คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [OS] ll ดื้อเรื้อรัง ll -- CHANKAI *ฟิคชั่ววูบจากมิวคอ*
ll ดื้อเรื้อรัง ll
-- CHANKAI –
[-]Hyphen *ฟิคชั่ววูบชิบหายเลยเห้ย!!*
ชานยอล : ผมมักนิยามอาการของเขาว่า ‘ดื้อ’
ถ้าคนใกล้ตัวคุณเป็นโรคดื้อ คุณจะมีวิธีจัดการอย่างไร? จะขัดใจ หรือจะตามใจเพราะใจอ่อน...?
คำตอบมันยากชิบหายเลยคุณว่าไหม
----------------------------------------------
“ จงอินตื่น......”
“......”
“ตีสามแล้วครับ”
“...!!”
เท่านั้น เปลือกตาสีอ่อนก็ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างใจเย็น ทว่าประกายตากลับแข็งกร้าวราวกับโดนขัดใจ ‘ชิบหายแล้วไง’ ชานยอลคิดในใจ ตอนนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่คยองซูเดินเช็ดผมเข้ามาในห้องหลังจากออกไปอาบน้ำต่อจากเขา เพื่อนตัวเล็กหยุดยืนหน้าประตูมองมาทางเขาที่เอาแต่นั่งมองหัวทุยๆของคนบนเตียงอย่างจนปัญญา
“จงอิน อีกครึ่งชั่วโมงพวกเราจะไปกันแล้ว ลุกได้แล้วหล่ะ” ก้อนปวกเปียกที่เขาใช้เวลาปลุกสิบกว่านาทีก็ลุกขึ้นนั่งอย่างว่าง่าย พอสายตาอยู่ระดับเดียวกันในระยะใกล้ เขาถึงได้รู้ว่าวันนี้
‘ซวยชิบหายแล้วไง’
ตั้งแต่เมื่อตอนตีสามเป็นต้นมา จงอินแทบไม่พูดกับเขาเลย เอาจริงๆก็ไม่พูดกับทุกคนนั่นแหล่ะแต่กับชานยอลจะพิเศษกว่านิดหน่อยคือไม่แม้แต่จะมองหน้า กระทั่งเวลานี้ยังเลือกขึ้นรถอีกคันทันทีที่เขาเรียกให้มาขึ้นคันเดียวกัน
ชานยอลเรียกอาการแบบนี้ว่าดื้อเงียบ
รถตู้มาถึงเอ็มบีซีในเวลาตีสี่ห้านาที ชานยอลรีบบอกสตาร์ฟให้หาผ้าเย็นมาให้ทันทีที่เข้าห้องแต่งตัวเพราะรู้ว่ามันสามารถทำให้จงอินสดชื่นขึ้นได้ถ้าได้เอามาเช็ดหน้าเช็ดตาเสียหน่อย พอได้มาไว้ในมือมันก็ถูกส่งต่อให้คนที่นั่งเอาหัวพิงพนักนิ่งอยู่บนโซฟาข้างๆกัน จงอินปลายตามองก่อนจะเอียงหัวไปอีกทางเพื่อปฏิเสธ
“ซวยแล้วไงมึงงงงง” เสียงหมาแถวนี้แหล่ะ ชานยอลจะไม่สนใจเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของมันด้วยถึงแม้จะแทงใจดำลงมาเต็มๆก็ตาม เขาส่งนิ้วกลางไปให้ทุกครั้งที่แบคฮยอนกวนตีนแบบนี้ก่อนจะตัดสินใจแกะซองผ้าเย็นกำลังจะใจกล้าหน้าด้านเช็ดให้แบบทุกที แต่นั่นไม่ได้ทำให้มันสลด หนำซ้ำมันยังท้าทายอำนาจเขาด้วยการกระทำที่ไม่สมควรเลย มึงไม่ควรตอกย้ำกู
“จงอิน ผ้าเย็นไหม”
“...ขอบคุณครับ” น้องมองแล้วรับมาถือไว้ก่อนจะแกะซองเอาผ้าเย็นๆข้างในออกมาเช็ดหน้าเช็กคอ ส่วนแบคฮยอนมันยักคิ้วมาให้แล้วก็เดินไปกดน้ำดื่ม
สัส...
หลายๆครั้งอาการดื้อของจงอินอัพสถานะขึ้นเป็น งอแง และมันไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อหัวใจชานยอลเท่าไหร่ เพราะเด็กดื้อ พองอแงแล้วก็จะอ้อนไปด้วย ...ไม่ว่ากับใครก็ตาม
“ผมอยากเข้าห้องน้ำ“ ครั้งที่หนึ่งมันเกิดขึ้นเบาๆขณะที่พวกเรากำลังเช็คมอนิเตอร์หลังถ่ายเอ็กโซดัสได้สองเทค เสียงนั้นบอกกับใคร ชานยอลไม่รู้ แต่ตอนเขาหันไปทั้งๆที่โคดี้นูนายังเติมแป้งบริเวณหน้าผากให้ จงอินก็พูดขึ้นมาเบาๆแต่ดังกว่าคราวแรกว่า
“ผมอยากกินข้าว” ปากนั้นทั้งยื่น ทั้งง้ำงอ ตอนนั้นขาของเขาเตรียมเดินไปบอกทีมงานให้เตรียมของกินให้อย่างเป็นอัตโนมัติ ขนมปังก็ยังดี เพราะกว่าเราจะถ่ายเสร็จก็คงกินเวลาไปอีกหลายชั่วโมง
“หันมานี่ก่อน” พี่โคดี้สั่งเขาด้วยเสียงค่อนข้างหงุดหงิด เขาจึงจำเป็นต้องละสายตาออกมาอย่างช่วยไม่ได้แล้วพับโปรเจคเอ็นดูเด็กลงไปก่อน
“ไม่มีอะไรให้กินรองท้องเลยหรอครับ?” เขาถาม
“หิวเหมือนกันเหรอ?” พี่โคดี้เลิกคิ้วถาม
“......” ใครว่า
“รีบถ่ายให้เสร็จในเทคหน้าคอลมีเบบี้ก็ให้เทคเดียวผ่าน แค่นี้ก็ได้ออกไปกินข้าวข้างนอกอร่อยๆแล้วไม่ใช่รึไง” ก็จริง เขาพยักหน้ารับคำขณะคิดตาม
“ผมอยากกลับบ้านนนน....” ชานยอลห้ามไม่ได้ที่จะหันไปมองอีกครั้งถึงแม้จะโดนดุจากพี่โคดี้ก็ตาม แต่เพราะเสียงนั้นอ้อนเกินไป และมันถูกใช้พูดกับไดเรคเตอร์ผู้ชายตัวสูงใหญ่ของรายการที่จงอินกำลังเดินไปหา “ผมกลับบ้านได้ไหมครับ” ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปราวกับว่าที่ถามนั่นไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่แค่อยากบอกให้รู้ความรู้สึกนึกคิด ณ ตอนนี้
ใครบอกให้ทำตัวแบบนั้น ไอ้วิธีที่ใช้อยู่มันสามารถทำให้หัวใจผู้ชายอย่างเขาอ่อนยวบได้ง่ายดาย ไม่เว้นแม้แต่ไดเรคเตอร์ฮยองคนนั้น ไอ้สายตาเอ็นดูและยิ้มอ่อนโยนที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากจงอินเดินออกไปนั่น...
หาซื้ออะไรกลับไปกินที่ห้องดีกว่า
เสียงสตาร์ฟบอกใหพวกเราไปเปลี่ยนชุดเพื่อใช้ถ่ายคอลมีเบบ้วันนี้ เสื้อยืดสกรีนเป็นตัวอักษรที่พอเอามาเรียงต่อกันจะได้เป็นคำว่า คอลมีเบบี้ แขวนไม้แขวนเสื้อห้อยไว้กับราวเหล็กเก้าตัว ชานยอลรีบคว้าเสื้อสกรีนตัวซีไว้ที่ตัวก่อนที่คนอื่นจะมาแย่งไป แล้วหยิบแบบไม่ใส่ใจตัวอักษรมาอีกหนึ่ง ความคิดเด็กๆเลยครับ คุณไม่เคยเป็นกันเหรอ? ไอ้ความรู้สึกอยากให้แฟนใส่ของที่เป็นไอเท่มสื่อถึงตัวเราอ่ะ
ถ้าไม่เคยนี่เชยชิบหายเลยนะ
“......” จงอินยังคงนิ่งเงียบแม้แต่ตอนที่เห็นเสื้อยืดสีดำตัวซียื่นมาตรงหน้า
“ใส่ตัวนี้นะ” จงอินมองมันสลับกับหน้าเขาอย่างละครั้งถ้วนแล้วมองผ่านไหล่เขาไปเพื่อดูว่ามีเสื้อตัวไหนเหลือบ้าง ที่ไม่ใช่อีตัวซีตัวนี้ แต่น่าเสียที่มันไม่เหลือเลยสักตัว ชานยอลยิ้มเพราะจงอินกำลังทำหน้าเสียไม่ได้ที่ต้องรับเสื้อจากเขา เวลาดื้อต้องดื้อให้สุดพี่เข้าใจครับ แล้วแต่น้องเลย
ชานยอลยื่นให้อีกครั้งแล้วบอกให้รับไปใส่เพราะกำลังจะได้เวลาถ่ายแล้ว จงอินมองมันสลับกับหน้าเขาอีกครั้ง คราวนี้หยุดที่เขานานกว่าตอนแรก แล้วจงอินก็หยิบเสื้อจากเขาไปถือไว้
เสื้ออีกตัวที่เขาพาดไว้บนไหล่....อิเสื้อตัวเอ็ม อิมารหัวขน
“555555555555555555555555555555 อุ้ย! น่าสงสาร......” หมาตัวเดิมเลยครับ แบคฮยอนเดินไม่ใส่เสื้อผ่านมาตรงนี้พอดี ทำไมต้องเป็นมันที่มักจะมาเห็นเหตุการณ์ช็อคโลกของเขาทุกที
“......”
“ หูยยยยย มานี่มา ใครไม่ใส่เสื้อตัวซีของพี่ชานคะ? เดี๋ยวหนู่ใส่ให้ค่ะพี่ นี่แหน่ะ พอดีเป้ะอย่างกับเกิดมาคู่กัน พี่ชานก็เอาของหนูไปใส่นะคะ ตัวบีมุ้งมิ้งงงง 555555555555555555555555555 “ ไม่พูดเปล่า มันทำทุกอย่างที่มันพูดไว้ในประโยค ใส่เสื้อที่เขาตั้งใจเอามาให้จงอินต่อหน้าแล้วเดินหัวเราะจากไป ทิ้งไว้แต่เสื้อตัวบี แบคฮยอน ของมันพาดไว้บนแขน เบื้องหน้ายังคงเป็นเด็กดื้อที่ตอนนี้เปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดสีดำสกรีนลายตัวเอ็มเรียบร้อยแล้ว
สัสแบค...ขนาดตอนเปลี่ยนเสื้อกูยังไม่ได้ดู เพราะมารอย่างมึงแท้ๆ!!
มันเป็นอาการของเด็กที่ดื้อแถมยังรั้นอีกด้วย
ชานยอลไม่ซีเรียสเท่าไหร่หรอกเวลาจงอินดื้อแล้วไม่หือไม่อือใส่ ไอ้อาการตัดพ้อทางสายตา ปฏิเสธทุกสิ่งจากเขาแล้วเลือกที่จะยิ้มหรือพูดคุยกับคนอื่นแทนที่จะเป็นเขา ชานยอลชินแล้ว แต่ถ้าดื้อแล้วแถมยังรั้นอีก คิมชานยอล...ไม่สิ ปาร์คชานยอลคนนี้ก็เหนื่อยหัวใจเหมือนกันนะ เวลารั้น มันคือสกีลของคำว่าดื้อจนงอแงแล้วไปอ้อนคนอื่นผสมกัน รั้นที่จะทำอะไรก็ตามที่ชานยอลเคยบอกนักบอกหนาว่า ‘ไม่ชอบนะครับที่รัก อย่าทำอีก’
แล้วจงอินก็รั้นเขาอีกจนได้
ชานยอลห้ามตัวเองให้ไม่เดินเข้าไปหาไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็ยื่นมือไปดึงแขนเด็กดื้อที่นั่งเล่นจ้องตาอยู่กับเซฮุน อืม...เซฮุนไงครับคุณ เซฮุนคนที่ชานยอลกลัวใจมันชิบหาย ถึงจะเลี้ยงดูมันมากับมือแต่เสือมันก็คือเสือ ไว้ใจไม่ได้ จงอินไม่ยอมเลิกและปฏิเสธแรงดึงของเขา น้องขืนไว้ด้วยแรงที่มากพอสมควรเพราะชานยอลรู้ตัวดีว่าดึงจงอินแรงแค่ไหน กินเวลานานพอสมควรที่เขายื้อยุดฉุดกันอยู่ตรงนั้น เดือดร้อนพี่ซูโฮต้องมาห้ามทับสงครามระหว่างไอด้อลและแฟนบอยในสายตาแฟนคลับที่กำลังกรี๊ดกันอยู่ตอนนี้ ชานยอลได้แต่ยืนนิ่งที่โดนตัดรอน เพราะพอพี่ซูโฮยื่นมือมาให้ จงอินก็จับแล้วลุกตามแรงดึงทันที
เมื่อการถ่ายทำสำเร็จลุล่วงในเทคสุดท้าย พวกเราก้มหัวและกล่าวขอบคุณแฟนๆและเหล่าสตาร์ฟที่ทำงานหนัก เพราะยืนใกล้กันจังหว่ะนั้นชานยอลจึงเห็นจงอินฟุบนั่งลงกับพื้นเวที เขารีบมองหาสตาร์ฟที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อจะบอกว่าจงอินเจ็บแต่ทุกคนดูวุ่นวายกับการเคลียร์ฉาก ชานยอลเอื้อมมือเพื่อจะพยุงคนตรงพื้น แต่จงอินก็หันหนีแทบจะทันทีแล้วเอื้อมมือทั้งสองข้างไปหาเซฮุนที่อยู่อีกฝั่งให้พยุงแทน.....
ไงหล่ะครับ จงอินคนลำเอียงใช่ไหมคือสิ่งที่คุณคิด? ก็ตามนั้น
ห้องแต่งหัวไม่มีใครอยู่เลย ชานยอลเดินเช็ดผมเข้ามาในห้องแต่งตัวหลังจากอาบน้ำชำระร่างกายและเครื่องสำอางออกจนรู้สึกสดชื่นจากห้องอาบน้ำของสถานีเอ็มบีซีแล้ว เขารู้สึกเหนื่อยและเพลียมากสำหรับวันนี้ เขาปวดหัวและรู้สึกเครียดโดยไม่รู้สาเหตุแน่ชัด ร่างกายมันล้าถึงขั้นว่า ตอนซ้อมเขาแทบไม่ใส่แรงลงไปเลยเพื่อจะเก็บแรงไว้ใส่ในรอบถ่ายจริง ร่างสูงโปรงนั่งลงบนพนักพิงโซฟาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะมาเปิดเช็คดูความเคลื่อนไหวในไอจี
เขาตั้งใจว่าจะไปตามง้อจงอินหลังจากนี้ โอเค เขายอมรับแล้วก็ได้ว่าที่เป็นทั้งหมดนี่เพราะเด็กดื้อของเขาคนเดียว ชานยอลต้องใช้พลังในการง้อ หรืออะไรที่คล้ายๆกับตามใจ มากมหาศาลในแต่ละครั้ง และตอนนี้เขาต้องพักเอาแรงสักหน่อยเพื่อจะมีพลังที่ว่านี้ในชั่วถัดไป
คนอื่นๆบางคนยังอาบน้ำอยู่ บางคนกลับไปแล้วเพราะช่วงบ่ายเราไม่มีตาราง และชานยอลคิดว่าจงอินก็คงกลับไปแล้วเหมือนกันเพราะเขาไม่เห็นถุงกระดาษของน้องในห้องนี้ เด็กดื้อของเขาหิวเพราะได้เวลากินข้าวแล้วแต่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้า คิดอย่างนั้นแล้วก็เป็นห่วงขึ้นมาอีกจึงกดโทรศัพท์โทรหาทันที พอเสียงสัญญาณดังปุ๊บ เขาก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าคุ้นหูที่ตั้งไว้เฉพาะเบอร์ของกันและกันดังมาจากข้างหลัง
จงอินยืนมองโทรศัพท์อยู่ตรงประตูห้องแต่งตัวในเสื้อผ้าชุดเดียวกับที่ใส่มาตอนเช้า ที่แขนคล้องถุงกระดาษราวกับว่าพร้อมจะกลับแล้ว แต่ทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้ ร่างเล็กกว่าเดินผ่านหน้าเขาไปหยิบแว่นสายตาที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ห่างไปจากที่เขานั่งสองช่วงแขน จงอินถ้าไม่ใส่คอนแทคเลนก็ต้องพึ่งแว่นสายตาเวลาต้องออกไปไหนคนเดียว ชานยอลคว้าแขนก่อนจะดึงจงอินที่กำลังจะเดินผ่านหน้าไปอีกครั้งเข้ามากอดจากข้างหลัง คนที่ตัวเล็กลงมากเพราะเขาตัวใหญ่ขึ้นขัดขืนอยู่ในที ชานยอนรับรู้ได้ว่าจงอินยังไม่หายจากอาการดื้อ เพราะยังไม่อยากโดนตัวหรืออยู่ใกล้ๆเขา แตเพราะตัวเล็กกว่าและแรงน้อยกว่าในสถานการณ์นี้ ชานยอลจึงยึดอีกคนไว้ได้ไม่ยากนัก
“ยังไม่หายอีกเหรอ” เสียออดอ้อนถูกเอาออกมาใช้เหมือนทุกครั้ง และจงอินก็ใจอ่อนกับมันทุกครั้งเช่นกัน คางคมเกยไหล่มนไว้ก่อนจะหลับตาแล้วถอนหายใจออกอย่างอ่อนแรง ชานยอลไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่อีกคนจะหาย แต่วันนี้ทั้งวันมันเกินไปแล้วสำหรับชานยอล
“......”
“หิวก็ออกไปกินข้าวด้วยกัน นะ” ชานยอลถาม แล้วกระชับมือทั้งสองข้างกุมกับอีกคนไว้ตรงหน้าท้องยุ้ยๆ จงอินมีกลิ่นหอมอ่อนๆของแชมพูและครีมอาบน้ำกลิ่นเดียวกันกับเขา แสดงว่าก่อนหน้านี้ก็อาบน้ำมาแล้วเหมือนกัน
“......”
“หรือไม่ก็กลับห้องก่อน แล้วเดี๋ยวพี่ออกมาหาซื้ออะไรไปกินที่ห้องกัน หรือจะซื้อเข้าไปเลยดี จงอินอยากได้แบบไหน” ชานยอลหอมซอกคอคนที่ยังนิ่งแล้วปล่อยให้เขาพูดคนเดียวเหมือนคนบ้า มือแกร่งสางผมบนหัวทุยๆที่ยังชื้นอยู่นิดหน่อยอย่างนึกเอ็นดู
“ไม่เอาอะไรทั้งนั้นอ่ะ” ประโยคแรกของวันนี้ที่จงอินพูดกับเขา ถึงแม้เสียงจะฟังดูกระด้างแต่ชานยอลยิ้ม เขารู้สึกว่าอีกไม่นานอาการจากโรคดื้อเรื้อรังกำลังจะหาย
“แล้วไม่หิวหรือไง”
“หิว” ชานยอลยิ้มอีก เพราะจงอินก้มหน้างุดตอนพูดว่าหิว
“งั้นออกไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน”
“จะกลับบ้านแล้ว อยากกลับบ้าน”
“......” ชานยอลใช้ความคิด เขาไม่รู้ว่าจงอินต้องการอะไรกันแน่ แต่เขาพร้อมจะทำให้ทุกอย่างอยู่แล้วเลยไม่รู้สึกหงุดหงิดอะไร “งั้นกลับห้องกัน อยากกินอะไรก็คิดไว้พี่จะออกไปซื้อให้”
“......” จงอินส่ายหัวเบาๆ ตอนนั้นชานยอลจับตัวอีกคนให้เอียงมาหาเพื่อมองหน้า
“แล้วจงอินจะเอายังไงครับ หิวแต่อยากกับบ้าน พอจะพากลับก็ไม่เอา” เขาไม่ได้พูดขึ้นเสียงอะไร น้ำเสียงที่พูดไปทั้งโอนอ่อนผ่อนตาม และพร้อมจะตามใจหากจงอินบอกว่าต้องการอะไร จงอินเงยหน้าขึ้นมามามองตาคนพี่ ก่อนจะเอียงคอซบไหล่ชานยอลไว้ ตอนนั้นเองที่โรคดื้อหมดฤทธ์แล้วโดยสิ้นเชิง
ชานยอลยิ้มกว้าง โอบกระชับเอวจงอินให้แน่นขึ้นไปอีก เขารู้สึกของคุณที่คนอื่นๆอาบน้ำนาน ไม่ใช่ว่าเรื่องระหว่างเราห้ามให้คนในวงรู้เพราะทุกคนรู้หมดแล้ว แต่เพราะจงอินไม่ชอบให้แสดงความรักต่อหน้าคนอื่น ถ้ามีใครสักคนเดินเข้ามาในห้องตอนนี้รับรองว่าจงอินต้องลุกออกจากตักเขาให้ไว้ที่สุดเท่าที่จะไวได้แน่ๆ
น้องขี้อาย และเขินง่าย
“วันนี้ไม่ได้จะไปไหนใช่ไหม?” ประโยคแรกหลังจากเว้นไปนานเป็นประโยคคำถามที่เขารู้ว่าจงอินไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องตอบ “พี่สาวพาหลานมาที่บ้าน”
“ครับ” เขารับคำ ตอนนี้เองที่ชานยอลเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดีแต่ยังไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ เขาต้องการให้จงอินพูดมันออกมาเองทั้งหมด
“พามาบ้านใหญ่นะไม่ใช่บ้านเล็กที่ร้าน”
“ครับ”
“ก็ไม่ได้เจอหลานเป็นเดือนแล้ว แล้ววันนี้ก็ว่างด้วย”
“ครับ”
“พี่อ่ะ...” จงอินตีไม่เบานักไปบนมือของเขาที่ว่างอยู่ตรงสะโพก เพราะจับได้แล้วว่าชานยอลกำลังแกล้งให้พูดทั้งๆที่รู้เจตนาทั้งหมดแล้ว
“พี่ก็ว่างให้จงอินตั้งแต่แรกแล้วไง ไม่เห็นต้องถามเลย”
“แต่หลานมาบ้านใหญ่” เสียงขึ้นจมูกเอ่ยเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เพราะมันถูกพูดอยู่เหนือหัวไหล่ของเขาแค่นี้
“ไม่เป็นไรหรอก...” จงอินละหน้าออกมามองคนพูด “นานๆทีไปจามใส่ไอ่สามตันั่นบ้างจะเป็นไรไป แค่นี้เองแลกกับจงอินได้เจอหลาน ไม่แน่นะ เจอขนสามตัวนั้นมากๆพี่อาจจะหายจากภูมิแพ้ไปเลยก็ได้”
“......” จงอินทำปากล่างยื่นออกมาแล้วทำตาปริบๆสองสามครั้งก่อนจะซบลงตรงไหล่ของเขาอีกครั้ง อาการแบบนี้จงอินกำลังขอบคุณในสิ่งที่เขายอมเสียสละให้แบบทุกๆครั้งแต่เจ้าตัวไม่พูด เพราะอายเกินกว่าจะพูดว่าของคุณออกมาจากปาก เลยพยายามสื่อออกมาเป็นการกระทำ ซึ่งชานยอลมองว่ามันน่ารักน่าเอ็นดูน้อยเสียเมื่อไหร่
“หายดื้อแล้วใช่ไหม?” เขาถามขณะที่หอมลงไปบนผมนุ่ม จงอินพยักหน้าสองทีแล้วขยับตัวที่นั่งตะแคงบนตักของเขาให้เข้ามาชิดมากขึ้น มือป้อมทั้งสองข้างที่โผล่พ้นปลายเสื้อแขนยาวออกมาวางแหม่ะอยู่บนหน้าตกบริเวณหัวเข็มขัดที่เขาใส่อยู่ น่ารักน้อยกว่าตอนแรกเสียที่ไหน “งั้นไหนสั่งงานอีกทีสิครับ พี่จะได้รู้ว่าวันนี้จงอินต้องการอะไรบ้าง”
“......” จงอินนิ่งไปในทีแรกเหมือนทุกครั้งที่ต้องคิดคำพูดยาวเหยียด แกะเล็บแก้เขินที่ทำเป็นนิสัย “ก็....ผมทั้งหิวข้าวแต่ก็อยากกลับบ้านไปเล่นกับหลาน ก็เลยอยากให้พี่พาผมไปกินข้าวที่บ้านใหญ่ด้วยกัน แต่ว่า...ที่บ้านใหญ่มีมงกู จังกู จังอา...พี่แพ้ขนหมาผมเลยไม่รู้จะพูดกับพี่ยังไงดี แต่พี่บอกว่าไม่เป็นไรไปได้ แล้ววันนี้เราก็ว่างด้วย....”
“อาห้ะ” ชานยอลยังคงยิ้มฟังสิ่งที่จงอินทวนซ้ำใหม่อีกครั้งอย่างตั้งใจ
“งั้น....วันนี้ก็ไปที่บ้านใหญ่กับผมนะ ไปกินข้าวด้วยกันกับพ่อแม่กับพี่สาวแล้วก็นั่งเล่นกับหลาน”
“รับทราบครับ”
.
.
.
.
ไอ้คำที่บอกพวกเราดูไม่สนิทกันจนใครๆก็พูดว่าจงอินรำคาญชานยอล เอาอะไรแบบนั้นมาจากไหน?
เฮ่อ....
เอาหน่า...ถึงพวกคุณไม่รู้แต่ไม่เป็นไร ผมแค่จะบอกให้รู้ไว้ว่าจงอินก็รักผมนะ บางทีที่เห็นดื้อเกินไป มันก็เป็นนิสัยปกติของเขานั่นแหล่ะ ดื้อจนครั้งหนึ่งแบคฮยอนบอกผมว่า ‘อาการแบบนี้น่าเป็นห่วงนะมึง มึงต้องพาน้องไปหาหมอ น้องมันเป็นโรคดื้อเรื้อรัง ’ โอเค ชื่อนี้เหมาะกับเขามากอย่างไม่น่าเชื่อ ผมก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยแล้วแอบยิ้มอย่างชอบใจในที
ทั้งดื้อ ทั้งงอแง จนบางทีเผลอทำท่าทีที่เจ้าตัวเป็นคนพูดเองว่า’อย่าทำแบบนี้ต่อหน้าแฟนคลับ’ เช่นการเมินผมเป็นพิเศษบนเวทีก่อนหน้านี้ โดยหลงลืมไปว่ามีแฟนๆยืนมองอยู่ข้างล่างเต็มไปหมด และมันคงกระจ่ายออกไปทั่วSNSแล้วในตอนนี้ เวลาจงอินดื้อจะไม่สนใจว่าผลของการกระทำนั้นๆจะไปกระทบกันอะไรและใครบ้าง มันไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอกครับ เพราะไม่ใช่แค่ผม ทุกคนมองว่ามันน่าเอ็นดู แต่นั่นก็เป็นความผิดของผมส่วนหนึ่งรึเปล่าที่ไม่ชอบเวลาเขาไปอ้อนคนอื่น อย่างเช่นเซฮุน หรือแม้แต่เผลอเป็นห่วงมากเกินไปแค่เห็นเด็กดื้อฟุบลงนั่งกับพื้นทันทีที่เต้นจบ
ผมแค่กลัวว่าเขาจะเจ็บ เขาก็คงรู้ถึงจุดนี้ถึงได้แกล้งตัดรอนกันต่อหน้าคนอื่นให้ผมใจเสียเล่น....
โถ่เอ้ย จงอินก็แค่เด็กดื้อของผม เขาก็แค่ชอบดือกับผมคนที่ชอบให้เขาดื้อและเลือกที่จะตามใจเพราะใจอ่อน คำถามที่ผมถามข้างต้นมันตอบง่ายชิบหายต่างหากว่าผมเลือกที่จะตามใจเขา โอ๊ะ ขอโทษครับ จงอินไม่ค่อยชอบให้ผมพูดคำว่าชิบหาย เพราะมันดูจริงใจเกินไปเขาบอกผมแบบนั้น
จงอินน่ารักชิบหาย จงอินแม่งดื้อชิบหาย แต่ผมก็รักเขาชิบหาย เวลาพูดแบบนี้แล้วเขาจะเงียบเพราะเขิน เขินเพราะเขารับรู้ถึงความหมายของมันชัดเจนเกินไป
จริงๆแล้วจงอินก็รักผมชิบหายเหมือนกันแหล่ะครับ ....เอาหน่า ถึงพวกคุณไม่อยากรู้แต่ผมก็จะบอก ว่าที่เห็นทั้งหมดนี่ก็แค่วิธีทำโทษปาร์คชานยอล จากคิมจงอิน เท่านั้นเอง
END (หลอก)
“ จงอินตื่น......”
“......”
“ตีสามแล้วครับ”
“...!!”
เท่านั้น เปลือกตาสีอ่อนก็ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างใจเย็น ทว่าประกายตากลับแข็งกร้าวราวกับโดนขัดใจ ‘ชิบหายแล้วไง’ ชานยอลคิดในใจ ตอนนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่คยองซูเดินเช็ดผมเข้ามาในห้องหลังจากออกไปอาบน้ำต่อจากเขา เพื่อนตัวเล็กหยุดยืนหน้าประตูมองมาทางเขาที่เอาแต่นั่งมองหัวทุยๆของคนบนเตียงอย่างจนปัญญา
“จงอิน อีกครึ่งชั่วโมงพวกเราจะไปกันแล้ว ลุกได้แล้วหล่ะ” ก้อนปวกเปียกที่เขาใช้เวลาปลุกสิบกว่านาทีก็ลุกขึ้นนั่งอย่างว่าง่าย พอสายตาอยู่ระดับเดียวกันในระยะใกล้ เขาถึงได้รู้ว่าวันนี้
‘ซวยชิบหายแล้วไง’
“มึงทำอะไรน้อง?” คยองซูถามเอากับคนที่ยังนั่งทำหน้าสิ้นโลกเหมือนที่ชอบทำบ่อยๆอยู่เตียงของจงอินแม้ว่าเจ้าของเตียงจะลุกไปอาบน้ำทันทีหลังจากที่เขาบอกแกมสั่ง ตาลอยๆของชานยอลมองพื้นปาเก้ซักจุดตรงหน้า ชานยอลไม่ได้ตอบในทันที พอจับคำถามเข้าสมองได้ก็เลื่อนตาลอยๆนั่นมาทางเพื่อนตัวเล็กที่ตอนนี้เดินมานั่งตรงเตียงข้างๆแล้ว
“ห้ะ?”
“กูถามว่ามึงไปทำอะไรน้อง มันถึงได้จ้องอย่างกับจะกินเลือดแบบนั้น?”
“กูป่าว” ชานยอลโกหกแล้วหลบสายตา คยองซูนั่งเช็ดผมแล้วเงียบไปอึดใจ ชานยอลรู้สึกใจชื้นที่เพื่อนไม่ต่อความยาวสาวความยืดอะไรกับเขา
“ ตอนกลางคืนอ่ะ...” มันเว้นระยะพอให้ชานยอลจะสะดุ้งได้อย่างไม่รีบร้อนนัก “เตียงตัวเองก็มี เป็นเหี้ยอะไรต้องมานอนเบียดน้อง มันห้ามมันเตือนอะไรมึงก็ฟังน้องบ้าง” ชานยอลน้ำตาคลอตอนที่หันไปมองหน้าคยองซูคนโหด โดนเทศนาต่อหน้าแบบนี้แล้วก็ยิ่งรู้สึกผิดและปวดใจ กูขอโทษได้ไหมหล่ะเพื่อน นั่นก็เงียบที่สุดแล้วนะ
“......”
“มึงเห็นกูดูง่วงๆมึนๆเหมือนจงอิน แต่กูไม่ได้เป็นพวกหลับลึกนะ จะทำอะไรเกรงใจกูบ้าง ”
“......” ชานยอลได้แต่พยักหน้ารับรู้ความผิด แชร์ห้องอยู่ด้วยกันสามคนนั่นหมายความว่าเขาควรเคารพการมีอยู่และเกรงใจคยองซูด้วย ถึงเจ้าตัวจะเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูด ไม่คิดเล็กคิดน้อยก็ตามที
“ แล้วมึงจำไว้เลย....ว่าคราวหลังอย่าบีบก้นแรงๆปลุกน้องแบบนั้นอีก น้องมันไม่ชอบ เป็นกูกูถีบไปแล้ว”
สัส....
END เถอะ
แต่งฟิคที่ไม่ดราม่าก็ได้นะ(ปรบมือ) แต่ก็จะห่วยๆงงๆแบบนี้อ่ะ (ตอนแต่งดราม่าก็ไม่ใช่ว่าดีนะ5555)
ทนอ่านหน่อยนะมันชั่ววูบมากจริงๆ แซงหน้าแม่งทุกเรื่อง มาเร็วแม้กระทั่งชื่อเรื่องยังตั้งแบบ...
ตลกอ่ะ - -
แต่ก็เอาชื่อนี้แหล่ะ มีเพื่อนพูดขึ้นมาเลยรู้สึกว่ามันคือความจงอินดี ดื้อเรื้อรัง ดื้อชิบหาย
ติดแท็กสกรีม #ฟิคดื้อเรื้อรัง ละกัน - - จะตามไปอ่านน้า
ทุกคอมเม้นท์มีค่าและสำคัญกับคนแต่งเสมอ ขอบคุณและรักมาก
[-]Hyphen
ความคิดเห็น