ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นี่หรือชาวยุทธ?

    ลำดับตอนที่ #3 : ARC.1 เชื้อไฟในบ้านไม้ และ หอดูดาว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 133
      0
      4 พ.ย. 57


     

    “จะว่าไปทำไมคนเราต้องด่ากันไอ้เหี้_ด้วยเนาะ”

    “หา?”

    “ไอ้ตัวให้เ_ยนี่มันคืออะไรกันเนาะ”

    “อืม เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งล่ะมั้ง”

    “เออ แล้วมันทำอะไรบ้างวันๆหนึ่งที่มันน่าด่า ฮึ ลากไก่ไปกินในน้ำเหรอ หรือว่าขี้นอกชักโครก”

    “หึ ฮึฮึฮึฮึ ฮะฮ่าฮ่าฮ่า”

    “แบบไม่ใช่อะไร คือเ_ยสมัยนี้มันหาดูตัวจริงๆยากอ่ะ พี่ฟ้าเคยเห็น_หี้ยตัวจริงสักทีรึยังล่ะ”

    “อืม ฉันก็ว่าไม่เคยนะ”

    “ใช่ คนเรานี่โคตรแปลกเลย ด่ากันไอ้เ_ยทั้งๆที่ไม่รู้จักตัว_หี้ยกันเลย ทำไมไม่หาอะไรอย่างอื่นมาด่ากันบ้างเนาะ อย่างเจอหน้ากัน ไม่พอใจกันอย่างนี้อ่ะนะ ด่าแม่งเลย ไอ้เป็ด!

    ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า

    “เฮ้ย ไม่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ ด่าทีนี่โคตรเจ็บเลย แม่งคำว่าไอ้เป็ดนี่มันเป็นการเอาส่วนต่างๆที่ไม่ดีมารวมกันในการด่าครั้งเดียวเลยนะ

    “โดนด่าทีนี่ ไอ้เป็ด!

    “โดนเข้าให้ที่นึงนี่โดนแล้วเข้าให้เต็มๆเลย ไอ้ตีนใหญ่ ไอ้บิ๊กฟุต ไอ้อวตาร์เคียวชิ ไอ้ปากหนา เนื้อตัวสกปรก ขี้ก็เหม็น วันๆอยู่แต่กับดินกับโคลน โคตรบ้านนอก วันๆเอาแต่เกาะกลุ่มกันร้องก๊าบๆๆๆส่งเสียงดังน่ารำคาญรบกวนโสตประสาท อยู่เป็นกลุ่มแม่งก็ปากดีพออยู่ตัวเดียวก็หงอย ฮึ่ย”

    “อุวะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า อ่ะอ่ะอ่ะหะ”

    “โดนด่ารัวรัวเงี้ย ไอ้เป็ดๆๆๆๆ โอ้ย~แบบว่ามันรู้สึกเจ็บจี๊ดในอก มันเจ็บอยู่ตรงหัวใจ กูทนไม่ไหวแล้ว อาห์ ทำไมกูรู้สึกด้อยค่าเหลือเกิน กูไม่อยากอยู่อย่างไร้ค่า กูอยากตาย”

     

    เวลานี้เป็นเวลาปิดเทอมแล้วทว่ายังต้องมีเหนุ่มสาวยังต้องใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียนไปโรงเรียนกันอยู่ พวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นผู้ที่เตรียมพร้อมเกินไป หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำซ้อนติดต่อกันสร้างความเสียหายให้กับหลายๆพื้นที่ในประเทศนี้อย่างมาก ยานพาหนะสำหรับเดินทางในพื้นที่ชุ่มน้ำอย่าง ร. จึงเป็นส่งที่พวกเขาได้เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์เป็นอย่างแรก ซึ่งนั่นออกจะไม่จำเป็นเลย โรงเรียนเทศบาลหกตั้งอยู่บนเนินเขา เป็นฐานทัพทหารเก่าระบบความปลอดภัยเล็กๆน้อยๆอย่างเรื่องน้ำและไฟจึงถูกแก้ไขแน่นอนตั้งแต่ก่อนจะเป็นโรงเรียนแล้ว ฉะนั้นการพายเรือมาโรงเรียนจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน และด้วยระบบจักรวาลหมุนรอบโรงเรียนแม้ว่าบ้านนักเรียนจะอยู่ในที่ลุ่มน้ำท่วมถึง ก็ไม่จำเป็นต้องมีร.แม้ว่าผู้ที่แจกเรือให้กับผู้เรียนจะเป็นโรงเรียนเองก็ตาม แม้ว่าพวกเขาจะได้ร.ไว้เตรียมการเผื่อเวลาน้ำท่วมดีขนาดไหนก็ตาม นักเรียนที่ได้เรือจากโรงเรียนไปต้องเอามาคืน

    ขอโทษที่หลอกล่อกันอยู่นาน แต่ก็คือง่ายๆแล้ว พวกคนที่ไม่ตั้งใจเรียนสอบตกทำงานไม่ผ่าน ต้องมาอยู่ซ่อมหลังจากปิดเทอมนั่นแหละ แต่ผมรู้สึกกระดากปากจะบอกไป มันรู้สึกเสียเซลฟ์ที่จะพูดแบบนั้น เพราะผมเองก็เป็นหนึ่งในพวกที่ต้องมาโรงเรียนหลังปิดเทอมเพราะว่าเป็นคนไม่ตั้งใจเรียน ซึ่งที่จริงผมก็ตั้งใจเรียนนะ เวลาสอบผมก็ได้คะแนนดีด้วย ยกเว้นที่ว่าผมไม่ค่อยได้ทำงานเก็บคะแนนส่งก็เท่านั้นเอง ซึ่งมีคนอีกมากเกือบหนึ่งในหกของนักเรียนทั้งหมดมาหน้าดำคร่าเครียดทำงานกันอยู่ ที่จริงคนที่ควรจะมาที่นี่ควรจะมีมากกว่านี้แต่ส่วนใหญ่ที่เป็น...เอ่อ ... เด็กติดร.ส่วนมากมักเป็นพวกเด็กเ_ย ซึ่งน่าจะจับกลุ่มกันหนีไปเที่ยวแล้ว

    ที่จริงผมก็อยากทำแบบนั้นอยู่หน่อยๆนะ ไม่ใช่เพราะผมเป็นเด็กเหี้_หรอกนะ แต่ผมไม่ชอบชุดเครื่องแบบนักเรียนของประเทศนี้เลยให้ตายสิน่า ผม“ฟ้า”สมคิด ไทรงาม(ถ้าไม่จำเป็นอย่าเรียกชื่อจริง)เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหก หุ่นสันทัด(แม้บางคนจะบอกว่าส่วนสูงร้อยหกสิบหกเซนติเมตรมันจะไม่สันทัดก็ตาม) ร่างเล็ก โครงหน้ารูปไข่ เบ้าตาลึก หน้าผากสูง จมูกโด่ง ถึงจะปากกว้างไปหน่อยแต่ดูดีที่สุดในโลกส่วนตัวล่ะน่า หากไม่นับขนหน้าแข้งล่ะก็นะ ใช่ถ้าไม่นับเรื่องขนหน้าแข้งล่ะก็ไม่ว่าจะเป็นโลกส่วนตัวหรือโลกไหนๆผมก็ดูดีได้หมดนั่นแหละ มันขึ้นยาวดกดำจนกางเกงนักเรียนของผมยังกลายเป็นกางเกงขายาวได้เลยล่ะ   

     

    “เอ้อ ใช่ ช่วงนี้ฉันรู้สึกเหมือนถึงจุดอิ่มตัวเรื่องเกมว่ะ”

     

    “ทำไมเหรอ” จริงอยู่ที่เด็กๆในชุดนักเรียนมาโรงเรียนกันด้วยเรื่องงาน แผ่บรรยากาศแรงกดดันไปทั่วโรงเรียน ไม่เว้นแม้แต่ เจ็ดศาลาใต้ต้นหูกวางที่ถูกบรรยากาศพวกนั้นบีบอัดจนแน่น ทว่ามีศาลาที่ผมกำลังนั่งอยู่นี้ที่ขับไล่แรงกดดันจนหายใจแทบไม่ออกนั้นไปได้ ดั่งคำที่ปราชญ์โบราณได้กล่าวเอาไว้ว่า Friendship is Magic มิตรภาพคือเวทมนต์ ใช่ถ้าผมนั่งอยู่คนเดียวที่นี่ในที่แบบนี้คงไม่พ้นโดนบรรยากาศคร่ำเครียดนั่นบีบอัดจนแห้งไปแล้วแน่ๆ

    ผมกำลังนั่งอยู่กับ “เสี่ย”...“เทพเสี่ย” วิษณุ โลกสองแคว เด็กหนุ่มร่างสูง หุ่นท้วมผิวสีช็อคโกแลต แก้มกลม ปากห้อย และขนรักแร้ดก ผู้กำลังเช็ดน้ำลายที่แตกเป็นฟองที่มุมปากคนนี้เป็นเพื่อนของผม  

    “พอดีว่านะ เมื่อไม่กี่วันก่อนี่เองล่ะนะ ...ล่ะนะ วันนั้นฉันยังฉลองสอบเสร็จเล่นเกมแม่งทั้งคืนเลย เล่นมาสามวันแล้ว”  

    “เกมอะไรล่ะพี่ฟ้า”

    “ก็หลายเกมล่ะ ทั้ง บาซาร่า ซึ่งตอนนี้เก็บตัวละครครบอาวุธครบ ไอเท็มครบชุดครบแล้ว สามก๊กก็ด้วยทุกก๊กอัพระดับหนึ่งพันกองพันหมดแล้ว ทรัพยากรก็อัพเต็มที่ สตรีท กับคิง ออฟ แถมภาคครอสโอเวอร์ไปด้วยก็เก็บตัวละครได้ครบแล้วถึงจะไม่ได้เล่นทุกตัวก็เถอะ”   

    “โอ้ เยี่ยมยุทธ์ สรยุทธยังบอกว่าเยี่ยม”

    “ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ไม่เว้ย ไม่ใช่ไอ้พวกนั้นมันมีส่วนก็จริง แต่...ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” ผมพูดไปขำไป อีกฝ่ายเป็นคนสนุกสนานเฮฮา มีพรสรรค์ด้านการเล่นเดี่ยวไมโครโฟน ตลกหน้าตาย น้ำเสียงทุ้มต่ำนุ่มๆของเขาเป็นเอกลักษณ์ แต่มุกสดๆที่จู่ๆก็พูดของเขามักทำให้ผมขำได้เสมอ ไม่รู้ว่าเพราะผมเส้นตื้นไปเองหรือว่าเขาเป็นตลกอัจฉริยะจริงๆ แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เขาสร้างรอยยิ้มให้ผมได้แค่นั้นก็พอแล้ว “ตอนประมาณตีสองฉันงัดเอาอิลลุสชั่น เลิฟมาเล่น เป็นเกมแนวจีบสาวน่ะ”

    “ผมก็เล่นอยู่บ้างเป็นบางทีนะ”

    “ฮะ แกมีเพลย์วิต้าด้วยเหรอ”

    “ไม่ ม่าย ไม่ หมายถึงเกมแนวจีบสาวน่ะ ผมก็เล่นเป็นบางทีนะ”

    “โห ไม่น่าเชื่อ นายจะเล่นเกมภาษากับเขาเป็นด้วย”

    “อ๋อ ก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจตรงนั้น ก็กดข้ามๆไปเลยมากกว่า”

    “เฮ้ย นั่นมันส่วนสำคัญที่สุดของเกมภาษาเลยนะเฟ้ย”

    “เหรอ แต่ผมไม่ได้เห็นความสำคัญของมันเลยจริงๆ” เขาตอบหน้าตายสมกับเป็นคนไม่เก่งด้านภาษาดี

    “ฉันชักเสียดายค่าเกมแทนแล้วสิ”

    “ผมไม่เห็นต้องเสียเลย แค่เปิดคอมเข้าเน็ตเล่นเอา” เอ๊ะเดี๋ยว

    “ฉันขอเดานะ...เล่นบนเว็บใช่แมะ เกมแฟลชใช่ปะ”

    “เกมโป๊นั่นแหละ ไม่ต้องถามอ้อมๆหรอก”

    “กร๊ากกรั่กกรั่กกรั่ก ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ว่าแล้วเกมสำหรับลูกผู้ชายนี่เอง--- แต่ถึงจะเป็นเกมโป๊เนื้อเรื่องสำคัญก็อยู่ในบทสนทนาที่แกข้ามๆไปนั่นเหมือนกันแหละนะ”

    “เฮ้ บางทีผมก็กลับมาเล่นใหม่แล้วลองเลือกตัวเลือกที่ไม่ได้เลือกเมื่อครั้งก่อนดูเหมือนกันนะ”

    “เอ่อ นั่นก็ใช่ แต่ว่าถ้าจะเสพย์ความเพลิดเพลินจากเกมแล้วเนี่ย องค์ประกอบอย่างเนื้อเรื่องก็จะช่วยให้เสพย์ได้กลมกล่อมมากขึ้นนะ ถึงแม้ว่า---”

    ผมพูดไม่ทันจบเขาก็พูดขึ้นขัดผมก่อน“-แล้วมันเ_ดกันรึเปล่า”

    “เอ่อ ก็เนื้อเรื่องน่ะ---”

    “-มันเ_ดกันรึเปล่า” เขาขัดผมอีกด้วยคำถามเดิม

    “ก็ก่อนที่จะมา---”

    “-สุดท้ายแล้ว มัน___กันมั้ย”

     “เออ ใช่ สุดท้าย มันก็ได้เ_ดกันอยู่ดี...”ผมติดสตันท์ไปครู่หนึ่งจึงตอบคำถามของเขา “...แต่ว่าถ้าหากเราทำความเข้าใจกับเนื้อเรื่องล่ะก็ เราจะได้เข้าใจอะไรๆมากขึ้นไง จะได้ใส่อารมณ์กับฉากได้มากขึ้น ไม่ใช่อยู่ๆเปิดมาก็เ_ดกันเลยแบบนั้น มันเหมือนคลิปมือสมัครเล่นถ่ายแล้วหลุดมาอย่างนั้น มันไม่ใช่ เหมือนกับเวลาฉันแปลเฮนไตน่ะ ฉันไม่ได้แปลเพราะบทอัศจรรย์อย่างเดียวหรอกนะ ฉันแปลเพราะเนื้อเรื่องมันด้วย”

    “ก็ใช่ เวลาอ่านเฮนไตน่ะ เนื้อเรื่องก็ช่วยเสริมให้มันสนุกขึ้นได้ แต่ถ้าพี่ฟ้าแปลเกมเฮนไตแล้วลงบล็อกดูบ้างสิ ผมอ่านญี่ปุ่นกับอังกฤษไม่ออกนี่นา” ผมก็ลืมไปพื่อนของผมไม่สันทัดด้านภาษาญี่ปุ่นเอาซะเลย อย่าว่าแต่ญี่ปุ่นเลยขนาดอังกฤษยังไม่ค่อยจะอ่านออกเลยด้วยซ้ำ  การที่จะเสพความเพลิดเพลินจากเกมประเภทที่ต้องอยู่กับตัวอักษรที่ไม่เข้าใจอยู่เต็มพรืดๆได้นี่ มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว เกมพวกนั้นมันเล่นได้โดยการใช้แรงขับจากสัญชาตญาณไม่ปรุงสุกล้วนๆก็ได้

    “โทษที พอดีฉันพูดไปไม่ทันได้คิด ว่าแต่ก่อนหน้านี้เราพูดเรื่องอะไรกันอยู่วะ”

    “ไม่รู้สิ” เขาหน้าตายแล้วปล่อยให้ความเงียบมาแทรกระหว่างเรา มันมักจะเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นอยู่บ่อยๆ คล้ายๆกับเวลาตอนเราเข้าวิกกี้ไปอ่านเรื่องก๊อด ออฟ วอร์->เทพไททัน ->เทพโอลิมเปียน->เนเมซิส->สปาร์ตัน->สงครามทรอย->โอดิสซุส->คราเคน->ไพเรท ออฟ ดิ คาริบเบียน-> แจ๊ค สแปร์โรว์->นกนางแอ่น->นกแร้ง->ทุ่งสะวันน่า แล้วจากนั้นเราก็จะ ฮะ นี่ฉันมาทำอะไรที่นี่ แต่แตกต่างกันอยู่หน่อยๆตรงทีกรณีนั้นสมารถกดดูประวัติการเข้าชมแล้วย้อนไปต่อให้จบได้

    แต่กรณีนี้ ไม่มีของแบบนั้น แถมไม่มีเครื่องบันทึกไว้เปิดฟังย้อนหลัง แม้ว่าผมพยายามจะหาอะไรมาอัดเสียงเวลาเขาพูดเอาไปลงเน็ตเรียกยอดเข้าชมหลายครั้งก็ตามแต่ก็ลืมทุกที ผมเลยต้องมาคิดค้นลึกไปในหัวสมองว่าผมพยายามจะพูดอะไรกับเขาก่อนหน้านี้

    แล้วผมก็ค้นพบคำตอบในนั้น “เออ ใช่ พอฉันเอาเกม อิลลุสชั่น เลิฟมาเล่น ตอนนั้นฉันเก็บค่าความประทับใจของมินามิจังได้เกือบเต็มแล้ว แต่ช่วงโค้งสุดท้ายนี้แม่งขึ้นยากฉิบหายเล่นไปปักธงแบบนู้นก็แล้วแบบนี้ก็แล้วก็ไม่ยอมเต็ม จนกระทั่งอีเวนท์ที่กรอตโต้ เท่านั้นแหละ...”

    “ได้เ_ดสักที”

    “ไม่ใช่เฟ้ย นี่มันไม่ใช่เฮนไตเกมนะเฮ้ย ไอ้เกมประเภทนี้มันเอาไว้เสพย์ความประทับใจผ่านเนื้อเรื่องและตัวอักษรโดยไม่ต้องเ_ดกันน่ะ โอ่เค้?”

    “แล้วเห็นหัวนมเห็นอะไรบ้างมั้ย”

    “หึ---หึ”ผมส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ “ไม่มี้ เป็นรักสดใส รสวนิลา ไม่เอจจิไม่เฮนไต”

    “นี่สิ แสดงว่าเล่นเพราะเกมเขาดีจริงๆ”

    “อื้อ” ผมเล่าต่อไป “พอได้ค่าเต็มแล้วใช่ม้า ที่นี้ฉันก็ถือคติ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เลยติดเซฟตี้คัท อะเฮ่อ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่า” ผมเล่นมุกเอง ขำเอง โดยเขาอมยิ้มแล้วขำให้ผมเบาๆ “หลังจากนั้นฉันก็เลยกดควิกเซฟ ป๊ะ! เท่านั้นแหละเองเอ๋ย” ผมตบโต๊ะแล้วหันขวับไปมองเขา เป็นนัยน์ให้เขาลองเดาว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป

    เขาพูดหน้าตายใส่แทบจะทันที “ทันใดนั้นพ่อพี่ฟ้าก็เปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วว่า จะนอนสักกี่โมงกี่ยามกัน แล้วมายกเครื่องเพลย์ทุ่มกับพื้นพังแม่งเลย อะเฮื้อ อ่ะอ่ะอ่ะอ่ะอ่ะ” ปิดฉากด้วยเสียหัวเราะแบบสะใจจนผมอดหัวเราะตามไม่ได้ ผมพักหายใจหายคอสักพักก่อนค่อยพูดต่อ

    คำตอบที่เขาเดามาอาจจะเกิดขึ้นจริงๆก็ได้ ถ้าหากว่าตอนนั้นเป็นเวลาปกติล่ะก็ ทั้งๆที่มีชนักติดหลังเหวอะหวะแต่ยังทำตัวเอยเฉื่อยแบบนั้นผมคงไม่พ้นเจอกับเหตุการณ์แบบที่เขาพูดมา แต่ตอนนี้ผมอยู่ตัวคนเดียว พ่อ ,แม่ ,พี่ที่นานๆจะกลับบ้านสักที และญาติห่างๆที่ผมเรียกว่าน้อง พากันไปญี่ปุ่นกันหมด เพื่อไปช่วยให้เรื่องการงานของพี่ผม เขาเรียนจบมาทางด้านการก่อสร้างเหมือนพ่อแต่ชื่นชอบเรื่องสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เขาสร้างอะไรต่างได้มากมายขณะที่สิ่งที่เรียนมาแทบไม่ได้ใช้ สิ่งประดิษฐ์ของเขาเหมือนจะเอามาหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลยจากประเทศที่เพิ่งหลุดจากรายชื่อไม่คบค้าสมาคมของพันธมิตรเศรษฐกิจโลกมาหมาดๆแถมเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่นนี้ เลยต้องไปที่ประเทศที่น่าจะไปได้รุ่งกว่า ครอบครัวของผมมีเชื้อสายจากชาวจีนในหลิวฉิวซึ่งมีสมาคมครอบครัวที่ใหญ่มากตามประสาชาวจีน ส่วนมากของสมาคมเป็นชาวพลัดถิ่นแต่ไม่ได้ทำให้พวกเราห่างเหินกันเลย การไหว้บรรพบุรุษแบบครั้งยิ่งใหญ่สุดๆตอนตรุษจีนที่ศาลเจ้าบรรพบุรุษบนหลิวฉิวซึ่งตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นไปแล้ว ซึ่งอีกแค่เดือนกว่าๆก็จะถึงวันไหว้ ประจวบเหมาะกับญาติๆทางสมาคมของผมอยู่ในญี่ปุ่นก็มากให้ช่วยเรื่องงานของพี่ผมหน่อยก็น่าจะได้ และก็ได้นิดหน่อยจริงๆ ที่เหลือพวกผมต้องจัดการเอง เลยต้องไปญี่ปุ่นตั้งแต่ตอนนี้เลย ทีแรกเราตกลงกันว่าเรื่องของพี่ไม่กี่วันก็น่าจะเสร็จหลังจากจัดการเรื่องนั้นแล้วจะเที่ยวกันยาวไปจนกว่าจะไหว้บรรพบุรุษเสร็จแล้วค่อยกลับกัน  

    ผมควรไปกับพวกเขาด้วย ถ้าไม่มีการงานคั่งค้างอยู่แบบนี้ พ่อโกรธเรื่องนั้นมากจนทิ้งผมไว้ให้สะสางปัญหาของตัวเอง ผมมีเวลาลาแค่เดือนกว่าๆก่อนวันไหว้บรรพบุรุษเพื่อแก้งานให้เรียบร้อยแล้วตามพวกเขาไป ทีแรกผมเศร้ามากหมดอาลัยตายอยากนั่งเศร้าเหงาหงอยแล้วให้เกมปลอบใจ จากนั้นผมก็ดวงตาเห็นธรรมว่ามันไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย แม้ไม่ได้ไปญี่ปุ่นแต่ก็ได้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวแบบตัวเอกการ์ตูนญี่ปุ่นในเวลาเดือนกว่าๆมันอาจจะดีกว่าก็ได้ ผมอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟังเพื่อบอกว่าการเดาคำตอบของเขาผิด

    แล้วก็กลับมาปัญหาหลักของการคุยเรื่อยเปื่อย ก่อนหน้านี้เราคุยอะไรกัน พวกเราเริ่มค้นลึกเข้าไปในความจำของตัวเองแล้วก็มาตั้งคำถามกันว่าทำไมเราถึงคุยเรื่องนั้นกันแล้วก่อนหน้านั้นมันเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้าที่เสี่ยจะเล่าเรื่องเกมเขาเล่าเรื่องวอดก้ากับยาฆ่าหญ้าก่อน ตอนนี้เรากำลังถกกันว่ามันเกี่ยวกันได้ยังไง พวกเราเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเคร่งเครียด

    ผมพยายามตัดบทเรื่องคนไทยเนี่ยแปลกแม่งแดกยาหญ้าฆ่าแล้วเสือกบอกอร่อยของเขา ด้วยมุกหื่นๆที่ผมเพิ่งคิดได้ ผมอ้าปากกำลังจะพ่นมันออกไป

     

    “เสียงดังเหลือเกินน่ะพวกนาย” เสียงร้องทักของเด็กสาวทำให้ผมต้องกลืนมุกหื่นๆนั่นลงคอไป

    เด็กสาวหน้ามน ผิวสุกสว่าง เหล็กดัดฟันสีฟ้า ดวงหน้าทะเล้น แต่ดวงตารูปเม็ดขาวยาวเรียวแฝงทิฐิและความเอาแต่ใจ ดูผิวเผินเหมือนเป็นเด็กสาวร่างเล็กผอมบางแต่เอาเข้าจริงตัวใหญ่กว่าผมซะอีก เธอคือฮิเดมาสะ โมโมะกะ สวมชุดเสื้อพละสีแดง-กางเกงวอร์มยิ่งซ่อนรูป

    บางครั้งผมจะเรียกเธอว่าชมพู มาจากคำว่า โมโมอิโระ ในภาษาญี่ปุ่น  

    “สบายเหลือเกินนะ มาเที่ยวเหรอ” เธอพูดอกสำเนียงแปร่งๆ ออกเสียงสั้นๆ เล็กน้อยแต่ถือว่าพูดชัดดี แม้จะมีปัญหาตรง ร.เรือกับล.ลิงกับสระเสียงผสมบ้าง

    “เปล่ามาแก้งานน่ะ” ผมและเสี่ยพูดขึ้นพร้อมกัน

    พวกที่มาโรงเรียนในเวลาแบบนี้แบ่งเป็นสองฝ่าย คือพวกที่มาเคร่งเครียดหน้าดำหน้าแดงแก้งาน กับพวกที่มาสบายๆยังไงก็ได้ ไม่มีงานคั่งค้าง อาจจะมาเที่ยวหรืออาจจะมาซ้อมพิเศษเพื่อการแข่งอะไรสักอย่างแต่พวกนี้จะไม่มีงานค้าง ชมพูเป็นพวกหลัง ส่วนพวกผมสองคน มีงานค้าง แต่สบายๆค่อยๆแก้ไปเดี๋ยวก็เสร็จ  

    “โห ดูลั้ลลามากเลยอะ ทำไมไม่รีบแก้ล่ะ” เธอหย่อนบั้นท้ายลงข้างกายเสี่ยแล้วพูด

    “รออาจารย์น่ะ” เสี่ยตอบ ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆเกือบบ่าย คุณครูเหนื่อยกับการทำงานช่วงเช้ามาทั้งเช้าก็ออกไปหาอะไรเติมพลังงานกัน ระหว่างนั้นที่อาจารย์ไม่อยู่ก็ได้แค่รอเท่านั้นแหละ

    “แล้วแกล่ะ ขนหน้าแข้งแมน...” เธอหันมาถามผมบ้าง อีแบน อีจั๊กกะแร้เปียก อีสูง อีใหญ่’ “...รออาจารย์อะไรอยู่เหรอ” เธอพูดไม่ทันจบผมก็ออกตัวด่าในใจไว้ก่อน ไอ้มุกหื่นที่ผมกลืนมันลงไปผมอยากจะเอามันออกมารีบๆเล่าซะก่อนที่จะลืม เพราะถ้าหากไปนึกออกตอนที่กลับไปถึงบ้านแล้วนึกออกมันจะค้างคาใจไปอีกหลายวันจนกว่าจะได้เล่าให้ใครฟัง แต่ผมเอาออกมาเล่าตอนนี้ไม่ได้ ในสังคมที่แตกต่างกันเราจะเป็นคนที่ต่างกัน กับคนแต่ละคนเรื่องคุยด้วยได้ย่อมต่างกัน กับโมโมะถึงเราจะเรียนอยู่แผนกศิลป์-ภาษาเหมือนกัน ค่อนข้างสนิทกัน แต่ผมไม่อยากพูดเรื่องมุกหื่นๆกับเธอเท่าไหร่เลยจริงๆ ทั้งๆที่เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างเปิดเผย ทำลายความเชื่อเรื่องความแตกต่างของคนอังกฤษและอเมริกันที่ผมเชื่อมาตลอดแท้ๆ เป็นเพราะอาการสองมาตรฐานโดยธรรมชาติ อันก่อให้เกิดการแบ่งแยกชายหญิงนั่นแหละ ผมอยากเล่ามันออกมาเหลือเกินเลยเกิดอาการต่อต้านลึกๆในใจอยากจะไล่ให้เธอไปพ้นๆซะ

    ผมยิ้มแหยๆตอบเสียงละห้อย “เยอะละ อาจารย์วาสนา อาจารย์ดุสดี อาจารย์ไมตรี อาจารย์ระย้า อาจารย์ชำนาญ อาจารย์วิลิต อาจารย์วิภา...แค่นี้มั้ง

    แต่ว่าบ้านผมค่อนข้างถือเรื่องอาวุโส เธออายุสิบเก้ามากว่าพวกเราสองปีแต่ยังอยู่ม.ห้า แต่เพราะเพิ่งย้ายมาประเทศนี้เลยเข้าเรียนเอาตอนสิบแปด ผมมารู้ทีหลังจากรู้จักเธอนานแล้วจนทำเหมือนเธออายุเท่ากันจนชิน การไม่เคารพผู้อาวุโสที่ไม่ใช่ศัตรูกันกว่าน่ะมันรู้สึกขัดยังไงไม่รู้

    และอีกเรื่องเวลาที่มีใครสู้กันคนที่เสียหายที่สุดไม่ใช่ไอ้ที่สู้กันหรอกไอ้คนที่อยู่ตรงกลางนั่นแหละเดือดร้อนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนที่อยู่ตรงกลางเกี่ยวข้องกับทั้งสองฝ่ายด้วยแล้วยิ่งเดือดร้อนหนัก ผมกับชมพูรู้จักกันเป็นเพื่อน เสี่ยที่เข้ากับคนได้ง่ายเป็นทั้งเพื่อนสนิทของผมกับโมโมะ เขาต้องรู้สึกไม่ดีแน่ถ้าเพื่อนมีปัญหากัน ถึงจะไม่ค่อยพอใจเรื่องขนหน้าแข้งเท่าไหร่ แต่ผมก็ซ่อนความไม่พอใจไว้แล้วด่าเธอแค่ในใจก็พอ

    “เห ติดของวิภาเซนเซด้วยเหรอ”

    “ชมพู ฉันเพิ่งพูดไปว่าติดของอาจารย์วิภาเขาไม่ใช่รึไง หรือฟังไม่ชัด”

    “ก็เห็นนายเหมือนจะไม่ค่อยเก่งแต่ก็พอเอาตัวรอดได้นี่” แม้เธอจะถามเหมือนเป็นห่วง แต่ก็ทำท่าไม่ใยดี

    “ก็ฉันอ่านคันจิไม่ค่อยออกนี่นา”ผมหลีกเลี่ยงจะพูดถึงมัน หยิบแฟ้มลายทางขึ้นเปิดออก แล้วหยิบกระดาษหนึ่งจากหลายสิบในนั้นออกมาดู มันเป็นกระดาษพิมพ์ตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นอยู่เต็มหน้า ผมพยายามจะอ่านออกเสียงแต่ว่า

    “วะตะชิ โนะ โคอิ โวะ...โอะ..อืม---ม” เหมือนจะเป็นเนื้อเพลงอะไรสักอย่าง บนหัวกระดาษพิมพ์คำว่าโรมีโอแอนด์ซินเดอร์เรลล่าเป็นภาษาอังกฤษ แต่เนื้อหานั้นผมอ่านตัวคันจิออกแค่ไม่กี่ตัว

    โรมีโอแอนด์ซินเดอร์เรลล่า” เธอรีบตอบเหมือนกำลังแข่งชิงรางวัลรายการแฟนพันธ์แท้

    ถูกต้องนะคร้าบ---บ เก่งนี่น่าไปออกรายการแฟนพันธ์แท้”

    “ก็แฟ้มนี้ฉันเก็บเอาไว้แต่เพลงโวแคลลอยด์ ซึ่งท่อนแรกเป็นแบบนี้ก็ไม่มีมาก”

    “มิน่าล่ะ ลายถึงเหมือนกางเกงในมิคุเลย” เสี่ยโพล่งขึ้นมาซะอย่างนั้น ผมอยากจะต่อประเด็นด้วยมุกนั้นจริงๆ แต่ผมก็เกรงใจชมพูอยู่ล่ะนะ แต่เหมือนว่าเธอจะยิ้มกรุ้มกริ่มมีความสุขเสียนี่

    “อย่าแต่ลายแฟ้มเลยโดโสะ กางเกงในก็มี” ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้แต่โมโมะจะเรียกเสี่ยว่าโดโสะ ฟังดูเข้ากันดีพิลึก

    “เอ๋~ฉันนึกว่าโมโมะจะชอบฟังแบบพี่สาวนมแข็งซะอีก” ผมแทรกขึ้น ปกติมักจะได้ยินเพลงโวคัลลอยด์จากโทรศัพท์ไม่ก็เสียงร้องของเธอเอง แต่เพลงแนวอื่นทั้งจากญี่ปุ่น ,จีนและเพลงสากลเธอก็เลือกฟังเช่นกัน    

    “ชื่อมันฟังดูทุเรียนยังไงไม่รู้แฮะ”เสี่ยได้ยินชื่อยังตะลึงหน้าตาย โมโมะอมยิ้มมุมปาก

    “แกนี่ไม่รู้อะไร วงนี้น่ะแนวกว่าวงญี่ปุ่นอื่นๆตรงเขาร้องท่อนอังกฤษได้ถูกต้องดี โมโมะน่าจะชอบ” เธอเป็นลูกครึ่งชาวญี่ปุ่น-อังกฤษ มีพ่อเป็นชาวญี่ปุ่นที่มีปู่เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นกับแม่ชาวอังกฤษ นั่นว่าทำไมเธอมีรูปร่างค่อนข้างใหญ่โต

    “จริงๆ ชื่อมันไม่คุ้นหูเลย” เธอหยีตาสงสัย

    “วงนี้ออกจะดัง เธอรู้จักแน่ๆ เพลงเขาก็มีดีปเปอร์ดีปเปอร์ ,ฉิบุนร็อค ,คล็อค สไตรค์,คะอิมุ และอีกเยอะล่ะ”

    นั่นมัน ONE-OK-ROCK! ยังไงเป็น พี่สาวนมแข็ง” เธอรู้ชื่อจริงของวงนี้ได้จากตัวอย่างเพลงที่ผมยกตัวอย่างออกมา แต่เธอยังคงไม่เข้าใจชื่อเล่นที่ผมตั้งขึ้น

    “ก็ O-N-E / โอเน่ พี่สาว ,O-K/ อก ก็นม ,ROCK /หิน ก็แข็งเป็นหิน งั้น ONE OK ROCk ก็เป็นพี่สาวนมแข็งไงเล่า” ผมอยากเล่นมุกนี้มามานแล้ว แต่การหาเพื่อนที่รู้จักเพลงต่างประเทศเหมือนกันสนิทกันพอจะเล่นมุกแนวนี้ได้มันช่างหายากเหลือเกิน ผมต้องมานั่งกังวลว่าเล่นแล้วจะมีคนหัวเราะมั้ย หรือจะมีแฟนบอยมาโวยวายหรือเปล่าในที่สุดก็ลืมไป จนกระทั่งมันแวบเข้ามาในหัว ที่จริงผมไม่ค่อยอยากเล่นมุกนี้เท่าไหร่  

    “ฮึฮึฮึฮึฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” เธอกุมขมับแล้วเปล่งเสียงหัวเราะชอบใจอย่างแผ่วเบา

    อีกประมาณสามเดือนกว่าจะถึงงานโรงเรียน แต่เธอกลุ่มของพวกเธอมาซ้อมแสดงเผื่อเวลานั้นกันซะแล้ว ที่จริงพวกเธอมาซ้อมตั้งแต่สอบเสร็จกันแล้ว คนอื่นๆก็เริ่มไม่ค่อยมากันแล้ว ไม่ใช่เพราะยึดติดกับความสมบูรณ์แบบหรือสุดโต่งอะไรแต่เพราะว่าเธอสนุกที่ได้ทำมันต่างหากถึงได้ทำมันทุกวัน โมโมะจึงอยู่ร่วมวงสนทนากับเราได้ไม่นานนักก็จำใจจากพวกเราไปซ้อมตอนบ่าย

    หลังจากที่ผมรอมานานผมเหมือนจะจำได้ลางๆว่าว่าให้เธอไปเพื่อจะได้พูดมุกหื่นๆอะไรสักอย่าง แต่ผมก็กลับลืมมันไปซะแล้ว ผมพยายามนึกถึงมันลองค้นกลับไปในความทรงจำตัวเองว่าได้ทำอะไปแล้วบ้าง

    “อืม...” ผมครางเสียงทำลายความเงียบที่คั่นระหว่างผมกับเสี่ยตอนนี้อยู่ “ฉันว่าวันนี้ทั้งวัน ที่ผ่านๆมาฉันได้แต่นั่งคุยกับแกทั้งวันเลยนะ”

    “พี่ฟ้ารู้สึกเสียดายเวลาเหรอ”

    “ไม่เลยสักนิด ฉันแค่อยากเล่าให้ฟังว่าปกติฉันมันพวกจิตใจไม่ค่อยกับเนื้อกับตัวอยู่เฉยไม่ค่อยได้ แต่แกกลับกล่อมให้ฉันอยู่เฉยฟังแกพูดได้”

    เขาแสยะยิ้มทีหนึ่งแล้วกลับมาทำหน้าตาย เมื่อผมไม่พูดอะไรต่อเขาก็เดาออกว่าผมไม่รู้จะพูดอะไรดี เขาคิดแวบหนึ่งก่อนทำหน้าตาขึงขังเปลี่ยนไปใช้น้ำเสียงเข้มกังวานพูดออกมา “อาจเพราะเราผูกพันกันตั้งแต่ชาติปางก่อนล่ะมั้ง”

    “ชาติที่แล้วเราเป็นละมั่งเหรอ”

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ” เขาไม่สนมุกแป้กๆที่ผมยิงใส่นัก เล่าต่อ “แต่นี่เราดันไปเป็นคน ออกท่องยุทธภพอยู่แถวเช็คโกสโลวาเกียนี่สิ” ผมไม่รู้ว่าเช็คโกสโลวาเกียนี่มันคือที่ไหน รู้แค่ว่ามันเป็นประเทศๆหนึ่ง ไม่รู้อะไรมากกว่านั้นเลยแต่ผมรู้สึกติดหูกับประเทศนี้มาก “ที่เช็คโกสโลวาเกียน่ะเป็นดินแดนที่อยู่เหนือกว่าแอสการ์ด ด้วยตั้งอยู่บนสุดของต้นไม้โลก” ซึ่งเสี่ยเองก็ไม่รู้หรอกว่าเช็คโกสโลวาเกียนี่มันอยู่ที่ไหน “ตอนนั้นพวกเราสองคนอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ชายขอบของเช็คโกสโลวาเกียใกล้ๆกับแซมเบีย” และแน่นอนว่าพวกเราไม่รู้จักด้วยว่าประเทศแซมเบียอยู่ตรงไหน “ตอนนั้นมีเถ้าแก่เจ้าของร้านดวงซวยกับเสี่ยวเอ้อหน้าโง่กำลังทำงานตามปรกติ คนเล่านิทานแม่งก็ทำหน้าที่ไปเล่าไปไม่มีใครฟังก็ช่างแม่ง บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมมีจอมยุทธ์หนุ่มลี้หมกโช้วกำลังนั่งซดเหล้าป่าซึ่งหมักโดยใช้กรัมม็อกโซลเข้มข้นหกฝากับอิกดราซิลเบอร์รี่โดยลำพัง เขามองออกไปนอกหน้าต่างทางทิศเหนือ พระอาทิตย์กำลังตกดิน ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่เบื้องหลัง พระอาทิตย์พ่องมึงสิขึ้นทางทิศเหนือ 
                
    "เดี๋ยว ตดลงพระอาทิตย์มันตกหรือขึ้นวะ"
                "อ๋อ ไอ้เ_ยสองตัวนี้มันเมากันทั้งคู่ไง"
                "ฮ่าฮ่าฮ่า แล้วไงต่อ" ผมพยายามกลั้นขำฟังไป

                  “เจ้าของเสียงนั้นเป็นจอมยุทธสาวสะพรั่งนามว่า...เอ่ยะ อะไรดีวะ...บิ๊กโชว์ –เอาเป็นว่าชื่อบิ๊กโชว์ละกัน อีนี่แม่งเป็นเลิศด้านชาตัวเบา” เสียงหัวเราะของผมคงไปรบกวนสมาธิเขาจนกลับมาใช้น้ำเสียงปกติ เขาเล่าเรื่องยุทธภพที่เช็คโกสโลวาเกียต่อไปเรียกเสียงหัวเราะจากผมได้ไม่หยุดหย่อน เขารู้จักหาหยิบเอาเรื่องที่รู้จักมาทำเป็นเรื่องขำขัน เรื่องดำเนินไปจนกระทั่งสองจอมยุทธ์สู้กันพังโรงเตี๊ยมทับคนที่อยู่ในนั้นตายหมด แล้วก็มีบุตรแห่งเทพซุส ผู้มีร่างกายกำยำหัวโล้นเคราแพะ ผิวสีขาวมีลายสักสีแดงปรากฏตัวมาพร้อมกับดาบคู่ติดโซ่ในมือ ออกมาปราบปรามจอมยุทธ์ทั้งสอง เขามีพละกำลังมหาศาลเพียงเหวี่ยงดาบทีหนึ่งก็พังตึกได้ตึกหนึ่ง

    แต่แท้จริงแล้วบิ๊กโชว์เป็นร่างจำแลงของม้านิลมังกรที่พระถังซัมจั๋งขี่ไปชทพูทวีปเมื่อคืนร่างก็ได้ใช้พลังแห่งน้ำทะเลเข้าโรมรันกับเครโตสและลี้หมกโช้ว ทว่าลี้หมกโช้วแท้จริงแล้วก็ไม่ใช่คนธรรมดา เป็นปิศาจกระทิงที่ต้องการพลังอมตะจากพระถังซัมจั๋งแต่เพราะพระถังซัมจั๋งนิพพานไปแล้วจึงคิดใช้วิธีการเลียเหงื่อที่เหลือบนแผ่นหลังของม้ามังกรแทน

    ทั้งสามโรมรันกันจนเผาทำลายรากของต้นไม้โลก และแล้วสงครามแร็คน่าร็อคก็สิ้นสุดลง

    นี่มึงเล่าเรื่องเ_ยอะไรให้กูฟังเนี่ย’ ผมคิดในใจ

    ผมพักหายใจหายคอจนทั่วท้องแล้วก็ค่อยเริ่มพูดต่อ “แกจะบอกว่าฉันเป็นปิศาจกระทิงที่โดนคราโตสบิดคอหมุน แล้วแกเป็นม้านิลมังรที่เครโตสแทงทะลุอกงั้นสิ”

    “ไม่ใช่อ่ะ ผมกับพี่น่ะเป็นไอ้ขี้เมาที่ไปเมาคุยกันที่โรงเตี๊ยมต่างหาก”

    ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า

    วันนี้ผมไปโรงเรียนโดยงานที่ค้างอยู่ไม่มีความคืบหน้า แต่การได้คุยเล่นสนุกกันกับเพื่อนสนิทก็ทำให้วันนี้เป็นอีกวันที่คุ้มค่าแล้ว ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น

    ในตอนนี้เป็นนิยายที่เกี่ยวกับหนุ่มสาวน่ารักๆพูดคุยกันเพื่อความบันเทิงของท่านผู้ชม ฮะ!อะไรนะเตือนช้าไปเหรอ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×