คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : [SF] You look around Me : ChanKai (Happy KAI day 2017)
“งั้นคบกันไหม”
‘ไอ้ชานมันพ่อคนดี’
ราวกับว่าเป็นครั้งแรกที่ดวงตาได้มองเห็นภาพ และหูได้ยินเสียง
“จูบนะ”
“ผมรักจงอินมากนะ...”
“เลิกกันเถอะ”
ภาพที่เห็นเป็นสีดำและมีแสงสีขาวสะท้อนเข้าตา
พร้อมกับเสียงหนึ่งแว่วให้ได้ยิน
“มาด้วยเหรอ?”
“ผมขอโทษนะที่มอง
จงอินอาจจะรู้สึกไม่ค่อยดี”
ก่อนจะค่อยๆ ปรากฏรูปร่าง มันพร่าเลือน
จับจุดไม่ได้ว่าคืออะไร
“ดีใจนะที่ได้เจอกันอีก...”
“จงอินก็รู้ใช่ไหมว่าผมคงไปร่วมแสดงความยินดีไม่ได้
ผมไม่สามารถมองจงอินมีความสุขกับคนอื่นได้”
จนกระทั่งภาพนั้นชัดขึ้น
เขาเห็นเป็นใบหน้าของใครคนหนึ่ง ยืนยิ้มให้เขาจากจุดที่ห่างออกไป
ตรงนั้นเป็นพุ่มไม้ที่แทบจะบดบังใครคนนั้นทั้งตัว
ตัวเขานอนอยู่และมีคนกำลังวิ่งเข้ามารุมล้อม มีเสียงเรียก
เสียงร้องไห้...จากผู้หญิงคนหนึ่ง
อา...ผู้ชายคนนั้นยิ้ม
แต่ก็ร้องไห้เหมือนกัน
“ผมรักคุณนะจงอิน”
เสียงนั้นสะท้อน ดังก้องอยู่ในหู
ดังซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นหลายรอบ และก่อนที่ความสว่างจะเข้ากลืนกินภาพทั้งหมด
เสียงหนึ่งที่ดังอยู่ตลอดตั้งแต่แรกก็พูดบางอย่างให้ได้ยิน
‘……’
พรึ่บ
“คุณแม่คะ!! จงอิน..จงอินขยับตัวค่ะ”
“เรียกหมอมาเร็วเข้า!!”
หญิงวัยกลางคนลุกลี้ลุกลนจากโซฟาที่อยู่ห่างจากเตียงคนไข้มาเกาะราวเหล็กกั้นเพื่อมองดูลูกชายสุดที่รักของเธอขยับเปลือกตา
แค่นั้นก็ดีกับใจของเธอเหลือคณา
เกือบหนึ่งเดือนที่จงอินหลับไป
เธอตรอมใจและไม่เป็นอันทำอะไร แม้คนรอบข้างจะคอยให้กำลังใจเธอ แต่การที่จงอินเกือบเอาชีวิตไม่รอดไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจกันได้ง่ายๆ
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้าแต่ไม่มีวีแววว่าคนเจ็บจะฟื้น หัวใจของเธอก็ยิ่งหดหู่
อยากจะเป็นคนที่เจ็บแทนลูกชายเสียให้ได้
“ลูก ลูกแม่”
ใบหน้าซีดเซียวผ่ายผอม เธอลูบฝ่ามือลงไปด้วยความรักใคร่ น้ำตาไหลอาบแก้ม
หมอกับพยาบาลอีกสองคนเดินเข้ามาพร้อมซอลฮยอน
เธอจำใจเลี่ยงออกมาเพื่อให้หมอได้ทำหน้าที่ พาดากุมมือกับว่าที่ลูกสะใภ้แน่น
ถ่ายทอดกำลังใจให้กันและกัน จะต้องใช่ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน
“เป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ” ซอลฮยอนลองถามออกไป
แล้วคำตอบที่ได้ก็ทำเอาทั้งสองร้องไห้โฮพร้อมกัน
“คนไข้รู้สึกตัวแล้วครับ”
เป็นโชคดีของครอบครัวหวัง
ที่ได้ชีวิตลูกชายคนเล็กกลับมาอย่างปลอดภัยจากอุบัติเหตุ
หมอตรวจอาการแล้วทุกอย่างปกติดี
แต่คงต้องรอแสกนสมองอีกรอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้กระทบกระเทือนอะไร เย็นวันนั้นคิม
จงกุกยกเลิกประชุมเพื่อมาฟังข่าวดี และลู่หานที่ตั้งใจมาเยี่ยมไข้เพื่อนวันนั้นพอดีก็โทรตามคนอื่นๆ
ให้มาสมทบ ชานยอลก็อยู่ที่นั่น นั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ที่ตั้งห่างออกไปกว่าคนอื่นๆ
และพระเจ้าคงเห็นถึงความหวัง
ถึงได้ให้จงอินลืมตาขึ้นมาในตอนที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า
“พระเจ้าคุ้มครอง จงอินลูก”
“แม่...”
“โฮ คุณคะ ลูก..”
น้ำตาแห่งความดีใจไหลออกมาเหมือนทำนบพังอีกครั้ง จงอินมองผู้เป็นแม่ร้องไห้
สายตาอ่อนล้ามีแววใคร่รู้ถึงความเป็นไป เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา
ความเจ็บปวดตามร่างกายและเรี่ยวแรงที่หายไปนี้เกิดจากอะไร แม่ร้องไห้ทำไม แล้ว ทำไมทุกคนถึงมาอยู่กันพร้อมหน้าที่นี่
“จงอิน ฉันกลัวแทบตายว่าจงอินจะไม่ฟื้น”
เขาหันไปมองต้นเสียง
“ซอลฮยอน?..” เธอพยักหน้า
ราวกับดีใจเหลือเกินที่ได้ยินคนรักของเธอเอยชื่อเธอออกมา แล้วจงอินก็เรียกชื่อทุกคนที่เห็นผ่านสายตา
“ลู่หาน แทมิน ...”
เสียงนั้นขาดไปเพราะอยู่ดีดีคนพูดก็มีสีหน้าไม่สู้ดี
ยกมือกุมขมับและร้องโอดโอย
“อย่าเพิ่งพูดอะไรมากเลยลูก”
จงกุกเดินเข้ามาหา เป็นห่วงลูกจับใจถึงแม้จะเห็นว่าฟื้นขึ้นมาแล้วก็ตาม
ตอนนั้นจงอินมีท่าทีดีขึ้น มองผ่านคนอื่นๆ ไปเหมือนหาใครสักคน
“มึงแม่งหนังเหนียว ยอดคนจริงๆ
เลยว่ะ”
“พวกกูกลัวกันแทบตายว่ามึงจะเป็นอะไรไป
แต่ก็ลืมไปว่ามึงคือคิม จงอิน”
“..ชานยอล?”
เพราะไม่มีใครนึกถึงเรื่องอื่นนอกจากดีใจที่จงอินฟื้น
จึงไม่มีใครสนใจว่าตอนนี้ชานยอลนั่งอยู่ตรงไหน จนคนป่วยพูดออกมา ลู่หานและแทมินถึงได้แหวกกลางวง
ชานยอลนั่งอยู่ข้างหลัง มองมายังจงอินที่ก็มองตอบอยู่เหมือนกัน
ไม่มีใครรู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นก่อนที่จงอินจะถูกรถชน
แน่นอนว่าเพราะซอลฮยอนยอมรับว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ผู้คนตรงนั้นเห็นว่าซอลฮยอนไม่ได้ตั้งใจ
ครอบครัวจงอินทั้งรักและเอ็นดูเธอเหมือนลูกจึงไม่ได้คิดเอาผิด แต่ชานยอลรู้ รู้อยู่แก่ใจว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น
เขาทำอะไรลงไป ทั้งวางยาในแก้วของจงอิน ทั้งเป็นคนส่งจงอินไปตาย เขาเอง
ดังนั้นตอนนี้การที่จงอินเรียกชื่อเขา
มันจึงเหมือนคำเรียกจากผู้พิพากษา
“ชาน..” มือหนึ่งยกขึ้น ราวกับต้องการให้อีกคนเดินมาจับ
ชานยอลไม่เข้าใจ ไม่มีใครเข้าใจการกระทำนั้น
ที่งงที่สุดดูจะเป็นผู้ใหญ่ทั้งสองคนและหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรัก
“ครับ” ถึงอย่างนั้นก็เดินมาหา เมื่อมองใกล้ๆ
ถึงได้เห็นว่าจงอินมองตัวเองด้วยสายตายังไง มันเหมือนกับเมื่อครั้งก่อนที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
เหมือนตอนที่ชานยอลพรมจูบไปทั่วใบหน้า อะไรบางอย่างบอกให้ชานยอลดีใจ
บอกให้มีความสุขแล้วยื่นมือออกไปรับอีกมือที่คอยท่า
“ไม่เลิกกันแล้วนะ
เราไม่เลิกกับชานยอลแล้ว”
หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นจงอินก็ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล
ชานยอลคือคนที่ต้องอยู่ที่นั่นแทบตลอดเวลาเพราะคนป่วยเอาแต่เรียกหา แค่ไม่ได้เห็นหน้าห้านาทีก็ต้องถามเอาจากคนโน้นคนนี้ที่เดินเข้ามาใกล้
กลับกลายเป็นซอลฮยอนที่ไม่โผล่หน้ามาเลยตั้งแต่วันนั้น ตั้งแต่ที่หมอวินิจฉัยว่าจงอินสูญเสียความทรงจำช่วงหนึ่งไปชั่วขณะ
และเธอได้กลายเป็นแฟนเก่าที่เพิ่งเลิกรากันไป ส่วนชานยอลคือแฟนใหม่ที่คนในบ้านรวมถึงเธอเพิ่งรู้วันนั้นเองว่าจงอินเคยคบด้วยสมัยเรียน
หมอบอกว่าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นได้
และสามารถหายได้ไม่ช้าก็เร็ว รักษาไม่ได้ ต้องรอเวลาเท่านั้น
ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่ระหว่างนี้ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่คนป่วยต้องการ
กระทั่งต้องยอมให้ไปอยู่กับชานยอลทันทีที่ออกจากโรงพยาบาลด้วย
ชานยอลเข็นรถเข็นเข้ามาในคอนโดฯขนาดกลางที่ซื้อไว้เพื่ออยู่คนเดียวตั้งแต่เริ่มทำงานได้ไม่ถึงปี
จงอินยิ้มตลอดเวลาที่มองไปรอบๆ ห้อง ร้องว๊าวเหมือนพอใจกับมันมาก เห็นอย่างนั้นก็ยิ้มตามไปด้วย
เขามีความสุขทุกครั้งที่เห็นคนที่ตัวเองรักแสดงออกอย่างมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน
มันเหมือนฝันที่เขาโหยหามาตลอด
“ห้องนอนมีห้องเดียวเหรอ?” จงอินถามเมื่อรถเข็นหยุดอยู่หน้าประตูห้องนอน
มองเตียงขนาดควีนไซส์สีเทาเข้มที่ตั้งโดดๆ อยู่กลางห้อง ชานยอลยืนอยู่ข้างหลังไม่เห็นว่าคนถามมีสีหน้ายังไง
ได้แต่คิดไปเองว่าคงไม่ยินดีนักที่ต้องนอนร่วมห้องกัน
เพราะขนาดตอนที่คบกันเรื่องแบบนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“เดี๋ยวผมนอนโซฟาข้างนอก จงอินใช้ห้องได้ตามสบายเลย”
“ไหงงั้นล่ะ” เสียงขึ้นจมูกท้วงขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ
“ทำไมเราไม่นอนด้วยกัน”
คนบนรถเข็นหันมาส่งสายตาเป็นคำถามพร้อมรอยยิ้มหวานประดับประดาระหว่างแก้มที่กลมขึ้นเพราะน้ำเกลือ
คุณยังน่ารักเสมอ
ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ รอยยิ้มของคุณก็ยังทำให้ผมมีชีวิตชีวา
อยากที่จะได้เห็นอยู่ทุกวัน
“จงอินยังไม่หายดี
ระหว่างนี้ผมคิดว่า..”
“ก็เพราะป่วยอยู่ไง ชานยอลต้องนอนกับเรา
อยู่ใกล้เราไว้...ได้ไหม?”
“......”
ยอมรับว่าแปลกใจที่เห็นจงอินเป็นแบบนี้
จะว่าความทรงจำกลับไปในช่วงที่เคยคบกันก็ไม่เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว
นิสัยส่วนที่โหยหาเขา อ้อนเขา
ยิ้มให้เขาเหมือนเป็นคนรักที่รักกันหวานชื่นอย่างนี้ไม่เคยมีมาตั้งแต่ก่อนแล้ว
ไม่แน่ว่าความผิดปกติของร่างกายอาจจะส่งผลต่อจิตใจด้วยก็เป็นได้
“นะ..”
“ครับ”
“เย่ ใจดีจังเลย แฟนเรา” จงอินหัวเราะ
วางมือทาบกับมือของเขาที่จับรถเข็นอยู่ “จะใจดีกว่านี้ถ้าอาบน้ำให้เราด้วย
เรายังใส่เฝือกอยู่ อาบเองไม่ถนัดหรอก”
แล้ววันนั้นชานยอลก็ได้เรียนรู้ความยากลำบากของการที่ต้องอดทนมองร่างกายของจงอินในอ่างอาบน้ำ
“ครับแม่...ไม่ต้องเป็นห่วงนะ
ชานยอลดูแลผมอย่างดี....ผมว่าเราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วนะครับ....”
หลังจากอาบน้ำให้คนป่วยเสร็จก็ถึงตาตัวเองบ้าง ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีก็แล้วเสร็จ
เดินออกมาพร้อมผ้าขนหนูบนหัว จงอินที่นั่งห้อยขาคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียงมองเขาแล้วยิ้มให้จนแก้มยก
กวักมือเรียกให้เข้ามาหาแล้วชี้ว่าให้นั่งลงบนพื้นข้างล่างเตียง
ตำแหน่งเดียวกับที่เจ้าตัวนั่งอยู่ เขานั่งตามอย่างว่าง่ายแม้จะงงอยู่เหมือนกันว่าจงอินต้องการจะทำอะไร
“ชานยอลกับผมเป็นแฟนกันนะครับ
ผมว่าผมบอกแม่ไปหมดแล้ว...อีกอย่างผมกับซอลฮยอนก็เลิกกันไปแล้ว ผมไม่ได้รักเขา”
ถึงขนาดที่จงอินบอกกับที่บ้านว่าจะมาพักรักษาตัวอยู่กับเขาที่นี่
ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงที่จงอินบอกว่ารัก
ต้องการอยู่กับเขาแทนที่จะเป็นครอบครัว บทสนทนาที่ได้ยินก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยตอกย้ำให้ชัด
ว่าทั้งหมดเป็นความจริงที่เกิดขึ้นจากความต้องการของคนตัวเล็ก
“ไม่เอาแล้วผมไม่อยากคุยเรื่องนี้กับแม่แล้ว
ดึกแล้วด้วยผมต้องการพักผ่อนครับ ไว้ค่อยคุยกันใหม่พรุ่งนี้นะ ฝันดีครับ”
พอวางสายก็ได้ยินเสียงถอนหายใจออกมาจากเจ้าของเครื่อง
ชานยอลไม่ได้หันไปถามว่าเป็นอะไร
เอาแต่นั่งเช็ดผมที่เปียกชื้นของตัวเองราวกับว่าไม่ได้สนใจสิ่งที่เจ้าตัวคุยกับแม่ จนผ้าขนหนูถูกแย่งไปจากมือตั้งแต่เมื่อไม่ก็ไม่รู้
“......”
“เราเช็ดให้นะ
เมื่อก่อนเราก็ทำให้นี่”
ไม่เคย เมื่อก่อนเราไม่เคยทำแบบนี้ให้กัน
ชานยอลตอบออกไปในใจ แต่ก็ยอมนั่งนิ่งให้คนข้างบนเตียงเช็ดหัวให้เบาๆ
มีนวดบ้างเพื่อให้ผ่อนคลาย “เราเก่งใช่ไหม?”
“เก่งมากเลย”
ชานยอลมีความสุขจนเกือบสำลัก เขาปล่อยให้ความเข้าใจผิดของจงอินหล่อเลี้ยงตัวเอง
โกหกอีกคนว่าสิ่งที่เจ้าตัวเข้าใจนั้นเป็นเรื่องจริง แม้แต่เรื่องเช็ดผมนี่ก็ด้วย
เพราะรักที่จะมีจงอินอยู่ใกล้ๆ รักที่จะมีจงอินเป็นสมบัติส่วนตัว
ถึงขั้นว่าถ้าตัวเองไม่ได้ ก็ไม่มีใครสมควรได้ไป
“เรานึกไม่ออกเลยว่าทำไมถึงบอกเลิกชานยอลลง..แต่จำได้แม่นว่าเพราะเราบอกเลิกนั่นแหล่ะ
พระเจ้าเลยลงโทษเราให้เราเป็นแบบนี้ บางทีอาจจะถึงตายไปเลยก็ได้”
“......”
“แต่เราก็ไม่ตาย เรากลับมาหาชานยอล”
ชานยอลนั่งฟังเรื่องราวที่คนป่วยเล่าให้ฟังตั้งแต่วันที่ฟื้น
ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็จำไม่ได้ จงอินเอาแต่พูดว่าจะไม่เลิกกับเขา
จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วซ้ำไปซ้ำมา และเข้าใจไปเองว่าตัวเองโดนรถชนในวันที่บอกเลิก
เพราะจงอินเชื่ออย่างนั้นจึงไม่มีใครปริปากพูดเรื่องที่ซอลฮยอนเป็นคนชน
ไม่มีใครอยากให้จงอินรู้เรื่องจริงแล้วอาจจะเกลียดเธอ
ทุกครั้งที่ได้ยินอย่างนั้นเรื่องเก่าๆ
ก็ย้อนเข้ามาในความคิด
“จงอินจำได้ไหมว่าครั้งหนึ่งเคยบอกผมว่า
ผมรักจงอินมากไปจนน่ากลัว” แรงที่กดลงบนหัวชะงักไปจังหวะหนึ่ง
แต่ก็กลับมาเป็นปกติภายในวินาทีเดียวกัน
“เราเคยพูดอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ?”
“ครับ”
“โกหกเราล่ะสิ
เรารักชานยอลมากกว่าจนชานยอลกลัวล่ะไม่ว่า” เสียงหัวเราะคิกคักล้อไปกับจังหวะเช็ดผ้าบนผม
นั่นเป็นประโยคที่ทำให้ใจชื้น จงอินคนนี้ต่างจากคนก่อนลิบลับ แต่ทว่าก็ทำให้รักได้ไม่ต่างกัน
อาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ จนคิดว่าถ้าต้องเสียคนคนนี้ไปคงยอมตายเสียดีกว่าอยู่ดูเขาไปเป็นของคนอื่น
ความรู้สึกเหล่านั้นชัดเจนและดูท่าจะร้ายแรงกว่าครั้งก่อนมาก
“ใช่ ผมโกหก”
“ใช่ไหมละ เรารักชานยอลขนาดไหนรู้ตัวดี
ขนาดตอนที่สลบไปก็ฝันเห็นแต่ชานยอล ในฝันเรามีความสุข เราเห็นภาพตัวเองที่มีชานยอลอยู่ข้างๆ
และรู้ตัวอยู่ตลอดว่ารักมากแค่ไหน” คนพูดพูดไปก็ยิ้มไป
ละผ้าขนหนูออกจากกลุ่มผมดำสนิทเมื่อเห็นว่ามันแห้งดีแล้ว ก่อนจะจับหมับไปบนนั้น
ก้มหน้าลงไปฝังจมูกแล้วสูดหายใจเข้าปอดฟอดใหญ่ “หอมจังเลยอะ
พรุ่งนี้สระให้เราบ้างนะ ตอนนี้หัวเรายังเป็นกลิ่นน้ำยาสระผมของโรงพยาบาลอยู่เลย”
ไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่ามากกว่านี้เขาอาจจะคลั่งตายเพราะรักคิม
จงอิน มากไป จับมือนุ่มเกลี่ยปลายจมูกลงไปแผ่วเบา
ไล้จนทั่วเพื่อสูดกลิ่นหอมของครีมอาบน้ำที่หอมประหลาดเมื่ออยู่บนผิวเนื้อของอีกคน
แล้วเอ่ยคำพูดที่อัดอั้นอยู่ในอก
“จะไม่ทิ้งกันไปอีกแล้วใช่ไหม?”
จะไม่บอกว่ากลัวแล้วทิ้งเขาไปรักกับคนอื่นอีกแล้วใช่ไหม?
จงอินใช้อีกมือที่เป็นอิสระสางนิ้วลงบนเส้นผมชานยอลช้าๆ
มองคนที่เอาแต่พรมจูบลงบนหลังมือของเขาอย่างเอ็นดู
ไม่รู้ทำไมน้ำตาถึงทำท่าจะไหลออกมาตลอดเวลา
“ชานยอลต่างหาก อย่าทิ้งเรานะ”
“ไม่มีวัน”
เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นในช่วงเช้าที่ชานยอลไม่อยู่เพราะต้องไปทำงาน
ชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอคือซอลฮยอนที่โทรหาเขาหลายครั้งในช่วงหนึ่งเดือนมานี้และจงอินรับบ้างไม่รับบ้าง
แน่นอนว่าทุกครั้งจะต้องเป็นเวลาที่ชานยอลไม่อยู่ ครั้งนี้เขาไม่อยากรับสายเท่าไหร่แต่ก็กดรับ
เพราะเป็นวันสำคัญ มันจะดูโหดร้ายเกินไปถ้าเขาตัดสายเธอทิ้งในวันนี้
“ครับ...”
(......)
ซอลฮยอนร้องไห้
ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เธอเป็นแบบนั้น
“ผมคิดว่าคุณเข้าใจเรื่องนี้ดีแล้วเสียอีก
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมบอกคุณ”
(ให้ฉันช่วยคุณนะจงอิน ฉัน...ยอมรับไม่ได้จริงๆ)
“จะช่วยผมยังไง? แจ้งความเหรอ? คุณจะบอกตำรวจว่ายังไง?
ทั้งคุณทั้งผมไม่มีใครมีหลักฐาน”
(พ่อแม่คุณ..พวกท่านรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่เยอะแยะ บางทีพวกท่าน..)
“อย่าให้พ่อกับแม่ผมรู้เรื่องนี้
ผมไม่อยากให้พวกท่านไม่สบายใจ ให้ท่านเข้าใจว่าผมมีความสุขดีก็พอ”
(แต่คุณไม่มีความสุข!..ฮึก...ทั้งคุณทั้งฉัน..วันนี้เราควรได้แต่งงานกัน)
ใช่ ถ้าเรื่องบ้าบอนี่ไม่เกิดขึ้น วันนี้เขาคงกำลังอยู่ในโบสถ์
และยืนรับคำอวยพรจากคนที่มาร่วมแสดงความยินดี
“ผมขอโทษที่ต้องทำแบบนี้ ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าเขาจะฆ่าผม
เขาไม่มีทางปล่อยผมไปถ้าผมรักคนอื่น อาจจะฆ่าคุณด้วยถ้าเราแต่งงานกัน”
(แต่ฉันรักคุณนะจงอิน
ไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้เหรอคะ) หญิงสาวร้องไห้หนักให้กับโชคชะตาที่เล่นตลก
“ผมขอโทษซอลฮยอน แต่ผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่าที่ผมทำแบบนี้เพราะผมรักคุณ
อย่าโทรหาผมอีก”
กดตัดสาย
และบล็อกเบอร์ของซอลฮยอนทันที
เกือบสามเดือนที่ใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดฯร่วมกับชานยอล
เขาหายดีแล้วและสามารถเดินเหินได้ปกติแต่ไม่ได้กลับไปอยู่บ้าน แม่มาเยี่ยมสัปดาห์ละสองครั้งในช่วงแรกและเปลี่ยนเป็นสัปดาห์ละครั้งในช่วงหลัง
แม่เข้ากับชานยอลได้ดีและดูเหมือนว่าจะเริ่มคุยกันถูกคอแถมท่าทางจะถูกใจขึ้นเรื่อยๆ
เสียด้วย ช่วงแรกเขาไม่วางใจเลยที่จะให้แม่มาหาแล้วอยู่ด้วยเกือบทั้งวัน เพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่ถ้าเขาเผลอละสายตาเพียงหนึ่งวินาที
ครั้งหนึ่งเขาหมุนล้อรถเข็นเข้าไปเอาของในห้องนอน
แล้วออกมาเห็นชานยอลยืนถือมีดอยู่ข้างหลังแม่ที่กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ในครัว
เขาตะโกนเรียกแม่เสียงดัง ดังจนทั้งสองคนสะดุ้ง แล้วแม่ที่หันมาเห็นมีดที่มือชานยอลก็พูดขอบใจที่ช่วยล้างมีดให้จนสะอาด
เท่านั้นเอง
วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเขา
ชานยอลเป็นตัวตั้งตัวตีจะจัดงานให้ ลู่หานกับแทมินไม่พลาดที่จะมีส่วนร่วม
แม่กับพ่อก็บอกว่าจะมาและยังบอกอีกว่าซอลฮยอนก็อยากมาด้วย เขายินดีเพราะเห็นว่าเรื่องราวก็ผ่านมาพอสมควรแล้ว
แม่อาสามาเข้าครัวให้เลยด้วยซ้ำ แถมยังโทรมาบอกลิสต์รายการที่ต้องซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่เช้า
แต่สุดท้ายก็บอกให้ชานยอลออกไปรับที่บ้านเพื่อพาไปจ่ายตลาด
กลายเป็นหน้าที่ของชานยอลโดยปริยาย ช่วงสายลู่หานกับแทมินมาถึง
พวกมันหิ้วเหล้ายาปลาปิ้งกันเต็มสองมือ กำชับกับเขาว่านานๆ
ทีจะได้ดื่มด้วยกันเพราะฉะนั้นวันนี้ต้องเมา ไม่เมาไม่เลิก
หลังจากนั้นไม่เกินชั่วโมงซอลยอนก็มา
เธอมีของขวัญมาให้อยู่ในถุงสีดำ มันคือเสื้อเชิ้ตแบบที่เขาชอบแถมยังเป็นแบรนด์โปรด
เธอยังรู้ใจเขาดีเสมอ เรายืนคุยกันตรงระเบียงทิ้งให้สองเพื่อนซี้ดูฟุตบอลด้วยกันข้างใน
หลักๆ ก็ถามทุกข์สุขกันและกันตามประสาคนเคยรักและปัจจุบันเราคือเพื่อน ซอลฮยอนเล่าว่ากำลังคุยกับรุ่นพี่ในวงการคนหนึ่ง
เธอรู้สึกดีกับรุ่นพี่คนนั้นและแหย่เขาว่าขอโทษด้วยนะที่แอบไปนอกใจ
เราคุยกันหลายเรื่อง พยายามเลี่ยงหัวข้อเกี่ยวกับเขาและชานยอล
แต่อย่างไรก็ไม่สามารถเลี่ยงได้ทั้งหมดอยู่ดี
“เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นนะ”
ไกลออกไป เราเห็นทั้งตึกสูง
ต้นไม้ และรางของรถไฟฟ้า แต่เราไม่ได้หันมามองกันตอนที่ถาม
อย่างกับว่าคำถามนั้นเป็นแค่คำพูดเพื่อไม่ให้บทสนทนาขาดช่วงเท่านั้น
“ถ้ามันหมายถึงคนที่ผมรักปลอดภัยจากชานยอล
ก็อาจจะดีขึ้นจริงๆ ล่ะมั้ง”
“เขาดูไม่ใช่คนเลวร้ายเลย
ฉันคิดไม่ออกเลยว่าคนแบบนี้ทำไมถึงทำเรื่องอย่างนั้นได้”
“ใช่ ชานยอลไม่ใช่คนเลวร้ายเลย
เขาแค่รักผม”
“......”
ตอนนั้นเขารู้สึกได้ว่าซอลฮยอนมองกลับมา
เพราะรู้สึกอย่างนั้นเลยหันไปมองตอบ รอยยิ้มที่ชอบให้มันส่งมาให้เขาสวยอย่างไร
ตอนนี้มันก็ยังเป็นอย่างนั้น เขาชอบให้ซอลฮยอนยิ้มและตอนนี้เธอก็กำลังยิ้มอยู่
เขายิ้มตอบ มันคงเป็นยิ้มที่แปลกมากจนเธออดถามคำถามที่แปลกเหมือนกันกลับมาไม่ได้
“รักชานยอลไหม?”
“ไม่รู้สิ..พอตัดเรื่องที่กลัวว่าเขาจะทำเรื่องร้ายแรง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ชานยอลทำให้ก็มีแต่เรื่องดีดี ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วชานยอลคือแฟนที่ดี
ผมเองที่กลัวความรักของเขา”
“มีความสุขสินะ”
“......” เขาพยักหน้า
“แต่ก็กลัวอยู่ดีนั่นแหล่ะ”
“ถ้ากลัวนักก็ออกมาเถอะ
ฉันก็ไม่ได้รู้จักชานยอลดีหรอก แต่ฉันเป็นห่วงจงอินนะ
ถ้าชานยอลรู้ความจริงว่าตลอดเวลาจงอินโกหกว่ารัก
โกหกทุกอย่างเขาอาจจะทำแบบนั้นอีก”
จงอินคิดว่ามันไม่ง่ายเลยกว่าที่ทุกอย่างจะดำเนินมาถึงตรงนี้
และไม่ง่ายเลยที่จะทำตามคำแนะนำ เขาคิดว่าเขารู้จักชานยอลดีจากเหตุการณ์ที่เคยประสบพบเจอ
ทุกวันนี้หลายๆ อย่างมันดีอยู่แล้ว เขามีความสุขชานยอลมีความสุขและทุกคนที่เขารักปลอดภัย
ดังนั้นเขาจะไม่เสี่ยงทำอะไรที่จะไปทำให้ชานยอลคิดอยากฆ่าเขาอีก
“ถ้าชีวิตผมจะเป็นอิสระก็คงต้องรอให้เขาตายก่อนเท่านั้น”
ซอลฮยอนคงนึกเห็นใจเขา ถึงได้เอามือบีบไหล่แล้วยิ้มให้เหมือนทุกที
ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเขารักชานยอลไปบ้างแล้วเหมือนกัน
รักในความเอาใจใส่ ดูแลเขาดีมากเท่าที่คนรักกันจะดูแลได้ เพียงแต่ความกลัวนั้นมีมากกว่า
เขากลัวชานยอล กลัวเหมือนที่เคยกลัว และยิ่งกลัวมากกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อจำได้แม้กระทั่งในฝันว่าใครคือคนที่หวังจะฆ่าเขาให้ตายเพียงเพราะกำลังจะแต่งงาน
ดวงตาคู่นั้นที่มองมาจากหลังพุ่มไม้ในวันที่ร่างของเขาจมกองเลือดยังคงติดตา
รอยยิ้ม คำพูดที่กระซิบข้างหู ทุกอย่างฝังลึก ยากที่จะหลงลืมได้ลง
‘และผมสาบานว่าเมื่อได้เจอคุณอีกครั้ง
ผมไม่มีทางปล่อยคุณไป เพราะผมปล่อยคุณไปไม่ได้’
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินในความฝันก่อนที่จะตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล
รูปประโยคบ่งบอกชัดเจนว่าคนพูดไม่มีวันปล่อยเขาให้เป็นอิสระอีกครั้งหากเขาไม่ตายไปซะ
ดังนั้นเขาจึงต้องโกหกทุกคนให้เชื่อว่าความจำขาดหาย
และย้อนไปช่วงที่คบกับชานยอล เขายอมให้พ่อแม่รู้เรื่องที่เคยคบผู้ชายและปฏิเสธซอลฮยอนอย่างไม่ใยดี
ยอมพาตัวเองมาเสี่ยงโดยการใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ตัวเองกลัวจับขั้วหัวใจ
เพื่อให้ทั้งตัวเองและคนที่รักปลอดภัย
เขายอมขนาดนั้น
ยอมโกหกว่ารักนักหนา เล่นละครตบตาอยู่ทุกวัน และเขาตัดสินใจแล้วว่าเพื่อความปลอดภัยของทุกชีวิต
เขายอมที่จะอยู่กับชานยอลตลอดไป จนกว่าจะมีใครสักคนตายจาก
“!! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ชานยอล?..
เราไม่ได้ยินเสียงเลย” หัวใจแทบหยุดเต้นตอนที่หันมาเจอใครอีกคนยืนอยู่ตรงประตูกระจกกั้นระหว่างระเบียง
ชานยอลไม่ได้ตอบ จงอินเลยทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปหา
ยิ้มให้แล้วกอดแขนถามว่าเหนื่อยไหมที่ต้องไปเดินซื้อของตั้งมากมายกับแม่ ชานยอลส่ายหน้าไม่ตอบเหมือนเดิมและยิงคำถามกลับมาว่าเขาหิวหรือยัง
ให้รีบไปทานของว่างข้างใน
กว่าอาหารจะเสร็จก็เย็นมากแล้ว เริ่มกินกันจริงจังได้ไม่เท่าไหร่ซอลฮยอนก็ขอตัวกลับเพราะมีคิวถ่ายโฆษณา
พ่อกับแม่อยู่ด้วยจนถึงสองทุ่มก็ได้เวลากลับ เขากับชานยอลเดินไปส่งแค่หน้าห้องเพราะแม่บอกว่าไม่จำเป็นต้องไปส่งถึงที่รถ
เจ้าของวันเกิดควรดูแลแขกคนอื่นๆ ให้ดี แขกอะไร ไอ้สองคนนั้นนั่นมารชัดๆ
ก่อนกลับแม่ยังบอกกับชานยอลว่าขอบคุณที่ดูแลเขาอย่างดี
และขอให้ดูแลและรักเขาไปนานๆ จะว่าไป เป็นคนยืนฟังเฉยๆ อยู่ตรงนี้ก็เขินเหมือนกัน
เที่ยงคืนเห็นจะได้ที่ไอ้สองตัวนั้นลากกันกลับหลังจากเขาบอกให้พวกมันนอนที่นี่เพราะเห็นว่าเมามาก
แต่ก็ได้เป็นสายตาล้อชวนให้เท้ากระตุกกลับมา เอาจริงๆ ก็จำเวลาไม่ได้หรอก
เขาเองก็เริ่มเมา ทิ้งตัวอยู่ข้างโซฟาปล่อยให้ชานยอลที่ยังมีสติครบถ้วนดีจัดการทุกอย่าง
ตอนที่ได้ยินเสียงประตูเปิดเข้ามาหลังจากชานยอลเดินออกไปส่งลู่หานและแทมิน
แขนของเขาก็ถูกจับพาดบ่า มีเสียงบ่นเบาๆ
ว่าทำไมปล่อยให้ตัวเองเมาอย่างนี้จากคนที่อุ้มเขาจนตัวลอย
สักพักหลังของเขาก็สัมผัสกับที่นอนนุ่มๆ
แล้วเราก็จูบกัน
เป็นจูบแรกตั้งแต่มาอยู่กับชานยอล และเป็นจูบที่ให้ความรู้สึกเหมือนจูบแรกของเราในห้องของลู่หานในวันที่เขาฟูมฟายหลังจากโดนซอลฮยอนบอกเลิก
“......”
ชานยอลตั้งใจจะผละจากไปทันทีที่จูบเสร็จ เขาไม่รู้หรอกว่ามันสมควรเกิดขึ้นไหม
และเพราะอะไรถึงไม่สมควรในเมื่อเราเป็นแฟนกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตลอดสามเดือน
อีกอย่างก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำมากกว่าจูบเสียเมื่อไหร่ แต่เพราะตังแต่จงอินฟื้น
ร่างกายไม่เอื้ออำนวยให้ทำเรื่องอย่างว่า
ตัวเขาเองก็ไม่คิดที่จะทำแบบนั้นกับคนเจ็บถึงได้ไม่ยอมให้มีแม้กระทั่งจูบที่อาจจะเป็นชนวนให้ลามไปมากกว่านั้นหลายเท่า
เช่นเดียวกับตอนนี้ที่จูบเดียวกำลังทำให้เขาต้องการมากกว่าที่เป็น
“ทำไม?” คนที่เมามายถามกลับ
มือก็คว้าแขนของชานยอลไว้ “ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ นอกจากกอด นี่ก็มากสุดของเราเลยนะ”
“......” เรียวปากประกบกันอีกครั้งตามแรงดึงของคนบนเตียง
กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งในปาก และมันทำให้ชานยอลเหมือนถูกมอมเมา
ก่อนทุกอย่างจะไม่จบลงแค่จูบเขาจึงขืนตัวให้พ้นจากเตียงเตรียมตัวออกจากห้อง
“พอก่อน...จงอิน”
“ไม่ชอบเหรอ?”
คำถามนั้นหยุดปลายเท้าที่กำลังจะหันไปทางประตูห้องให้หยุดชะงัก
ชานยอลหันกลับมาหาก็เห็นว่าจงอินยันตัวขึ้นนั่ง ผมเผ้าชี้ไม่เป็นทรง
และดวงตาฉ่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์
“ไม่ใช่อย่างนั้น
แต่ผมว่าเราไม่...จงอินเมามากแล้ว นอนเถอะ เดี๋ยวผมออกไปนอนข้างนอก”
“ถ้าเราไม่เป็นฝ่ายเริ่มก็ไม่คิดจะแตะต้องเราเลยใช่หรือเปล่า?
แล้วตอนนี้เราต้องเป็นคนพูดด้วยใช่ไหมว่าเราอยากให้ชานยอลทำ”
เคยเป็นคนกล้ายังไงก็ยังเหมือนเดิม
เขาเองคือคนที่คอยทำตามตลอดมา เมื่อก่อนนี้จงอินให้เขาเป็นทุกอย่าง
ทำได้ทุกอย่างเว้นขั้นตอนสุดท้ายของเรื่องแบบนั้น เขาเคยเอ่ยขอแต่ก็ถูกปฏิเสธ
มาวันนี้ก็คงเหมือนกันที่เขาต้องทำตามที่จงอินต้องการ
แต่ต่างตรงที่เขากำลังถูกขอร้องให้ทำในสิ่งที่เคยถูกห้ามมาตลอดแทน
ชานยอลโน้มตัวลงไปจูบคนที่นั่งอยู่บนเตียง
เสียงดูดดึงริมฝีปากของกันและกันสะท้อนในห้อง มือนุ่มสอดเข้าท้ายทอยของเขาแล้วออกแรงควบคุมทิศทาง
เขากำลังจะเป็นบ้า หัวใจเต้นโครมครามเหมือนจะกระดอนออกมาข้างนอก ค่อยๆ
ละเลียดปากสีแดงสดช้าๆ ไล่มาจนถึงปลายคางแล้วรั้งกางเกงผ้าเนื้อนิ่มสีเทาตัวยาวออกจากสะโพกเรียวไปพร้อมกัน
จำใจละจากความหอมหวานชั่วครู่ ค่อยๆ ดึงปลายขากางเกงจนมันหลุดออกทั้งหมด เผยให้เห็นช่วงขาขาวเนียนที่ครั้งหนึ่งมันเคยใช้งานไม่ได้เพราะเขา
“อื้ม..”
ชานยอลก้มจูบลงไปตรงข้อเท้าซ้าย
มันคือข้างที่ใส่เฝือกตั้งหนึ่งเดือนเต็ม เสียงจุ๊บเบาๆ
แต่ได้ยินไปถึงเจ้าของของมันที่กำลังเอนตัวลงนอนราบกับพื้นฟูก เขาจูบไล่ระดับขึ้นมา
ตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงหัวเข่า กดย้ำเหนือมันช้าๆ และหลังจากนั้นก็เริ่มโลมเลียด้วยลิ้นชื้นจนถึงต้นขา
ฝากรอยไว้ในทุกที่ที่ปากลากผ่าน
“ชานยอล...อย่าทำอย่างนั้น”
“ผมขอโทษ”
เขาอยากขอโทษมัน
ขอโทษเจ้าของมันที่ทำให้เจ็บ จากนี้ไปเขาสาบานว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก จะไม่ทำให้เจ็บเพราะเขาอีกแล้ว
“ขึ้นมานี่” จงอินจับข้อมือที่เท้าอยู่ข้างเอวให้ขึ้นมาหา
ใบหน้าเสมอกันอีกครั้งเราจึงเริ่มจูบที่เหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด
กอบสองมือกับใบหน้าคมคาย พินิจมัน ทิ้งความกลัวที่มีออกไปชั่วขณะ
ให้เหลือเพียงความต้องการที่มีต่ออีกฝ่ายเท่านั้น
“อา..”
ครั้งแรกของการได้ล่วงล้ำเข้าไปในร่างกายที่ทั้งรัก
คลั่งไคล้ และหวงแหน ชานยอลรู้สึกเหมือนลอยได้ สมองขาวโพลนและเบาหวิว
ทุกอย่างชัดเจนเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งเขาจะได้มีจงอิน
ได้รักอย่างที่อยากรัก ได้รับในสิ่งที่อีกฝ่ายเต็มใจ
และชานยอลยังได้รู้อีกว่า เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวของจงอิน
“ผมรักจงอินนะ รักมาก”
“รู้..อะ...รู้แล้ว..”
จงอินตื่นมาในตอนเช้าแล้วพบว่าชานยอลไม่ได้นอนอยู่บนเตียงด้วยกัน
คงจะตื่นก่อนแล้วออกไปหาอะไรกินในครัวอยู่ล่ะมั้ง
คนเพิ่งตื่นลุกจากเตียงด้วยความรู้สึกปวดแปลบตรงสะโพกเพราะกิจกรรมเมื่อคืน
สำหรับเขามันคือครั้งแรกกับผู้ชาย
และเป็นครั้งแรกที่เขายอมให้มันเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจ
พาตัวเองไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองใต้ตาที่เริ่มคล้ำขึ้นนิดหน่อยของตัวเอง
หยิบยางรัดผมขึ้นมามัดผมหน้าที่เริ่มยาวทิ่มตาให้ขึ้นเป็นจุกน้ำพุ คงต้องบอกให้ชานยอลเล็มให้หลังจากกลับมาจากที่ทำงาน
ชีวิตประจำวันของเขาทุกวันนี้มักมีแต่ชานยอล ชานยอล แล้วก็ชานยอล น่าแปลกที่เขาเคยชินกับการมีอยู่ของชานยอล
และเริ่มมีความสุขกับมันเรื่อยๆ
สองขาเดินเอื่อยออกมานอกห้องนอน
ไม่มีกลิ่นกาแฟหรือกลิ่นขนมปังปิ้งอย่างทุกวัน บางทีชานยอลอาจจะออกไปหาซื้อโจ๊กมากินด้วยกันเช้านี้
แต่ผิดทุกอย่าง
เพราะเมื่อเดินพ้นพนักพิงโซฟาตัวยาว
เขาก็เห็นกลุ่มผมดำสนิทนอนหนุนที่พักแขนโผล่พ้นผ้าห่มที่ห่มตั้งแต่ต้นขามาถึงอก
ชานยอลนอนอยู่ตรงนั้น นอนหลับสนิทมากเสียด้วย
“ชานยอล..ทำไมมานอนตรงนี้
ไม่ไปนอนในห้องสบายๆ”
ความเงียบเท่านั้นที่ได้รับตอบกลับมา
จงอินทั้งสะกิดทั้งเขย่าหัวไหล่
แต่คนที่นอนเอนกายหนุนที่พักแขนโซฟาอยู่ไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมา
กริ๊งง..
โลหะสีเงินวาวขนาดไม่ใหญ่หล่นจากมือข้างที่ยื่นออกมานอกผ้าห่ม
จงอินมองตามจนมันกลิ้งไปชนขาตั้งโซฟาอีกตัวถึงได้รู้ว่าคือแหวนทองคำขาวเกลี้ยงวงหนึ่ง
หยิบมันขึ้นมาดูอย่างสนใจ เขาไม่เคยเห็นแหวนวงนี้มาก่อน ชานยอลก็ไม่เคยใส่ให้เห็น
พอหันกลับไปมองที่มือก็เห็นว่ามีอีกวงสวมอยู่ที่นิ้วนาง จงอินเข้าไปใกล้
มองวงที่สวมอยู่ที่มือใหญ่สลับกับวงที่เขาถือ มันคือแบบเดียวกัน ขนาดใกล้เคียงกัน
“แหวนคู่หรือเปล่า
อย่าบอกนะว่าซื้อมาให้เราด้วย” พูดใส่คนหลับ มองเปลือกตาปิดสนิทไปพร้อมๆ
กับยิ้มหวานปิดไม่มิด เขามองหากล่องใส่มันก็เห็นว่าวางอยู่บนโต๊ะกระจกข้างหลัง
มันวางทับกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ จากที่เห็นก็เดาไม่ยากเลยว่าชานยอลคงอยากทำเซอร์ไพรส์
เอาน่า เล่นกับเขาสักหน่อยจะเป็นไร ดูสิว่าถ้าเขาทำนิ่ง
คนที่หลับอยู่จะแกล้งหลับได้นานเท่าไหร่ คิดเสร็จก็เริ่มอ่านข้อความในกระดาษ
“ ‘จงอิน..คุณสวยราวกับรูปปั้นพระแม่มารีอาในโบสถ์’
อื้อหือ
ไม่เลี่ยนไปใช่ไหม” แค่ประโยคแรกก็ทำเอาจั๊กจี้
ทำท่าทำทางส่งไปให้คนที่ยังเนียนหลับอยู่ได้อย่างน่าหมั่นไส้ “ ‘คุณเป็นคนดูดีมาก ทั้งรูปร่าง ทรงผม
ทั้งเครื่องหน้าที่มีสไตล์ในแบบของคุณ ตั้งแต่ผมเจอคุณครั้งแรกในวันรับน้องผ่านการแนะนำของลู่หาน
ผมก็รักคุณมาตลอด’....‘คุณอาจจะลืมไปแล้วหรือไม่ได้สนใจจะจำเรื่องในอดีตระหว่างเราเท่าไหร่
แต่ผมก็สร้างเรื่องไม่ดีกับคุณและผู้หญิงของคุณไว้มากคุณจำได้ไหม
ผมจำได้ทุกอย่างเลยนะ จำได้แม่นคือตอนที่คุณถามผมว่า คบกันไหม’ ”
อ่านมาถึงตรงนี้จงอินก็หยุดพักเพื่อคิดไปถึงตอนที่ชานยอลพูดถึงในกระดาษ
แน่นอนเขายังจำได้แม่นยำ
“ ‘ผมดีใจมาก มันเหมือนว่าชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วก็ได้แค่มีคุณ
แต่แล้วผมก็ทำให้คุณกลัว กลัวความรักของผม เพราะรักคุณมากเกินไปจนเหมือนคนบ้า
ผมจำได้ว่าวันนั้นเหมือนโลกทั้งใบของผมพังลงมา คุณทิ้งผมไป และไม่ยอมมาเจอผมอีกเลย
จนผมเจอคุณอีกครั้งเมื่อสามเดือนที่แล้ว คุณไม่เปลี่ยนไปเลย
ไม่เคยเปลี่ยนแถมยังสวยมากกว่าเดิมอีกครับ ผมรู้มาสักพักแล้วว่าคุณกำลังจะแต่ง...’ ”
ความกลัวก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นประโยคที่บอกว่าเขากำลังจะแต่งงาน
ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเขาพยายามเลี่ยงเรื่องนี้
และทำทีเป็นว่าไม่เคยรับรู้เรื่องแต่งงานมาก่อน แล้วทำไมถึงพูดเรื่องนี้กับเขา
จงอินมองกระดาษที่ถืออยู่สลับกับคนบนโซฟา
ก่อนจะเริ่มอ่านต่อจากนั้นในใจ
‘นั่นทำให้ผมตัดสินใจอย่างเห็นแก่ตัว
ถ้าผมไม่ได้รักกับคุณก็ไม่อยากให้ใครได้รัก ผมคิดจะฆ่าคุณ ยืมมือผู้หญิงที่คุณรัก
ให้เธอรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตที่ทำให้คุณต้องตาย แต่เปล่าเลย
กลับเป็นผมเองที่รู้สึกอยากจะตายตามคุณไป ผมทรมานที่เห็นคุณเจ็บ
แต่อีกใจก็รู้สึกดีพอคิดว่าจะไม่มีใครได้คุณไป แต่คุณก็ไม่ได้ตายจากผมไปจริงๆ
คุณกลับมา กลับมาเป็นของผมอีกครั้ง’ มือที่ถือกระดาษอยู่สั่นจนควบคุมไม่ได้ ‘ผมมีความสุขทุกวันที่ตื่นมาเจอคุณอยู่บนเตียงเดียวกัน
กินข้าวด้วยกัน คุณที่รักแค่ผมและจดจำแต่เรื่องของเรา คุณยิ้มให้ผมทุกวัน
แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รู้ว่าคุณฝืนที่จะทำมัน’
น้ำตาเม็ดแรกหยดลงบนกระดาษจนหมึกเลอะไม่เป็นคำ จงอินจำได้แล้ว
เมื่อวานนี้ชานยอลได้ยินมันอย่างแน่นอน พฤติกรรมที่แปลกไปไม่ใช่เพราะเขาคิดไปเอง
แต่เพราะได้ยินมันทั้งหมด รู้ว่าเขาหลอกลวงมาตลอด
‘เหตุผลเพียงเพราะคุณยังกลัวผมเหมือนที่เคยบอกว่ากลัว
กลัวว่าผมจะทำร้ายทุกคนที่คุณรัก ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนี้จงอิน
มันก็เพราะว่าผมรักคุณมากเท่านั้นเอง แหวนวงนี้ผมตั้งใจซื้อให้คุณ
อยากเซอร์ไพรส์คุณในวันเกิดแรกที่เราได้อยู่ด้วยกัน แต่ผมก็ไม่ได้ให้มันเองกับมือ’
จงอินอ่านมาถึงตรงนั้นก็ปาดน้ำตายกใหญ่
ก่อนจะอ่านข้อความช่วงสุดท้ายนี้มีรอยน้ำตาอยู่ก่อนแล้ว ไม่ใช่ของเขา
มันแห้งแต่ก็ยังดูชื้นเหมือนกับว่าเจ้าของน้ำตานั้นเพิ่งเขียนมันได้ไม่นานเท่าไหร่
เมื่ออ่านจนจบแผ่นกระดาษก็ค่อยๆ
หล่นลงพื้น พร้อมกับคนที่อ่านมันหันกลับมาหาเจ้าของลายมือบนกระดาษนั้น
ใบหน้าซีดเซียวทำให้จงอินใจไม่ดี ทำตัวไม่ถูกเมื่อกลัวว่าจะเป็นอย่างที่คิด
“ชานยอล...ตื่นสิชานยอล
ผมไม่เล่นนะ คุณกำลังทำให้ผมกลัว”
เขาเขย่าแขนสลับกับปาดน้ำตาตัวเอง
เขาผูกพันกับคนคนนี้ไปแล้วแม้จะยังไม่ได้รักแบบคนรักก็ตาม แต่ถ้าอีกฝ่ายต้อง...
ไม่ เขาจะไม่คิดอย่างนั้น ชานยอลไม่ได้เป็นอะไร จงอินดึงมือข้างที่โผล่พ้นผ้าห่มหวังจะฉุดในลุกขึ้นนั่น
และสิ่งที่เห็นหลังจากผ้าห่มที่คลุ่มตัวชานยอลอยู่หลุดออกก็ทำเอาเขาถลาตัวไปข้างหลัง
ทรุดลงกับพื้นแล้วร้องไห้เพราะไม่อยากจะยอมรับ
“ชาน....อึก....”
ทำไมถึงทำแบบนี้
ทำไมไม่เคยรักชีวิตตัวเองบ้าง ทำไมถึงผูกมันไว้กับเขาขนาดนี้ แล้วเขาล่ะ
เคยคิดบ้างไหมว่าเขาจะอยู่กับตราบาปนี้ได้ยังไง
เสื้อยืดสีขาวที่ชานยอลใส่นอนตั้งแต่เมื่อคืนเลอะไปด้วยเลือด
เลือดจากข้อมืออีกข้างที่ถูกกรีดจนเหวอะ
เลือดที่ไหลออกมาจากตัวจนหมดแล้วทำให้เจ้าของร่างกายนั้นหมดลมหายใจ เปิดทางให้เขาเหมือนที่ได้บอกไว้ในช่วงสุดท้ายของจดหมาย
‘ไม่ต้องฝืนแล้วนะ ไม่ต้องอยู่กับผมแล้ว
หลังจากนี้ผมหวังว่าคุณจะมีความสุขกับอิสระที่ผมให้ อิสระที่คุณจะมีได้ก็ต่อเมื่อผมตายเท่านั้น
ผมรักคุณจงอิน สาบานว่าจะรักตลอดไป และผมขอโทษที่รักคุณมากขนาดนี้’
ความคิดเห็น