ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    You don't know I LOVE [ChanKai] ft.EXO

    ลำดับตอนที่ #1 : You don't know I LOVE [Chan x Kai] ft.EXO : ONE *Edit theme

    • อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 59


    ◊ SQWEEZ                







    CHAPTER : ONE

    ----------------------------------








              ความพยายามไม่ช่วยอะไร..


     

                    ความรู้สึกเดิมกลับมาอีกครั้ง แค่คิดว่าต้องทำมันอีกครั้งหัวใจก็กระตุกวูบขึ้นมาเสียเฉยๆ เหตุการณ์เดิมวิ่งเข้าในหัวชานยอลเหมือนกับการเปิดประตูเขื่อนที่อีกด้านหนึ่งมีน้ำอยู่ในปริมาณที่เต็มปริบจนเกือบจะล้น แต่อีกด้านน้ำแห้งขอด ทุกๆอย่างทะลักล้นจนห้ามไม่ได้ เพราะเขาทำได้แค่ปิดกลั้นมันเอาไว้อีกด้านหนึ่งของหัวใจเสมอมา และปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน เพราะเพียงแค่ร่างของใครอีกคนปรากฏอย่ในสายตา ชานยอลก็รู้ทันทีว่าเค้าปล่อยไปไม่ได้


     

                    ต้องทำแบบเดิมอีกหรือ?

                   

                    แต่มันไม่ใช่แบบนั้น   ใครอีกคนที่ว่าไม่ได้มาในฐานะเดิมที่เขาจะปฏิบัติด้วยได้ แต่มาในแบบที่เหนือกว่านั้น ชานยอลไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้ แค่คิดว่าคนคนนี้เป็นคนที่เขาไม่สามารถรับมือได้ แค่คิดมือก็สั่นไปหมด... ตลอดมาเขามั่นใจ ไม่ว่าใครจะคิดแบบไหน  ลึกซึ้งมากเท่าไหร่ เขารับมือได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่


                    ก็ในเมื่อคนที่คิดไม่ใช่คนที่มาใหม่ แต่เป็นคนที่เขาหวงมากกว่าใคร แล้วเขาจะสู้ได้อย่างไร?

                    .

                    .

                    .


     

              ‘มาหาหน่อย

                    หลังจากอ่านข้อความสั้นๆไม่เกิน10นาที ชานยอลก็มาจอดรถมอ'ไซค์คันใหญ่ของตัวเองที่โรงจอดรถหลังทาวน์โฮมหลังหนึ่งใจกลางย่านการค้า  ตอนแรกตั้งใจจะจอดหน้าคาเฟ่แต่ลูกสาวเจ้าของบ้านก็ทำสัญญาณมือชี้ไปด้านหลังก่อนเขาจะจอดรถสนิดเสียอีก ถึงเขาจะเข้านอกออกในทีนี่เป็นว่าเล่นในทุกๆครั้งที่ลูกชายคนเล็กกลับมานอนที่นี่และเรียกเขามาก็เถอะ  เขาก็ยังมีความเกรงใจ  แต่เอาเถอะ ในเมื่อยังไงก็ได้กลับพรุ่งนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้นจอดหลังบ้านก็ปลอดภัยดีเหมือนกัน

     

                    ช่วงขายาววาดขาข้ามเบาะรถก่อนจะยื่นตัวตรงเต็มความสูง  เป้าหมายคือห้องใต้หลังคาชั้น4ที่หลับตาเดินยังได้  แต่อย่าเลยเพราะเขายังอยากเห็นหน้าอีกคนในสภาพที่ตัวเองครบ32  
                   
                    ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องก็เจออีกคนนั่งอยู่บนโซฟาข้างเตียง มือก็ยกรีโมทกดเปลี่ยนช่องแล้ววาง  แล้วก็ทำแบบเดิมซ้ำอยู่อีก2-3รอบ ก่อนจะพูดเสียงแข็งตำหนิเขาว่า 
    มาช้า โดยที่ยังไม่หันมามองหน้าด้วยซ้ำ ชานยอลมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนหนังเหนือโทรทัศน์ขึ้นไป  ใช่ เขาช้าไป2นาที



                    ชานยอลคว้ารีโมทจากมือคนน้องมากดปิดโทรทัศน์แบบไม่ถูกหลักแถมยังไม่ช่วยชาติประหยัดไฟ ก่อนจะนั่งลงข้างๆแล้วโอบไหล่จับน้องให้หันมานั่งพิงอกเขาได้ถนัดโดยมีเขาซ้อนอยู่ด้านหลัง  จงอินนิ่งไม่ได้ว่าอะไรซ้ำยังปล่อยให้เขาทำได้ตามใจ  


                    ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกคนกำลังอารมณ์เสีย และเขาก็รู้ดีเสียด้วยว่าเพราะอะไร เขาเดาเอาไว้แล้วว่าวันนี้จงอินจะต้องกลับมานอนที่นี่และต้องเรียกเขาออกมาหาในเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งมันก็ตรงกับที่เขาเดาไม่มีผิด จะผิดไปนิดก็ตรงที่เรียกเร็วกว่าปกติ คงเป็นเพราะเหตุการณ์วันนี้มันทำให้คนของเขาเสียใจมากกว่าปกติหรือเปล่า?



                    คิมจงอินไม่ใช่คนอ่อนแอ่ ไม่ใช่คนที่เสียใจแล้วจะร้องไห้ฟูมฟาย  เขาเคยเห็นคนเป็นน้องร้องไห้ครั้งแรกตอนที่เราได้รางวัลกับตอนที่สามทหารเสือแห่งบ้านคิมป่วยไม่ว่าจะตัวใดก็ตามเท่านั้น เพราะฉะนั้นอาการนี้แหล่ะคืออาการที่คิมจงอินเสียใจที่สุดแล้ว  คิมจงอินเป็นคนที่ไม่สนิทก็จะนิ่งและเงียบเกินไปแต่ถ้าสนิทก็จะพูดเป็นต่อยหอย หรือถ้าเรื่องที่คุยเป็นเรื่องที่น้องไม่รู้ก็จะไม่ค่อยคุยแต่ถ้าเรื่องนั้นเจ้าตัวกำลังให้ความสนใจอยู่  ก็จะต่อยหอยเหมือนกัน 
                    คิมจงอินเป็นคนเส้นตื้น บ้าจี้ ขี้แกล้ง ขี้ขำและขี้เขิน  แต่น้องเป็นคนจริงจังไม่ชอบความพ่ายแพ้ ในขณะเดียวกันน้องขี้เป็นห่วง บางครั้งจะเห็นว่าน้องไม่ค่อยพูด แต่น้องจะมองทุกคนอยู่ในสายตา


     

                    “เขาคืนดีกัน..หล่ะมั้ง”

     

                    แต่จะมีคนอยู่หนึ่งคน...หนึ่งคนที่คิมจงอินจะปฏิบัติด้วยแบบตรงไปตรงมา อ่อนโยนด้วยอย่างถึงที่สุด และอยู่ในสายตาของน้องมากที่สุด


                    ถ้าคุณเห็นเวลาคิมจงอินเขินอาย คุณจะเห็นเขาตีคนที่อยู่ใกล้ตัวไปทั่ว แต่เขาจะไม่ทำมันกับคนคนหนึ่ง ถ้าคุณเห็นเวลาคิมจงอินชวนใครทำเรื่องแย่ๆอย่างเช่นแกล้งเมมเบอร์ซักคนในวง คุณจะเห็นเขามีแนวร่วมเสมอ แต่เขาจะไม่ดึงคนอยู่คนหนึ่งมาทำแบบนั้น ถ้าคุณเห็นคิมจงอินยิ้มหรือสนุกไปกับการกระทำของเมมเบอร์คนไหน คุณจะเห็นเขายิ้มและหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติแล้วก็จบไป แต่เขาจะยิ้มและหัวเราะอย่างอ่อนโยนเมื่อเรื่องที่ทำให้เขายิ้มและหัวเราะมันมาจากคนคนนั้น คิมจงอินจะฟังในสิ่งที่คนคนนั้นพูดอย่างตั้งใจเสมอ น้องจะไม่เถียง ไม่ดื้อ ไม่ขัดใจ 


                    “ก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังไม่ตัดใจซักที” ถามแบบนี้ทุกครั้งที่เกิดเรื่องประมาณนี้  แล้วถามว่าทำไมถึงยังไม่ชินซักที เพราะทุกครั้งอีกคนก็ไม่เคยตัดใจ

                    “ทำไม่ได้”  พูดไปก็ส่ายหน้าไป  

                   

                    รู้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว

     
     

                    ชานยอลกระชับแขนที่รัดเอวอีกคนหนึ่งไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม สุ่มเสียงใหญ่กระซิบถาม  เหมือนเดิมใช่มั้ย’ ข้างใบหู ก่อนริมฝิปากหนาจะกดทับกับปากนุ่มทันทีที่คนในอ้อมกอดพยักหน้า หลายครั้งชานยอลก็สงสัยกับความสัมพันธ์ที่อีกคนหยิบยื่นให้ ก็ยังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม เป็นสมาชิกในวงเดียวกันไม่ได้ถูกปฏิบัติเป็นพิเศษ เหมือนๆกับคนอื่น  แต่ก็แค่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นหล่ะมั้ง เพราะพี่น้องกันที่ไหนเขาทำกันแบบนี้


                    ทุกครั้งที่จงอินเสียใจเรื่องใครอีกคน  เจ้าตัวจะกลับมานอนบ้าน   บ้านหลังใหม่ที่เพิ่งซื้อให้ครอบครัว และเพื่อให้พี่สาวเปิดร้านกาแฟ    ทุกครั้งเขาก็จะถูกเรียกมาที่นี่เพื่อถูกใช้ให้ปลอบ  ไม่มีใครคนอื่นในวงรู้ถึงห้องนอนใต้หลังคาชั้น4นี้ ไม่มีใครรู้ว่าจงอินมีอีกห้องทีนี่ถึงจะรู้ว่าเป็นบ้านอีกหลังของคนผิวเข้มก็ตาม


                    ลิ้นร้อนยังคงไล่ต้อนความหาความหวานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของน้อง จงอินใช้มือรั้งต้นคอของคนเป็นพี่ให้เข้ามาแนบชิดกันมากขึ้นก่อนจะเป็นคนคุมเกมส์จูบนี้ซะเอง ชานยอลรู้ตัวแล้วว่าหลังจากนี้เขาจะหยุดไม่ได้ จับตัวคนที่เขานั่งซ้อนหลังอยู่ให้พลิกกลับมานั่งหันหน้าชนกันแล้วยกตัวน้องให้นั่งคล่อมบนตักโดยที่ริมฝีปากยังไม่ละออกจากกัน





                    เสียงครางอื้ออึงในลำคอเป็นของชานยอลเองที่อดกลั้นไม่ได้ เมื่อจงอินยืดตัวให้ใบหน้าอยู่สูงกว่าคนเป็นพี่นิดหน่อยเป็นเหตุให้ชานยอลต้องเงยหน้ารับจูบของอีกคนที่ก้มลงมา ตาคมสวยไม่ได้ปิดสนิทอย่างคนไม่เป็นแต่กลับจ้องกลับสายตาของคนเป็นพี่ที่เผลอลืมขึ้นมาสบกัน  จงอินไม่แม้แต่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลย ระหว่างที่ไล่ต้อนอีกคนให้จนมุมมือที่เล็กกว่าอีกคนนิดหน่อยก็รูดซิปเสื้อหนังที่ชานยอลใส่ประจำเวลาขับรถ ลูบแหวกสาบเสื้อด้วยมือทั้ง2ข้างให้หลุดออกจากไหล่กว้าง  ไหล่ที่จงอินชอบชมออกสื่อนักหนาว่ามันทั้งกว้างและดูแข็งแรง


                    “ใจเย็น”

                    พอรู้สึกว่ามันไม่ได้ดั่งใจ จงอินก็ละจูบออกเอี้ยวหน้าไปข้างหลังชานยอลเพื่อจะดึงแขนเสื้อให้หลุดออกจากลำแขนยาว แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ชานยอลจึงต้องบอกให้น้องใจเย็นๆเมื่ออีกคนเริ่มจิ๊ปากอย่างขัดใจแล้ว

                    ร่างสูงกว่าดึงปลายแขนเสื้อให้หลุดออกอย่างง่ายดายแล้วโยนมันไม่แรงนักให้ไปตกอยู่ไม่ไกล ก่อนสองมือใหญ่จะยกขึ้นมาประคองใบหน้าที่ทำท่าจะจูบเขาอีกครั้ง  ชานยอลมองหน้าน้องจ้องตานิ่ง ส่งคำถามจากสายตาว่า วันนี้เป็นอะไร ทำไมถึงได้ดูรีบร้อนนัก อีกคนก็มองตอบแต่คนละความหมาย คิ้วเรียวขมวดนิดหน่อยอย่างโดนขัดใจและเข้าใจในคำถามไปพร้อมๆกัน  แต่ชานยอลก็นิ่งเหลือเกินจนเขาเองคิดว่าวันนี้คนเป็นพี่จะไม่ยอมทำอย่างเคยหรือเปล่า? ซึ่งเขาไม่แคร์มันก็ได้ 

     
     

                    “พอเสร็จแล้วก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม พี่ก็จะถูกลืมอีกเหมือนเดิม นายก็จะใช้ให้พี่ไปทำอะไรเดิมๆที่นายก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์” จงอินขมวดคิ้วให้ดูยุ่งยิ่งกว่าเดิม เริ่มหงุดหงิดเสียแล้วเพราะรู้สึกว่ากำลังโดนขัดใจ มือเล็กกว่าจับมืออีกคนที่อยู่ข้างแก้มหวังจะเอาออกอย่างรำคาญ ไม่ทำก็ได้เขาไม่ได้ว่า แต่ไม่ทันจะได้ออกแรงดึงคนป็นพี่ก็คว้ามือที่เอาแต่ทำร้ายจิตใจแล้วดึงเอามากุมไว้  จ้องมองใบหน้าของคนเป็นน้องไม่วางตา

     

                    “แต่พี่ก็ยอมให้มันเป็นแบบนั้นทุกครั้งไม่ใช่เหรอจงอิน”

                    “......”

                    “แต่ตอนนี้นายก็เห็นแล้วว่าสิ่งที่นายให้พี่ทำมันไร้ประโยชน์”

                    “พี่มันไม่ได้เรื่อง”

                    “......”

                    ทำหน้าหงุดหงิดอีกแล้ว เขาทำให้ไม่พอใจอีกแล้วสิ คิดได้อย่างนั้นชานยอลก็ได้แต่ยิ้มอ่อนแรงไปให้ เขาเป็นคนยื่นข้อเสนอนี้เอง ขอเสนอที่ว่าเขาขอเป็นคนได้ปลอบ แลกกับอะไรก็ตามที่น้องสั่งให้ทำ ข้อเสนอมันเริ่มตั้งแต่มีบุคคลที่4เข้ามาและน้องของเขาได้รับรู้ถึงการต้องการคนอื่นเป็นครั้งแรก


                    “ขอโทษ...”

                    “......”

                    “แค่คิดว่าหลังจากนี้ไม่กี่ชั่วโมงพี่ก็ต้องกลับไปเป็นแค่พี่ชานยอลที่ได้แต่มองนายห่างๆก็รู้สึกแย่แล้ว ...”

                    “พี่เลิกพูดแล้วทำแบบที่เคยทำซักทีเถอะ ผมไม่ได้เรียกพี่ให้มาพล่าม  ถ้าไม่ทำก็กลับไป” ยังไม่ทันที่ชานยอลจะพูดจบจงอินก็ชักมือกลับแล้วพูดตัดสิทธ์ของเขาไปเสียอย่างนั้น เตรียมจะลุกออกจากตักอีกคนแต่ก็โดนดึงเข้าไปกอดเสียก่อน  เมื่อรู้ว่าน้องเริ่มโมโหอีกแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่กอดแล้วพูดเสียงอู้อี้แนบอกว่าขอโทษ ขอโทษ..




     

     


     

                    ร่างข้างใต้หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่น้องปล่อยให้เขาทำจนตัวเองไม่ได้สติไปในที่สุด  เจ้าตัวให้เหตุผลว่าไม่อยากมองหน้าเขาหลังจากมีอะไรกัน  ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาทำเหมือนคนรักกันในเมื่อมันไม่ใช่  เราต่างก็รู้กันอยู่แก่ใจ  ในเมื่อเป็นแบบนั้นสู้ทำจนเหมือนกับจะตายไปเลยซะดีกว่า  ให้หลับไปแล้วตื่นขึ้นมาอีกทีโดยไม่เห็นหน้าเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การปลอบที่เขาขอมันมากขึ้นเรื่อยๆ จากขอให้ได้โอบกอด เป็นได้จูบ และถลำลึกจนเป็นอย่างที่เห็นโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว  


                    ชานยอลลูบกลุ่มผมละเอียดอย่างเบามือ  ถ้าไม่ใช่เวลาแบบนี้ ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงไม่มีโอกาสแสดงออกอะไรที่อาจจะถูกคนในวงมองแบบจับผิดแบบนี้แน่ๆ  คิมจงอินรู้ว่าชานยอลรัก และรักมานานมากขนาดไหน คิมจงอินรู้ดีทุกอย่าง แต่จงอินไม่ได้รัก.. นี่คือสถานะที่เขาเจ็บปวดอยู่ทุกวัน

         

     

     

                    จงอินไม่รักชานยอล เรื่องนี้รู้อยู่แก่ใจดี ต่อให้เขาทำดีแค่ไหนและมาก่อนใครนานขนาดไหนน้องก็ไม่รัก ไม่เคยถูกจัดอยู่ในสถานะที่นอกเหนือจาก พี่  สายตาของน้องไม่เคยเปลี่ยน  เคยมองเขาเป็นแค่พี่ยังไงก็ยังเป็นแค่พี่อยู่อย่างนั้น   เป็นพี่มาตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน

     








     

                    ร่างผิวสีแทนที่นั่งอยู่ในกลุ่มเด็กผู้ชายนับ20ชีวิตมีท่าทางและอาการที่เรียกได้ว่า ง่วงกึ่งสลึมสลือ ต่างจากคนรอบข้างเหลือเกิน ชานยอลเผลอสบตาด้วยแค่เสี้ยววินาที แต่นั่นทำให้ชานยอลรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเขาถึง สนใจ ไอ้อาการง่วงมึนนั้น


       ท่ามกลางสายตาที่ดูสนอกสนใจผู้มาใหม่อย่างเขาจากสายตาทุกคู่หรือเปล่านะ ที่ทำให้ชานยอลรู้สึกติดใจกับสายตาไม่สนโลกนั่นเป็นพิเศษ สายตาที่แฝงความรู้สึกที่ว่า ทำไมต้องมานั่งทำอะไรแบบที่ว่า ฟังคนที่ต้องรู้จักกันหลังจากนี้อยู่แล้วแนะนำตัวด้วย เสียเวลา  และเขาติดก็ใจสายตาแบบนั้นเข้าให้แล้ว....หรือเปล่านะ



                     เขาถูกจัดให้เป็นเด็กเทรนด์กลุ่มบี ซึ่งตอนหลังมารู้ว่ามันไม่ได้บ่งบอกว่าด้อยกว่ากลุ่มเอ หรือเก่งกว่ากลุ่มซี ดี แต่อย่างใด มันถูกจัดแบบนี้ตามลำดับการขัดเลือกเข้ามาต่างหาก และจะเรียกว่าโชคดีหรือเปล่าที่เขาเพิ่งเป็นคนที่3ของกลุ่มนี้เท่านั้น เด็กหน้าง่วง เป็นชื่อที่เขาใช้เรียกในใจตลอดทั้งวันชื่อว่า คิม จงอิน เป็นหนึ่งในกลุ่มบีเช่นกัน  เขากับจงอินรู้จักกันในเย็นวันนั้นจากการแนะนำของพี่ซูโฮ เบอร์หนึ่งของกลุ่มบี ผมเรียกพี่เขาอย่างนั้น



                    เวลาผ่านไปไวจนเราสามคนฝึกด้วยกันมาได้1ปีแล้ว น่าแปลกแต่ก็ได้รับเหตุผลว่าทำไมกลุ่มบีถึงไม่มีสมาชิกเพิ่มเลยตลอด1ปี แต่ค่ายกลับให้เด็กที่เข้ามาหลังจากเขานับเป็นกลุ่มซีเสียอย่างนั้น จนตอนนี้มีเยอะเสียจนเปิดกลุ่มดีได้แล้ว

                   ครูฝึกให้เหตุผลว่าเด็กใหม่ของกลุ่มซีเขาเป็นพันธมิตรกันทั้งแก๊งค์..งงสิ  ตอนฟังครั้งแรกก็งงเหมือนกัน แต่ก็ได้รับคำอธิบายในเวลาต่อมาว่าเด็กสิบกว่าคนเหล่านั้นเป็นเด็กที่มาจากโรงเรียนเดียวกันและออร์ดิชั่นมาแบบสายแข็ง.... งงอีก 

                    สายแข็งในที่นี้คือทุกคนเป็นกีฬาป้องกันตัว นั่นเป็นเหตุผลที่ค่ายจึงต้องการฝึกเด็กกลุ่มนี้พร้อมๆกันและฝึกด้วยกันทั้งกลุ่ม ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีแล้วหล่ะ เพราะการที่เรามีกันอยู่แค่3คน ทำให้เขาสนิทกับจงอินมากในที่สุด




                    เราซ้อมด้วยกันบ่อยๆ ถึงแม่ว่าจงอินจะมีเพื่อนสนิทมากอีกคนอยู่ในกลุ่มเออย่างแทมินก็ตาม จงอินเด็กกว่าเขา2ปี นั่นทำให้ตกใจในครั้งแรกที่รู้แบบนั้น ไม่ใช่ว่าเขาคิดว่าน้องหน้าแก่เกินวัยหรืออะไรนะ แต่เขาคิดว่า จงอินดูโตเป็นผู้ใหญ่กว่าที่คิด และเป็นเด็กที่มีความมุ่งมั่นมากกว่าเขาหลายเท่าจนรู้สึกทั้งอายทั้งชื่นชม  

                     เรา2คนมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เข้าบริษัทพร้อมกันและรอกลับพร้อมกันทุกวัน บางวันก็มีแทมินกลับด้วย แต่ถ้าพี่ซูโฮไม่ต้องพูดถึง รายนั้นเขาอยู่คนละโลกกับเรา คุณสามารถใช้คำว่าลูกคุณหนูโคตรๆ กับพี่เขาได้แบบไม่อายปากเลยหล่ะ ทุกๆวันดำเนินไปกับตารางฝึกซ้อมที่โหดเกินไปทำหรับเด็กวัยรุ่นอย่างเราที่ควรจะมีสังคมอื่นบ้างนอกจากการซ้อมเต้น  ซ้อมเต้น และซ้อมเต้น  แต่นั่นเหมือนจะมีแค่เขากับพี่ซูโฮหรือเปล่าที่คิดแบบนั้น  จงอินรักการเต้นเรื่องนั้นชัดเจนมาก น้องเล่าให้เขาฟังทุกอย่างเกี่ยวกับความชอบนี้ที่มีมาตั้งแต่เด็ก เล่าเรื่องครอบครัว เล่าเรื่องความชอบอื่นๆ เล่าเรื่องเรียน เรื่องสุนัขที่ที่บ้านเพิ่งยอมซื้อมาให้เจ้าตัวเลี้ยง น้องเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง เราไม่เคยมีความลับต่อกัน แม้กระทั่งเรื่องความรัก



                   

                    จงอินชอบพอกันอยู่กับซูจอง เด็กกลุ่มดีที่เป็นกลุ่มที่มีแต่ผู้หญิง วันที่น้องบอกเขา เราซ้อมเต้นกันอยู่แค่2คนในเวลาหลังเที่ยงคืนที่ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว คำบอกเล่าจากปากที่บอกว่า  ผมคิดว่าผมคงชอบซูจอง  ทำให้เขารู้ตัวในวันนั้นเองว่า เขาผูกตัวเองเข้าไว้กับน้องโดยไม่รู้ตัว


                    เขาไม่รู้ว่าทั้ง2คนไปสนิทกันจนถึงขั้นชอบพอกันตั้งแต่ตอนไหน  เขาจำได้แค่ว่าเราเคยเดินเจอกันบ้างตามทางเดินในบริษัท  ได้นั่งกินข้าวในห้องอาหารด้วยกันบ้าง หรือแม้กระทั่งต้องสอนเต้นให้เธอถึงดึกๆดื่นๆบ้างเป็นบางคืน โดยเธออ้างว่ามีท่าเต้นที่ยากเกินกว่าที่เธอจะเข้าใจได้ด้วยตัวเองอย่างท่า ทูสเตปแล้วสวอลเลค2รอบ  ใช่....เหมือนเขาจะนึกถึงสาเหตุขึ้นมาได้แล้วสิ



                   คนอย่างปาร์คชานยอล ก็แค่เด็กหนุ่มม.ปลายคนหนึ่งที่พอรู้ตัวว่าชอบก็เลยทำให้มันชัดเจนกับตัวเอง  ปาร์คชานยอลก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่พอรู้ว่า ’คนที่ชอบไปชอบคนอื่น’ ก็ปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้


       ก็แค่ทำให้คนคนนั้นรักน้องไม่ได้ แค่นั้น...

     

                   

                    เหตุการณ์หลังจากที่เขาทำให้จองซูจองออกไปจากชีวิตคิมจงอินได้ผ่านไปไม่ถึง3เดือน  ตลอด3เดือนจงอินไม่ฟูมฟาย ไม่พร่ำเพ้อ อาจเป็นเพราะเขาปล่อยให้ทั้งคู่ได้คบกันแค่1สัปดาห์เท่านั้น แต่ชานยอลรู้ดีว่าที่เห็นเงียบๆแบบนี้จงอินเองก็เสียใจ เสียใจที่ซูจองเป็นแฟนคนแรก และเสียใจที่เหตุผลที่เจ้าหล่อนไปคือจงอินไม่ดีพอจนทำให้เธอต้องมีคนอื่น

     

     

                    หึ .... แค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ก็เปลี่ยนใจหญิงได้ง่ายดายเหลือเกิน

                    เธอไม่คู่ควรที่จะได้ความรักของจงอิน


     

                    แต่ความสบายใจของปาร์คชานยอลตลอด3เดือนก็ต้องสิ้นสุด เมื่อเขาได้สบตากับเด็กคนนั้น เด็กที่อายุเท่ากันกับคิมจงอิน ผิวขาวราวกับน้ำนมกับโคลงหน้าเรียวหวานได้รูป เด็กที่เพิ่งออร์ดิชั่นเข้ามาเป็นเด็กฝึก ที่บังเอินเข้ามาอยู่กลุ่มนี้และเรียนไฮศคูลที่เดียวกับจงอิน   และเขาก็แค่บังเอินเป็นปาร์คชอนยอล ที่พอรู้ว่ามีคนมาชอบน้อง ก็ปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้


                    เขาผูกขาดเซฮุนเอาไว้คนเดียวให้ได้มากที่สุด ทุกครั้งที่2คนนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันเขาจะพยายามไปด้วย ทำตัวงี่เง่าเหมือนพี่ชายติดน้อง ให้จงอินเข้าใจว่าเขาติดน้องชายคนใหม่อย่างโอเซฮุน  เขารู้ว่าเซฮุนรู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร และเพราะเซฮุนรู้ ถึงได้บอกว่า ชอบจงอิน โดยยังคงจ้องตาเขาไม่ลดละ เซฮุนพยายามกันเขาออกจากจงอินจนรู้สึกได้ ทั้ง2คนสนิทกันเกินกว่าที่ใครจะเข้าไปแทรกได้อีก แม้กระทั่งเขา ทั้งคู่ถูกมองว่าเป็นคู่ซี้กันที่สุด แต่ก็แค่ซี้


                    เหตุผลที่เขาไม่ยอมแพ้ถึงแม้จงอินจะเลือกสนิทกับเซฮุนมากกว่า  เพราะเขารู้ว่าจงอินไม่ได้ชอบเซฮุนแบบที่เซฮุนชอบจงอิน เรา2คนอยู่ในฐานะเดียวกันคือแอบรัก  แต่เซฮุนอาจจะได้เปรียบอยู่นิดหน่อยก็ตอนที่ทั้งคู่ไปโรงเรียน  ชานยอลรู้สึกว่านี่มันคือเรื่องที่ทำให้เขาต้องเหนื่อยมากที่สุดในชีวิต ยิ่งกว่าการซ้อมเต้นตลอดทั้งวันคือการเกาะติดทั้งคิมจงอิน และโอเซฮุนไปพร้อมๆกัน  และเขาก็หงุดหงิดกับเรื่องน่ารำคาญแบบนี้ด้วย

     
     

                    ทำไมต้องมีอโอเซฮุนเข้ามาในชีวิตของเขากับน้อง ทำไมเด็กนี่ถึงไม่ไปอยู่กลุ่มอื่น   เรื่องพวกนี้ทำให้เขาค่อนข้างเสียสุขภาพจิต แค่คิดว่าต้องผูกตัวเองไว้กับโอเซฮุนจนไม่ค่อยมีเวลาไปไหนมาไหนกับน้องบ่อยเหมือนเมื่อก่อนเข้าก็หงุดหงิดจะแย่แล้ว  แต่จะทำยังไงได้  ก็ในเมื่อพอเขาเอาตัวมาเกาะติดเซฮุนอย่างนี้  ไอ้เด็กผิวน้ำนมนั่นจะเสียอารมณ์ตลอดทั้งวันจนรำคาญไม่ไปไหนมาไหนกับจงอินบ่อยเหมือนอย่างเคย ก็เพราะกลัวว่าเขาตามเป็นเหาฉลามอยู่อย่างนี้สินะ

     

                    แต่เพราะคิมจงอินยังคงเป็นคิมจงอินเด็กดี เป็นเด็กขี้เป็นห่วง  เหตุการณ์เข้าหาโอเซฮุนเองเพราะเห็นว่าเพื่อนแปลกไปจนน่าเป็นห่วงของคนผิวเข้ม  ทำเอาเขาที่พยายามมาถึงตรงนี้ตัดสินใจทำในสิ่งที่โอเซฮุนเองก็คาดไม่ถึง  หลังจากที่เขารู้จากคำบอกเล่าของน้องเองว่า 'ไปนอนบ้านเซฮุนมาเมื่อคืน ผมรู้สึกว่าช่วงนี้เซฮุนแปลกไป ชวนไปไหนก็ไม่ไปเลยอยากไปคุยปรับทุกข์ด้วยเสียหน่อย'  ทำเขาตัดสินใจทำเรื่องเลวร้ายลงไป เพราะอะไรเขาเองก็ตอบตัวเองได้ไม่ชัดเจน  แต่แค่รู้ว่าน้องไปนอนกับเซฮุน  น้องไปห้องเซฮุนที่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย   แค่รู้ว่าน้องอยู่กับไอ้คนที่บอกกับเขาชัดเจนว่าชอบ 2ต่อ2...


                     เย็นวันนั้นหลังจากหมดตารางซ้อมเขาก็ไปหาโอเซฮุนที่หอพักที่เจ้าตัวแยกออกมาอยู่คนเดียว


     

                    แล้วหลังจากนั้นโอเซฮุนก็ไม่กล้ามองคิมจงอินด้วยสายตาเหมือนวันแรกต่อหน้าเขาอีกเลย



     

                    เขายอมให้ทั้งคู่สนิทกันเหมือนเพื่อนได้เพราะเขามั่นใจในมิตรภาพบริษุทธิ์ที่จงอินมีให้เซฮุน  และเขาไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เพราะเขารู้ว่าเซฮุนจะไม่คิดกับจงอินไปมากกว่าเพื่อนอีก  นอกจากไอ้เด็กนั่นจะทำตัวดีว่าง่าย  การที่เขาตัดสินใจทำเรื่องเลวร้ายนั้นลงไปยังทำให้เขาสามารถบงการโอเซฮุนให้อยู่ข้างเขาได้อีกด้วย  ในเมื่อโอเซฮุนรู้ทุกอย่างในสายตาของเขา  และรู้ความรู้สึกที่เขามีให้น้องตลอดมา  ก็ไม่แปลกเลยที่หมอนั่นจะเป็นที่ปรึกษาชั้นดี

     

    “มึงปฎิเสธซะเซฮุน” สุ่มเสียงแข็งกระด้างเอ่ยบอกคนผิวขาวทันทีที่อีกคนโทรมาบอกว่าจงอินขอมานอนที่ห้องคืนนี้ เพราะอยากเล่มเกมส์ออกใหม่ที่เขาเพิ่งโม้ให้ฟังว่ามันส์มาก  สาบานว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเลยที่จะใช้คำพูดแบบนี้กับคนที่เขายอมรับว่าเอ็นดูเหมือนน้อง  แต่เพราะในเมื่อตอนแรกพูดดีดีไม่ฟังจนต้องใช้ไม้แข็ง  เขาก็ไม่เคยใช้คำพูดนุ่มนวนกับเซฮุนอีกเลย  และดูเหมือนเจ้าตัวก็ไม่คิดจะเคารพเขาอย่างที่ควรจะเป็นอีกแล้วเหหมือนกัน

                     ฮยอง มึงจะทำแบบนี้อีกนานแค่ไหนวะ ผมปฏิเสธมันไม่ได้หรอก 

                    “มึงต้องทำ” เสียงแข็งขึ้นไปอีกจนเซฮุนขนลุก

                    ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามันดื้อ ถ้าไม่มีเหตุผลดีๆให้มันงานนี้มีคุยกับมันยาว
               

                    “...มึงจะพูดยังไงก็ได้เซฮุน แต่จงอินต้องไม่ไปนอนกับมึงคืนนี้ หรือมึงอยากให้กูไปคุยกับมึงยาวๆที่ห้อง?”

                    .

                    .

                    .

                    .

                    พื้นฐานในจิตใจของเขาไม่ใช่คนเลวร้าย  แต่เขารู้  เขาเปลี่ยนไป และสามารถเป็นได้ทุกอย่างเพราะคนคนเดียว เขาเป็นน้องชายที่น่ารักของพี่สาว เป็นลูกที่ดีของพ่อและแม่  เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนทุกคนของเขา   เขาเคยเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่เคยคิดทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  เขาไม่เคยมีจิตคิดอิจฉาริษยาใคร ไม่เคยคิดโกรธเคืองใคร  เขาไม่เคยเอาแต่คิดว่าจะกำจัดคนคนนึงออกไปจากสายตาได้อย่างไร มาก่อน  และเขาเคยเป็นพี่ชายที่ดีของเซฮุนแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ  

                    จนกระทั่งเขารู้ว่าเขารักคิมจงอินขนาดไหน



                    ไม่ว่าใครก็ตามจะรู้ว่าเขามันเลวเขาอย่างที่โอเซฮุนรู้  หรือจงเกลียดจงชังเขาอย่างที่โอเซฮุนรู้สึก  เขาไม่แคร์  แต่คนเดียวเท่านั้นที่เขาขอร้อง ไม่ว่าอย่างไรอย่าให้จงอินรู้เลยว่าเขาเลวร้ายขนาดไหน เขาใช้วิธีใดทำให้จองซูจองกลายเป็นผู้หญิงใจง่ายแล้วสร้างรอยแผลในใจเล็กน้อยให้น้อง  อย่าให้รู้เลยว่าเขาทำอย่างไรกับเพื่อนรักอย่างโอเซฮุน  ขอแค่จงอินไม่รู้ว่าเซฮุนเคยรัก เคยคิดเกินเพื่อน ถึงแม้ตอนนี้จะยังคิดอยู่หรือไม่แต่ขออย่าให้จงอินรู้  ให้จงอินรับรู้แค่โอเซฮุนเคยเป็นเพื่อนอย่างไรก็เป็นเพื่อนอย่างนั้น  ขอให้จงอินรู้ว่าเค้าเป็นพี่ชายที่หวังดีอย่างไร  ก็ยังคนเป็น แค่’  พี่ชายที่หวังดีตลอดไปอย่างนั้น
     

     

                    ไม่ต้องรู้ก็ได้ ว่ารัก

                    ไม่ต้องรักก็ได้
           

     

     





     

                    “จงอิน..” ดึกมากแล้ว เขาเอาแต่คิดเรื่องเก่าๆ เสียงที่เรียกก็ดูแผ่วเบาเพราะกลัวน้องจะตื่น แต่ก็อยากให้มันซึมผ่านเข้าไปในฝันของน้องบ้างก็ังดี   ชานยอลนอนมองหน้าคนหลับอยู่นานสองนาน  เอาแต่ลูบหัวลูบแก้มอย่างเอ็นดูอยู่อย่างนั้น ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วหลังจากจบศึกหนักกับน้อง แต่เขายังไม่ได้นอน


                    เขาไม่อยากนอนเพราะการนอนคือการปล่อยเวลาให้ล่วงเลยแค่นึกถึงเรื่องเก่าๆก็ทำเอาเวลาล่วงเลยไปอย่างเสียเปล่าแล้ว

     
     

                    จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เขาคิดเสมอว่าจะมีอะไรมากกว่านี้เขาก็พร้อมจะเจอขอแค่ให้ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน ให้ได้พูดคุย ให้ได้ยิ้มให้เหมือนทุกๆวัน  เขาเคยคิดอย่างนี้จนกระทั้งวันนั้นมาถึง วันที่คนอย่างปาร์คชานยอลหมดแล้วซึ่งทางสู้ มือไม้อ่อนแรง หัวใจห่อเหี่ยวเพียงแค่คิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร

     

     

                   ในเมื่อความพยายามไม่ช่วยอะไรเลย.....



     

                    ความรู้สึกเดิมกลับมาอีกครั้ง แค่คิดว่าต้องทำมันอีกครั้งหัวใจก็กระตุกวูบขึ้นมาเสียเฉยๆ เหตุการณ์เดิมวิ่งเข้าในหัวชานยอลเหมือนกับการเปิดประตูเขื่อนที่อีกด้านหนึ่งมีน้ำอยู่ในปริมาณที่เต็มปริบจนเกือบจะล้น แต่อีกด้านน้ำแห้งขอด ทุกๆอย่างทะลักล้นจนห้ามไม่ได้ เพราะเขาทำได้แค่ปิดกลั้นมันเอาไว้อีกด้านหนึ่งของหัวใจเสมอมา และปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน เพราะเพียงแค่ร่างของใครอีกคนปรากฏอย่ในสายตา ชานยอลก็รู้ทันทีว่าเค้าปล่อยไปไม่ได้



     

                    ต้องทำแบบเดิมอีกหรือ?

                   

                    แต่มันไม่ใช่แบบนั้น   ใครอีกคนที่ว่าไม่ได้มาในฐานะเดิมที่เขาจะปฏิบัติด้วยได้ แต่มาในแบบที่เหนือกว่านั้น ชานยอลไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้ แค่คิดว่าคนคนนี้เป็นคนที่เขาไม่สามารถรับมือได้ แค่คิดมือก็สั่นไปหมด... ตลอดมาเขามั่นใจ ไม่ว่าใครจะคิดแบบไหน  ลึกซึ้งมากเท่าไหร่ เขารับมือได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่




                    ก็ในเมื่อคนที่คิดไม่ใช่คนที่มาใหม่ แต่เป็นคนที่เขาหวงมากกว่าใคร แล้วเขาจะสู้ได้อย่างไร? ...เพราะทันทีที่โดคยองซูปรากฏตัวครั้งแรกในวันนั้น  ห้องทั้งห้องที่ยังอื้ออึงไปด้วยเสียงเพลงบีทหนัก แต่คิมจงอินหยุดแล้วซึ่งการเคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วน สายตาคมคายจ้องมองดวงตากลมโตไม่ละไปไหน  มันหยุดอยู่ตรงนั้นเป็นนานสองนานผ่านสายตาของปาร์คชานยอล


     

     

                    คิมจงอินรักโดคยองซู

     

                    ทุกอย่างมันบ่งบอกผ่านสายตา เหมือนที่เขารู้ว่าจองซูจองรักคิมจงอิน โอเซฮุนก็รักคิมจงอิน  เขารู้จักสายตาแบบนั้นดีเพราะปาร์คชานยอลก็มองคิมจงอินแบบนั้น

     

     

     

     

     

     

                    “จงอิน” เรียกอีกครั้งอย่างอ่อนแรง แค่คิดถึงเรื่องนั้นเขาก็อ่อนแรงแล้ว ริมฝีปากบรรจงจูบหน้าผากของคนหลับ พรุ่งนี้เขาจะต้องกลับไปทำหน้าที่อีกครั้ง หน้าที่ของคนที่รักคิมจงอินต้องทำ

     

                    “รักนะครับ”

                   

                    เป็นหน้าที่ของคนที่คิมจงอินไม่รัก....

     









    TBC




    ------------------------------------------------------------------------

     

     

    อะไรกันนี่มีแต่บรรยาย - - 
    เชพหนึ่งไม่ยาวขอโทษจริงๆ
    เรื่องนี้พี่ชานจะรักน้องมากนะ ใครเบื่อผู้ชายเพ้อก็เลิกอ่านได้ค่ะ 555
    หลังจากนี้จะมีโดคยองซู...*_____*
    ขอบคุณที่หลวมตัวเข้ามาอ่าน 


    สกรีมกันได้ที่ #ชานไคด้อนโนว ค่ะ แล้วเราจะแอบไปส่อง^^



    [-]Hyphen

     

    @SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×