าของห้องถูกข่มขืนโหดเพราะเผลอถอดเสื้อต่อหน้าผู้ชายโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา สถานการณ์ล่อแหลมอย่างที่สุด ผมคร่อมจงอินไว้ทั้งตัวกดแขนทั้งสองข้างไว้กับเตียงด้วยมือคีมเหล็ก หน้าเราอยู่ระดับเดียวกันคนตัวเล็กจ้องผมตาแป๋วเหมือนคนไม่ได้เมา จังหวะนั้นผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว สาบานได้ว่าถึงจะดื่มแต่ก็ไม่ได้เมาแต่ตอนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมหรือเขากันแน่ที่ไร้สติ รู้แค่ว่าไม่ใช่ผมแน่ๆ ที่เป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าไป และปากของตัวเล็กนุ่มแล้วก็หวานมาก 


              ขนอ่อนทั่วทั้งตัวลุกชันด้วยเพราะไม่รู้ว่าเหตุการณ์มันดำเนินมาถึงตรงนี้ได้ยังไง แรงขยุ่มหนักสลับเบากับหนังหัวทำเอาผมหยุดตักตวงจูบจากเนื้อนุ่มไม่ได้ ขณะเดียวกันเล็บที่จงอินไว้น้อยๆ ก็สะกิดฐานไหล่ของผมไปตามจังหวะ เป็นปฏิกิริยาที่ตอบสนองรับส่งกันดีจนผมปวดหนึบไปทั้งช่วงตัว ไม่ได้ ผมต้องหยุด.....ให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเถอะ เสียงดังจ๊วบตอนถอดจูบผมยังสมควรมีชีวิตอยู่ตรงนี้หรือไม่ โดยไม่รู้ตัวมือของผมเลื่อนไปบีบสะโพกของจงอินตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้ อีกข้างก็กำลังช้อนท้ายทอยลื่นมือเอาไว้ อิม คยองฮุน กำลังเสียสติ ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่อย่างถึงที่สุด จงอินมองนิ่งอยู่อย่างนั้นเขาคงไม่เข้าใจว่าผมหยุดทำไม ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเล็กเหมือนกันว่ากำลังล้อเล่นหรือลองใจกันหรือยังไง


              “ตัวเล็ก หยุดก่อน” สรรพนามที่ได้รับอนุญาตให้พูดได้ถ้าอยู่กันแค่สองคน เจ้าของคำเรียกน่ารักสมตัวไม่ยอมหยุดแถมยังยกหัวขึ้นมาอีก ผมดันตัวขึ้นนั่งเด็กตัวเล็กของผมก็นั่งตาม ใบหน้าเล็กไล่ต้อนผมไม่หยุดจนตอนนี้ผมเป็นฝ่ายอยู่ใต้ร่างเขาเสียแล้ว อืม....โพซิชั่นนี้ผมก็ไม่เคยคิดภาพมาก่อนเหมือนกัน เอาเป็นว่าข้ามขั้นตอนมาลองปฏิบัติจริงเลยก็แล้วกัน เขาเริ่มจากสอดมือเข้าใต้เสื้อกล้าม ให้ตายเถอะ มือก็เล็กแถมยังซนไม่รู้ที่รู้ทาง ไม่ดะ....ดีเลยนะครับ....ตัวเล็ก....ครางไม่เป็นภาษาเมื่อผมเริ่มโดนรุกรานด้วยลิ้นตรงซอกคอ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะโดนคนที่รักมาปรนเปรอให้ ผมเป็นผู้ชายที่เกิดมามีร่างกายเหมาะจะปกป้องดูแลคนอื่น ในสถานการณ์แบบนี้ก็มั่นใจเหลือเกินว่าตัวเองจะต้องเป็นผู้นำ และเพื่อไม่ให้เสียเชิงชายผมจะต้องเป็นฝ่ายกระทำเท่านั้นถึงจะเหมาะสมสิครับ ไม่ยอมให้ตกอยู่ในภวังค์ไปมากกว่านี้จงอินวนลิ้นชื้นมาถึงปลายคาง ระหว่างนั้นผมลูบสะโพกของเขาไปมาจนเพลินมือ ตัวเล็กจะรู้สึกแย่ไหมครับคางของผมมันสากนิดๆ เพราะหนวดที่เริ่มดันตัวขึ้นมาจนเขียวครึ้ม จงอินจุ้บปลายคางจนเกิเสียงหนึ่งทีเล่นเอาผมขนลุกไปทั้งตัว


              “!!!” เอาแล้วไง 


              “จงอิน ไม่!!.....” ไม่ทันแล้ว มือซนลงไปซนถึงในกางเกงนอนยางยืดของผมเข้าแล้ว ขบกรามด้วยความอัดอั้น เมื่อรู้ว่าคนตัวเล็กจะทำสงครามกับผมแน่แล้วโดยที่ไม่ทันได้เตรียมการรับมือ 


              “ทำนะ” พอ...พอแล้ว...เลิกอดทนมันเสียที ผมจะไม่อดทนกับเด็กคนนี้อีกแล้ว ในใจคิดแบบนั้นแต่คยองฮุนฝ่ายดีก็เป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง


              “ทำไม่ได้นะครับ...ตัวเล็กจะเจ็บ” เจ็บแบบจะตายเลยล่ะตัวเล็ก เพราะฉะนั้นเป็นไปได้อย่าพูดอะไรแบบนี้เลยนะครับ


              “เจ็บได้...ถ้าตัวใหญ่ทำให้ ตัวเล็กยอมเจ็บได้” พัง!! พังหมดแล้ว ผมรู้ในวินาทีนั้นเองว่าตลอดเวลาตั้งแต่เราเริ่มจูบกัน ตัวเล็กไม่ได้มีสติครบร้อยเปอร์เซ็น เพราะคิม จงอินจะไม่มีทางเรียกตัวเองว่าตัวเล็กไม่ว่าจะกรณีใด ความคิดน้อยเนื้อต่ำใจแล่นพล่านอยู่ในอก ที่ผ่านมาผมทำหน้าที่บกพร่องตรงไหนหรือละเลยเขาสักครั้งหรือเปล่า ก็ไม่เคย แล้วทำไม คิม จงอินถึงได้พูดราวกับว่าคนอย่างผมจะยอมให้เขาเจ็บแบบที่เจ้าตัวอยากจะเจ็บได้ ผมดันเขาออกให้กลับไปนอนที่เดิมโดยที่ผมก็ยังตามไปทาบทับ และเพราะผมอาจจะไม่ทันได้ยั้งมือหรือเพราะห่าเหวอะไรก็ตาม ด้วยแรงกระแทกของหลังเล็กกับเตียงสปริง ทำให้แววตาสดใสซุกซนเปลี่ยนเป็นสงสัยงุนงงในทันที 





    “ที่ผ่านมาพี่เคยทำให้ตัวเล็กเจ็บหรือ?” ผมมองตาเขา มองเข้าไปให้ลึกถึงจิตใจของเขา ให้มันซึมไปในก้นบึ้งได้ยิ่งดี “ขนาดปล่อยให้เจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อยยังไม่กล้า....แล้วถ้าต้องเป็นคนลงมือทำให้เจ็บด้วยตัวเอง พี่คงเป็นการ์ดของตัวเล็กต่อไปไม่ได้...” จริงจังและอ่อนโยนให้ถึงที่สุด ให้เขาจำ จำให้ขึ้นใจ ว่าทุกการกระทำหลังจากนี้จะเป็นไปด้วยความอ่อนโยน รัก และทะนุถนอมเขาอย่างถึงที่สุด
    .

    .

    .

    “อ่ะ......” บางอย่างกลางลำตัวดุนดันกับท้องน้อย ส่วนปลายหยอกล้อกับสะดือจนจงอินจุกแน่นไปหมด คยองฮุนทั้งดูดทั้งดึงติ่งหูนิ่มอย่างหมันเขี้ยวเหมือนที่เคยทำกับช่วงอก เสื้อกล้ามลอยไปตกไกลเกือบหน้าห้องน้ำเพราะแรงที่เร่งเร้า ไม่มีใครยอมใครเมื่อริมฝีปากได้ประกบกัน จงอินมีลิ้นร้อนชื้นในขณะเดียวกันคยองฮุนก็ไล่ต้อนกลับด้วยเอ็นหนาและแข็งแรง


    “ตัวใหญ่...ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ” คยองฮุนนึกโทษทุกอย่าง โทษพิษไข้ในตัวคนใต้ร่าง โทษแอลกอฮอล์ในตัวทั้งคู่ โทษอากาศเป็นใจ โทษตัวเองที่ทนร่างเล็กๆ ตรงนี้ไม่ได้ โทษมันหมดทุกอย่างแต่ไม่โทษจงอิน เล็บฝังลงผิวเนื้อตรงไหล่หนาเพราะความอัดอั้น จงอินทนไม่ไหวจนตัวสั่นเทาเพราะก่อนหน้านี้ตอนยังไม่มีสติคงถูกเล้าโลมไว้มาก ตอนนี้ถึงได้ต้านทานอะไรไม่ได้เลยสักอย่างแบบนี้ ร่างสูงใหญ่ไม่มีทีท่าว่าจะเจ็บสักนิดแม้จะโดนจิกลงไปแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กลับมองหน้าจงอินนิ่งค้างก่อนจะจูบลงหน้าผากชื้นเหงื่อ อ่อนโยนกับเขาเกินไปแล้ว คยองฮุนมองหาอะไรบางอย่างก่อนจะพบว่าไม่น่ามีของที่ว่านั่นแถวนี้ ช่วยไม่ได้เมื่อทั้งคู่ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ ที่นี่ เวลานี้ ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ทุกอย่างจะทุลักทุเล 


              ปลดกระดุมกางเกงยีนส์ฟอกสีรูดซิปแล้วรั้งลงจากสะโพก พร้อมกันนั้นกางเกงในไซส์ของคนตัวเล็กก็หลุดออกมาพร้อมกัน คยองฮุนไม่ได้เตรียมใจเอาไว้สำหรับสิ่งที่จะได้เห็นกะทันหัน แต่ก็คิดในใจว่ามันช่างน่ารักสมตัวเจ้าของ นี่เขากลายเป็นไอ้โรคจิตไปแล้วหรือเปล่า เมื่อถอดออกจนหมดก็วางมันทิ้งไว้ข้างเตียง เรียวขาข้างหนึ่งแยกออกอย่างรู้หน้าที่ ชันเข่าขึ้นแนบกับสีข้างของคนที่นั่งทับขาอยู่ตรงกลาง ช่วยไม่ได้จริงๆ ในเมื่อเขาพร้อมแล้วสำหรับศึกหนักครั้งนี้แต่เขาควรทำให้ตัวเล็กพร้อมกับการรองรับเขาด้วย ดันนิ้วกลางข้างขวาเข้าปากหวังให้ชุ่มน้ำลายแต่ทวาทั้งปากและคอของเขาแห้งผากเพราะความตื่นเต้น สิ่งที่ชโลมนิ้วแกร่งจึงไม่เป็นที่น่าพอใจ จงอินยันตัวขึ้นด้วยแขนข้างหนึ่งแล้วคว้าเอานิ้วยาวครอบครองเข้าไว้ด้วยปากจนสุด คนมีไข้น้ำลายจะเหนียวเป็นพิเศษ คยองฮุนรู้สึกว่ามันไม่ต่างกับการได้ชำแรกผ่านเข้าไปในตัวจงอินเลย ทั้งรู้สึกดี ทั้งปวดหนึบยิ่งกว่าเดิม


              “อึก....อือ...” มองไปก็เผลอกลืนน้ำลาย เมื่อจงอินทั้งหยอกล้อทั้งครางครืนอย่างพอใจ ร่างสูงกว่ากระดกปลายนิ้วโดยไม่ได้ตั้งใจ ร้อนถึงเจ้าของลิ้นต้องรีบจับข้อมือใหญ่เพื่อห้ามปราม น้ำลายเหนียวหนืดเป็นสายจากส่วนปลายนิ้วไปถึงปลายลิ้น คยองฮุนทนไม่ไหวมานานแล้วแต่ก็ต้องทน ไม่ว่ายังไงก็ต้องไม่ให้คิม จงอินเจ็บ


              “ตัวเล็ก มันหยุดได้นะ...ตอนนี้” ไม่จำเป็นต้องถามต่อ จงอินนอนราบไปกับเตียงไม่ฟังคำใดพร้อมกันนั้นก็ชันขาทั้งสองข้างแล้วแยกออกกว้าง เห็นอย่างนั้นคยองฮุนก็โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยแทรกลำตัวให้แนบชิด ไม่ลืมหรี่ไฟห้องให้สลัวจากแผงควบคุมตรงหัวเตียงเหลือเพียงโคมไฟสีเหลืองนวลที่ยังคงความสว่างพอให้เห็นหน้าจงอินชัดเจน 


              “มาเถอะ...” พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ผวาขึ้นทั้งตัว นิ้วมือที่เล็กกว่าของจริงเป็นไหนๆ แต่พอเป็นนิ้วของคนตัวใหญ่ที่แข็งราวกับคีมเหล็ก จงอินเปรียบเทียบไม่ออกเลยว่าขนาดของมันให้ความรู้สึกเหมือนหรือต่างกับของของชานยอลยังไง ไม่ทำให้เจ็บเลยสักนิด ไม่ได้ใหญ่โตเท่า แต่พอดันเข้าไปจนสุดความยาวแล้วมันกลับรู้สึกดีไม่ต่างกันเลย นี่แค่นิ้วเองนะจงอิน...


              “เจ็บไหม?” ถามเพราะกลัวคนดีจะเจ็บ แต่คนดีก็ส่ายหน้าให้ดีใจ คยองฮุนยังคงตื่นเต้นที่ได้รู้ว่าผนังด้านในนั้นอ่อนนุ่มขนาดไหน นุ่มเกินกว่าจะเป็นช่องทางที่โดนรุกล้ำครั้งแรก เขาประหลาดใจกับร่างกายที่ราวกับถูกสร้างมาให้รองรับผู้ชายด้วยกัน ทั้งๆ ที่ภายนอก คิม จงอินไม่ใช่แบบนั้นเสียทีเดียว ขยับนิ้วเข้าออกจนรู้สึกได้ว่าช่องทางนั้นเริ่มชิน น้ำลายเหนียวยังใช้การได้ดีเกินคาด ความตื่นเต้นฮึกเหิมในใจทำให้คยองฮุนตัดสินใจดันนิ้วชี้เข้าไปอีกหนึ่งนิ้วขณะที่นิ้วกลางยังอยู่ในนั้น


              “ห่ะ!!” พออีกคนร้อง อีกคนก็โน้มตัวลงไปจูบขมับ ช้อนหัวทุยขึ้นมาซบไหล่ ด้านล่างยังคงสาระวนกับการดุนดันและบิดไปมาของนิ้วแข็ง ดึงออกมาแล้วดันเข้าไปซ้ำๆ ก่อนจะแช่ค้างไว้ จงอินผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะทันใดนั้นปลายนิ้วทั้งสองก็ขยับขึ้นลงอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุด


              “ตัวใหญ่...ไม่เอา...อย่าทำแบบนั้น” จงอินกลัวจะทนไม่ไหวแล้วไปถึงจุดนั้นก่อนตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม “...ไม่เอานิ้วแล้ว” ผละหน้าออกจากไหล่มามองตา ก่อนจะพูดสิ่งที่ต้องการออกไปอย่างสุดจะกลั้น เลื่อนมือลงต่ำจับข้อมือแข็งแล้วดึงออกในขณะที่ตาเชื่อมก็ประสานกันไม่ละหนีแต่ก็ร้องเสียงหลงเมื่อปลายนิ้วหลุดออกมาจนหมด






     
               เด็กคนนี้กำลังยั่วเขาอยู่!!


















    -- 70% --



    ตัวแดง แดงเป็นกุ้งต้มเพราะพิษไข้และริษแอลกอฮอล์ขนาดนี้ยังจะกล้าพูดจาสร้างภาระให้ตัวเอง ทว่ากุ้งทั่วไปเวลาโดนต้มก็จะนอนตัวขดตัวงอ แต่กุ้งตัวนี้กำลังนอนบิดแล้วสะท้านช่วงอกขึ้นลงตลอดเวลา ช่วงล่างที่เชื่อมต่อกันอยู่ลอยหวื่อไม่ติดพื้น ผมก็เป็นคนนะครับ มนุษย์เพศชายมีเลือดมีเนื้อ ความอดทนนั้นมี แต่มันอยู่ในระดับที่จำกัดมากทีเดียวเมื่ออยู่ในสถานการณ์นี้ ทั้งที่เรียนมาหมดแล้วสำหรับวิชาทหารวิชาตำรวจ ฝึกมาแทบทุกแขนงของศาสตร์ป้องกันตัว ฝึกความอดทนทั้งร่างกายและอารมณ์ให้ใช้ได้ดีในทุกช่วงของการดำเนินชีวิต ทั้งเทคนิคทั้งสูตรลับของเคล็ดวิชา แต่ในตำราและภาคปฏิบัติของวิชาต่างๆ ไม่ได้บอกเอาไว้เลยว่า ช่วงนึงของชีวิตคนเราจะต้องพบเจอเหตุการณ์พูดไม่ออกไปไม่เป็นแบบนี้ ไม่มีสูตรไหนเคล็ดลับใดระบุไว้ ว่าการอดทนต่อกุ้งต้มตัวแดงๆ ที่ทั้งร้อนทั้งนุ่มนิ่มแถมยังส่งเสียงร้องระงมไม่เป็นคำได้ตัวนี้ เขาต้องทำกันยังไง



              จริงๆแล้วอาจจะไม่มีสอนที่ไหน หรือยังไม่มีใครค้นพบ หรืออาจจะไม่ต้องทนมันแม่งเลย เหมือนผม...

             



              อย่าทนมันเลยครับ...ผมยึดมือข้างหนึ่งไว้กับหัวเตียงส่วนอีกข้างวางไว้บนเตียงข้างหัวจงอินเพื่อยันตัวเองไว้ในแนวระนาบ ทั้งตัวผม ทั้งตัวเล็ก ทั้งเตียงโยกไปในจังหวะเดียวกัน  สะโพกดันเข้าและรั้งออกในจังหวะเนิบนาบต่างจากเสียงโครมครามของลิ่มไม้ตลอดโครงสร้างเตียงนอนที่กำลังลั่นสะท้อนทั่วห้อง พร้อมกันนั้นอีกคนก็ร้องแข่งแบบไม่ยอมกัน อืม...ข้างในนั้นร้อนไปหมด ทั้งร้อนทั้งนุ่ม ผมไม่กล้าให้มือตัวเองแตะต้องร่างกายแดงเถือกเพราะไม่อย่างนั้นสีแดงตามตัวจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มน่ากลัว เรี่ยวแรงของผมมีมากแม้ใจอยากอ่อนโยนและค่อยๆ ละเลียดกลืนกิน แต่ตัวเล็กไม่ร่วมมือด้วยเลย ช่องทางแคบตอดรัดทุกครั้งที่ส่วนปลายกระทุ้งด้านใน เวลาเดียวกันกับที่ผมยกสะโพกงัดขึ้นจนเขาเสียววาบที่ท้องน้อยจนต้องเอามือกดบริเวณนั้นเอาไว้ น่าสงสาร แต่ก็น่า....


              " ห่ะ!...อ๊ะ!!"ผมเร่งจังหวะขึ้นและงัดส่วนปลายสูงขึ้นอีก จงอินยกขาแยกออกกว้างกว่าเดิมก่อนจะเกี่ยวรัดสะโพกเอาไว้แล้วผงกหัวขึ้นมามองหน้าสลับช่วงล่างที่ยังเคลื่อนที่ไม่หยุด มองอะไรบางอย่างที่เชื่อมติดกับภายในตัวร้อนระอุ เพ่งมองลักษณะการเคลื่อนไหวของสิ่งแข็งขืนที่ผลุบหายเข้าไปแล้วโผล่ออกมาอยู่อย่างนั้นตาไม่กระพริบ หัวคิ้วห่างรั้งขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ ปากน้อยก็ยังเผยอจนเห็นฟันสองซี่คู่กัน ร้องครวญเบาๆ ตามจังหวะถอดถอน แต่กลับขาดห้วงหนักหนวงเมื่อถูกดันเข้าลึก ผมจับความรู้สึกได้ว่าถ้าผมดึงตัวออกเขาจะพ่นลมหายใจผ่อนคลาย แต่เมื่อไหร่ที่ดันเข้าไปเขาก็จะใช้ส้นเท้าช่วยผลักสะโพกของผมให้จมมิดกว่าเดิม ท่าทางไม่พอกับแค่จังหวะนี้  เด็กทะลึ่ง


              "อื้อ!!" ผมหยิบหมอนอีกใบสอดใต้สะโพกของเขา เมื่อสะโพกกลมยังลอยขึ้นจนจงอินทิ้งตัวกลับไปนอนตามเดิม ส่วนนั้นของผมก็แทรกลึกเข้าไปในตัวเขาสุดทาง กดจนจมลึกดุนดันผนังด้านในจนเขาผวาแล้วหลับตาแน่น ผมละมือมายึดสะโพกคนตัวเล็กเพื่อดึงร่างแบบบางให้ร่นตามลงมา เมื่อเห็นว่าแรงดันทำให้หัวทุยเกือบกระแทกกับหัวเตียง สองขารัดแน่นพอๆ กับของทางที่ถูกล่วงล้ำ แล้วจากนั้นผมก็ไม่ปล่อยให้ทุกอย่างเชื่องช้าอีกเลย


              "จงอิน อ่า...เจ็บรึเปล่า?" เสียงเตียงดังราวกับจะพัง สองมือของผมบีบหัวเตียงแน่นจนนิ้วมือขึ้นสีซีดไร้เลือดหล่อเลี้ยง ใช้มันหน่วงน้ำหนักตัวเพื่อโน้มแรงลงกับบั้นท้ายนุ่มนิ่มจนเกิดเสียงเนื้อโดนกระแทกลั่นห้อง อย่าว่าผมหยาบโลนเลยนะครับ ผมเคยทนได้จนตอนนี้ทนไม่ไหวเพราะเขานั่นแหล่ะ


              "เจ็บสิถามมาได้...ใหญ่เกินไปแล้ว อ๊ะ" ทุบมาที่อกหนึ่งทีเมื่อผมแกล้งกระชากออกมาทั้งหมด แล้วกระแทกเข้าจ่อก่อนจะดันจนสุดทันทีโดยไม่รอจังหวะเหมาะ ก็เล่นพูดจาน่าตีแบบนั้น ใจผมก็เลยกระตุกน่ะสิครับ "ตัวใหญ่ เบาๆ หน่อย ผม...." คำว่าจุกถูกดูดกลืนไปกับจูบกระทันหัน ผมคว้าต้นคอเขาขึ้นมาด้วยมือเดียวโดยไม่หยุดช่วงล่างแม้เสี่ยววินาที แรงขย่มจากร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามทำให้แยกไม่ออกแล้วระหว่างเสียงเสียดสีของเตียง กับเสียงตุ่บตับตอนที่ต้นขาของผมกระแทกก้นของเขา และตอนนี้ก็มีเสียงริมฝีปากดูดดึงกันไปมาอีก ช่วงล่างของผมปวดหนึบสุดทน ร่างกายที่ผมกำลังกลืนกินช่างยั่วยวนจนอยากปลดปล่อยมันเสียเดี๋ยวนี้ แต่ยังก่อน


              "ไม่...อย่าลึกกว่านี้" ไม่ทันแล้วครับ ผมฝืนความตั้งใจของตัวเองในคราวแรกมาหมดแล้ว ดังนั้นระหว่างนี้หรือหลังจากนี้ก็ขอไม่ฟังคำทัดทานของตัวเล็กอีก ตอนแรกก็เอาแต่ร่ำๆ ขอให้ทำ มาตอนนี้ยังจะงอแงบอกให้ทำเบาๆ มันทำได้ง่ายๆ เสียที่ไหนหล่ะ พอได้ลงมือรักจงอินไปแล้วผมก็อยากจะรักไปจนจบ คิดได้อย่างนั้นก็อุ้มคนตัวเล็กขึ้นมาบนตักด้วยมือเดียว ในท่านั่งนั้นทำให้ทุกส่วนเชื่อมต่อกันสนิทแทบไม่มีช่องว่างให้อากาศแทรกผ่าน  


              "ขอโทษ..แต่ไม่ไหวแล้วจริงๆ" เขาร้องหนักเพราะความเจ็บ ผวาหาที่ยึดเกาะ ทำให้ผมต้องเร่งปลอบประโลม ผมเผ้ายุ่งเหยิงคลอเคลียกับกระจุกขนตาเปียกน้ำ คุณครับ นี่ผมรังแกเขามากเกินไปหรือเปล่า


              "จูบอีกนะ" ผมขอ เขาพยักหน้าแล้วเราก็เริ่มจูบกันอีก มือหนึ่งก็ยังประคองหัวทุยๆ ของเขา อีกมือผมเลื่อนลงไปแตะสะโพกเขาบ้าง ลูบหลังบ้าง เราค้างอยู่ท่านั้นไม่ถึงนาที จงอินก็เป็นคนเริ่มขยับสะโพกเอง


              "อ่า...ตัวเล็ก" แย่แล้ว ผมอาจจะไปก่อนเขา.... แต่เหมือนคนตัวเล็กไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เขาอยากไปพร้อมกันถึงได้ละมือที่เกาะไหล่ผมข้างหนึ่งลงไปช่วยตัวเองแล้วละจูบจากผม หลับตาแล้วเงยหน้าขึ้นหาเพดาน เขาร้องอย่างอึดอัดในลำคอแต่ใครจะสนใจล่ะครับ ผมสวนสะโพกเข้าหารับกับจังหวะกดทับลงมา เลิกเสื้อยืดสีขาวขึ้นลากลิ้นไปทั่วแผงอกละเอียดสีคล้ำ แรงสปริงจากเตียงทำงานได้ดีเกินคาด กำแพงห้องโยกไหวรับส่งแรงขย่มมหาศาลจากร่างข้างบน ไม่มีใครหยุดไม่ว่าจะเขาหรือผม ต่อให้ผีห่าซาตานมายืนตรงหน้า บังคับให้ผมหยุดเสพสมตัวเขาผมก็สาบานได้ว่าให้ตายก็ไม่หยุด


              "อึ๊...ตัวใหญ่...!!!" จงอินปลดปล่อยเฉียดปลายคางผมไปนิดหน่อย เขารีบเอามือตะครุบปลายยอดไม่ให้น้ำขุ่นข้นกระเด็นไปมากกว่านี้ แต่ก็มีบางส่วนเลอะอยู่ที่หน้าอกผม บางส่วนเลอะที่หน้าของเขา โหนกแก้ม เหนือคิ้ว ผมหยุดเพื่อปาดมันออกจากตรงนั้นแล้วโอบเขาให้ซบลงตรงไหล่ แบ่งเบาความทรมานปนสุขสมจากการปลดปล่อย ทั้งร่างของตัวเล็กสั่นและกระตุกเกร็งอีกหลายครั้งจนกระทั่งสงบลง เขายืดตัวขึ้นมามองหน้าผมด้วยสายตาที่ผมเดาความหมายไม่ออก ก่อนจะหลับตาแล้วเอาหน้าผากชนหน้าผากของผมไว้ สอดมือเข้ากับเส้นผมตรงท้ายทอยของผม หายใจถี่ ผมรอจนอาการนั้นหยุด เดาท่าทีต่างๆ ของคนตัวเล็กไม่ออก ขณะเดียวกันผมก็ยังค้างเติ่งอยู่ในตัวเขา ผมจูบหน้าผากเอาใจเขาหนึ่งทีเพื่อร้องขอและเหมือนเขาจะเข้าใจความใหญ่โตที่ขยายจนสุดในตัวเขา "ทำต่อเถอะ ผมโอเคแล้ว"

     



              ใครสั่งใครสอนให้พูดแต่เรื่องทำร้ายตัวเอง... มีใครเคยบอกหรือเปล่าว่าผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ความอดทนต่ำ แล้วไม่มีใครบอกเลยหรือ ว่าถ้าหลังจากฝ่าฝืนสองประเด็นข้างต้นนั่นไปแล้วก็ควรหยุด ทำตัวนิ่งๆ อย่าริอาจก้มลงมาดูดกลืนน้ำขาวขุ่นที่ตัวเองทำเลอะไว้บนหน้าอกคนอื่น!! อย่าทดลอง อย่าท้าทาย โดยเฉพาะกับผู้ชายอย่าง อิม คยองฮุน ที่ไม่เคยต้านทาน คิม จงอินได้!!!!!

     

     



              ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ตาม วินาทีนี้ ผมมีความสุขที่สุดแล้ว

              .

              .

              .

              .

              .

              .

              ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ...

    ลืมตามองเพดานห้องเพื่อปรับสายตาให้รับกับแสงแดดช่วงสาย ผ้าม่านด้านข้างแหวกเล็กน้อย  จงอินยังมองเห็นปราสาทโอซาก้าตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล วันนี้ข้างนอกหน้าต่างดูอากาศดี ปลอดโปร่ง เหมาะแก่การออกไปเดินเที่ยวเล่นต่างแดนในวันฟรีเดย์แบบนี้ แต่ผมหมดแรงเกินกว่าจะลุกขึ้นนั่ง หรือแม้แต่ยกแขนไปหยิบขวดน้ำแร่ที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง ลำคอแห้งผากจนไม่สามารถกลืนได้กระทั่งน้ำลาย ก้อนแข็งๆ จุกอยู่ตรงลำคอเรี่ยวแรงสูญหายราวกับโดนดูดไปกับเตียง ยกมือกุมขมับ....อ่า หัวก็ปวดด้วยสินะ แยกไม่ออกแล้วว่าระหว่างสะโพกกับหัวแข็งๆ นี่อะไรปวดมากกว่ากัน เมื่อตั้งสติได้พอสมควรสมองน้อยๆ ก็นึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน คิม จงอิน ทำอะไรผิดคิดอะไรพลาดไปหรือเปล่า ผู้ชายคนเมื่อคืนใช่คนเดียวกับที่ทั้งใจดีและสุภาพกับเขามาตลอดครึ่งปีแน่หรือ ผมไม่คุ้นชินกับการแสดงออกเยี่ยงสัตว์ป่าหิวกระหายนั่นสักเท่าไหร่ ไม่ใช่ไม่เคยกับคนอื่นเสียทีเดียว...แต่เพราะว่าคนกระทำคือคนที่ผมไม่คิดว่าเขาจะเป็นแบบนั้นได้


    อิม คยองฮุน เป็นคนชนิดไหนกันแน่ เหตุการณ์เมื่อคืนทำเอาจงอินไม่มั่นใจ แม้จะไม่ได้ครองสติสมบูรณ์ แต่เมื่อคืนคิมจงอินก็จดจำทุกอย่างได้ดี ทั้งคำพูดทั้งเรี่ยวแรงที่กดทับช่วงชิงกำลังอย่างเอาแต่ใจ และถึงแม้จะไม่ได้ขัดขืนซ้ำยังเรียกร้องและคล้อยตาม แต่ความสับสน ณ ตอนนี้ก็ยังคงก่อตัวมากมาย  อีกฝ่ายไม่ยั้งมือ ไม่ออมแรง ซ้ำยังชำนาญไปเสียทุกอย่าง...มันเป็นเรื่องถูกต้องแล้วสำหรับคนที่คิดว่านี่คือครั้งแรกของผมจึงต้องทำให้ชินก่อนจะรองรับสิ่งที่กำลังจะตามมา แต่ที่ติดใจอยู่ตอนนี้คือ ทำไมคนอย่างตัวใหญ่...พี่คยองฮุนถึงรู้เรื่องพวกนี้ดีนัก ดีจนน่าผิดหวังเสียจริงว่าก่อนหน้านี้เคยทำแบบนี้กับใครมาแล้วกี่ครั้ง แล้วทำไมผมต้องมากังขากับเรื่องความอ่อนโยนนั่นด้วย???.....


    ต้องกังขาสิจงอิน นายอาจจะไม่แปลกใจเพราะมันไม่น่าแปลกใจสำหรับการเอาใจใส่และกลัวว่าจงอินคนนี้จะเจ็บ มันเป็นหน้าที่ที่ อิม คยองฮุนต้องรู้และใส่ใจ แต่กับสถานการณ์แบบนี้การเอาใจใส่ในเรื่องแบบนั้น...กลับทำให้ภาพพจน์คนดี อบอุ่น ของผู้ชายคนนั้นเปลี่ยนไป แต่ก็คิดไม่ออกอีกเหมือนกัน ว่าถ้าอีกฝ่ายดึงดันจะลงมือกับผมแบบคนไม่เป็น สภาพของผมตอนนี้จะแย่กว่าที่เป็นอยู่ขนาดไหน


    ให้น้ำแข็งละลายหมดโลกเถอะ นี่มันเรื่องบ้าบอชัดๆ!!



     

    มีเสียงเปิดประตูเข้ามาตอนที่ผมกำลังเพ้อเจ้อ แกล้งหลับตาทันทีเพราะคิดว่าคนที่จะเข้ามาตอนนี้คงหนีไม่พ้นคนที่มีประเด็นกับผมอยู่เป็นแน่ แรงยวบที่บอกถึงน้ำหนักที่เบากว่าที่คาดไว้เกือบทำให้ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่ก็ห้ามตัวเองไว้ได้ทัน คนที่คิดว่าผมหลับไปแล้วปัดเส้นผมตรงหน้าผากของผมออกแล้วเอามืออังหน้าผากเบาๆ


    “ยังตัวร้อนอยู่เลย” ตอนนั้นเองผมถึงได้รู้ว่าเป็นชานยอล ชานยอลลุกไปจากเตียงสักพักผมก็ได้ยินเสียงในห้องน้ำ “โอยร้อน” ตามด้วยเสียงสบถทุ้มต่ำในคอแต่ก็ได้ยินชัดเจนในห้องเงียบกริบ เดาว่าคงเปิดวาวก๊อกน้ำร้อนอย่างเดียวเพื่อให้ผ้าขนหนูมีอุณหภูมิสูงขึ้น....เพื่ออะไรเนี่ย ผมไม่อยากแกล้งหลับแล้วเลยลืมตาตอนที่อีกคนออกมานี่แหล่ะ


    “น้ำ...” เนียนไหมครับ ก่อนหน้านี้หิวน้ำมากแต่ไม่มีแรงเอื้อมมือไปหยิบ ตอนนี้มีคนมาอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยแล้ว จะกินจะดื่มอะไรก็ต้องรีบๆ เรียกร้องมันตอนนี้  เสียงแหบๆ คงทำให้ชานยอลได้ยินไม่ชัดเจน อีกฝ่ายเดินฉับๆ เข้ามาหาแล้ววางผ้าขนหนูบิดหมาดไว้ตรงโต๊ข้างเตียง


    “ว่าไงนะ”


    “น้ำ”


    “โอ้ น้ำ น้ำ” ตัวสูงสะดุ้งเมื่อจับใจความได้ ชานยอลหันซ้ายหันขวารนรานเมื่อหาน้ำไม่เจอทั้งๆ ที่มันก็วางอยู่ข้างผ้านั่นเอง ลำบากผมเหลือกตาดำขึ้นไปข้างบนอีกคนถึงได้หันไปเจอในที่สุด ตลกซะไม่มี ผมลุกไม่ได้หรอกครับ ถ้าลุกได้คงหยิบน้ำมาดื่มเองได้ เพราะฉะนั้นก็ช่วยไม่ได้อีกที่ชานยอลต้องมาช้อนตัวประคองช้อนหลัง ให้ผมพิงหัวไปกับอกแข็งๆ ตอนนั้นเองถึงเพิ่งรู้ว่าผ้านวมผืนหนาห่มขึ้นสูงถึงฐานคอ ผมครางเบาๆ เป็นสัญญาณบอกว่าดื่มน้ำจนพอใจแล้ว ชานยอลวางมันกลับที่เดิมรวมถึงเจ้าตัวที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเช่นกัน ผมครางฮือในลำคออีกครั้งให้อีกคนรู้ตัว ผมโดนประคองให้นอนลง และด้วยความร้อนจากการโดนห่มผ้านวมในห้องที่เปิดฮีตเตอร์ เหงื่อการแตกจนผมไม่คิดจะดึงชายผ้านวมที่ล่วงไปถึงช่วงท้องขึ้นมาห่มมิดคออีก


    “ไม่สบายหนักเลยรู้ตัวรึเปล่า” ชานยอลกลับไปนั่งข้างๆ ผมเหมือนเดิมแล้วก่อนจะเริ่มดุผมเหมือนพ่อคนที่สอง ผมพยักหน้ารับ ถามมาได้ เดี้ยงจะตายห่_ขนาดนี้ไม่รู้ก็โง่เต็มทน “เมเนฯฮยองจำเป็นต้องให้นายอยู่ต่ออีกหนึ่งคืน ท่านประธานอนุญาตเพราะช่วยไม่ได้จริงๆ ส่วนงานถ่ายนิตยสารของนายก็ต้องเลื่อนไปก่อนจนกว่าจะหายดี” บ้าแท้ๆ นี่ผมกำลังสร้างเรื่องเดือดร้อนให้คนอื่น ชานยอลมองผมอยู่ตลอด นั่นอาจจะเป็นเหตุผลให้เขาจับความรู้สึกผิดของผมได้  ถึงได้ยิ้มแล้วเอื้อมมือมายี่หัวแบบนั้น “ไม่เอาน่า ไม่มีใครว่าอะไรเลยนะ พักผ่อนให้เต็มที่เถอะพรุ่งนี้เย็นก็ได้กลับแล้ว”


    ผมรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเราเปลี่ยนไป ผมรู้สึกได้และไม่ได้คิดไปเอง ชานยอลไม่ยอมมองหน้ากันให้เต็มตา แล้วตอนนี้อีกฝ่ายก็เอาแต่นั่งหันข้างให้ผม มันอึดอัดยังไงบอกไม่ถูก เราไม่เคยนั่งเงียบโดยที่ชานยอลเองก็ไม่คิดจะหาเรื่องสนุกมาคุยกับผม


    “ชานยอล..” เสียงผมยังคงแหบ แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้ดื่มน้ำ


    “......”


    “เมื่อคืนกลับดึกมากเลยเหรอ?” ผมถามเพราะเห็นสีหน้าของเขาไม่สดใส อาจจะเพราะนอนน้อย เขาพนักหน้าแล้วหันมายิ้มให้ ก่อนจะบอกว่ามาถึงตอนเกือบๆ ตีสาม “แล้วไม่ได้กลับมานอนที่ห้องเหรอ?” ผมถามอะไรแปลกๆ ในความรู้สึก ยิ่งเห็นชานยอลมองผมด้วยสายตานิ่งเรียบก็ยิ่งรู้สึกแปลก ผมไม่รู้ว่าถ้าชานยอลตอบว่าไม่ได้กลับมาที่ห้อง เหตุผลที่อีกฝ่ายไม่กลับมาคืออะไร ไม่อยากกลับ หรือกลับไม่ได้...หรือถ้าชานยอลตอบว่ากลับมานอนแต่ผมหลับไปแล้ว นั่นหมายความว่าใครอีกคนทิ้งผมออกไปทันทีใช่ไหม?


    มันคือความรู้สึกผิด....เพราะสายตาชานยอลตอบคำถามของผมชัดเจนในตอนนั้น


    เสื้อยืดสีเทาคอวีตัวใหญ่ ใหญ่เกินกว่าไซส์ของผม มันไม่มีทางเป็นเสื้อของผมแน่นอนแม้แต่ชานยอลยังรู้ดี ผมไม่ชอบใส่เสื้อคอวี ยิ่งถ้าขนาดใหญ่กว่าตัวของผมขนาดนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ มันใหญ่จนคอเสื้อตกไปที่ไหล่ข้างหนึ่ง มันใหญ่และใส่สบายเสียจนผมไม่รู้สึกถึงความผิดแปลก แต่ชานยอลรู้ดี รอยแปลกๆ จางๆ บนตัวของผมไม่ใช่ของเขา


    “กลับสิ...แต่เรียกตั้งนานนายไม่ลุกไปเปิดให้ กดกริ่งก็แล้ว เคาะประตูก็แล้ว ไร้วีแววคนป่วย” จัดคอเสื้อให้ แล้วก็ยีหัวจนยุ่งเหมือนที่ชอบทำ “เลยตัดสินใจไปนอนห้องเลย์ฮยอง” เราไม่ได้เป็นอะไรกันนอกจากพี่น้องร่วมวง เราไม่เคยผูกมัดกันด้วยคำใดแม้จะเคยมีความสัมพันธ์ทางกายหลายครั้ง เราไม่เคยรู้สึกต่อกันมากไปกว่าคนที่พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ปรึกษาปัญหาให้กันได้ทุกครั้ง เราไม่เคยนึกถึงสถานะที่มากไปกว่าที่เป็นอยู่


    หรือจริงๆ แล้วมีแค่ผมที่ไม่รู้สึก จริงๆ แล้วอีกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้รู้สึกมาตลอด


    “ผม.....”


    “......”


    ชานยอลนิ่งไปนานมาก นานจนผมเผลอกลั้นหายใจจนรู้สึกปวดหนึบที่อกหลายครั้ง ผมไม่ได้รู้สึกอยากร้องไห้ แต่ผมไม่มีความสุขเลยที่เห็นชานยอลเป็นแบบนี้ ผู้ชายคนนั้นเอาแต่หันหน้าไปอีกทาง นิ่ง เงียบจนใจหาย ผมเองก็เช่นกัน ผมใจหาย... “เดี๋ยวตามแม่บ้านมาเช็ดตัวให้ รีบๆ หาย แล้วเจอกันที่หอนะ”

     



    ชานยอลออกไปได้ไม่นานก็มีแม่บ้านของโรงแรมเข้ามาจริงๆ เธอน่าจะอายุพอๆ กับคุณนายคิมที่บ้าน ดังนั้นผมจึงไม่รู้สึกขัดเขินเมื่อเธอเริ่มเช็ดตัวทุกซองทุกมุมที่ผมยอมให้เช็ดได้ ยอมให้เปลี่ยนเสื้อให้โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดกับร่องรอยบนตัวเหมือนที่เกิดกับชานยอล เมื่อสบายตัวได้ไม่นานเมเนฯฮยองก็พาหมอมาตรวจอาการ ผมโดนฉีดยาไปหนึ่งเข็มและถูกกำชับให้ทานยาชุดใหญ่ ก่อนออกไปพยายาบาลอธิบายวิธีการทานยาให้ครบโดสเป็นภาษาญี่ปุ่นยากๆ ที่ผมไม่เข้าใจเลย ช่วงบ่ายแก่ๆ พี่ซูโฮกับพี่มินซอกและพี่แบคฮยอนก็เข้ามาบอกว่าพวกเขาต้องไปสนามบินแล้ว ผมยังต้องอยู่ต่ออีกหนึ่งคืนกับพี่ซึงฮวาน ร่างกายของผมอ่อนเพลียและต้องการการพักผ่อนจริงจังเลยครับ เพราะพอผมผลอยหลับไปตอนสองทุ่มกว่าๆ ตื่นมาอีกทีก็เกือบเที่ยงวันของวันต่อมา เราได้เวลากลับกันแล้วเพราะผมต้องไปขึ้นเครื่องตอนบ่ายสามโมง แล้วตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าคนที่อยู่ต่อยังมีผู้ชายที่ผมยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าด้วยอีกคน... ผมทำตัวเป็นเด็กอีกแล้ว นั่นเพราะผมยังไม่พร้อมอีกแล้ว คุณรู้ไหมทันทีที่ผมเห็นหน้าตัวใหญ่ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของการ์ดเหมือนปกติ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นแล้วผมเสียความรู้สึก ผมไม่รู้จะพูดยังไงในเมื่อเขาทำเหมือนผมกับเขา เราเหมือนเดิม


    ที่สนามอินชอลค่อนข้างวุ่นวายเพราะการเดินทางกลับของผม และด้วยความดื้อติดตัว ผมไม่ยอมให้ตัวเองมีคนตัวใหญ่อยู่ข้างๆ นานเกินสิบวินาที น่าแปลกที่ศิลปินกำลังเดินหนีการ์ดของตัวเองที่พยายามวิ่มตามแล้วตะโกนเรียกชื่อผม แล้วพอขึ้นรถของบริษัทที่มารอรับตรงประตูทางออกได้ไม่นาน ผมก็ต้องจิกหนังหัวตัวเองแรงๆ เมื่อรู้ว่าตัวเองทำถุงกระดาษหายอีกแล้ว....ทุกอย่างในนั้นหายไปพร้อมกัน เฮ้อ....คิม จงอิน นายเหนื่อยเกินไปแล้วนะ


    คุณจะเบื่อกันหรือเปล่าครับ เพราะผมเอาแต่พล่ามความในใจ อ่านมาถึงตรงนี้จะรู้สึกเบื่อผมไหม? ไม่แปลกหรอกครับ ผมยังเบื่อตัวเองเลย เบื่อตัวเองที่เอาแต่ถอนหายใจ ผมไม่ได้เจอพี่คยองฮุนมาหลายวันแล้ว ชื่อของเขาที่ผมได้ยินครั้งสุดท้ายคือจากปากพี่จงแดตอนเจ้าตัวเอาถุงกระดาษสีน้ำตาลที่ข้างในมีทั้งสายชาร์ตโทรศัพท์และแว่นสายตา มาฝากให้พี่จงแดมาคืนผม  มันก็สามวันมาแล้ว สามวันที่ผมจมอยู่กับความรู้สึกหม่นๆ ผมไม่ชอบความรู้สึกค้างคา และก็ใช่ที่ผมมีส่วนทำให้มันเป็นแบบนั้น แต่ในเมื่อตอนนี้ผมพร้อมแล้ว ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจแล้วโผล่หน้ามาเสียที  มันผิดเวลาไปเยอะเลยนะรู้หรือเปล่า?


    วันนี้เป็นวันแรกหลังจากกลับจากโอซาก้าที่เรามีงานร่วมกัน ผมกำลังเดินออกจากตึกของค่ายพร้อมกับสมาชิกคนอื่นๆ เพื่อไปงานแฟนไซน์ของแบรนด์SPAO เราไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง จึงมีบางส่วนยังไม่เดินตามออกมา ผมเดินก้มหน้ากดโทรศัพท์จนไม่ทันมองว่าการ์ดที่ยืนอยู่บริเวณนั้นไม่มีคนที่ผมอยากเจอ พี่ฮยอนซองเป็นคนที่คอยยืนอยู่ใกล้ๆผม ด้วยท่าทางเหล่านั้นในบรรดาพวกเรารู้กันดีว่าการ์ดคนนี้ทำหน้าที่ดูแลใคร เช่นเดียวกับที่พี่จินแทยังยืนรอชานยอลที่ยังไม่ออกมา ส่วนพี่ซานอีกำลังยืนประกบเซฮุน แล้วทำไมของผมถึงเป็นพี่ฮยอนซองที่เป็นการ์ดของเลย์ฮยอง


    “พี่คยองฮุนล่ะครับ”


    “.....”


    “ไม่มาทำงานหรอครับ?”


    “......” ยังคงนิ่งแม้ว่าผมจะเซ้าซี้แค่ไหน


    “ฮยอนซองฮยอง...”


    “อยู่ห้องซีคิวริตี้กลางครับ กำลังคุยงานอยู่กับหัวหน้า” แม้จะมีท่าทางไม่อยากบอกแต่ก็ยอมบอกไม่ยากนัก ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ


    “แล้วได้บอกไว้หรือเปล่าครับว่าจะตามไปที่งานไหม?”


    “คงไม่ได้ตามไปหรอกครับ” ทำไม??


    “ทำไม??” ผมถามไปตามที่ใจคิด ตอนนั้นถึงได้รู้ว่า พี่คยองฮุนเพิ่งยื่นเรื่องขอถอนตัวของการเป็นดรีมซีคิวริตี้ทีม ของวงเรา ผมวิ่งกลับเข้าตึกเพื่อจะลงไปยังชั้นใต้ดินที่เป็นที่ตั้งของห้องซิคิวริตี้กลาง สวนกับชานยอลที่เพิ่งเดินออกมาจากมุมทางเลี้ยวหน้าลิฟต์แต่ผมไม่มีเวลาจะสนใจคำถามที่ถูกส่งมา มือกดเบอร์โทรศัพท์ที่ตั้งเป็นเบื่อสำคัญไม่กี่เบอร์ เป็นเป็นไม่กี่เบอร์ที่ผมเมมชื่อ ท่านประธานลี


    “ผมไม่ยอม!! ผมไม่ยอมให้เปลี่ยนเด็ดขาด!!!!

    .

    .

    .

    .

    .

    “ผม...ยืนยันว่าขอถอนตัวดีกว่าครับ”

    ชายรูปร่างสูงใหญ่ แต่ทว่า ท่าทีสุภาพนอบน้อมกล่าวอ้ำอึ้ง คยองฮุนไม่ต้องการทำงานนี้ต่อไปอีกแม่ทีมจำเป็นจะต้องมีเขา แต่ตอนนี้อะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว โดยเฉพาะความรู้สึกที่นับวันยิ่งชัดเจนและน่ากลัว ความผิดที่เขาก่อขึ้นร้ายแรงเกินกว่าจะไปพบหน้า ผิดมหันต์จนไม่สามารถมองหน้าเขาได้เต็มตาแม้จะมองอยู่ในที่ไกลๆ ไม่กล้ายืนเคียงข้างเขาได้ในขณะที่ความผิดมันติดอยู่ตามตัวและใจจนไม่มีทางเอาออก ไม่มีใครรู้แต่เขารู้อยู่แก่ใจทั้งหมด


    “เหตุผลล่ะ” หัวหน้าถอนหายใจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกดดัน


    “ผมไม่พร้อมสำหรับงานนี้ครับ”


    “ที่ผ่านมาก็ไม่พร้อมด้วยงั้นหรือ?” ไม่ใช่ เขารู้ดี อิม คยองฮุนเพิ่งไม่พร้อมกับมันเมื่อไม่นานมานี้ และเขาต้องรีบจัดการกับตัวเอง ก็ในเมื่อจัดการกับความรู้สึกไม่ได้ก็จำเป็นจะต้องกำจัดตัวเองออกไป หลายวันมานี้เขาเอาแต่ถามตัวเองว่าควรหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง คำตอบที่ได้คือ เขาไม่รู้ ดังนั้นวันนี้ ตอนนี้เขาจึงมายืนอยู่ที่นี่


    “ใช่ครับ” ตอบเสียงหนักแน่นกว่าทุกคำพูดก่อนหน้า แต่ใครจะรู้ว่าในใจสั่นไหวอยู่ตลอด


    “แล้วใครจะดูแลเขา” เขา...ในที่นี้ คือคนที่ทำให้คยองฮุนทั้งอยากอยู่และอยากไปพร้อมๆ กัน หัวหน้าเว้นชื่อเขาไว้ในฐานที่เข้าใจ จงใจเว้นระยะและนิ่งเงียบรอคำตอบได้อย่างโหดร้าย บรรยากาศยิ่งกดดันให้คยองฮุนพูดไม่ออก โชคดีที่เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะเสียก่อน ร่างสูงใหญ่ส่งสัญญาณว่าจะออกไปรอด้านนอกแต่ โซ ซึงฮอน ยกมือห้ามราวกับว่าโทรศัพท์สายนั้นไม่ได้สลักสำคัญ


    “ครับ ได้ครับท่าน...ครับท่านผมจะจัดการตามที่ท่านบอก ครับ ครับ” วางสายไปแล้ว หัวหน้าของเขาถอนหายใจหนักอีกหนึ่งครั้ง เดาว่าปลายสายคงเป็นท่านประธานลีแน่ๆ “เขาไม่ต้องการคนอื่นนอกจากนาย...”


    “......”


    ไม่ว่าความรู้สึกที่นายมีต่อเขาจะเป็นอะไร แต่หน้าที่นี้สำคัญกว่า ในเมื่อเขาสั่งให้นายอยู่ก็ต้องอยู่ นายจะไปได้ก็ต่อเมื่อเขายินยอมเท่านั้น นี่คือหน้าที่ของเราเข้าใจไหมคยองฮุน”


    “...ครับ” อิม คยองฮุนรับคำหัวหน้าที่เดินออกจาห้องไป ทิ้งไว้ให้ทั้งห้องเหลือเพียงเขา


    ไม่ได้เลยหรือ...แม้แต่จะพาตัวเองออกไปเพื่อหลีกหนีความรู้สึกเหล่านี้ก็ไม่ได้เลยหรือ? ร่างสูงทิ้งตัวลงกับโซฟาด้านหลัง เครื่องมือสื่อสารขนาดจิ๋วถูกหยิบขึ้นมาเปิดหน้าแกลลอรี่ โฟลเดอร์ภาพที่ถูกตั้งค่าซ่อนแล้วซ่อนอีกหลายชั้น จนกระทั่งเจอโฟลเดอร์สุดท้ายที่มีรูปกว่าหลายพันรูป เขาเลื่อนมันลงมาที่รูปสุดท้าย มันเป็นรูปถ่ายจากโทรศัพท์ของเขา ถ่ายกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งที่มีตัวอักษรสีดำไม่ใหญ่มากเขียนอยู่บนนั้น ลายมือไม่ได้สวยแต่ก็อ่านออกง่ายประมาณห้าบรรทัด ข้อความพวกนี้คยองฮุนเปิดอ่านมันบ่อยครั้ง ยิ้มน้อยบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่อารมณ์ที่มีเด็กตัวเล็กเป็นที่ตั้ง ข้อความที่ทำให้เขาเลือกที่จะดูแลตัวเล็ก แทนที่จะเป็นคนอื่น ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษสลักอยู่ในตัวอักษรเหล่านั้นสักนิด

     



    คยองฮุนเดินทางมาสมทบที่งานแฟนไซน์ ตอนที่เขามาถึง งานก็เริ่มไปได้เกือบครึ่งทางแล้ว คนตัวเล็กที่ไม่ได้เจอหน้าใกล้ๆ มาหลายวันนั่งอยู่ริมสุดของโต๊ะ ข้างๆ กันนั้นเป็นแบคฮยอน เขาพาตัวเองไปยืนตรงนั้น ฮยอนซองที่เห็นอย่างนั้นก็ยิ้มกว้างแล้วหลบไปยืนทางอื่น ตัวจริงเขามาแล้ว กูนี่ตัวสำรองครับ

    จงอินยังคงก้มหน้าแจกลายเซ็นให้กับแฟนคลับ มีบ้างที่เงยหน้าขึ้นมาพูดคุย ท่าทางยิ้มแย้มสดใสดีเหมือนทุกๆ ครั้ง ไม่มีอะไรผิดปกติ ถึงแม้จะไม่หันมามองหน้ากันเลยแต่คยองฮุนรับรู้ได้ว่า คิม จงอินรับรู้ถึงการมาถึงของเขาแล้ว งานจบแล้วในเวลาไม่เกินบ่ายโมงดีด้วยซ้ำ วันนี้เด็กๆ มีงานแค่นี้ คยองฮุนกะว่าจะเข้าไปหาจงอินในห้องซ้อม เพราะตัวเล็กของเขาต้องเข้าไปซ้อมเต้นในวันว่างๆ แบบนี้แน่ๆ จังหวะที่ยืนรอให้เด็กตัวเล็กคนนั้นเดินมาขึ้นรถ จังหวะที่ร่างเล็กๆ เดินเข้ามาใกล้ จังหวะนั้นคยองฮุนเผลอยิ้มออกไป เป็นจังหวะเดียวกันกับที่จงอินเห็นมันแล้วยิ้มกลับมา

     

     


    “วันนี้ไปกินราเม็งกันนะครับ ตอนนี้เลย”

    แล้วเรี่ยวแรงจะปิดประตูรถให้ต้องไปหาจากที่ไหนหล่ะครับแบบนี้...

     

     



    *** คุณสมบัติของซีคิวริตี้ฮยองที่จะใด้มาดูแลจงอิน  ต้องชอบกินราเม็ง ถ้าวันไหนอยากกินราเม็งขึ้นมาจะได้ไปกินเป็นเพื่อนได้ ผมเป็นคนขี้ลืมนะ ถ้าได้คนความจำดีมาช่วยเตือนไม่ให้ลืมของทิ้งไว้ที่สนามบินหรือในโณงแรมจะดีมากเลยครับ อีกข้อ เวลาอยู่สนามบินจะง่วงมาก(เอาจริงๆก็ง่วงทุกที่) เป็นไปได้อย่าไปไหนไกล คอยอยู่ข้างๆไว้ แต่อย่าล็อกแขนหรือพาเดินแบบรุนแรงนะครับ  ต้องค่อยๆประคองเวลาหลับในจะได้ไม่ผวาตื่น ต้องใจดี สุภาพ อ่อนโยน อย่าใจร้ายหรือตะคอกเด็ดขาด คิมจงอินไม่ใช่คนดื้อนะพูดดีๆ ก็รู้เรื่องแล้ว คิม จงอิน ว่าง่าย บอบบาง ตัวเล็กครับ คึคึ (หมี)***

     

     


     



     

     

    END

    ……My Security……

     




     

     

    ((แถมอ่ะ))

              “เขาไม่ต้องการคนอื่นนอกจากนาย ไม่ว่าความรู้สึกที่นายมีต่อเขาจะเป็นอะไร แต่หน้าที่นี้สำคัญกว่า ในเมื่อเขาสั่งให้นายอยู่ก็ต้องอยู่ นายจะไปได้ก็ต่อเมื่อเขายินยอมเท่านั้น นี่คือหน้าที่ของเราเข้าใจไหมคยองฮุน”


                “....ครับ”



              จงอินยิ้มรับกับคำสั้นๆ ที่ได้ยินจากหน้าประตูห้องซิคิวริตี้กลาง ก้มหัวทักทายกับหัวหน้าทีมซิคิวริตี้ที่เขาคุ้นเคยดี ยิ้มรับรอยยิ้มอ่อนที่ส่งมา....

     



              เพราะวันนั้นมีแค่ผม ชานยอล และเซฮุน เขาถึงตะโกนเรียกผมว่า ตัวเล็กอย่างไม่ลังเล และก็เพราะเขา ผมถึงรอดพ้นจากการเกือบตกขอบเวทีหวุดหวิด คนตัวใหญ่คนนั้นใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเข้าถึงตัวผมได้ยังไง อาการง่วงมึนตั้งแต่เช้าราวกับโดนขจัดทิ้งจนสิ้นเมื่อหน้าผมกระแทกเข้ากับอกแข็งผ่านเสื้อโปโลเนื้อนิ่ม กลิ่นน้ำหอมจางๆตรงปกเสื้อหรือเปล่าไม่มั่นใจ ที่แค่แวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นของซีเค-วันเพราะผมเองก็ใช้อยู่เหมือนกัน ทำให้ตั้งสติได้เร็วพอจะเงยหน้ามองสันคางคละไรหนวดเขียวจางๆ คิ้วเข้มขมวดกันมุ่นราวกับว่าผมเป็นน้องชายที่ทำเขาขัดใจ แรงถอนหายใจรดลงบนหน้าให้รู้สึก....นี่ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า แล้วคนคนนี้เป็นใครมาจากไหนทำไมต้องมาทำหงุดหงิดใส่ผมด้วย ถ้าจะตกไปจริงๆ ก็ถือว่าเป็นความผิดของ คิม จงอินคนนี้ครับ ไม่ใช่คนอื่น แล้วนี่จะแรงเยอะไปไหนเนี่ย เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนมากมาย


    จงอิน!!” เสียงพี่ชานยอลมาพร้อมกับเจ้าตัวที่วิ่งมายืนอยู่ข้างหลังผู้ชายที่ช่วยชีวิตผมไว้ ตามมาด้วยเซฮุนที่สีหน้าติดกังวลไม่ต่างกัน เป็นอะไรรึเปล่า?” ผมส่ายหน้าตอบตามนิสัยคนไม่ค่อยพูด


    ก็เกือบแล้วคนตัวใหญ่ชิงตอบให้แกมประชดตามความรู้สึกของผม เพราะเสียงแข็งกระด้างนั่นล่ะมั้ง ผมถึงรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในอ้อมอกผู้ชายตัวใหญ่ๆ ในท่าทางที่ล่อแหลมใช้ได้ ฝ่ามือแข็งอย่างกับคีมเหล็กข้างหนึ่งล็อกต้นแขนผมไว้ส่วนอีกข้างกำลังโอบช้องที่หลัง...น่าแปลกที่มันเบามือจนเกือบไม่รู้สึก


    ชื่อจงอินหรือ?” เขาครางเสียงเบาในลำคอ สีหน้าไม่ได้ต้องการคำตอบ ผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้ารอให้ผมพยักหน้าจึงเปิดเปลือกตาขึ้นมอง เมื่อไม่เห็นมีท่าทีจะพูดอะไรมากกว่านั้นผมจึงยอมพาตัวเองเดินตามแรงโอบไหล่ของชานยอล เรียกตัวเล็กนั่นแหล่ะ เหมาะแล้วแต่เสียงที่เอ่ยตามมาทำให้ผมต้องหันกลับไปมองอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น

     


    หลังจากนั้นผมถึงรู้ว่า เขา เป็นหนึ่งในทีมซีคิวริตี้ทีมใหม่ที่จะมาดูแล เรา  และ เขา เลือกที่จะเป็นการ์ดประจำตัวผม  เขาชื่อ อิม คยองฮุน....


    ตัวใหญ่ของผม

     



     

    End

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


    สกรีมติดแท็ก : #พี่การ์ดของน้องไค

    **เอาไวเจอกันต่อในตอน Ryokan & Onsen นะคะ(เพิ่มมาเฉย- -)**


    พี่คยองฮุน หรือพี่การ์ดของน้อง เป็นการ์ดคนเดียวที่เราฟิน(คนอื่นไม่มุ่งไม่จิ้นจริงๆ)
    เป็นอะไรที่มาแรงแซงทางโค้งมากๆ สำหรับช่วงนี้ ในบรรดาเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ชิปชานไคด้วยกันก็หันมาให้ความสนใจผู้ชายคนนี้กันยกใหญ่ เป็นผลให้ไปเปิดว้าปจนเจอชื่อแซ้พี่เขาจนได้
    เพื่อที่จะเอาชื่อ  อิม คยองฮุน มาใช้ในการแต่งฟิคที่ถูกต้อง
     
    (คนเดียวกันกับที่ปาดผมขึ้น แล้วยืนประกบจงอินตลอดเวลานั่นแหล่ะ)

    ชื่อตัวละครที่เป็นการ์ดคนอื่นๆ ในเรื่องไม่ได้เป็นการ์ดจริงๆ ค่ะ พี่จินแทกับพี่ซานอีเป็นกรรมการSMTM ขออนุญาตเอาชื่อมาใช้นะคะ ส่วนฮยอนซองเพื่อนสนิทในทีมของพี่คยองฮุนเป็นชื่อเพื่อนเราเองค่ะ นางตัวใหญ่เราเลยจับนางมาเป็นการ์ดซะเลย 
    สำหรับมายซีคิวริตี้ ตอนนี้มีสี่เรื่องแล้วนะคะ หลังจากพี่การ์ดคยองฮุนจะมีพี่การ์ดเซฮุนด้วย 
    ส่วนพี่การ์ดชานยอล สามารถไปเจอกันได้ในงาน 1st Meeting ChanKai Shipper Land เราแต่งไว้ในฟิคเฟ่ต์ที่จะมีจำหน่ายในงานนี้ค่ะ

    แล้วเจอกันค่ะ



    อีกหนึ่งเรื่องที่อยากจะประชาสัมพันธ์ คือ ฟิค #ChanKai_Project ที่กำลังจะรวมเล่มกับไรท์เตอร์อีกเจ็ดคน 
    เราแต่งเรื่องที่เจ็ดในโปรเจ็กต์นี้ เรื่อง Again (All i want) ติดตามรายละเอียดได้ที่ @Always_ChanKai 
    ฝากด้วยนะคะ 




    [-]Hyphen












    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×