คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [SF] I'M JUST A SAD SONG l ChanKai BY KAIke_Project
-I'm Just a Sad Song-
[-] HYPHEN
ความรุนแรงที่ได้รับ ทุกจังหวะที่ถาโถม ไร้ซึ่งคำพูดในทุกๆการกระทำ
เขารู้มันโหดร้ายกับคนใต้ร่างขนาดไหน..แต่สิ่งที่ได้รับก่อนหน้านี้ทั้งหมด มันโหดร้ายกับเขายิ่งกว่าความเจ็บปวดตามร่างกายที่อีกฝ่ายได้รับเสียอีกไม่ใช่เหรอ...
กึก
“ อึก...“
กึก
“ ...... “
กึก
“ เดี๋ยว...ชานยอล...” ไม่ว่าจะพูดกี่ครั้งก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท่าทางเคร่งเครียดไม่เหมือนชานยอลในเวลาปกติทำให้อีกคนได้แต่เก็บคำพูดและความกลัวที่เกาะกินจิตใจ ชานยอลรู้ว่าเขาอาจจะกำลังกดดันอีกฝ่ายให้พูดไม่ออกไปไม่เป็น แต่เขาไม่ใช่เหรอที่โดนต้อนให้จนมุม แล้วสุดท้ายก็เด็กคนนี้อีกไม่ใช่หรือไงที่เอามีดแทงเขาให้ตายอยู่ที่มุมนั้น
ร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนที่นอนยับย่น น้ำเสียงเว้าวอนเจียนขาดใจไม่ได้ช่วยให้ชานยอลรู้สึกอยากดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดให้จมอกแล้วจูบปลอบเหมือนอย่างเคยอีกแล้ว เสียงสะอื้นจากความเจ็บปวดไม่ได้ทำให้ปาร์คชานยอลคนนี้กลับมาเป็นคนดีของคิมจงอินได้อีก เพราะเขาไม่เคยทำให้เจ็บ...
แล้วทำไมถึงต้องทำให้เขาเจ็บขนาดนี้....
“....ห่ะ!! “
ยิ่งคิด ร่างสูงใหญ่ก็ยิ่งโหมกำลังทั้งหมดฝังลึกเข้าในกายจงอินโดยไม่มีทีท่าจะออมแรง เสียงเตียงหกฟุตเสียดสีกันดังลั่นเอี๊ยดอ๊าดอย่างที่ไม่เคยเป็น นั่นเป็นเพราะชานยอลไม่เคยหยาบโลนใส่จงอินขนาดนี้ ความโกรธ ความรู้สึกที่ตัวเองกำลังเป็นไอ้โง่ ดูดดึงสติและความผิดชอบชั่วดีทั้งหมดของเขาไม่เหลือ แว่วเสียงร้องขอให้หยุดอีกครั้งแต่นั่นกลับทำให้เขาเพิ่มแรงกระแทกกระทั้นมากกว่าเดิม มือหนาที่คร่อมยันไว้บนที่นอนเหนือไหล่ของคนใต้ร่างถูกมือสั่นเทาเอื้อมมาจับ ชานยอลมองการกระทำของจงอินนิ่ง มองมือน้องค่อยๆสอดนิ้วตามร่องนิ้วของเขาช้าๆ
อ้อนวอน...
“ ขอโทษ... “
“......”
หยุดซึ่งทุกการกระทำ เสียงแหบเอ่ยซ้ำอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จนกระทั่งแผ่นหลังเปลือยเปล่ารู้สึกถึงหยดน้ำกระทบผิวเนื้อ เท่านั้นจงอินก็หลับตาแน่นกระชับมือที่จับชานยอลไว้ไม่ปล่อย ถึงอยากจะหันกลับไปหาก็ทำไม่ได้เพราะร่างกายที่ถูกทำให้เป็นซากผัก...ไม่มีแรงขนาดนั้น
“ ขอโทษ “
ก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาหยดบนหลัง ร้องไห้อย่างหน้าไม่อายแม้ว่าเขาคือปาร์คชานยอล คำขอโทษคือการยอมรับแล้วว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริงจากปากคิมจงอินโดยไม่ต้องถามออกไป และได้แต่ถามตัวเองว่าเขาผิดอะไร...
มือหนาอีกข้างยกขึ้นลูบหัว สางกลุ่มผมนุ่ม หลังจากนี้เขาอาจจะไม่ได้จับมัน ไม่ได้สูดกลิ่นหอมของมันอีกแล้ว หรือแม้แต่มอง... เขาก็ไม่อาจหน้าด้านพอจะมีสิทธิ์...
“ บอกพี่ได้ไหม..” หรือบางทีอาจจะเป็นเขาเองที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ เป็นเขาที่ทำให้เกิดเรื่องราวน่ารังเกียจ
“.บอกได้ไหมว่ามันเป็นใคร? “
อาจจะเป็นเขาเองที่ผิดทุกอย่าง...
.
.
“I’m just a SAD SONG”
ชานยอลมองร่างคุ้นตาที่กำลังยืนมองหาใครสักคนอยู่หน้าตึกจิตรกรรม รถยนต์สี่ประตูสีขาวขับเทียบจอดริมทางเท้าตรงหน้าร่างผิวสีแทน ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ดีว่าเด็กคนนั้นมองหาเขาอยู่ เพราะเรานัดกันตรงนี้ หน้าตึกคณะจิตรกรรมที่มีรูปปั้นคนเมาขนาดเท่าคนจริงๆตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าตึก
ใช่ เด็กคนนั้นเด่นมากทีเดียว
จงอินไม่เคยรู้ตัว และคงไม่ได้นับหรือเลิกนับไปนานแล้ว กับจำนวนคนที่เดินผ่านมาแล้วเอาแต่มองตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า
เขาเคยบอกจงอินว่า มันคือเสน่ห์ดึงดูดผู้คน
เสน่ห์นี้คือสิ่งที่ดึงดูดเขาให้เข้าไปหาจงอิน...และเขาไม่ใช่ประเภทโดนยิ้มให้แล้วจะทำแค่เดินก้มหน้าจากมา เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้จงอินมาอยู่ข้างตัวในฐานะแฟน ชานยอลยังจำได้ว่าใช้เวลาและความพยายามเกือบปี และเขาค่อนข้างภูมิใจกับตัวเองทุกครั้งที่สำนึกรู้ได้ว่า เขาสามารถพาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของจงอินได้
หน้าตึกคณะที่เป็นลานกิจกรรม นักศึกษาราวๆห้าสิบคนนั่งอยู่ตรงนั้นบนลานพื้นปูน จงอินรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาทางเราทั้งคู่ถึงได้รีบกระตุกมือที่จับกันไว้ให้คลายออก โอเคเพราะเขามากับปาร์คชานยอลซึ่งไม่รู้หรอกว่าในมหาลัยนี้ คนตรงหน้าเขาเป็นที่รู้จักแค่ไหน แต่ดูจากตลอดระยะทางที่เดินจากตัวรถมาถึงตรงนี้ เขาก็พอเดาได้ว่าสายตาทั้งหมดมันมารวมอยู่ที่พวกเขาเพราะใคร ชานยอลหันมายิ้มก่อนจะเอามือยีหัวเหมือนที่ชอบทำเวลาเจ้าตัวนึกเอ็นดู ชานยอลเคยบอกแบบนั้น ท่ามกลางเสียดหวีดแซวท่าทางของชานยอลรุ่นพี่ที่ดูจะเป็นที่สนอกสนใจของคนอื่นตลอดเวลา มือของเขากลับถูกยื้อให้ยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมให้นั่งรวมกับคนอื่น
จงอินมองชานยอลที่ตอนนี้เดินเข้าไปคุยกับใครซักคนในนั้นที่ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในหัวหน้ากิจกรรมรับน้องแต่ก็ยังลากเขาไปด้วย อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยนี้ยังไม่ถึงชั่วโมง แต่กลับรู้สึกชินตากับภาพที่ทุกคนเอาแต่ก้มหัวนอบน้อมให้ชานยอลไปเสียแล้ว
ไม่ใช่เล่นๆเลยนะ
“ ลมอะไรหอบมึงมาเหยียบคณะกู เป็นบุญชิบหายเลยครับ ” จงอินสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเสียงดังลั่นมาจากข้างหลัง หันไปก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อพบว่ามันอยู่แค่เหนือศีรษะนี่เอง เลยได้สบตากับผู้มาใหม่เจ้าของเสียงตะโกนก่อนหน้านี้ ชานยอลหันมายิ้มให้เพื่อนรักที่เพิ่งถามหาเอาจากเพื่อนในกลุ่มมันคนหนึ่ง
“ มึงสายนะเซฮุน “ เป็นชานยอลที่ลากเสียงล้อเพื่อนที่เพิ่งมาเอาตอนกิจกรรมใกล้จะเริ่มอยู่รอมร่อ
“ สายเหี้ยไรมึง กูโดนส่วนเรียกให้ไปช่วยยกน้ำมาให้พวกน้องๆในอนาคตของกูครับ “ ตอบแล้วชี้ไปข้างหลังที่มีขวดน้ำแพ็คใหญ่ๆเกือบสิบแพ็ควางอยู่ “ มึงยังไม่ตอบเลยว่ามาทำอะไรที่คณะกู วันนี้กองพัฒฯเขาโปรดสัตว์มึงเหรอ? “
“ เปล่า “ เว้นระยะชั่วอึดใจก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางคนข้างๆ “ กูมาส่งน้องในอนาคตของมึงรับน้อง “ แล้วยังไม่วายยีหัวอีกคนที่เอาแต่ทำหน้างงๆอย่างหมั่นเขียว
“ สำคัญมากป่ะเนี่ย มึงถึงกับต้องมาส่ง? .....” เซฮุนเหวหนัก แต่พอเห็นมือชานยอลที่จับมือน้องคนนั้นแน่นเกินความจำเป็นก็พอจะเข้าใจอะไรๆชัดเจนขึ้นมาบ้าง จนชานยอลถึงกับขำ
“ กูพามาเจอมึงแล้วนี่ไง จะได้ไม่งอแงเวลากูไม่ยอมเล่าเรื่องจงอินให้ฟัง “
“ ขอบคุณ กูก็เพิ่งรู้วันนี้เลยว่ามึงมีแฟนชื่อจงอิน นี่คงโลกกลมพรหมลิขิตมากที่แฟนมึงต้องมาเป็นรุ่นน้องสาขาเดียวกับกูที่โคตรเป็นเพื่อนรักมึงเลย สวัสดีครับ “ เหน็บเพื่อนแล้วหันไปทักทายคนที่ยืนเงียบฟังพวกเขาสาดคำใส่กันอยู่นาน ชานยอลแกล้งตบหัวไปไม่เบานักที่เซฮุนตอแหลเรื่องเพิ่งรู้ว่าแฟนของเขาชื่อ จงอิน
“ คิม จงอินครับ “ จงอินก้มหัวทักทายอีกฝ่ายและอย่างน้อยเขาก็ควรแนะนำตัว
.
.
กิจกรรมรับน้องช่วงเช้าเริ่มได้เกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่ชานยอลไม่ยอมไปไหน นั่งดูจงอินทำกิจกรรมอยู่ตรงม้านั่งรวมกับพวกปี2ปี3ในสาขาของเซฮุนคนอื่นๆ คนตัวสูงไม่ได้เรียนคณะนี้ นั่นทำให้ทั้งจงอินต้องส่งสายตาเป็นคำถามจากจุดที่นั่งอยู่ไปว่า ไม่ไปรับน้องคณะตัวเองหรือไง? แต่ก็เท่านั้นเมื่อชานยอลทำลอยหน้าลอยตากลับมา จนจงอินต้องส่ายหัวระอา
“ น้ำครับ “ แก้วน้ำพลาสติกใสที่ใส่น้ำเปล่าเย็นๆก็ยื่นมาตรงหน้าแทบจะทันทีที่มีเสียงสั่งพักเบรค รวดเร็วทันใจขนาดนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชานยอลคงเป็นคนสั่งพักเอง ให้ตายเหอะ ใหญ่โตมาจากไหนครับ รุ่นพี่คณะนี้ก็ไม่ใช่
“ ขอบคุณครับ “ จงอินมองชานยอลสลับกับคนอื่นๆ ก่อนหยิบแก้วน้ำจากมือหนามาดื่มไปเกือบครึ่ง มือใหญ่ปาดเหงื่อตรงขมับให้โดยที่อีกคนไม่ทันตั้งตัว แล้วทำท่าจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับให้อีก จงอินคว้ามือชานยอลไว้ทันก่อนจะมองไปตามสายตาที่จ้องมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว ชานยอลไม่สนใจแถมยังยิ้มขำเมื่อแว่วได้ยินเสียงจากปากเล็กขมุบขมิบ
ทำไมชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กประถม
“ เหนื่อยไหม? “ ถามคนที่นั่งเอาแขนข้างหนึ่งกอดเข่าเอาแต่มองไปยังกลุ่มรุ่นพี่ที่เริ่มแจกน้ำให้คนแถวหน้าๆ
“ ไม่เลย ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนั่งตบมือร้องเพลง “ ทำเสียงค่อนแคะ คนพี่คงไปห้ามพวกรุ่นพี่เอาไว้ว่าห้ามสั่งให้เขาทำอะไรเหนื่อยๆ เพราะดูจากที่คนอื่นโดนออกไปเต้นหน้าแถวบ้าง โดนทำโทษให้ลุกนั่งบ้าง ทั้งหมดนี้เขาไม่โดนเลย ก็รู้หรอกว่าเป็นห่วงเขาขนาดไหน แต่นี่ก็เกินไปมั้งครับชานยอล
“ ร้อนเหรอ? “ ชานยอลเงยหน้ามองแดดที่ส่องลงมาตรงบริเวณนั้นพอดิบพอดีจนคนตัวเล็กกว่าต้องเอามือป้องหน้าไว้ ไม่ต้องเดาเลยว่าชานยอลคิดจะทำอะไร ไม่ทันจะได้ห้าม ร่างสูงก็ลุกเดินไปหารุ่นพี่ตัวขาวปากแดงเพื่อนสนิท แล้วตอนนั้นเอง ที่พวกเขาถูกบอกให้ลุกแล้วย้ายที่ไปใต้ร่มของตัวอาคาร ย้ายทั้งหมดเกือบ70ชีวิต รวมถึงพี่ๆทุกคนก็ต้องขนสัมภาระย้ายตามกันไปด้วย ดวงตาโตทะเล้นของคนตัวสูงส่งไปให้พร้อมรอยยิ้ม ไม่สนใจสายตาไม่พอใจของจงอินเลย แต่ก็เพราะชานยอลชอบทำแบบนี้ ก็เลยโกรธไม่ลงทุกที
ปาร์ค ชานยอล ไม่เห็นจะต้องดูแลกันขนาดนี้ก็ได้
“ ไอ้ชาน...มึงเอากีต้าร์มาป่ะวะ? “
อยู่ดีๆเซฮุนก็โพล่งขึ้นมาเฉยๆผ่านโทรโข่ง ได้ยินอย่างนั้นร่างสูงก็ละจากเด็กตรงหน้าเดินไปเปิดท้ายรถที่จอดอยู่ไม่ไกล หยิบกีต้าร์โปร่งที่มีติดท้ายรถไว้เป็นประจำออกมาแม้จะยังงงๆ เซฮุนขานรับว่า เยี่ยม ก่อนจะเดินไปโอบไหล่เพื่อนรัก
“ อะไรของมึงวะ “
“ เล่นกีตาร์ร้องเพลงไงมึง งานถนัดของคนหล่อ “ มัดมือชกเสร็จก็ลากเพื่อนรักมานั่งบริเวณโต๊ะไม้ข้างๆลานกิจกรรม ชานยอลเริ่มเทสเสียงโน๊ตกีตาร์เบาๆโดยมีเซฮุนนั่งให้กำลังใจอยู่ไม่ไกล เสียงดนตรีคุ้นหูเริ่มบรรเลงคลอช้าๆ เรียกความสนใจจากจงอินได้เป็นอย่างดี เด็กปีหนึ่งที่นั่งพักเหนื่อยระหว่างเบรกรวมถึงผู้คนแถวนั้นก็เช่นกัน ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับเสียงกีต้าร์ลื่นหูที่ยังไม่มีเสียงร้อง เสียงกรี๊ดจากบรรดาผู้หญิงเกือบทุกชั้นปีดังระงมไม่เว้นแม้แต่คณะอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมา และไม่นานเกินรอ เสียงทุ้มลึกเป็นเอกลักษณ์ก็ร้องเอื้อกันไปกับดนตรี
เสียงทุ้มมีเสน่ห์แบบเดียวกันกับวันนั้น...
วันนั้นเขาก็เล่นเพลงนี้ เพลงรักเพลงนี้
ชานยอลเลือกเพลงเดิมที่ชอบร้องเป็นประจำขึ้นมาร้องเป็นเพลงแรก ดวงตาโตแต่คมกริบเอาแต่มองไปยังเด็กปีหนึ่งที่นั่งแถวกลางหลังสุด ตั้งแต่รู้จักกับจงอิน ชานยอลจำไม่ได้แล้วว่าเล่นเพลงนี้ไปแล้วกี่ครั้ง แต่ต่อให้เล่นอีกเป็นร้อยครั้งเขาก็ไม่เบื่อ ชานยอลมองจงอินตลอดเวลา เหมือนกำลังจะสื่อว่าเพลงนี้เขาร้องให้ใครผ่านจากสายตา ทุกความหมายในเนื้อเพลง มันคือคำบอกรักที่มาพร้อมกับคำสัญญา ชานยอลไม่รู้หรอกว่าทำไมจงอินถึงยอมรักกัน แต่ถ้าจุดเริ่มต้นมันเป็นเพราะเพลงของเขา เขาก็ยินดีจะร้องมันให้ฟังไปเรื่อยๆ
ชานยอลยินดีจะร้องเพลงรักไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะไม่มีทางรู้เลยว่า เรื่อยๆของเรามันคือเมื่อไหร่ แต่ ณ เวลานี้เขาได้มีจงอินก็พอแล้ว
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แค่นี้ก็พอแล้ว
“ พี่เซฮุนคะ มีน้องเพิ่งมาเข้ากิจกรรมค่ะ “ เสียงแหลมตะโกนลั่นแทรกเสียงกีตาร์ เรียกความสนใจจากทุกคนให้หันไปมองต้นเสียงที่ดังข้ามมาจากอีกฝากหนึ่งของเขตกั้นส่วนของสาขา เซฮุนส่งสัญญาณเรียกให้พาเข้ามา รุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้นหันกลับไปดึงแขนผู้มาใหม่ให้ออกมาพ้นมุมกำแพงทันทีที่ได้รับคำสั่ง
ร่างสูงโปร่งผิวสีเข้มที่หยุดยืนอยู่หน้ากลุ่มหันหน้ามาทางพวกเขา คนคนนั้นมองมาที่จงอินแทบจะทันที ต่างจากคนถูกมองที่ต้องเพ่งสายตาสักพักเพราะนั่งอยู่เกือบหลังสุด แต่ก็ใช่ว่าจะจำไม่ได้เพราะเพิ่งผ่านไปแค่ปีเดียวเท่านั้น และถึงแม้อีกคนดูเปลี่ยนไปพอสมควร แต่คนคนนั้นคิมจงอินจำได้ดี
“ จื่อเทา...”
...... SAD SONG ……
‘ กูยังประชุมไม่เสร็จ วันนี้ฝากมึงไปส่งจงอินที่บ้านอีกวันนะ ’
‘ เออ จ่ายเงินเดือนให้กูด้วย ’
เซฮุนยัดเครื่องมือสื่อสารลงกระเป๋ากางเกงยีนซีดเปื้อนสีเกรอะกรัง ขายาวเดินกลับเข้าไปในห้องเขียนรูปประจำสาขาเพื่อบอกคนที่นั่งวาดรูปรอแฟนมารับให้เก็บของแล้วกลับกับเขาเหมือนทุกวัน กินระยะเวลาเป็นเดือนๆที่เขามีหน้าทีเป็นสารถีรับส่งแฟนเพื่อน เพราะจงอินไม่มีรถ และชานยอลที่โคตรรักน้องชิบหายก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายไป-กลับเอง เซฮุนไม่ได้เดือดร้อนที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้แทนเพื่อน เพราะรับปากกับมันไว้แล้วว่าจะทำให้
ชานยอลคนดัง นักศึกษาบ้ากิจกรรมดีกรีประธานสโมฯคณะบริหารพ่วงตำแหน่งกรรมการกองพัฒนานักศึกษา วันๆหนึ่งเพื่อนของเขาแทบไม่มีเวลาจะทำอย่างอื่นนั่นทำเอาเขายังแปลกใจอยู่ทุกวันนี้ว่าชานยอลเอาเวลาที่ไหนไปจีบจงอินมาเป็นแฟน แต่ก็นั่นแหล่ะ เพราะมันเรียนบริหารสินะถึงได้บริหารเวลาไปทำเรื่องประเภทนี้ได้ แต่งานหลักก็ต้องทำ งานรองก็ทิ้งไม่ได้ นั่นคือร้องเพลงที่คาเฟ่ของป๊ามันเกือบทุกคืน เพราะชานยอลมันชอบร้องเพลง และทุกสิ่งทุกอย่างเขารู้ว่าชานยอลปฏิเสธไม่ได้เลย
แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันรักจงอิน ...เด็กคนนี้มันก็ทิ้งไม่ได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่รบกวนให้เขามาทำอะไรแบบนี้แทนให้อยู่ทุกวันทั้งๆที่เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว
“ จงอิน กลับบ้าน... “ นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ค่อนข้างสร้างความวิตกกังวลให้เพื่อนเขาได้ดีทีเดียว ฮวาง จื่อเทา เพื่อนม.ปลายของจงอิน รุ่นน้องในคณะเขาที่ชานยอลเพิ่งรู้จักครั้งแรกเมื่อวันรับน้องวันนั้น เขารู้ว่าชานยอลกังวลใจเพราะอะไร ก็ตั้งแต่ที่จงอินเห็นจื่อเทา เห็นสายตาที่มองมาทางจงอินรวมถึงเขาสองคนที่ยืนคุยกัน มองด้วยสายตาเป็นคำถามและคิ้วที่ขมวดมุ่น แล้วจะไม่ให้ชานยอลมันคิดมากได้ยังไง
ในเมื่อจงอินแค่บอกว่าจื่อเทาคือเพื่อนม.ปลายที่ไม่รู้ว่าเลือกเรียนที่เดียวกันเพราะไม่ได้เจอกันมาหนึ่งปีเต็มๆตั้งแต่จงอินย้ายโรงเรียน แล้วก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น... ถึงคนฟังจะเป็นเขา ก็ไม่รู้สึกสบายใจขึ้นแม้แต่นิดเดียว แถมตั้งแต่วันนั้น จงอินก็ทำตัวเหมือนจงใจมีความลับกับชานยอลตลอดเวลาและเอาแต่ผูกขาดตัวเองอยู่กับเพื่อนเก่า..
จะว่าไป ก็ตั้งแต่ตอนนั้นแหละมั้งที่ชานยอลต้องฝากจงอินไว้กับเขา เพราะไว้ใจเพื่อนแต่ไม่ไว้ใจคนอื่น
“ ครับ...แล้วเจอกันนะ “ จงอินแค่รับคำแล้วหันไปบอกลาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ท่าทางที่เหมือนเตรียมพร้อมอยู่แล้วนั่นชานยอลคงโทรบอกหรือส่งข้อความหาแล้ว ทันทีที่จงอินเดินออกจากห้องไป สายตาคมกริบของคนที่ยังนั่งวาดภาพอยู่ที่เดิมก็หันมองตรงดิ่งมาทางเขาแบบที่ไม่มีคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้องในแววตา ก่อนจะละออกไปเมื่อมองจนพอใจ
ให้ตายสิ...ไอ้เด็กนี่...
...... SAD SONG ……
เที่ยงคืนกว่าแล้ว แต่ก็อยากโทรหา..
‘ ครับ...’ รอไม่นานเสียงเบาจนกลายเป็นกระซิบก็ตอบกลับมา แค่นั้นเขาก็ชื่นใจแล้วแม้ไม่ได้ยินเสียงเลยทั้งวัน ถึงจะแปลกใจซักหน่อยกับเสียงกระซิบเหมือนแอบคุยแบบนั้น
“ ยังไม่นอนอีกเหรอ? “ แว่วเสียงครางอือลอดเข้ามาในโทรศัพท์ แต่ก็ไม่ชัดเจนพอจะรู้ว่าเป็นเสียงของอะไรหรือใครเพราะเขายังอยู่ในคาเฟ่ของพ่อ ถึงจะหลบเข้าหลังร้านมาแล้วแต่ก็ไม่ได้เงียบสนิทเหมือนอยู่ในห้อง
เสียงเปิดประตูบานเลื่อนดังชัดเจนเข้ามาในหู จงอินคงเดินออกมาคุยนอกระเบียง
อีกแล้ว...
‘ กำลังจะนอนแล้ว ชานยอลหล่ะ ยังอยู่ที่ร้านพ่อเหรอครับ? ‘
ชานยอลขยี้แท่งนิโคตินที่เหลือเกือบครึ่งมวนลงที่เขี่ยบุหรี่ ก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ความกังวลช่วงหลังมานี้ทำเอาเขาต้องอัดทุกๆอย่างเข้าปอดเข้าคอ ยอมรับว่าคิดมากจริงๆกับความเปลี่ยนแปลงที่เขารู้สึกได้ และอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้และถูกปิดบัง...
“ พี่คิดถึงเลยโทรหา โชคดีที่จงอินยังไม่นอน “
‘ ผมก็คิดถึง ’
หลายครั้งอยากถามออกไปว่าอยู่กับใคร แต่มันคงดูงี่เง่าไปและดูเหมือนเขาไม่ไว้ใจจงอินเลย แต่ก็นั่นแหล่ะ เพราะอย่างนี้ถึงได้เก็บมาคิดมากอยู่คนเดียว
ปลายสายวางไปแล้ว เขาบอกให้รีบนอนเพราะจำได้ว่าพรุ่งนี้จงอินมีเรียนเช้า นิ้วยาวกดเบอร์หาใครอีกคนทันทีโดยไม่ปล่อยให้หน้าจอล็อค เที่ยงคืนไม่ใช่เวลานอนของโอเซฮุน ดังนั้นไม่แปลกที่มันจะรับสายเขารวดเร็ว
‘ มีไรวะโทรมาตอนนี้? ’ แต่ก็คงดึกไปสำหรับคนเพลีย น้ำเสียงเนือยตอบกลับมาทำให้รู้สึกผิดที่โทรมารบกวนเวลานอนของมัน แต่เขาอยากรู้จริงๆไม่อย่างนั้นคงได้คิดมากทั้งคืน
“ เซฮุน วันนี้มึงไปส่งจนอินรึเปล่า? “ น้ำเสียงจริงจังถามกลับไปทันที
‘ เออดิ มึงขอร้องมากูเคยไม่ไปส่งไหม? ‘
“ ส่งถึงหน้าบ้านใช่ไหม? มึงเห็นจงอินเดินเข้าบ้านไปกับตามึงรึเปล่า? “ แค่อยากรู้ให้แน่ใจ ว่าจงอินถึงบ้านแน่ๆ และตอนนี้อยู่ที่บ้านไม่ใช่ที่อื่น
‘ เดี๋ยวๆ เหี้ยชาน..’ มันเงียบไปอึดใจ ‘ มึงเป็นอะไรวะ..มึงคิดมากขนาดนี้เลย? กูไม่เคยเห็นมึงเป็นถึงขนาดนี้นี่หว่า ’
“ ...... “
‘ มึงฟังกูนะ ตอนนี้เท่าที่กูเห็น นอกจากไอ้เด็กจื่อเทาแล้วก็ไม่มีใครที่จงอินสนิทด้วยอีก แล้วถ้าอยู่ในสายตากู มึงวางใจได้เลยว่าจะไม่เกิดเรื่องเหี้ยอะไรให้ระคายใจมึง ’
ถึงมันจะพูดแบบนั้นเขาก็ไม่ได้วางใจลงได้เลย ชานยอลมองแก้วเหล้าที่พร่องไปเกือบครึ่ง ใช้นิ้วคนก้อนน้ำแข็งก้อนเดียวในนั้นไปมา ถึงจะเบาใจลงบ้างกับคำยืนยันจากปากเซฮุนว่าไปส่งจงอินถึงบ้านจริง แต่ความกังวลที่ยังเกาะกินจิตใจเขาอยู่ตอนนี้มันไม่ทุเลาลงเลย อยากให้พูดเองจากปาก อยากได้ยินเองกับหูและอยากเห็นเองกับตา เขาอยากได้รับการเยียวยาจากคนเป็นน้อง.. มันกี่วันมาแล้วที่ไม่ได้มองหน้าเต็มๆตา ไม่ได้จับมือ ไม่ได้พูดคุยกัน
ก่อนหน้าที่เขาจะชวนจงอินมาเรียนด้วยกันที่นี่ ตอนที่จงอินยังอยู่ม.ปลาย เรายังได้เจอกันมากกว่านี้อีกไม่ใช่เหรอ?
กดส่งข้อความหาเบอร์ก่อนเบอร์ล่าสุดทันที ความคิดถึงมันห้ามกันไม่ไหว ถ้าตอนนี้ไม่ใช่เวลานอนของน้อง ชานยอลคงบึ่งรถจากร้านของพ่อไปหาแล้ว
‘ พรุ่งนี้เช้าพี่ไปรับที่บ้านนะครับ ’
คุณน้า..แม่ของจงอินยังต้อนรับเขาดีตลอดหนึ่งปีที่เขาเทียวไล้เทียวขื่อรับส่งลูกชาย นึกเอ็นดูนิสัยเด็กผู้ชายแบบนี้ของน้องเมื่อจงอินยังแต่งตัวไม่เสร็จเจ้าตัวตะโกนลงมาบอกให้รอก่อนเดี๋ยวจะรีบลงมา แต่นั่นเพราะเขามาเช้ากว่าเวลาปกติที่จงอินจะตื่นไปเรียน และคุณน้าก็บอกอีกว่าจงอินนอนดึกเมื่อคืนนี้
“ ออกไปกับเพื่อนตั้งแต่เพิ่งกลับจากมหาลัยฯแล้วจ้ะ กลับมาอีกทีก็ดึกมากแล้ว “ คำบอกเล่าใหม่ที่ชานยอลได้ยินชะงักมือจนแก้วน้ำแตะริมฝีปากค้างอยู่อย่างนั้น แม่ของจงอินยังคงหันหน้าเข้าครัว วุ่นวายกับมื้อเช้าของลูกชาย “ เห็นว่าจะไปนอนค้างทำรายงานกัน แต่ทำไมถึงกลับมานอนบ้านก็ไม่รู้ เด็กคนนี้นี่จริงๆเลย “
“ ไปกับใครเหรอครับ? “ ชานยอลพยายามควบคุมเสียงไม่ให้ผิดไปจากเดิมกลั้นใจถามออกไป
“ เอ...ถ้าน้าจำไม่ผิด “ ลากเสียงยาวพรางเงยหน้าขึ้นนึกอย่างคนใช้ความคิด ขณะที่สองมือยังค้างอยู่ในท่าหั่นผัก
“ น่าจะเป็นเพื่อนสมัยเรียนโรงเรียนเก่าของจงอิน เพราะน้าคุ้นหน้ามากๆเลย แต่ขอโทษทีนะจ้ะชานยอล น้าจำชื่อไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้ถามไอ้ดื้อมันด้วย “
ไม่เป็นไรครับ...ไม่รู้อาจจะดีกว่า
ยกน้ำเปล่าขึ้นดื่ม ไม่ได้กระหายแต่เขาไม่รู้ว่าควรเอามือไปวางตรงไหน หรือบางที เขาอาจจะต้องพิจารณาดูว่า สสารแบบเขาควรไปอยู่ตรงไหนดีตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘ เพื่อนสมัยเรียนโรงเรียนเก่า ‘
“ เรื่องเงิน.. “
“ ครับ? “
“ เรื่องเงิน น้าอยากจะขอ... “ ยังไม่ทันจะได้พูดคุยอะไรกับมากกว่านี้ เสียงเดินลงส้นหนักมาจากบันไดก็เรียกให้ทั้งสองคนต้องหันกลับมาสนใจแค่เรื่องปัจจุบัน ก่อนจงอินจะลงมาถึงชั้นล่างชานยอลเลยรีบหันไปบอกแม่ของแฟนทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดถึงอะไร...เรื่องนั้นช่างมันเถอะครับ...
“ เสร็จแล้ว “ พอเดินมาถึงตัวก็รีบบอกให้รู้ถึงความพร้อมจนชานยอลหลุดยิ้ม ลืมไปหมดแล้วเรื่องก่อนหน้านี้ตั้งแต่เห็นคนเด็กกว่ายืนกางแขนให้เห็นกันจะจะไปเลยว่าแต่งตัวเสร็จแล้วจริงๆ ก่อนจะวางกระเป๋าตรงเก้าอี้ข้างๆชานยอลแล้วหันไปหาบุพการีที่ง่วนอยู่กับการหั่นผัก “ แม่โม้อะไรกับชานยอลอ่ะ? “
“ ป๊าววววว นี่วิ่งผ่านน้ำหรือเปล่าเราทำไมลงมาเร็วจัง? “ ทำเป็นปฏิเสธทีเล่นทีจริงก่อนจะเบี่ยงประเด็นเปลี่ยนเรื่อง
“ ไม่ต้องเลยยยยย ผมได้ยินเสียงแม่ดังไปถึงข้างบน “ จงอินเข้าไปกอดแม่จากด้านหลังแล้วเอานิ้วชี้จี้เอวเหมือนจะจับอีกคนเป็นตัวประกัน ประหนึ่งว่าถ้าไม่บอกความจริงจะขยับปลายนิ้วล่ะนะ “ เนี่ยๆๆๆ ถ้าไม่บอกผมจี้เอวแม่แน่ “
“ ก็บอกว่าป่าวไงดื้อ “
“ ยังจะโกหกอีกกาอิน “ หอมแก้มไปฟอดใหญ่ ซึ่งนั่นตกอยู่ในสายตาชานยอลจนนึกอยากให้เจ้าตัวมาทำแบบนั้นกับเขาบ้าง
“ เดี๋ยวเถอะเด็กคนนี้ เรียกชื่อแม่แบบนั้นได้ยังไง แม่เป็นแฟนพ่อเรานะ แล้วเมื่อกี้เรียกชานยอลว่าอะไร? เหมือนแม่จะไม่ได้ยินคำว่าพี่ “ กาอินหันมาเอาต้นหอมชี้หน้าลูกชายคาดโทษ
“ แฟนพ่อ? นี่ถ้าผมเจอแม่ก่อนพ่อ พ่อไม่ได้แอ้มแม่หรอกผมบอกไว้เลย แล้วชานยอลก็เป็นแฟนผม แม่ห้ามเรียกดิ “
“ โหหหห..... “
“ จงอินครับ “ ก่อนที่สงครามจะรุนแรงไปมากกว่านี้ ชานยอลห้ามทับก่อนจะเคาะที่นาฬิกาตรงข้อมือ “ ไปเถอะ จะ7โมงแล้ว จงอินมีเรียน8โมงไม่ใช่เหรอ? “
“ เข้าข้างแม่หรอ? “ พอเอาตัวเข้ามาอยู่ในรถได้ทั้งคู่อยู่ดีๆคนตัวเล็กกว่าก็ถามเสียงเรียบ ชานยอลชะงักมือที่กำลังคาดเบลท์ไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะยิ้มขำส่งไปให้แล้วกดหัวเบลท์ลงล็อคเมื่อเห็นคนถามทำหน้าซีเรียส
“ ความจริงก็อยากเข้าข้างแม่ยายอยู่หรอก เดี๋ยวไม่ยกลูกชายให้ “ ว่าแล้วก็เอี้ยวตัวไปรั้งสายเบลท์ข้างตัวน้องหวังจะคาดให้ ตอนนั้นเองมือของอีกคนก็จับหมับเข้าที่แขนแล้วตรึงเขาเอาไว้จนตอนนี้ปลายจมูกของเราเฉี่ยวกันไปมาทุกครั้งที่หายใจ
“ ซีเรียสนะ “ ไม่รู้ว่าที่พูดนั่นหมายถึงเรื่องอะไร แต่ตอนนี้เขาหูอื้อไปหมดแล้วเพราะจงอินเอาจมูกโด่งรั้นเขี่ยกับปลายจมูกของเขาเหมือนเด็กดื้อชอบแกล้งผู้ใหญ่ ดวงตาเฉี่ยวจ้องกลับมาตลอดเวลาอย่างถือดี... ได้ยินเสียงลมหายใจเป่ารดบริเวณปากจนขนอ่อนเริ่มลุกซู่ และยิ่งควบคุมร่างกายลำบากเข้าไปอีกเมื่อหลุบตามองลงไปแล้วเจอกลีบปากกำลังเผยอล้อเลียน
จงอินเป็นเด็กมีเสน่ห์... ไม่รู้ว่าเจ้าตัวรู้หรือเปล่า
เด็กผู้ชายที่ร่างกายเป็นผู้ชายเต็มตัว แต่ความมีเสน่ห์กลับยั่วยวนเหลือเกิน
....มันมาจากไหนมากมายเขาก็จนปัญญาจะหาคำตอบ
ตลอดเวลาความน้อยเนื้อต่ำใจของชานยอลเฝ้าเผาทำลายความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจต่อคนรักลงเรื่อยๆ เราไม่ค่อยได้เจอกัน จงอินไม่เคยโทรหา หรือแม้แต่เวลาเขาโทรหาอีกคนกลับทำเป็นไม่อยากรับสาย เสียงกระซิบเหมือนแอบคุยเช่นเมื่อคืนมันเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนชานยอลกลัวการโทรหาจงอินไปบ้าง แต่ตอนนี้เขากลับกำลังเต็มตื้นกับสิ่งที่น้องหยิบยื่นให้
ชานยอลเหมือนตัวอะไรซักอย่างที่รอจงอินมาให้อาหาร
ทำไมนะ ทุกครั้งแค่ได้รับอะไรแบบนี้ชานยอลก็เหมือนมีชีวิตใหม่ เด็กไม่ค่อยพูดจนเหมือนเย็นชา แต่ในบางเวลากลับแกล้งเขาในจมดิ่งลงไปจนถอนตัวออกจากหลุมที่ชื่อจงอินไม่ขึ้น ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่จงอินดึงเขาไปตักตวงจูบหนักหน่วง ริมฝีปากไร้กลิ่นแต่หอมหวน ไร้รสชาติแต่หวานเหมือนน้ำตาลไอซ์ซิ่ง ปลายลิ้นเล็กชอบนักที่จะหยอกล้อกับลิ้นหนากว่า เหมือนจะบอกว่า ...อย่าคิดว่าผมอ่อนหัด...
ชานยอลเผลอไผลไปมาก ยิ่งรู้สึกถึงปลายเล็บจิกเบาๆตรงต้นแขน และแรงขยุ้มเสื้อเชิ้ตบริเวณอกสติก็แทบไม่เหลือ..
ให้ตายสิ!!!.. แค่นี้ก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว..
“ ใจเย็นครับ “ ชานยอลมองไปรอบๆนอกตัวรถกลัวว่าจะมีใครเดินผ่านมาแถวนี้ หรือกลัวว่าคุณแม่คนสวยของจงอินจะเดินเอาขยะมาทิ้งหน้าบ้านแล้วเห็นเข้า นิ้วโป้งปาดไล่น้ำเคลือบใสบนกลีบปากออกให้อย่างนึกเอ็นดู
“ คิดถึง “ เท่านั้นเอง เท่านั้นเองที่ชานยอลยอมปัดความมีสามัญสำนึกทิ้งไปชั่วขณะ...
จงอินน่ารัก น่ารักจนเขาลืมไปหมดแล้วว่าเคยไม่สบายใจอะไรมาก่อนหน้านี้ จงอินมีวิธีเยียวยาจิตใจของเขาด้วยความน่ารักอย่างร้ายกาจ น่ารักจนอยากจะรักตลอดเวลา
...ความจริงแล้วคนอย่างปาร์คชานยอล อยากรักจงอินใจจะขาด และบางทีเขาก็นึกรังเกียจความเป็นสุภาพบุรุษเกินไปของตัวเอง
...... SAD SONG ……
หลังจากวันนั้นตลอดหนึ่งสัปดาห์เขาไม่ได้เจอหน้าจงอินเลยนั่นเป็นอะไรที่ค่อนข้างบั่นทอนจิตใจ ทุกครั้งเวลาคิดถึง อยากเจอ ชานยอลมักจะกดโทรศัพท์โทรหาจงอิน หวังว่าจะได้ไปส่งน้องถึงบ้านด้วยตัวเองก่อนจะเข้าร้านพ่อเพื่อร้องเพลงเหมือนทุกวัน หรืออย่างน้อยก็อยากจะพาไปกินข้าวระหว่างวัน แต่ทุกครั้งจงอินมักจะปฏิเสธว่าไม่ว่าง หรือไม่เป็นไรครับผมกลับเอง หรือสรรหาคำอะไรก็ตามมาอ้างเหตุผลจำพวกระยะทางบ้าบอมาให้ผมใจอ่อนยอมจำนนเสมอ เป้าหมายจึงมักเปลี่ยนเป็นเพื่อนรักของเขาแทน แต่โชคคงไม่เข้าข้างคนอย่างปาร์คชานยอลเท่าไหร่ เมื่อเพื่อนของเขาก็ไม่ว่างเหมือนกัน
นั่นสินะ ตารางชีวิตของเขามักยุ่งอยู่เสมอ และเมื่อไหร่ที่ว่างก็มักจะว่างไม่ตรงกันกับน้อง เซฮุนกับจงอินเรียนคณะเดียวกันจะแปลกอะไรถ้ามันจะไม่ว่างเหมือนกัน เขาเองสินะที่แตกต่างออกไป เซฮุนเคยบอกว่าเด็กปีหนึ่งคณะมันงานเยอะ กิจกรรมภาคปฏิบัติจะมากกว่ารุ่นพี่ปีสูง ซึ่งนั่นทำให้จงอินไม่มีเวลาว่างเท่าไหร่ในช่วงนี้
แต่เขาคิดถึง...
ร่างสูงโปร่งกดโทรศัพท์หาคนที่กำลังนึกถึง สองขาก้าวช้าๆเป้าหมายคือห้องสมุดกลางที่เขาตั้งใจจะไปคืนหนังสือที่ยืมมา ไม่รีบร้อนเพราะเพิ่งจะสี่โมงเท่านั้น แต่ครั้งแรกไม่ได้รับการตอบรับจากคนปลายสายเมื่อเขารอจนสัญญาณตัดไป ชานยอลหยิบบัตรนักศึกษาที่เป็นทั้งบัตรเอทีเอ็มและคีย์การ์ดใช้เข้าออกห้องสมุดไปพร้อมๆกันออกมาแตะบริเวณเซ็นเซอร์สีแดงแสบตา กดโทรออกอีกครั้งเมื่อเดินมาถึงบริเวณชั้นสองของตึก ชั้นนี้เป็นโซนของหนังสือเกี่ยวกับภาษาและวัฒนะธรรมที่เงียบสงบที่สุดเพราะคนเข้าใช้น้อย เขาตั้งใจจะมาเลือกหนังสือที่ใช้อ้างอิงวิชาทั่วไปตัวสุดท้ายจะได้เอาไปคืนและยืมพร้อมกันทีเดียว แล้วสัญญาณก็ตัดไปอีกครั้ง...
ไม่มีคนรับสาย...
จากตอนแรกที่นิ่งนอนใจ ตอนนี้ชานยอลกำลังร้อนรนยิ่งกว่าอะไร จงอินไม่เคยไม่รับสายถึงยังไงน้องก็จะรับแล้วบอกว่าไม่ว่างเสมอ ชานยอลกดโทรออกอีกครั้งและตั้งใจว่าถ้าครั้งนี้น้องยังไม่รับ เขาคงต้องไปหาที่คณะให้หายไม่สบายใจ สายตาก็ยังทำหน้าที่ไล่กวาดไปตามชื่อเรื่องบนสันหนังสือในชั้นหนังสือสูงท่วมหัวไปเกือบช่วงแขน
“ รับสิ...เราเห็นโทรมาหลายครั้งแล้ว “
แว่วเสียงทุ้มแปล่งจากด้านหลังนั่นทำให้ชานยอลแปลกใจ เพราะอะไรจะบังเอิญขนาดนั้น เพราะพอเสียงนั้นเอ่ย ไม่ถึงอึดใจจงอินก็รับสายเขา
“ ครับ “ เสียงใสนั้นดังเหมือนอยู่แถวนี้ มันชัดเจนจนเหมือนดังอยู่ข้างหลังเขานี่เอง เร็วเท่าความคิดชานยอลหันไปข้างหลังแล้วมองผ่านช่องว่างของหนังสือที่เรียงกันไม่เต็มดีจนสามารถเห็นทะลุไปอีกสามช่วงแถว... ใบหน้าสีแทนแต่คมเข้ม กับแววตาคมกริบที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่จงอินแน่นอน เขาจำได้ ...เพื่อนสมัยม.ปลายคนนั้น “ ชานยอลครับ “
“ จงอิน... อยู่ไหนครับ “ เสียงนั้นชัดเจนทั้งตรงหูขวาที่โทรศัพท์แนบอยู่ และหูซ้ายที่ว่างเปล่า
“ อยู่ห้องเขียนภาพ ขานยอลมีอะไรหรือเปล่า? “
ทำไม...
“ เหรอครับ.... “ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก และลำบากยิ่งกว่าคือการเปล่งเสียงในแต่ละคำ “ วันนี้ให้พี่ไปส่งบ้านนะ “
“ ..... “ เสียงขึ้นจมูกเงียบไปอึดใจ ก่อนจะตอบแบบเดิมๆตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่เขาเบื่อจะฟัง “ ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมกลับเอง ชานยอลจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมาจากบ้านผมไปร้านพ่อไง อีกอย่างวันนี้เลิกเย็นด้วย...ชานยอลล่ะครับอยู่ไหน? “
“ อะ..อ่อ....อยู่หน้าตึก ถ้าจงอินยังไม่กลับก็ไม่เป็นไรครับพี่ก็คงขับรถไปร้านพ่อเลย “
“ งั้นแค่นี้ก่อนนะครับผมยุ่งมากเลย ถ้าวันนี้เขียนไม่เสร็จคงไม่ได้กลับบ้านแน่ๆ “
ทำไมต้องโกหก...
“ ครับ... “ ปลายสายก็ตัดไปแล้วแต่ชานยอลยังถือโทรศัพท์ค้างไว้ข้างหู ภาพตรงหน้ายังคงเป็นเด็กรุ่นน้องตัวสูงผิวเข้มกำลังมองไปยังคนตรงหน้า คนที่เพิ่งวางสายจากเขาไป...
“ สรุปจะเอายังไง “ ร่างสูงกว่ายิงคำถาม ด้วยสายตาต้องการคำตอบ เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้สองคนนี้คุยอะไรกัน และจงอินทำสีหน้าแบบไหนตลอดเวลาที่คุยกับเขา ตอลดเวลาที่โกหกเขารวมทั้งตอนนี้หลังจากที่วางสายเขาไป เขาไม่รู้เลย ไม่รู้เลยเพราะจงอินยืนหันหลังให้เขา แต่น้ำเสียงกลับจริงจังนั่นเขารับรู้ได้ “ จงอินรู้ใช่ไหมว่าเรารู้สึกยังไง “
“ เรารู้จื่อเทา..เราจะจบให้เร็วที่สุดให้เวลาเราหน่อย “ ในตอนแรกจงอินคงต้องปั้นเสียงเพื่อคุยกับเขาสินะ ตอนนี้ถึงได้ดูอ่อนระโหยโรยแรงอย่างคนมีเรื่องหนักใจอย่างนั้น
“ เอาเถอะ..อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เราไม่ได้อยากจะกดดันจงอินนะ แต่จงอินก็รู้ใช่ไหมว่าเราเป็นห่วง “
มือหนาลูบหัวทุยจนโยกไปมา... ชานยอลหลับตาแน่นกับภาพตรงหน้า ปิดกั้นเหมือนไม่อยากเห็น เขาไม่อยากรับรู้ ยิ่งมือเล็กกว่ากุมทับเพื่อดึงออก เท่านั้นเขาก็เบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน
ทำไมถึงเจ็บขนาดนี้..
และตอนนั้นเองที่สายตาคมเหลือบมาเห็นเขาจากช่องเดียวกัน วูบหนึ่งเขาเห็นว่าอีกฝ่ายตกใจแค่ไหน แต่เด็กนั่นก็เก็บอาการไว้ได้ดียิ่งกว่านักแสดงที่เขาเคยดูในทีวี ตอนนี้เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่เข้าใจสถานการณ์ซักอย่าง ไม่เข้าใจแม้กระทั่งจงอินและตัวเขาเอง สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรมีใครอธิบายให้เขาฟังได้บ้าง บอกทีว่าเขาไม่ได้กำลังเผชิญกับสิ่งที่กลัว
ไม่นานก็พากันเดินออกจากชั้นหนังสือ ชานยอลส่ายหน้าช้าๆให้ตอนที่เด็กตัวสูงหันมามอง
“ จื่อเทา มีอะไรหรือเปล่า “ จงอินหันมามองที่เขาเมื่อเห็นว่าเพื่อนเอาแต่มองมาทางนี้จนต้องรีบหลบเข้าไปให้ลึกกว่าเดิม
“ เปล่า...สงสัยตาฝาด เราเหมือนเห็นคนรู้จักแต่ไม่ใช่หรอก คงไม่ได้มาอยู่แถวนี้ “
ขอร้อง อย่าบอกจงอิน
อย่าบอกให้จงอินรู้ว่าเขาเห็นจงอินที่นี่
เกือบสองชั่วโมงที่นั่งอยู่ในห้องสมุดโดยที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปพร้อมกับความคิดในหัว เมื่อสีท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนจนเกือบมืด ชานยอลตัดสินใจพาตัวเองมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องเขียนภาพโดยที่ไม่รู้ว่าจงอินอยู่ที่นี่หรือไม่ และถ้าอยู่เขาจะพูดอะไรกับน้อง น่าตลกที่ถึงแม้จะเจอเหตุการณ์แบบนั้นแต่เขาก็ยังคิดถึงและอยากคุย ถ้าจงอินยิ้มให้เขาเขาจะยิ้มตอบ
จะปิดหูปิดตาเหมือนว่าก่อนหน้านี้ที่ห้องสมุดเขาไม่ได้ไปเห็นอะไรเข้าให้
“ อ้ะ...!! “ ชะงักมือที่กำลูกบิดประตูเตรียมจะเปิด ท้องฟ้ามืดลงพอสมควรแล้ว มีเพียงแค่แสงตามทางเดินเท่านั้นที่ทำให้ชานยอลมองเห็นว่าสิ่งของต่างๆหน้าตาเป็นยังไง แต่ภายในห้องเขียนภาพที่เขามองผ่านบานเกล็ดไม่ได้เปิดไฟ นั่นทำให้เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าเสียงที่ได้ยินคือเสียงอะไร
แต่ชานยอลไม่ได้โง่ แค่คิดว่าใครกันสามารถทำเรื่องแบบนี้ในมหาวิทยาลัยได้อย่างหน้าไม่อาย ถึงแม้ตอนนี้ทั้งตึกจะไม่มีใครแล้วก็ตาม
“ ขอโทษ...เจ็บ...อึ๊ “ รู้สึกเหมือนขาไม่มีเรี่ยวแรง ชานยอลจำเสียงนี้ได้ขึ้นใจ ร่างสูงเอี้ยวหน้าให้สายตาสามารถมองเข้าไปในห้องจากบานเกล็ดได้ สิ่งที่เขาเห็นคือกระดานวาดภาพผืนใหญ่หลายสิบใบวางบนขาตั้งกระจายเป็นจุดๆ
“ อื้อ อื้อ...พอแล้ว “ เสียงเสียดหูยังคงดังต่อเนื่องแต่เขาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากจุดไหนของห้อง มือสั่นและแรงบีบเค้นในใจทำให้ชานยอลต้องกัดฟันทุกครั้งที่ได้ยินเสียงขาโต๊ะหรืออะไรซักอย่างโยกไหว เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังไปทั่วจนต้องกำมือแน่น เจ็บไปหมดทุกที่ในร่างกาย
แล้วเขาก็เห็นเสี้ยวหน้าของคนรักนอนอยู่บนโต๊ะไม้หลังกระดานเขียนภาพขนาดใหญ่สูงท่วมหัว น้ำตาไหลลงมาดื้อๆเมื่อเห็นกับตาว่าเบื้องล่างของจงอินถูกสอดใส่จากใครบางคนที่โน้มกายทาบทับคนรักของเขาทั้งตัว และมันโดนบังด้วยกระดานเขียนภาพผืนนั้นอย่างตั้งใจ
“ เราไม่....อ๊ะ!! “ สะโพกสอบได้รูปในชุดนักศึกษายังคงขยับเข้าออกอยู่ตรงหว่างขารุนแรงแม้จงอินจะร้องขอปานขาดใจ ช่วงขายาวมีกางเกงยีนสีซีดที่เปื้อนไปด้วยสีน้ำมากมายจนดูสกปรกกองอยู่ตรงข้อขา ภาพสุดท้ายที่ชานยอลทนดูได้คือมือของมันร่นมาจับตรงข้อพับให้แยกออกแล้วซอยถี่ยิบจนเสียงเนื้อกระทบกันลั่นน่ารังเกียจ จงอินร้องเสียงครางหวีดหวิว แล้วชานยอลก็ทรุดลงตรงนั้น
เขาทนดูไม่ได้อีกแล้ว
.
.
“ เซฮุนมึงอยู่ไหน.... “
‘ มีไรปะวะ เห้ยโทษทีนะเว้ยชานยอลถ้ามึงจะให้กูออกไปหาตอนนี้กูไม่ว่างจริงๆหว่ะ ’
ไม่เคยถามจงอินสักทีว่ารับรักกันเพราะอะไร? ไม่เคยถามสักทีว่าจริงๆแล้วรักกันบ้างหรือเปล่า? ความจริงแล้วที่ไม่ถามไม่ใช่เขาโอเคกับการที่ อย่างน้อย..แค่มีจงอินเขาก็พอใจแล้ว เสียทีเดียว แต่เพราะเขากลัว กลัวคำตอบว่าจงอินยอมคบกันเพราะตอนนั้นเขาเข้ามาในตอนที่อีกฝ่ายกำลังไม่มีใคร กลัวจะตอบว่าคบกันเพราะเห็นใจ
เขาเป็นแค่คนคนหนึ่งที่ร้องแต่เพลงรักเป็นร้อยเป็นพันรอบตั้งแต่เจอน้องครั้งแรก ได้ยินเสียงกระซิบบอกว่าคนนี้เขาไม่สามารถปล่อยมือไปได้ รอยยิ้ม น้ำเสียง ทุกๆอย่างชานยอลจะต้องเอามาไว้ในครอบครองทั้งหมดเขารู้แค่นี้ และจงอินก็ใจดีเหลือเกินที่เอื้อเฟื้อตัวเองให้กับเขา ทุกวันนี้เขารู้แล้วว่าจงอินคงแค่ทำทานเพราะคงรำคาญกับเพลงรักที่คอยตามตื้ออยู่ทุกวัน ทุกๆอย่างที่ผ่านมาจงอินคงอยากเล่นกับเขาแค่นั้น ที่เคยบอกว่าคิดถึงที่เคยทำดีด้วยทั้งหมดก็แค่ต้องทำ
ตอนนี้เขารู้ดีแล้วว่าเพลงรักที่ร้องตลอดมา จริงๆมันคือเพลงเศร้าเพลงหนึ่งเท่านั้นเอง
...... SAD SONG ……
“ จงอินโทรหากู บอกว่าอยากมาดูมึงร้องเพลง...กูถามจริงๆนะพวกมึงทะเลาะกันใช่มั้ย? “ โซนหลังร้านในคาเฟ่ของพ่อชานยอลที่เซฮุนลากอีกคนมาคุยหลังจากร่างสูงร้องเพลงจบหนึ่งเพลงแล้วเดินลงมาจากเวทีเสียดื้อๆแล้วถามเสียงดุว่า ‘ดึกดื่นป่านนี้มาทำอะไรที่นี่’ ตามันมองเพ่งไปทางจงอินจนเขาเองยังกลัวแทน ฟังก็รู้ว่ามันเป็นห่วง แต่ไอ้คนเด็กกว่าได้ฟังบวกกับสีหน้าคนพูดก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่ตอบอะไร เพื่อนเขายังไม่วายเสริมด้วยคำว่า ‘ จงอิน ’ ด้วยเสียงโทนต่ำเตี้ยเลี่ยดินอีกดอก
“ ...... “
“ มึงมีอะไรมึงบอกกูดิวะ มึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่มั้ย? มึงหายไปไม่ติดต่อกูเลย มหาลัยมึงก็ไม่ไปสามวันแล้ว จงอินบอกว่าโทรหามึงมึงก็ไม่รับสายน้องมัน “
“ มันไม่เกี่ยวกับมึงหรอก “ เขาหมายถึงพูดไปเซฮุนก็ไม่เข้าใจ
“ สัส...พูดอย่างนี้มึงเลิกคบกับกูเลยนะ “
“ กูขอโทษว่ะ “ พอรู้ว่าใช้คำไม่ถูกชานยอลก็ได้แต่ขอโทษ แล้วเอาสองมือเสยกลุ่มผมขึ้นอย่างคนคิดไม่ตก
“ กูไม่รู้นะว่ามึงเป็นอะไร แต่มึงบอกกูดิ มึงเชื่อใจกูป่ะ? “
“...... “
“ กูเพื่อนมึงนะเว้ยชาน เผื่อมึงไม่รู้ “ เซฮุนเตรียมจะหันหลังกลับไปหน้าร้าน ชานยอลเห็นว่าเพื่อนกำลังเข้าใจผิดก็เรียกไว้เสียก่อน เขาไม่อยากจะต้องมาผิดใจกับมัน
“ เซฮุน...เดี๋ยวกูร้องอีกหนึ่งเพลงมึงพาจงอินกลับบ้านเลยนะ แล้ว... “
“ ...... “
“ บอกจงอินด้วยว่าพรุ่งนี้ห้าโมงเย็นกูจะรอเค้าที่สวนสาธารณะ “
.
.
.
เพลงเศร้า...เป็นครั้งแรกที่เขาร้องเพลงเศร้าแล้วเอาแต่นึกถึงหน้าจงอิน
เพราะจงอินยังไม่มา....
หกโมงกว่าแล้วแต่น้องยังไม่มา สวนสาธารณะที่ใช้เป็นจุดนัดพบคือที่ที่เขาเจอจงอินครั้งแรกเมื่อหนึ่งปีก่อน ยังจำภาพเด็กที่เอาแต่นั่งวาดรูปไม่สนใจคนรอบข้างได้ดี แต่กับสุนัขตัวเดียวกลับทำให้ยิ้มแก้มแทบปริออกมา แล้วตอนนั้นชานยอลก็ถือโอกาสเล่นเพลงจีบโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ จงอินมาที่นี่เวลาเดิมเกือบทุกวัน นั่นทำให้ชานยอลต้องเคลียร์เวลาของตัวเองให้ว่างตอนห้าโมงเย็น มันเป็นอย่างนั้นอยู่ร่วมเดือนจนกระทั่งเขาสามารถกล้าเข้าไปทัก แล้ววินาทีที่ได้รอยยิ้มส่งกลับพร้อมคำสั้นๆว่า ‘ ครับ? ’ เขาก็เดินหน้าจีบแบบไม่ปิดบัง
ชานยอลเล่นเพลงเดิมเป็นรอบที่ห้า หรือ หกแล้วเขาจำไม่ได้ แต่จำได้ว่าเล่นเพลงเดิมจนคุณลุงที่พาหลานมาเล่นเครื่องเล่นแถวนั้นยังถามเขาว่า ‘ เล่นเพลงอื่นไม่เป็นหรือยังไงพ่อหนุ่ม ’ แต่เขาก็ยังเล่นเพลงนั้นซ้ำไปซ้ำมา
หนึ่งทุ่มแล้ว ฝนทำท่าจะตก แต่เขาก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม เล่นเพลงเดิม... ผู้คนแถวนั้นกลับไปจนเกือบหมด เหลือแต่ซุ้มขายน้ำดื่มที่อยู่ห่างออกไปเกือบยี่สิบเมตร แต่เดาว่าอีกซักพักก็คงจะปิดแล้วเพราะอย่างที่บอกว่าฝนกำลังจะตก ที่ที่จงอินอยู่อาจจะกำลังตกอยู่เพราะงั้นถึงยังออกมาไม่ได้ล่ะมั้ง...
สองทุ่มแล้ว ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยแม้แต่คนเดียว และฝนเม็ดแรกเพิ่งตกลงใส่กีต้าร์โปร่งตัวเก่งของเขาดังเป๊าะ เท่านั้นชานยอลก็ยิ้มออกมา เพราะถ้าที่นี่ตก ที่จงอินอาจจะหยุดแล้วก็เป็นได้ หรือไม่ จงอินคงลืมไปแล้วว่าสวนสาธารณะที่เขาฝากเซฮุนไปบอกคือที่ไหน บางทีอาจจะไม่มีความทรงจำอะไรหลงเหลือในจิตใจน้องแล้ว
และชานยอลยังเล่นเพลงเดิม... ‘ เพลงเศร้า ‘
ฝนตกลงมาห่าใหญ่ ชานยอลหยุดเล่นเพลงนั้นแล้วเพราะเสียงกีต้าร์แปลกเกินกว่าจะเล่นเป็นเพลงได้ ตัวกีต้าร์ทำด้วยไม้เปียกชื้นจนเสีย มันพังไปแล้วเขาถึงเล่นเพลงนั้นไม่ได้อีก ร่างที่นั่งอยู่ที่เดิมหลายชั่วโมงไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหน สิ่งที่นองหน้าอยู่ตอนนี้แยกไม่ออกระหว่างสายฝนหรือน้ำตา... มือหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์ข้อความท่ามกลางสายฝนโดยไม่กลัวว่ามันจะเปียกจนพังในที่สุด กดพิมพ์ครู่หนึ่งก่อนจะส่งออกไป
เพราะจงอินไม่มาแล้ว....
‘ ไม่ต้องออกมาแล้วนะครับที่นี่ฝนตกหนักมาก ถ้าออกมาแล้วจงอินรีบกลับบ้านเลยนะ พี่ก็กลับแล้วเหมือนกันครับ ’
สุดท้ายก็ยังเป็นห่วงเขาเหมือนไอ้โง่ แม้ทุกวันนี้ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่มันจบแล้ว
ไม่มีอะไรจะดีขึ้นไปกว่าเดิม....
“ เหี้ยชาน!!! ไปตากฝนที่ไหนมาวะ?? “
หลังจากเอาคนเปียกเข้ามาในห้อง เซฮุนก็ไล่ชานยอลไปอาบน้ำเพราะกลัวจะเป็นหวัด เขาค่อนข้างตกใจที่เห็นเพื่อนในสภาพนั้น มันไม่เหลือสภาพปาร์คชานยอลคนเดิมและสีหน้าก็หมดอะไรตายอยาก จำได้ว่ามันมีนัดกับจงอินตอนห้าโมง แต่ไหงกลายเป็นว่ามันเปียกไปทั้งตัวมาหาเขาแบบนี้
“ มีเบียร์ติดตู้เย็นมั่งป่ะวะ “ ทันทีที่ออกมาจากห้องน้ำเพื่อนรักของเขาก็ถามหาของมึนเมาทันที ไม่ต้องเดาว่ามันเฮิร์ทหนักมาแน่ๆ
“ มี แต่มีไม่เยอะนะ “ ร่างสูงโปร่งเดินเข้าครัวไปเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์สามกระป๋องถ้วนมาให้เพื่อน ชานยอลที่นั่งกับพื้นพิงโซฟาอยู่ละมือจากการเช็ดผมมารับกระป๋องเบียร์เปิดอย่างรวดเร็วแล้วยกขึ้นกระดกไม่สนสายตาเป็นกังวลและเสียงร้องห้ามของเซฮุน เห็นอย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้มันดื่มให้พอ
“ มึงเล่าให้... “
“ จงอินมีคนอื่น “ ยังไม่ทันจะพูดจบ คนที่กระดกเบียร์ไปครึ่งกระป๋องก็เปิดปากออกมาก่อน เซฮุนตาโตอ้าปากค้างเมื่อได้ยิน
“ มึงแน่ใจเหรอวะ? “
“ ...... “ พอเห็นอีกคนเงียบเซฮุนก็ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากหยิบเบียร์อีกกระป๋องมาเปิดแล้วกระดกตามบ้าง เรื่องนี้เขาคงทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดีได้เท่านั้น “ จงอินมีอะไรกับคนอื่น “
“ ...... “ เซฮุนชะงักมืออยู่กับที่ด้วยท่าทางไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน หันมองคนพูดก็เห็นว่ามันเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นที่มีกระป๋องเบียร์วางอยู่ ไม่มีแววล้อเล่น
“ มีอะไรกับคนอื่นทั้งๆที่กับกู... “ ยกเบียร์อีกครึ่งกระป๋องขึ้นดื่มทีเดียวจนหมด “ ...ทั้งๆที่กูไม่เคยมีอะไรกับจงอินแม้แต่ครั้งเดียว “
“ นี่มึงยัง...ไอ้เหี้ย นี่มันเรื่องจริงเหรอวะ “ คำพูดฟังดูน่าสมเพชชวนหัวเราะ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เซฮุนนึกอยากล้อชานยอลเรื่องที่ยังไม่ได้แอ้มจงอิน เขารู้ว่าเพราะอะไรแต่ก็ยอมรับว่าตกใจเมื่อได้ยินจากปากของมัน
“ กูเห็นกับตา “ เปิดอีกหนึ่งกระป๋องที่เหลือทันทีแล้วดื่มประหนึ่งนักกีฬากระหายน้ำ
“ แล้ว...มึงรู้มั้ยว่ามันเป็นใคร? “
“ ...... “ ชานยอลส่ายหน้า “ ก่อนหน้านั้นจงอินอยู่กับไอ้จื่อเทา “
“ ไอ้จื่อเทา? มึงคิดว่าเป็นมัน? “
“ กูไม่รู้... ก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ถัดจากวันที่กูโทรถามมึงเรื่องไปส่งจงอิน แม่จงอินบอกกูว่าน้องออกไปข้างนอกกับเพื่อนสมัยเรียนโรงเรียนเก่า บอกจะไปนอนค้างทำรายงาน แต่อยู่ดีๆก็กลับมากลางดึก มึงจะให้กูคิดเป็นคนอื่นได้อีกมั้ย? “
“ ...... “
“ วันนี้น้องก็ไม่มาหากู กูผิดอะไรวะ “ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยตัวเองก่อนจะโยนกระป๋องเบียร์ที่เขาเคาะจนหยดสุดท้าย เบียร์หมดแล้ว หมดแบบที่ชานยอลยังไม่รู้สึกถึงแอลกอฮอล์ในร่างกายแม้แต่นิดเลยด้วยซ้ำ
“ มึงใจเย็นๆนะ ค่อยคิดหาวิธีคุยกันดิวะ “ รู้ดีว่าเขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าปลอบใจและให้คำปรึกษา แต่อย่างน้อยตอนนี้มันก็ไม่ได้เครียดคนเดียวแล้ว
“ กุญแจรถมึงอยู่ไหน รถกูเบาะเปียกหมดแล้วกูจะขับไปซื้อเบียร์ “ อยู่ดีๆชานยอลก็ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกเต็มที่ เซฮุนยอมรับว่าตั้งรับไม่ทันกับชานยอลเวอร์ชั่นนี้ มันไม่เคยเป็นขนาดนี้ ไม่เคยเห็นมันหนักหนาสาหัสกับใครขนาดนี้มาก่อน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะคงต้องปล่อยให้มันไป
“ อยู่...ที่ไหนวะ....อ้อๆๆๆ อยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมยีนในห้องนอนอ่ะ น่าจะแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้า ให้กูขับไปให้มั้ย? “
“ ...... “ โบกมือขอไปทีกลับมาเป็นคำตอบ
แค่นั้นชานยอลก็ตรงดิ่งไปที่ห้อง หน้าตู้เสื้อผ้าที่เสื้อคลุมสียีนซีดๆแขวนอยู่ เอามือล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบกุญแจรถพอเจอสมใจก็รีบเอาตัวเองออกจากห้อง จังหวะที่หันกลับออกจากห้อง สายตาหันไปเห็นอะไรบางอย่างที่สะดุดตาเขาที่สุด ใจสั่น และมือที่ถือกุญแจรถอยู่กำแน่น แน่นจนกลัวว่ามันจะทิ่มฝ่ามือเข้าซักที ก้มลงหยิบของที่ว่านั่นขึ้นมาแล้วเดินออกไปนอกห้อง เขาต้องการคุยกับเจ้าของห้อง หรืออีกนัยนึงอาจจะเป็นเจ้าของสิ่งที่อยู่ในมือเขาเหมือนกัน
“ เซฮุน... “
“ ว่า? เปลี่ยนใจให้กูไปด้วยแล้วดิ...... “ ร่างโปร่งที่นั่งพิงโซฟากดรีโมทเปลี่ยนช่องไม่ได้หันมามองเจ้าของเสียงเรียก
“ มึงตอบความจริงกูได้ไหม?.... “
“ ...... “ มองกลับไปก็เห็นอีกคนยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องนอน มองหน้าคนถามก่อนสายตาจะหลุบต่ำลงมาที่มือหน้ากว่า
“ ทำไมวะ...? “
ทำไมต้องเป็นมึง....
ชานยอลเป็นคนบูชาความรัก...และความรักที่เขากำลังบูชานักหนาคือจงอิน...
ไม่รู้ว่าภาพที่เห็นคือตาฝาดหรือเกิดภาพหลอน หรือถ้าเป็นความจริง อะไรหรือใครจะมีอิทธิพลพอจนสามารถเกลี้ยกล่อมให้คนคนนี้มาหาเขาถึงที่นี่ได้ ชานยอลไม่อยากหลอกตัวเอง เหนือสิ่งอื่นใดเขาไม่อยากเจ็บ เพราะมองหน้าน้อง เขากลับเห็นภาพใครอีกคนซ้อนทับขึ้นมาจนต้องหลับตาแน่น
จงอินมาหาเขา ทั้งๆที่เวลานี้ไม่อยากเจอเลยแม้จะคิดถึงแทบขาดใจ
มือที่ร้อนอย่างกับไฟจับแขนเขาเบาๆเรียกให้ชานยอลหันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างเป็นห่วง ตอนนั้นเองที่ได้มองหน้าชัดๆ ถึงได้รู้ว่าหน้าอีกฝ่ายซีดเซียวขนาดไหน...เป็นอะไร? หลายวันมานี้ที่ไม่ได้เจอกัน ไม่ได้กำลังมีความสุขอยู่หรอกเหรอ? เขาอยากจะถามออกไปแบบนั้น แต่ความเสียใจก็มีมากพอให้เขาดันมือที่แขนออก
“ ชานยอล “ แต่จงอินก็เลือกที่จะท้าทายหัวใจของเขาโดยไม่สงสารกันเลย มือว่าร้อนแล้วแต่ทั้งตัวกลับร้อนกว่า ร่างของน้องร้อนราวกับไฟ จงอินมีไข้เขารู้สึกได้ รู้สึกได้จากการที่อีกคนโถมตัวเข้ากอดเขาจากข้างหลัง
เราชอบกอดกันจากข้างหลัง จงอินทั้งชอบเป็นคนกอดและชอบโดนกอด เขาเองก็เช่นกัน
“ มาหาทำไม? ทำแบบนี้ทำไม? “ คำถามที่ต้องการคำตอบแต่ก็กลัวคำตอบ ชานยอลพยายามแกะมือที่อยู่ตรงท้องเขาแต่ไม่เป็นผล ...จงอินเวลาดื้อไม่ว่าใครก็รับมือไม่ได้
“ ...... “
“ ต้องการอะไรจากพี่กันแน่... “
“ คิดถึง “ ใจร้าย ใจร้ายทั้งน้ำเสียง ใจร้ายทั้งความร้อนที่แนบหลัง ชานยอลจะไม่โทษใครนอกจากตัวเอง ตัวเขาเองที่ต้านทานจงอินไม่ได้เลย “ คิดถึงชานยอล “
ขบกราม หลับตาแน่น ถ้าตอนนี้เขากำลังถูกปั่นหัว ก็ขอให้เป็นการถูกปั่นหัวครั้งสุดท้าย...
.
.
.
ร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนที่นอนยับย่น น้ำเสียงเว้าวอนเจียนขาดใจไม่ได้ช่วยให้ชานยอลรู้สึกอยากดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดให้จมอกแล้วจูบปลอบเหมือนอย่างเคยอีกแล้ว เสียงสะอื้นจากความเจ็บปวดไม่ได้ทำให้ปาร์คชานยอลคนนี้กลับมาเป็นคนดีของคิมจงอินได้อีก ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเอาแต่จมอยู่กับร่างกายร้อนผ่าว สำนึกรู้ทุกครั้งที่กดจมลึกและทอดถอนจนเกือบหลุด เพราะภายในร้อนยิ่งกว่าภายนอกหลายร้อยเท่า ชานยอลจึงเหมือนโดนนาบด้วยถุงร้อน และโดยไม่ทันตั้งตัวก็โดนสาบใส่ด้วยน้ำเย็น
เขาจำได้แล้วมันอาจจะตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่จงอินเอาแต่ขอโทษในเรื่องที่เขายังไม่ได้ถาม น่าตลกแต่ก็สมเพชตัวเองจนต้องหลั่งน้ำตา
“ ขอโทษ... “
ก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาหยดบนหลัง ร้องไห้อย่างหน้าไม่อายแม้ว่าเขาคือปาร์คชานยอล คำขอโทษคือการยอมรับแล้วว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริงจากปากคิมจงอินโดยไมต้องถามออกไป และได้แต่ถามตัวเองว่าเขาผิดอะไร...
' กูจำกางเกงตัวนี้ได้ '
มือหนาอีกข้างยกขึ้นลูบหัว สางกลุ่มผมนุ่ม หลังจากนี้เขาอาจจะไม่ได้จับมัน ไม่ได้สูดกลิ่นหอมของมันอีกแล้ว หรือแม้แต่มอง... เขาก็ไม่อาจหน้าด้านพอจะมีสิทธิ์...
...รัก...
“ บอกพี่ได้ไหม...บอกได้ไหมว่ามันเป็นใคร? “ แม้จะรู้อยู่แก่ใจแต่เขาอยากถาม ในเมื่อจงอินเลือกที่จะขอโทษ แค่ถามว่ามันคนนั้นเป็นใครคงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง เขาอยากรู้ว่าจงอินจะตอบว่าอะไร แต่จนแล้วจนรอดอีกคนก็เอาแต่ส่ายหน้าเก็บคำ
‘ กูขอโทษ ’
ท่าทางที่เปลี่ยนไปของน้องชานยอลรู้สึกได้ แม้จะมีเพื่อนรักอย่างโอเซฮุนคอยให้คำปรึกษาและคอยสังเกตการณ์ในฐานะรุ่นพี่ร่วมคณะของจงอินให้ แต่เขาก็รู้สึกใจหายทุกครั้งที่จงอินรับโทรศัพท์ด้วยเสียงกระซิบเบา เหมือนแอบใครซักคนคุยกับเขา ถึงแม้ว่าตอนนั้นจงอินควรจะอยู่บนเตียงเตรียมนอนได้แล้ว
‘ กูไม่อยากทำแบบนี้ มึงเข้าใจกูนะ ‘
ชานยอลปลดปล่อยทุกความอุ่นซ่านเข้าร่างกายอ่อนแรง เสียงหอบเหนื่อยดังปนกับเสียงสะอื้นที่ไม่รู้ว่าของใคร โน้มตัวลงจูบขมับชื้นเหงื่อแต่ทั้งหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยน้ำตา จงอินกอดรัดแขนเขาเอาไว้แล้วเอาแต่ร้องไห้เหมือนไม่อยากให้ไป แต่คนอย่างเขาหรือจะไปไหนได้..
“ จะให้ผมทำยังไงบอกสิ...ไม่เอาอย่างนี้ชานยอล “
ไม่เอาหน่าจงอิน...เราเป็นคนไล่พี่เองไม่ใช่หรือไง
‘ มึงจะให้กูทำยังไง...กูกับเขาเลิกกันโดยไม่เต็มใจด้วยซ้ำ มึงให้กูอยู่กับเขา มึงเป็นคนให้กูได้ใกล้ชิดเขาโดยที่กูไม่มีสิทธิ์พูดปฏิเสธอะไรมึงทั้งนั้น กูผิดเหรอวะที่หนึ่งปีแล้วแต่กูยังพยายามลืมเขาไม่สำเร็จ แล้วพอมึงยื่นเขามาให้กูถึงมือ...
กูทนอยู่เฉยๆโดยไม่แตะต้องเขาไม่ได้...กูขอโทษ...’
ชานยอลคิดผิดหรือเปล่า ที่ขอร้องให้น้องมาเรียนที่นี่ ถ้าชานยอลรู้ว่าจงอินจะมาเจอแฟนเก่า... จะยังอยากให้มาเรียนด้วยกันที่นี่หรือเปล่า?
เพราะอย่างนี้ไงเวลาที่โทรไปหา มีใครอีกคนอยู่บนเตียงเดียวกันกับ คิม จงอิน ทุกครั้ง
...แล้วมันก็คือเพื่อนรักของเขาเอง...
END
ฟิคเรื่องนี้เป็นหนึ่งในฟิคโปรเจคที่ค่อนข้างภาคภูมิใจ เพราะความอินจนโดนเกลียด ย้ายมาไว้ในนี้ให้เป็นศรีแก่วงตระกูล
พูดถึงฟิคเรื่องนี้ ติชม รบกวนติดแทค #SadsongCK
จุ้บ
[-] Hyphen
ความคิดเห็น