ลำดับตอนที่ #13
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : [SF]-僕の40歳の恋人(คนรักวัยสี่สิบ) : ChanKai
僕の40歳の恋人
(boku no yonjussai no koibito-คนรักวัยสี่สิบ)
Park Chanyeol x Kim Jongin
[-]Hyphen
** Fiction Buffet for 1st Meeting chankai shipper land (#มีต6188) **
---------------------------------------------------
ไม่ปฏิเสธเลยว่าดูดีมาก
ทั้งการแต่งตัว ทั้งทรงผมที่เซ็ตปาดขึ้นดูมีสไตล์ ทั้งท่าทางการยืนแม้จะเป็นบนรถไฟฟ้าที่กำลังโอนเอนไปมา เขายืนฟังเพลงพิงราวเหล็กอยู่บนรถไฟฟ้า จากจุดนี้ไม่ไกลกับผู้ชายคนนั้นที่ยืนนิ่งได้ในท่าทางสบายๆ อยู่ตรงอะคิลิคข้างประตูทางออก มือหนึ่งถือโทรศัพท์รุ่นล่าสุดที่ทิมเพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานแนบหู อีกมือคาดโรเล็กซ์สีทองวาวมีสูทลำลองสีเดียวกับเชิ้ตพาดอยู่บริเวณข้อพับ ยิ่งตอนที่เอียงคอหนีบโทรศัพท์ไว้กับหัวไหล่เพื่อใช้มือคลายปมเนคไท ดูดีทุกกระเบียดนิ้ว
แม่งเอ้ย ดูดีจนมองข้ามอายุอานามที่น่าจะเข้าเลขสี่ไปแล้วถ้ามองจากความภูมิฐานทั้งหมดที่เห็น ใบหน้ามีริ้วรอยบ้าง แต่ขอยอมรับว่าหล่อมากจนอยากเห็นตอนเป็นหนุ่มช่วงอายุเท่าเขาเลยล่ะ
เด็กหนุ่มพิจารณาความสมบูรณ์แบบนั้นอยู่เป็นนาที เขาชอบคนลักษณะนี้ ไม่ได้ชอบแบบอยากได้แต่มันมาในรูปแบบของ ชื่นชม อะไรทำนองนั้น เชื่อเถอะว่าเขาเองถ้าอายุย่างเข้าวัยกลางคนก็อยากจะดูดีไร้ที่ติได้แบบนี้บ้างเหมือนกัน
“แล้วหนูจะซื้อแบบสำเร็จหรือจะให้พี่แวะซื้อของเข้าไปทำที่ห้องคะ?”
สาบานเลยว่าเขาไม่ได้อยากเสือก แต่จังหวะที่เสียงเพลงในหูเงียบไปเพราะเปลี่ยนแทรค เขาบังเอิญได้ยินบทสนทนาที่ทำให้ต้องทำทีเป็นก้มหน้าเล่นโทรศัพท์(รุ่นก่อนหน้าอีกฝ่ายหนึ่งรุ่น) แล้วดึงอินเอียร์ออกหนึ่งข้างเท่านั้น
“หนูซื้ออะไรมาแล้วบ้าง? นี่พี่กำลังจะถึงออฟฟิศแล้วเดี๋ยวขับรถไปซื้อเพิ่มให้” จากบทสนทนานี้พอจะตอบคำถามในใจเขาได้หนึ่งข้อ ว่าทำไมคนที่ดูมีหน้าที่การงานดี แต่งตัวเหมือนพวกผู้บริหารขนาดนี้ถึงมาขึ้นรถไฟฟ้า ที่แท้ก็พวกทัศนคติดีต่อสังคม นั่งรถไฟฟ้าไปทำธุระไม่ขับรถออกไปให้รกถนนที่บางเส้นเหลือแค่สองเลน
“แค่แป้ง? แล้ว เค้กกับพายที่หนูจะทำมันต้องมีส่วนผสมอะไรบ้าง?”
เด็กหนุ่มนึกตลกตัวเองที่ทำพฤติกรรมขี้เสือกขนาดนี้ แต่คุณก็เคยเป็นใช่ไหม? มันเผลอได้ยินไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ อีกอย่างกว่าจะถึงสถานีที่จะลงก็อีกตั้งนาน เขาคิดว่าการได้ศึกษาวิถีชีวิตของผู้ชายดูดีมากๆ คนหนึ่งใช้ฆ่าเวลาได้ดีทีเดียว
“ข้างออฟฟิศมีซุปเปอร์มาร์เก็ตมันจะมีของที่หนูอยากได้รึเปล่า? เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้หนูเอง พิมพ์ของทั้งหมดที่ต้องใช้เข้ามาให้พี่ในไลน์ได้ไหมคะ?” เสียงนุ่มทุ้มยังคงมีแต่คำถาม สำหรับเด็กหนุ่มแล้วทุกคำถามดูอบอุ่นใส่ใจ ท่าทางคนปลายสายจะเป็นภรรยาที่ค่อนข้างชอบทำอาหารมากทีเดียว ถึงขนาดทำเค้กกินเองที่บ้านนี่ต้องไม่ธรรมดา เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะมองอีกคนอย่างชื่นชมเข้าไปอีก และตอนนี้มันมีความอิจฉาเล็กๆ ผสมอยู่เพราะคำว่า ครอบครัวสมบูรณ์แบบล่ะนะ
“ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวพี่ไปซื้อให้ วันนี้หนูมีทำรายงานกับเพื่อนที่มหา’ลัย จะให้พี่ไปดึงเวลาของหนูจากเพื่อนได้ยังไง ไหนว่าเด็กปีสองงานเยอะ?....ไม่ค่ะ พี่ขอไม่ตามใจหนูเรื่องนี้ได้ไหม?”
ผู้ชายพูด คะ ค่ะ กับแฟนมันก็น่ารักดีหรอก แต่ไอ้เหี้ยนี่ ไอ้มนุษย์เหี้ยตรงหน้าเขานี่มัน....
เขาชื่นชมผู้ชายดูดีทุกกระเบียดนิ้วคนนั้นก็จริง แต่ให้ตายเถอะ เอาเวลาห้านาที(หรืออาจจะมากกว่านั้น)ของเขาคืนมาเดี๋ยวนี้ ทำไมผู้ชายที่มีคุณสมบัติในแบบที่เขาชอบเป็นสิบข้อ ถึงได้มีอีกหนึ่งข้อที่เขาเกลียดสุดๆ !!!
เซฮุนเสียบหูฟังอีกข้างกลับเข้าหู เพิ่มโวลุ่มให้เพลงดังขึ้นอีกขั้นด้วยอารมณ์ไม่ชอบใจ มนุษย์ชุดดำทั้งตัวคนนั้นเดินออกจากโบกี้ไปในสถานีถัดมาทั้งๆ ที่ยังคุยโทรศัพท์ไม่เสร็จ แต่เซฮุนจะช่างแม่งแล้ว เขาคว่ำปากไล่หลังไปให้ด้วยซ้ำ พอประตูปิดสนิทเขาก็เผลอยกฝ่าเท้าถีบลมถีบอากาศไล่หลังไปอีกที เกลียด เกลียดมาก เขาไม่ชอบอะไรแบบนี้ที่สุด
โอ เซฮุน โคตรเกลียดพวกเสี่ยเลี้ยงต้อยเด็กเลยให้ตายเหอะว่ะ ไอ้พวกตันหากลับ บ้าผู้หญิงรุ่นลูก ไปตายให้หนอนแดกไป!!!!!
“หน้าเป็นตูดเลยว่ะ ใครแย่งที่นั่งคุณเซฮุนบนรถไฟฟ้าหรือครับ?” เสียงแบคฮยอนทักก่อนที่ตูดเขาจะได้สัมผัสเก้าอี้ เขาวางกระเป๋าลงโต๊ะดังมากจนเพื่อนๆ พากันร้องโอ้วแล้วเอนตัวหลบให้พ้นรัศมี ใต้ตึกคณะค่อนข้างเงียบ เพราะตอนนี้ปีอื่นกำลังอยู่ในชั่วโมงเรียน แต่พวกเขาไม่มีเรียนในวันศุกร์เลยนัดมาทำรายงานสุดหินของอาจารย์ชเวที่ต้องส่งจันทร์นี้ “อารมณ์รุนแรงแบบนี้ โดนเหยียบเท้ามาอีกแหง ตอนเดินลงบันไดเลื่อนเปลี่ยนขบวนที่สยามใช่ไหมบอกมา?”
“กูอารมณ์ไม่ดีอย่าเอานิ้วมาชี้หน้า” เขาปัดมือมันทิ้ง ทั้งอารมณ์เสียทั้งหมั่นไส้มันที่เอาเหตุการณ์น่าหงุดหงิดแต่โคตรหยุมหยิมที่เขาเคยบ่นให้ฟังมาล้อเลียน
“อะ จ๊ะ จ๊ะ...เลเวลขนาดนี้กูว่าเพราะรถเมล์ที่นั่งต่อมาจากสถานีไม่จอดป้ายหน้ามอ.มันต้องเดินไกล ก็เลยหงุดหงิด จงแดมึงว่าไง”
“กูขอเสนอเรื่องที่น่าหงุดหงิดกว่านั้น กูว่าบัตรแรบบิทของมันเที่ยวหมดมันเลยต้องไปต่อแถวเติมเที่ยว แล้วบังเอิญแถวยาวมาก มีใครให้มากกว่านี้ไหม?”
“กูว่าเมนส์มันมา”
“ไอ่เชี่ยลู่~~~ อันนี้เป็นไปได้ค่ะ”
เซฮุนละมือจากรายงานที่เพิ่งหยิบขึ้นมาทำ คิ้วกระตุกหันไปมองหน้าแบคฮยอน ตอนแรกเขาก็ไม่อยากใส่ใจเสียงนกเสียงกา เหตุผลแต่ละข้อที่พวกมันยกมาก็ว่าน่าหงุดหงิดแล้วแต่ไอ้ท่าทางชี้นิ้วไปที่ลู่หานแล้วทำท่าเห็นด้วยนั่นน่าหงุดหงิดปนหมั่นไส้ยิ่งกว่า และสิ้นสุดความอดทนที่ประโยคเสริมถัดมานั่นแหล่ะ
“มึงจะพูดค่ะทำไม?”
“ทำไมหนูถึงพูด‘ค่ะ’ไม่ได้ล่ะคะพี่เซฮุน?” ยังคงล้อเลียน
“มึงเป็นผู้ชายจะพูดหางเสียงแบบผู้หญิงทำไม เป็นตุ๊ดหรอ?” เขารู้สึกว่าเขาเริ่มจะจริงจังกับเรื่องนี้มากไป แต่ก็ยอมรับเช่นกันว่าทั้งหมดเป็นเพราะเขาหงุดหงิดกับไอ้เหี้ยบนรถไฟฟ้าคนนั้น แบคฮยอนเอามือทาบอกทำทีเป็นรับไม่ได้ที่โดนเขาด่า แต่เชื่อเถอะว่ามันแสดงละคร ไอ้นี่น่าจะไปเรียนนิเทศฯมากกว่าเภสัชฯ
“ก็น่ารักดีนะมึง กูยังอยากพูดกับแฟนกูเลยแต่กลัวมันไม่อิน” จงแดถึงกับเงยหน้าจากรายงานมาแสดงความคิดเห็น
“น่ารักกับผีสิ สมควรไม่อิน” พาล ทั้งที่ตอนแรกที่ได้ยินบนรถไฟฟ้า เขายังรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นดูอบอุ่นเพราะใช้คำพูดแบบนั้นกับแฟน แต่พอรู้ว่าปลายสายเป็นเด็กนักศึกษาปีสอง ซึ่งพอนับนิ้วมือดูแล้วก็น่าจะอายุแค่ยี่สิบปีเท่านั้นเพราะเขาเองก็อยู่ปีสองเหมือนกัน ความรู้สึกพวกนั้นก็อันตธานหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยความไม่ชอบใจทั้งหมด
ช่วยไม่ได้ ไอ้พวกแก่คราวพ่อแต่เคลมเด็กรุ่นลูก เขารังเกียจมากจริงๆ
“แปลกนะมึง ปกติก็ไม่เห็นใส่ใจเรื่องพวกนี้ แบคฮยอนมันก็พูดออกบ่อย”
“ใช่ กูพูดกับมึงบ่อยสุดด้วยรองมาก็จงอิน เนาะ? จงอินคะ” เขาเกือบลืมไปแล้วว่าจงอินนั่งอยู่ด้วยถ้าแบคฮยอนไม่เตือนสติ ความหงุดหงิดบดบังจงอินออกไปจากความนึกคิดเสียได้ทั้งที่นั่งตัวหอมอยู่ข้างๆ เขานี่เอง จงอินที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำรายงานอยู่ตั้งแต่ต้นไม่ได้ใส่ใจรอบข้างราวกับว่าต้องทำรายงานแผ่นนั้นให้เสร็จภายในห้านาทีสิบนาทีนี้ แบคฮยอนโบกมือไปมาตรงหน้าเพราะอีกคนไม่ได้ยินเสียงเรียกและคงไม่ได้ยินอะไรเลยมาตั้งแต่แรก เด็กหนุ่มถอดอินเอียร์ออกแล้วเงยหน้ามามองเหรอหราไปทางแบคฮยอนและคนอื่นๆ ที่มองตัวเองเป็นตาเดียว “ไม่ได้ฟังเลยสินะคะที่รัก”
“ฉันทำรายงานส่วนของตัวเองอยู่ นายว่าไงนะ?” เป็นประโยคแรกที่ได้ยิน และยังเป็นประโยคเดียวกันกับที่ทำให้จงแดรีบหันกลับไปจดจ่ออยู่กับกระดาษของตัวเองบ้าง ก็ยังเหลืออีกตั้งเยอะจากที่เห็น
“พวกเรากำลังเถียงกันว่าอะไรทำให้เซฮุนทำหน้าหงุดหงิด แบคฮยอนคิดว่าเพราะรถเมล์จอดไม่ตรงป้าย จงแดบอกว่าบัตรแรบบิทของเซฮุนหมดจำนวนเที่ยว แต่ฉันคิดว่ามันเป็นเมนส์ แต่เซฮุนพาลไปถึงเรื่องผู้ชายไม่สมควรพูดจาคะขาถ้าไม่ได้เป็นตุ๊ด จงอินคิดเห็นกับเรื่องนี้ยังไง?” ลู่หานสรุปใจความให้เสร็จสรรพสมกับเป็นผู้สรุปหัวข้องานและข่าวสารประจำวันของกลุ่ม เขาเห็นจงอินทำท่าคิด คิดจนหัวคิ้วห่างทิ่มลงเล็กน้อย
“ฉันคิดว่า รถเมล์ไม่ได้จอดเลยป้ายเพราะถึงจะจอดเลยป้ายจริงเซฮุนก็ไม่อารมณ์เสียหรอก เซฮุนไม่ใช่คนชอบนั่งเฉยๆ ขนาดบนรถไฟฟ้ามีที่นั่งว่างยังไม่นั่งเลยเอาแต่ยืนอย่างเดียว ถ้ารถจอดก่อนป้ายหรือเลยป้ายเซฮุนจะไม่หงุดหงิดเพราะแค่ต้องเดินหรอก ส่วนเรื่องเที่ยวรถไฟฟ้าในบัตรหมดก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเมื่อวานเซฮุนเพิ่งซื้อเพิ่มไปสี่สิบเที่ยวพร้อมฉันนี่ ใช่ไหม? แล้วถ้าลู่หานคิดว่าเซฮุนจะเป็นเมนส์ได้ฉันก็อยากเตือนให้ระวังรอบเดือนของพี่มินซอกไว้ด้วยก็ดี” แต่คนนี้สินักวิเคราะห์ แถมยังวิเคราะห์ได้ตรงประเด็นและเห็นภาพ จงแดเผลอหัวเราะ เขาเองก็เช่นกัน แต่แบคฮยอนนี่สิขากรรไกรค้างไปแล้ว
“เหยดดดด...” แบคฮยอนยิ้มแล้วปลายหางตาล้อเลียน
“ให้ตายสิหมอนี่ จี้ได้อีกนะ” ลู่หานส่ายหน้าที่โดนส่วนกลับทึ่งๆ แล้วทำรายงานในส่วนของตัวเองต่อ จงอินเป็นคนเงียบๆ มีอะไรไม่ค่อยพูดหรือบอกเพื่อน แต่ก็ช่างสังเกตและเก็บรายละเอียด ใส่ใจ แต่บางครั้งก็นิ่งและกวนตีนไปพร้อมๆ กัน อย่างเช่นตอนนี้ เป็นประเภทกวนตีนหน้านิ่ง
“แต่ว่า” ขณะที่ทุกคนหันไปใส่ใจกับงานของตัวเองแล้วอยู่ดีๆ จงอินก็พูดทำลายความเงียบทั้งที่มือขวาจดรายงาน มือซ้ายเสียบอินเอียร์กลับเข้าที่หู “เรื่องผู้ชายพูดคะขา ถ้ามีใครมาพูดด้วยฉันก็อินนะ น่ารักดีออก เซฮุนไม่คิดแบบนั้นหรือ?”
ก็ว่า....จะเริ่มคิดใหม่อีกรอบตั้งแต่ตอนนี้แหล่ะ...
“ของฉันเสร็จแล้ว งั้นขอกลับก่อนนะ” บ่ายสาม คิม จงอินเก็บสัมภาระใส่กระเป๋าแล้วส่งกระดาษรายงานในส่วนของตัวเองยื่นให้ลู่หาน
“ทำไมรีบกลับล่ะ?” เซฮุนถาม ตอนนั้นเองที่เพิ่งรู้ว่าถุงหูหิ้วที่วางอยู่บนโต๊ะนั่นเป็นของจงอิน “เดี๋ยวของฉันก็จะเสร็จแล้ว ไปหาอะไรกินที่ซีค่อนฯกัน”
“ขอโทษทีเซฮุน ฉันมีนัดแล้วน่ะ” พูดไปก็ดูนาฬิกาไปด้วยเหมือนตลอดเวลาที่ทำรายงาน “วันนี้พี่ชานยอลเลิกงานเร็วเลยจะมารับ เมื่อกี้ไลน์มาบอกว่าขับมาถึงสถานีรถไฟฟ้าแล้ว”
ชื่อนี้อีกแล้ว พี่ชายคนสนิทที่พวกเขารู้จากปากเจ้าตัวว่าอายุห่างกันเป็นสิบปี ได้ยินชื่อนี้ที่ไรเซฮุนต้องเผลอเบะปากใส่ทุกที และแบคฮยอนก็ต้องเห็นทุกที(แม่งเอ้ย) ทำไมต้องมาเบียดเบียนเวลาของเพื่อนฝูงเขาด้วยวะ เขาคิดไปถึงคำพูดของไอ่ลุงหล่อๆ บนรถไฟฟ้าที่อยากให้พี่ชานยอลของจงอินเก็บเอาไปยึดถือปฏิบัติ แต่ถึงยังไงเขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าค่อนแคะในใจ เพราะผู้ชายคนนี้มาก่อนเขาที่เพิ่งได้รู้จักจงอินตอนปีหนึ่งหลายปี ในบรรดาพวกเราไม่มีใครรู้จักพี่ชานยอลของจงอินสักคน ได้ยินแค่ชื่อกับเสียงเบาๆ ลอดมาตามโทรศัพท์
“สรุปไม่ให้พี่เขาซื้อให้แต่จะไปซื้อด้วยกันสินะ”
“อืม ฉันเป็นคนบอกพี่ชานยอลว่าไม่ต้องไปซื้อเองเพราะรายนั้นขนาดฝากซื้อlotionยังได้milk bathมาเลย” บทสนทนาชวนคิดและบ่งบอกถึงความสนิทสนมเกินกว่าจะเป็นแค่พี่ชายคนสนิทเตะหูบรรดาเพื่อนฝูงเข้าเต็มๆ “ยังต้องซื้ออีกเยอะเลยเพิ่งได้แค่แป้งเอง สรุปว่ามันใช้ยี่ห้อนี้ได้แน่นะแบคฮยอน”
“ได้สิ แม่ฉันบอกว่ายี่ห้อนี้ใช้ได้ที่ร้านก็เคยใช้ มันต้องร่อนแป้งกับนวดแป้งนานหน่อย แต่มันจะนิ่มแล้วก็เหมาะกับเด็ก”
เยี่ยม!! มีไปซื้อของด้วยกันด้วย ดีเลย ให้มันได้อย่างนี้ ทุกคนรู้เรื่องกันหมดยกเว้นเขาสินะ
“ขอบใจมากเลย งั้นฉันไปก่อนนะเดี๋ยวเย็นมากแล้วรถจะติด” พูดเสร็จก็โบกมือแล้วเดินออกไป เซฮุนมองหน้าคนที่เหลือเรียงตัว ทุกคนหลบสายตาซัดทอดข้อกล่าวหาของเขา และยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
อะไรบางอย่างผุดขึ้นมาเหมือนตะกอนใต้น้ำที่โดนแบคฮยอนเอาเท้าลงไปกวน ฝุ่นผงต่างๆ ที่ลอยขึ้นมาทำเอาเซฮุนมองเห็นว่าเคยมีอะไรตกลงไปในน้ำบ้าง เช่นเดียวกับที่นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ทั้งวันเขาพบเจอเหตุการณ์อะไรมาบ้าง เจอใครบ้าง และคนแรกที่นึกออกคือ ไอ้เสี่ยเลี้ยงต้อยบนรถไฟฟ้า บทสนทนาเกี่ยวกับวัตถุดิบที่ต้องหาซื้อให้อิหนูนักศึกษาแฟนเด็กใช้ทำเค้กหรืออะไรสักอย่าง มันจะเป็นไปได้อย่างไร คิดยังไงก็พาลให้ขำแต่ก็ขำไม่ออก เพราะถ้ามันใช่ล่ะ? มันจะเป็นเรื่องตลกร้ายที่สุดในรอบสิบปีเลยนะ
และเซฮุนจะยกให้มันเป็นเรื่องเชี่ยของวันนี้
กระจกรถลดระดับลงโดยคนในห้องโดยสาร คนขับอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำ ทั้งรูปร่างและรูปหน้าให้ความรู้สึก...คุ้นตา แต่ผมที่ปรกหน้าก็ยังทำให้ชั่งใจ
เซฮุนใช้ตู้เอทีเอ็มที่เยื้องจากหน้าประตูมหา’ลัยเป็นที่กำบัง จากจุดนี้มองออกไปจะเห็นถนนเส้นหลักที่มีรถวิ่งเอื่อยบ้าง จอดนิ่งบ้างเพราะเป็นถนนที่กำลังต่อเติมเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ รถติดบรม ทำให้รถป้ายแดงสีบรอนซ์เงินใช้โอกาสนี้รับเพื่อนของเขาขึ้นไปบนรถได้
จงอินเข้าไปนั่งในรถแล้ว กระจกรถยังไม่เลื่อนขึ้นปิด เขาเห็นอีกคนโน้มตัวมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้จงอินทั้งๆ ที่เพื่อนเขาก็น่าจะไม่ได้เพิ่งเป็นง่อยถึงคาดเองไม่เป็น ตอนนั้นทำให้เห็นหน้าอีกคนชัดขึ้น ดูเป็นผู้ชายมีอายุที่ภูมิฐาน ไม่ได้ดูแก่แต่ก็ไม่ใช่คนในวัยไล่เลี่ยกับเรา และแว่นกันแดดโคตรสวยนั่นก็ยังบดบังโครงหน้าไปกว่าครึ่ง จังหวะที่รถกำลังเคลื่อนตัวไปพร้อมกับกระจกที่เลื่อนขึ้นเรื่อยๆ เซฮุนนึกเสียดายที่เขาจะไม่มีทางรู้ว่าพี่ชานยอลของจงอินหน้าตาเป็นยังไง มือหนาที่เว้นว่างจากการเข้าเกียร์ยีหัวทุยๆ ที่เขามีโอกาสได้ทำบ่อยๆ และรู้ว่ามันนุ่มเพลินมือยังไง เซฮุนก็ตัวชาร้อนวูบขึ้นมาในตอนที่เห็นโรเล็กซ์สีทองเรือนนั้นเอง
ไอ้เหี้ยเอ้ย พ่องตาย
“วันนี้ไม่ได้เซ็ตผมไปทำงานหรือครับ?”
“เซ็ตค่ะ แต่ก่อนออกมารู้สึกรำคาญ มันคันด้วยก็เลยแวะร้านสระผม” ชานยอลว่า ก่อนจะหักพวงมาลัยยูเทิร์นรถไปอีกฝั่ง จงอินเห็นว่าอีกคนแอบยิ้มเมื่อเขาพูดเบาๆ ว่า ‘เรื่องแค่นี้ให้ผมทำให้ก็ได้ไม่เห็นต้องเสียเงินเข้าร้านเลย’ แล้วชานยอลก็ยังสวนกลับมาอีกว่า ‘งั้นพี่ให้หนูสระให้อีกรอบก็ยังได้’
พวกเขาเลือกซื้อของทำเค้กและพายที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตในห้างแห่งหนึ่งใกล้ๆ มหา’ลัยของจงอิน ช่วงเวลาแบบนี้เป็นช่วงเวลาที่ชานยอลค่อนข้างชอบ จงอินรู้ดี การได้ออกมาเดินซื้อของกับเขาเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นในทุกๆ ครั้ง เพราะนอกจากจะได้ทำอะไรให้สมกับเป็นคู่รักบ้างโดยการช่วยกันเลือกยี่ห้อและถกเถียงกันเรื่องราคากับปริมาณแล้ว การได้เห็นสายตาที่มองพวกเขาและได้ยินเสียงซุบซิบประมาณว่า ‘น่ารักเนอะ’ อะไรเทือกนั้นทำให้ร่างสูงยิ้มปริ่ม แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ชานยอลชอบยิ่งกว่าถ้ามีคนพูดให้เขาได้ยินจะด้วยคิดจริงจังหรือแค่พูดเพราะเข้าใจผิดก็แล้วแต่ว่า ‘พ่อลูกคู่นั้น’ จงอินจะเดินยิ้มเข้าไปหาเจ้าของเสียงแล้วพูดใส่ไม่เบานักว่า ‘พี่น้องกันครับ หน้าเหมือนกันใช่ไหมล่ะ’ พร้อมกับท่าทีแสดงความเป็นพี่น้องโดยการควงแขนแล้วเอาแก้มซบไปที่ไหล่กว้าง แต่เขาชอบที่สุดตอนเราเถียงกันว่าใครจะเป็นคนจ่ายเงินที่แคชเชียร์ และชานยอลจะชนะด้วยประโยค ‘แฟนคนเดียวเลี้ยงได้ พี่จ่ายเองค่ะ’ ทุกครั้ง
เขาไม่ชอบ ไม่ชอบให้ใครมองว่าชานยอลต่างวัยกว่าเขาเกินไป เขาไม่ชอบให้ใครมากำหนดบรรทัดฐานระหว่างเรา เพราะฉะนั้นถ้าใครมาพูดให้ได้ยินว่าเราเหมือนพ่อลูก ไม่ว่าชานยอลจะโอเคกับมันแค่ไหน
แต่เขาไม่โอเคด้วยทั้งนั้น
ใช้เวลาไม่นานเพราะที่นั่นมีแทบทุกอย่างที่เขาอยากได้แม้กระทั่งapricot gel ดังนั้นไม่ถึงสี่สิบนาทีดีเราก็ถึงบ้านแล้ว
อืม ได้ยินไม่ผิดหรอก เราในที่นี้หมายถึง เขากับพี่ชานยอล เราอาศัยอยู่ด้วยกันในคอนโดไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหา’ลัยของเขาและที่ทำงานของพี่ชานยอลมาตั้งแต่เขาเข้าเรียนปีหนึ่ง กว่าเขาจะได้รับอนุญาตจากป๊าให้มาอยู่ด้วยกันกับคนรักได้ คุณคงไม่เชื่อหรอกว่า คิม จงอินต้องผ่านอุปสรรค์และต้องอดทนกับอะไรมาบ้าง เขาต้องทำตัวเป็นลูกที่น่ารัก เป็นเด็กดีว่าง่ายของป๊า เอาใจใส่ป๊าที่ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมให้ลูกชายคนเดียวคนนี้ออกห่างจากอก แต่เพราะไม่ว่าจะเกรดสี่ทุกวิชา หรือนักกิจกรรมดีเด่นเขาก็กวาดมาให้ป๊าชื่นใจทั้งหมด พอสอบเข้ามหา’ลัยที่เดียวกับที่ป๊าเคยเรียน(และภูมิใจนักหนาได้) เขาก็ได้รับคำอนุญาตที่รอมานาน
ทั้งหมดก็เพื่อชานยอล
ไม่นับเรื่องที่ป๊ามีลูกหลงเมื่อสองปีที่แล้ว เลยทำให้การออกเรือนของเขา ง่ายขึ้น
“ไปรับแทโอค่ำนี้เลยดีไหมครับ ผมอยากเห็นตาหนูกินพายกับเค้กที่ผมทำแล้ว” ยังไม่ทันวางของลงเคาท์เตอร์ในครัวดี จงอินก็ออกปากพูดในสิ่งที่ต้องการ วันนี้วันศุกร์ เป็นวันศุกร์ที่ชานยอลเลิกเร็วแล้วเขาก็กำลังเห่ออยากลองทำแอปเปิ้ลพายที่บังเอิญได้ไปกินในห้างเมื่อวันก่อนตอนไปร้านหนังสือคิโนะคุนิยะกับเพื่อน มันเป็นแอปเปิ้ลพายนำเข้าจากโอซาก้า แล้วพอถามสูตรกับเจ้าของร้านไปเป็นภาษาญี่ปุ่นงูๆ ปลาๆ เขาก็ได้กระดาษสีขาวที่เขียนรายละเอียดวิธีการทำ(ด้วยลายมือสวยงาม)ทั้งหมดกลับมา แน่นอนว่าเป็นภาษาญี่ปุ่นควบอังกฤษ เขาเลยอยากให้แทโอได้กินมันวันนี้เสียเลย
“บ้านใหญ่จะให้มาหรือคะ ไปรับมาก่อนเวลาแบบนี้ ไม่ถูกหาว่าผิดสัญญาหรือ? หนูก็รู้นิสัยป๊าหนูดี” ชานยอลพูดในขณะที่เดินไปนั่งที่โซฟาสีเทาแล้วหยิบหนังสือพิมพ์ที่ซื้อติดมาขึ้นมาอ่านด้วยท่าทางสบายๆ จงอินเงยหน้าจากช่องผักในตู้เย็นขึ้นมามองร่างสูงแล้วคิดตาม ป๊าเป็นพวกเจ้าเล่ห์ เรื่องนี้ทั้งเขาทั้งชานยอลก็รู้ดี
จงอินนิ่ง เขายอมรับว่าเข้าใจ แต่ก็ยอมรับด้วยความเอาแต่ใจอีกเช่นกันว่า ยังไงก็อยากให้ไปรับแทโอมาที่นี่วันนี้เลย ขายาวสมส่วนเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนรักหลังจากเก็บของสดเข้าตู้เย็นจนหมดแล้ว
“โทรไปบอกบ้านใหญ่สิครับว่าวันนี้จะเข้าไปรับตาหนู” ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนออกทีละเม็ด ช้าๆ ตาคมกริบเงยหน้าจากหนังสือหยุดชะงัก กลืนน้ำลายดังเอื้อกใหญ่เมื่อกระดุมทุกปลดออกหมดทุกรังดุมแล้วถูกถอดออกจากหัวไหล่ “หลังจากผมอาบน้ำเสร็จหวังว่าจะได้ข่าวดีนะครับ”
“พี่ครับ เห็นแก่ชีวิตครอบครัวราบรื่นของผมเถอะ นะครับพี่”
จงอินเป็นคนอาบน้ำเร็วไปหรือยังไง ทำไมตาแก่วัยสี่สิบบนโซฟาคนนั้นยังเจรจาธุรกิจไม่เสร็จ และดูท่าทางจะไม่สำเร็จเสียด้วย จงอินนิ่วหน้า แน่นอนเขาไม่พอใจกับผลลัพธ์เมื่อเห็นว่าชานยอลดูเหมือนยังเป็นรองอีกฝ่ายอยู่มาก เดินไปใส่ผ้ากันเปื้อนหลังเคาท์เตอร์ของห้องครัว และแน่นอนว่าตำแหน่งที่กำลังยืนอยู่นี้ตรงกันพอดิบพอดีกับคนบนโซฟา
“มันใช่ความผิดผมที่ไหน พี่ก็รู้ว่าคำพูดจงอินเป็นคำไหนคำนั้น.....พี่ครับ รีบอนุญาตเถอะ นะ” คำพูดขาดห้วง จงอินผูกเชือกผ้ากันเปื้อนเสร็จก็เดินมานั่งตักชานยอลที่นั่งแข็งเป็นหินอยู่ที่เดิม นั่นคือเหตุผลว่าทำไมบทสนทนาถึงไม่สมู้ทเอาเสียเลย
“......” สองมือโอบคล้องคอ ซบไหล่ เหลือบมองคนรักคุยโทรศัพท์ นิ่งเงียบ
“......โถ่พี่”
“หึ....” จงอินร้องหึในลำคอด้วยน้ำเสียงที่คาดเดาเหตุการณ์ได้ถูกเผง ชานยอลเจรจาไม่สำเร็จ จงอินรู้ได้จากเสียงทอดถอนใจก่อนหน้า โทรศัพท์ถูกเปลี่ยนมือโดยง่าย นั่นเพราะชานยอลไม่ได้ยื้อยุดเอาไว้เลยด้วยซ้ำ ก็ตั้งแต่จงอินมานั่งที่ตัก ดูเหมือนว่าเรียวแรงของร่างสูงจะจางหายเข้าไปในเครื่องปรับอากาศเรียบร้อยแล้ว
“ป๊า หนูเองนะ” ทันทีที่คำแรกหลุดปากออกไป ปลายสายก็แทบตะโกนออกมาราวกับเปิดลำโพง เขาเดาว่าที่บ้านใหญ่ม๊ากำลังตกใจจนฟาดป๊าไปหลายทีกับคำว่า ‘จงอิน’ แบบลากเสียงยาวและดังมากของป๊า
“ป๊าให้พี่ชานยอลไปรับตาหนูที่บ้านใหญ่วันนี้ได้ไหม...” ปลายสายยังคงปฏิเสธ โดยยกข้ออ้างเรื่องสนธิสัญญาที่เคยคุยกันไว้ ว่าด้วยเรื่องวันธรรมดาแทโอจะอยู่บ้านใหญ่ ส่วนสุดสัปดาห์บ้านเล็กจะเอาแทโอมาอยู่นอนด้วยก็ได้แต่ต้องพาไปส่งไม่เกินห้าโมงเย็นของวันอาทิตย์ นานเข้าก็เริ่มเอาเรื่องพ่อแม่ที่แท้จริงมาอ้าง ว่าตัวเองเป็นพ่อโดยสายเลือดและถูกต้องตามกฏหมายของแทโอบ้างล่ะ ที่เคยพูดไว้ว่าจะเซ็นยกให้เป็นลูกของเขาสองคนจะถือว่าเป็นโมฆะบ้างล่ะ ถ้าไม่พอใจก็ไปขึ้นศาลดำเนินคดีกันเลยสิบ้างล่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเป็นแค่คำขู่ลอยๆ ของตาแก่อายุ(เกือบ)ห้าสิบที่ขาดความรักจากลูกชายคนโต ที่หวังให้มีการดำเนินคดีเกิดขึ้นเพื่อจะได้เห็นหน้าลูกชาย “ถ้าป๊ายอม วันอาทิตย์ตอนเย็นหนูจะเป็นคนไปส่งตาหนูที่บ้านใหญ่กับพี่ชานยอลด้วย แล้วก็ จะนั่งกินข้าวเย็นกับป๊าม๊าด้วย”
(......)
“ก็แค่นั้นแหล่ะ ตาแก่ขี้น้อยใจนี่” พูดจบก็วางสายแล้วลุกออกไปจากตักทันที ชานยอลมองตามร่างคนรักไม่วางตา มันจะมีอะไรดีกว่าการได้รู้ว่าคนที่เรารักรักเราขนาดที่ยอมทำเรื่องลำบากใจ และทิ้งซึ่งทิฐิออกไป จงอินยอมให้สัญญาว่าจะกลับไปบ้านใหญ่ ไปกินข้าวกับพ่อที่ไม่เห็นด้วยเรื่องที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ถึงจะรู้ว่าบ้านใหญ่ไม่ได้รังเกียจชานยอล ไม่ได้รังเกียจความรักของเรา แต่จงอินก็ยังโกรธป๊าที่ทั้งแกล้ง และกีดกันชานยอลจากเขามาตลอดหลายปี
ตาแก่โรคจิต ตัวเองก็ยอมรับชานยอลอยู่แล้วแท้ๆ ยังจะมาทำตัวมีปัญหาอยู่ได้
แรงกอดรัดจากข้างหลังทำให้สองมือที่กำลังร่อนแป้งอยู่หยุดชะงัก คางแหลมวางบนไหล่เล็กกว่า กดจูบเบาๆ ลงบนนั้นซ้ำๆ คลอเคลียราวกับจะบอกให้รู้ว่ารักมากยังไง และย้ำมันอีกหลายครั้งเพื่อขอบคุณ
“ผ้ากันเปื้อนลายน่ารักจังเลยค่ะ” ชานยอลยังคงกอดรัด ประสานมือหนาไว้ที่หน้าท้องบริเวณที่มีกระเป๋าของผ้ากันเปื้อนลายลูกสตรอเบอร์รี่บนพื้นสีครีมที่แถมมากับชุดเตาอบขนม ปลายจมูกโด่งไล้ผ่านไปตามแนวคอที่ปากหนากดจูบไล่ขึ้นไปจนถึงกกหู
“......” เสียงร้องขัดใจในลำคอ จงอินเอียงหนีแต่นั่นเหมือนกับเป็นการเปิดทางให้ชานยอลเสียมากกว่า ทิ้งกะละมังและที่ร่อนแป้งไว้ตรงนั้นไม่สนใจมันอีกเพราะมือหนาเริ่มล้วงเข้าใต้ผ้ากันเปื้อนแล้วไต่ปลายนิ้วหวังจะสอดมือเข้าไปหยอกล้อกับอะไรบางอย่างข้างในนั้น จงอินตะครุบไว้ได้ทันแล้วหันมาเผชิญหน้าคนรัก แต่เขาคิดผิด ชานยอลปิดจูบว่องไวมาที่ปากกระจิริดที่เตรียมจะพรุสวาสเต็มที่ และส่วนล่างด้านหน้าของ จงอินก็เจอกับอะไรบางอย่างที่กำลังแข็งตัว
ความต้องการของผู้ชาย แม้อายุจะปาเข้าไปสี่สิบปีแล้วแต่ก็ยังปึ๋งปั๋ง ลุกขึ้นสู้สุดใจ
ทันทีที่กางเกงยางยืดขาสั้นตัวบางถูกดึงลงจากสะโพก ตัวเขาก็ถูกอุ้มขึ้นนั่งบนเคาท์เตอร์เย็นเฉียบทันทีทั้งที่ปากยังคงดูดกลืนซึ่งกันและกัน ไม่ทันแล้ว จงอินเป็นเด็กที่มีชั้นเชิงไม่ทันคนแก่กว่าอย่างชานยอลเอาเสียเลย
“จะทำพาย...” สองมือดันอกแกร่งออกห่างเมื่อถอนจูบให้หายใจ
“เอาไว้ก่อนเถอะค่ะ” แต่ชายเสื้อยืดถูกเลิกขึ้นเกือบถึงอก
“ไปรับตาหนูก่อน...” เมื่อไม่สำเร็จเลยชักมือกลับมารั้งชายเสื้อตัวเองลงพัลวัน
“ขอห้านาทีครับ จะรีบทำให้เสร็จ”
และเพราะมัวแต่เป็นห่วงเสื้อผ้าตัวเอง รู้ตัวอีกทีกางเกงของอีกคนก็ถอดเสร็จแล้ว...
TBC
แถม
บ้านหลังใหญ่เริ่มต้นที่ห้าสิบล้านของมันทนา ชานยอลจำได้ว่าเกือบสี่ปีแล้วที่เขาไม่ได้มาที่บ้านหลังที่สองติดคลับเฮ้าส์หลังนั้นนับตั้งแต่ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ชานยอลไปเรียนปริญาโทที่อังกฤษสองปีครึ่งและเตร็ดเตร่อยู่อีกปีกว่า และด้วยความช่วยเหลือและไว้ใจของรุ่นพี่ที่นับถือ เขาถึงได้กลับมาเพื่อเข้าทำงานในบริษัทที่อยาก ตำแหน่งงานที่ชอบ ดังนั้นในวันคล้ายวันเกิดปีแรกหลังจากที่เขากลับมาของรุ่นพี่ที่รัก ชานยอลก็ไม่ต้องคิดสักนิดว่าจะมาร่วมแสดงความยินดีหรือไม่
“ไงมึง มาถึงเร็วนี่หว่า ยังจำทางได้แม่นเลยสิ” เสียงทักทายของเจ้าบ้านทันทีที่ร่างสูงก้าวขาออกจากรถ ชานยอลกดกุญแจล็อกรถแล้วยื่นกล่องของขวัญให้ กอดทักทายกันตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องตั้งแต่มัธยมยันจบมหา’ลัย
“จีพีเอสรู้จักหมู่บ้านพี่ริคกี้น่า สบายดีนะครับ”
“เออ บ้านหลังละเกือบร้อยล้านก็อย่างนี้ล่ะวะ มึงมาเร็วไปหน่อยซึงจูยังเตรียมของไม่เสร็จ เข้าบ้านไปนั่งตากแอร์เย็นๆ ก่อน” สวนข้างบ้านที่เริ่มจัดโต๊ะและตกแต่งสวนบ้างแล้วเล็กน้อย แต่ก็มีแค่นั้นเพราะยังไม่ถึงเวลาจึงยังไม่มีใครมา อาหารก็ยังไม่พร้อมเสิร์ฟ “มึงอ่ะไปเมืองนอกซะนาน หลานโตเป็นหนุ่มหล่อทันมึงแล้ว”
“หลาน? ไอ้ตัวเล็กอ่ะหรอพี่?” ชายหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อนึกไปถึงลูกชายของรุ่นพี่ที่เขาเห็นครั้งแรกก่อนบินไปอังกฤษ จำได้ว่าตอนนั้นไอ้ตัวเล็กเพิ่งลืมตาดูโลกได้แค่แปดวัน “แล้วตอนนี้อยู่ไหน”
“โน่น ห้องนั่งเล่นโน่น ไปนั่งเล่นกับหลานก่อนไหมล่ะ เดี๋ยวเข้าไปหาอะไรในครัวให้กินรองานเริ่ม” เขาพยักหน้ารับแล้วเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาหลาน
ชานยอลเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งนั่งดูรายการสารคดีเกี่ยวกับการผสมพันธ์ปลาโลมาอยู่ตรงนั้นในชุดเสื้อคลุมสีแดงคลุมฮู้ดรูปร่างคล้ายโบว์ขนาดใหญ่ เขาไม่ค่อยมั่นใจนักว่ามันเรียกว่าอะไร ชานยอลค่อยๆ เดินเข้าไปหาหลานจากข้างหลังก่อนจะส่งเสียงเรียกให้รู้ตัว
“จงอินครับ” เด็กน้อยได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็หัน ควับ ดวงตาดำขลับกลมโตมีแววใคร่รู้ ว่าเจ้าของเสียงไม่คุ้นหูที่เรียกชื่อตัวเองเป็นใคร จังหวะที่เจ้าตัวเล็กช้อนตาขึ้นมองหน้าชานยอล เด็กน้อยกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะตอบรับคำเรียก
“คับ”
มันน่ารักมากในสายตาชานยอล เด็กน้อยที่นั่งเป็นก้อนกลมๆ อยู่กับพื้น
“ชานยอล มีแค่ต๊อกว่ะ กินไหม?” เสียงทุ้มดังมาจากที่ไหนสักแห่งด้านหลัง ชานยอลก็ไม่แน่ใจนัก แต่ก็เรียกสายตาสองชีวิตให้หันไปตามเสียง
“รบกวนด้วยครับพี่” ชานยอลตะโกนกลับไปและหันกลับมาหาลูกชายของรุ่นพี่ที่เคารพ และเห็นว่าเด็กน้อยก็มองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ชานยอล...อุปป้า?” หัวกลมๆ เอียงทำองศากับหัวไหล่ตอนที่เรียกชื่อเขาตามคนเป็นพ่อ ชานยอลยิ้มขำและนึกเอ็นดูติดหมัดกับคำเรียกลงท้ายน่ารักๆ นั่น
“ว่าไงคะ จงอิน” และเขาก็บ้าจี้ตามหลานไป
“จุงงินกิงต๊อกด้วยได้มั้ย?”
แล้วสายตาอ้อนวอนนั่นก็ติดตรึงอยู่ในหัวของ ชานยอลตลอดทั้งวัน เขาคิดว่าเขาอาจจะโรคจิตที่เก็บเอาคำพูดของหลานมาคิดเป็นจริงเป็นจัง ราวกับว่าที่หลานพูดนั่นเป็นคำพูดขอฝากชีวิตไว้กับเขา มันแปลกที่เด็กตัวเล็กแค่นั้นจะให้ความรู้สึกอยากเลี้ยงดูไปตลอดชีวิต เขาต้องโรคจิตไปแล้วจริงๆ ถึงได้บอกพี่ริคกี้ท่ามกลางเสียงสนุกสนานเฮฮาตอนเทียนบนเค้กถูกเป่าพรวดเดียวดับทั้งก้อนว่า
“พี่ ผมขอเลี้ยงดูจงอินได้ไหม จะพูดไงดีให้พี่เข้าใจเพราะผมเองก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกตอนนี้เลย” ตอนที่เขาเริ่มพูด ทุกคนในงานนิ่งชะงัก จงอินที่นั่งเคี้ยวเนื้อย่างอยู่บนตักพี่ซึงจูยังมองตาแป๋วมาที่เขา “แต่ถ้าพี่ไม่มั่นใจจะให้ผมบอกที่บ้านมาทาบทามคุยเรื่องหมั้นหมายไว้ก่อนก็ยังได้”
แล้วทั้งงานก็กลับมามีเสียงดังอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ในความหมายสนุกสนานเฮฮา แต่เป็นเสียงห้ามทับพี่ริคกี้ไม่ให้ลงเท้ากระทืบเขาต่างหาก
“มึงคิดอะไรของมึง? มึงจะมีความรู้สึกแบบนี้กับลูกชายบ้านไหนกูไม่ว่า จะให้กูไปคุยให้ก็ยังได้แต่ต้องไม่ใช่กับจงอิน นั่นหลานมึงนะ! ลูกกู! เป็นลูกมึงได้เลยนะไอ้ชานยอล!! แล้วมึงคิดไหมว่ากว่าจงอินจะโต กว่าจะเรียนจบ ถึงวันนั้นคนอื่นเขาไม่มองพวกมึงเป็นพ่อกับลูกเลยเรอะ!!???”
“ป่าป๊า อันเดว๊!!!!!”
แล้วนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
END
--------------------------------------------------
เหตุการณ์ที่เซฮุนเจอบนรถไฟฟ้าคือเหตุการณ์จริงที่เราเจอขากลับจากสัมนา แล้วเราทำตัวเหมือนเซฮุนเลย(เสือก)
แต่บทสนทนาของลุงคนหล่อคนนั้นไม่ได้คุยเรื่องเค้กไรนะ แล้วปลายสายก็ดูจะเป็นผญ.จริงๆ เราแค่เอามาดัดแปลงเฉยๆ
เป็น 1ใน 2เรื่องที่แต่งให้งานมีตชานไค เอามาลงไว้(เรื่องเดียวพอ)
อยากแต่งต่อด้วยนะเรื่องนี้ แบบ คนแก่ขี้หึงมีโมเมนต์หวงเด็กเวลาอยู่กับเพื่อน คนแก่ทะเลาะกับเด็กอะไรแบบนี้ ก็น่าสน
คุยไว้เล่นๆ กับพี่อิ๊กด้วยว่าไหนๆ มันก็โชตะค่อนขนาดนี้แล้ว ก็เลยจะให้มีคู่ เซฮุน×แทโอ ด้วย ทีนี้แหล่ะ...
ได้เห็นน้องไคเวอร์ชั่นหวงน้องชายเหมือนตอนริคกี้คิมหวงตัวเองตอนเด็กบ้าง น่าสนุก
.
.
หาเรื่อง
เอนจอยค่ะ
[-]Hyphen
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น