ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { Fic attack on titan (Erwin x Levi) } A melting point

    ลำดับตอนที่ #7 : fifth

    • อัปเดตล่าสุด 12 ส.ค. 57


    เพราะทหารของทีมสำรวจส่วนมากออกไปนอกกำแพงเหลือไว้เพียงทหารฝึกหัด หน่วยสำรวจจึงดูว่างไปถนัดตา การฝึกที่ทำกันทุกวัน ก็กลายเป็นวันเว้นวัน แต่รีไวล์ก็ยังมาที่สนามฝึกทุกวัน

    ทุกครั้งที่เขาอยู่นิ่งๆ สมองจะคิดถึงแต่เรื่องร้ายๆ ที่อาจเกิดกับเอลวิน มันทำให้เขารู้สึกแย่เสียจนอยากจะปีนกำแพงตามออกไปเดี๋ยวนี้ถึงชายหนุ่มจะทำตัวแย่กับเขาขนาดไหน สุดท้ายแล้วเขาก็ยังรักเอลวินอยู่ดี

    รีไวล์ถอนหายใจ

    เขาทนอยู่ที่นี่ไม่ไหวอีกต่อไป ถึงจะฟันคอไททันปลอมไปกี่ตัว รีไวล์ก็ไม่สามารถสงบใจได้ รู้ตัวอีกที รีไวล์ก็พบว่าตัวเองอยู่บนหลังม้ากำลังเดินทางเข้าเมืองไปยังร้านขนมปัง...

    แรกเริ่มเดิมที ความตั้งใจของเขาไม่ใช่อย่างนี้ หลายครั้งหลายหนรีไวล์ก็คิดจะฆ่าเอลวินทิ้งเสียด้วยซ้ำ ก็ดูหมอนั้นทำตัว ถ้าคิดจะฆ่าจะแกงกันจริงๆ คงจะง่ายกว่าฆ่าไททันด้วยซ้ำไป หมอนั้นไม่เคยระวังตัวเวลาอยู่ใกล้ๆ เขา บ่อยครั้งรีไวล์เองก็รู้สึกแคลงใจ ดูก็รู้ว่าหมอนั้นเป็นคนสำคัญขนาดไหน

    ฟาร์ลันเองก็คงรู้ด้วยเหมือนกัน คราแรกเขาก็ไม่เข้าใจคำเตือนของเพื่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปรีไวล์ก็เห็นเหมือนที่ฟาร์ลันเห็น และถึงแม้วิธีจะไม่เข้าท่าไปบ้าง ไม่เหมือนกับที่ฟาร์ลันคาดเอาไว้ แต่พวกเขาทั้งสามก็ได้ขึ้นมาอยู่ข้างบนกันจริงๆ ในที่สุด

    "อ้าวลูกพี่นี่นา"

    อิซาเบลโผล่หน้าออกมาจากร้าน หญิงสาวกระโจนมาหาเขาอย่างร่าเริง ผมที่ครั้งหนึ่งเคยกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรงกลับเรียบลื่นเงางาม รีไวล์ยังจำความรู้สึกในวันนั้นได้ดี หยดเลือดที่ชโลมมือเขา มันช่างน่าขยะแขยงสิ้นดี แต่เพราะมันทำให้ผู้หญิงตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่ รีไวล์ก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร มันก็แค่ความสกปรกชั่วครั้งชั่วคราว

    "ลูกพี่?"

    หญิงสาวโบกมือไปมาตรงหน้าเขา

    "เป็นอะไรกันไปหมดนะเนี่ย" อิซาเบลส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งตรงข้ามร้าน

    "ช่วงนี้ฟาลันก็เอาแต่เหม่อ เลยโดนแม่เฒ่าลงโทษอบขนมปังอยู่หลังร้านทั้งวัน"

    เสียงเจื้อยแจ้วยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ 

    "ลูกพี่เป็นยังไงบ้าง ฉันไม่เจอเอลวินมาเป็นอาทิตย์แล้ว หมอนั้นคงยุ่งน่าดูซินะ"

    "คราวก่อนที่เจอกัน หมอนั้นบอกว่าคงมาที่นี่ไม่ได้อีกสักพัก ให้ฉันดูแลแม่เฒ่าให้ดีๆ ปกติหมอนั้นก็เป็นคนระวังตัว แต่ช่วงนั้นถึงต้องมีคนติดตามตลอดเวลาเลย คนสูงๆ ที่ไว้หนวดแล้วก็ชอบดมกลิ่น ฉันจำได้แม่นเลย"

    พูดจบเจ้าหล่อนก็ทำหน้าสยดสยอง

    "มิเกะ... หมอนั้นชื่อมิเกะ"

    รีไวล์แก้ คิ้วเรียวขมวดมุ่นเกือบจะเป็นปม อิซาเบลดูจะคุ้นเคยกับเอลวินดี ไม่เหมือนฟาลัน เป็นครั้งแรกที่รีไวล์รับรู้ว่าเอลวินอยู่ในสถานการณ์แบบไหน หมอนั้นเป็นคนสำคัญมาตลอดก็จริง แต่เขาเองกลับไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด

    "หมอนั้นมาที่นี่บ่อยหรอ"

    "อาทิตย์ละครั้ง มาหาแม่เฒ่า ทุกครั้งที่หมอนั้นมา ฟาลันจะหนีออกไปข้างนอก ตลกชะมัด"

     "อย่างนั้นหรอ..."

    "นี่..."

    "ลูกพี่เป็นอะไรรึเปล่า?"

    รีไวล์ชะงัก

    "เปล่า..."

    "เอลวินพูดถึงลูกพี่บ่อยเหมือนกันนะ"

     รีไวล์ทำเป็นไม่สนใจ แต่กำลังเงี่ยหูฟังเต็มที่

    "พอเถอะน่า"

    "หา?"

    "นี่ลูกพี่ไม่รู้ตัวจริงๆ หรอ?"

     รีไวล์เลิกคิ้ว

    "เวลาที่ลูกพี่สนใจอะไรสักอย่างมากๆ ลูกพี่จะพยายามทำเป็นไม่สนใจ"

    อิซาเบลจิ้มนิ้วลงที่หน้าผากของเขาอย่างแรง รีไวล์มุ่นคิ้วอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

    "ทำไมต้องสนใจขนาดนั้นว่าเอลวินพูดถึงลูกพี่ว่ายังไง"

    "ฉันไม่ได้สนใจซะหน่อย"

     อิซาเบลถอนหายใจ

    "พวกผู้ชายเนี่ยนะน่ารำคาญจริงๆ ปากมีก็ไม่พูด ถึงเวลาก็มาโอดครวญกันทีหลัง"

    "พวกผู้หญิงนี่ขี้บ่นชะมัด"

    "เดี๋ยวเถอะ!!"

    รีไวล์หัวเราะเบาๆ กับท่าทีของหญิงสาว ยิ่งเมื่อเห็นหล่อนทำท่าจริงจังไม่เล่นด้วย สะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง รีไวล์ก็ยิ่งขำ

    "ฉันน่ะรู้นะว่าทุกคนรักฉัน"

    "ใครจะไปรักเด็กกะโปโลอย่างเธอ"

    "ปากแข็ง..."

    "บางทีการกระทำมันก็ชัดเจนกว่าคำพูดนะลูกพี่"

    พูดจบเจ้าหล่อนก็เอนหัวมาซบที่ไหล่เขา แขนเรียวโอบตัวเขาไว้หลวมๆ รีไวล์ถอนหายใจ มือเล็กยกขึ้นลูบหัวเด็กสาวเบาๆ

    ...การกระทำมันชัดเจนกว่าคำพูดงั้นหรือ...

    รีไวล์ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองอยู่สักพักจนกระทั่งแม่เฒ่าเดินเตาะแตะออกมาจากร้านเรียกอิซาเบลเข้าไปช่วยในร้าน หญิงสาวจึงจำต้องลาเพื่อนไปทำงานอย่างจำใจ

    "เธอคงจะเหนื่อยซินะ"

    หญิงชราเอ่ย หล่อนค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งข้างๆ เขาแทนที่อิซาเบล 

    รีไวล์ไม่คุ้นเคยกับการพูดกับผู้ใหญ่ ทั้งยังไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของหญิงชรา จึงเพียงส่ายหน้าให้แทนคำตอบ

    "เด็กคนนั้นเป็นแบบนั้นมาตั้งนานแล้วละ ตั้งแต่ยังตัวแค่เข่าฉันก็เป็นเด็กแก่แดด พูดจาเหมือนผู้ใหญ่ อยากออกไปดูโลกกว้างอะไรของเขานั้นละ เธอคงจะเหนื่อยแย่เลยซินะ ต้องรับมือกับคนเอาแต่ใจแบบนั้น"

    รีไวล์เริ่มจะจับใจความได้ว่าหญิงชรากำลังพูดถึงเอลวินให้เขาฟัง 

    "ก็นิดหน่อย"

    "งั้นหรอ..."

    "2 คน นั้นเป็นเด็กน่ารัก ฉันเองก็ไม่มีครอบครัว ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันก็อยากจะดูแลเด็ก 2 คนนั้นไปจนแก่เฒ่า ถ้ามีคนคิดถึงฉันตอนฉันตายไปแล้วเพิ่มขึ้นคงจะดีไม่ใช่น้อย"

    รีไวล์ขมวดคิ้ว สมองนึกย้อนไปถึงวันแรกที่เขามาที่นี่ รีไวล์ยังจำสายตาเย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง และคำขู่อันโหดเหี้ยมของเอลวินได้ดี ไม่มีทางที่หญิงชราคนนี้จะไม่ร่วมมือกับเอลวินอย่างแน่นอน ยิ่งฟังหล่อนพูด เขาก็ยิ่งหงุดหงิด

    "เลิกพูดแบบนั้นจะได้ไหม ทั้งคุณทั้งหมอนั้นก็แค่ทำเป็นพูดดีไปอย่างนั้นเองละ!"

    รีไวล์ตวาด ร่างเล็กผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างโกรธเกรี้ยว นัยน์ตาสีควันจ้องมองหญิงชราอย่างกินเลือดกินเนื้อ

    ...

     

    ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ สร้างบรรยากาศอึดอัดขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ ทันใดนั้นเองหญิงชราก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลง

    "เด็กคนนั้นพูดอะไรกับเธอ"

    "..."

    "ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเด็กคนนั้นพูดอะไรกับเธอ แต่ที่ฉันบอกว่าจะดูแลเด็ก 2 คนนั้น ฉันพูดจริงๆ" 

    รีไวล์หันหลังกลับ เดินตรงไปยังคอกม้า ทิ้งหญิงชราไว้ที่ๆ เดิมของเธอ ความคิดในหัวเขาตีกันยุ่งไปหมด รีไวล์รักเอลวิน แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดเอลวิน เขากระโดดขึ้นหลังม้าควบออกไปนอกเมือง พามันกลับเข้าคอก เขาคิดจะเดินกลับไปที่สนาม แต่ 2 ขากลับพารีไวล์มาหยุดยืนที่หน้าห้องของเอลวิน

     
    ...


     

    ประตูบานเดิม ห้องเดิมๆ แต่ความรู้สึกกลับไม่เหมือนเดิม 

    ครั้งแรกเขาถูกผลักเข้าไปในห้อง ครั้งที่สองเขาก็ยังถูกผลักเข้าไปในห้อง ครั้งที่สาม เขายืนรออีกฝ่ายอยู่หน้าห้อง ครั้งที่สี่ เขาตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง ครั้งที่ห้า เขาเปิดเข้าไปเอง ครั้งที่หก.... เอลวินอุ้มเขาเข้าไป....
     

    ครั้งนี้เป็นครั้งที่เจ็ด
    รีไวล์รู้สึกราวกับว่า ถ้าเขาเข้าไปในห้องอีกครั้ง เขาจะออกไม่ได้อีกเลย แต่เขาก็เปิดประตูเข้าไปอยู่ดี...
     

    ห้องๆ นั้นยังเหมือนเดิม มีเตียงขนาดพอดีตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง มีโต๊ะทำงานและเก้าอี้อีก 2 ตัว มีตู้เสื้อผ้า ตู้หนังสือ มีประตูห้องน้ำ มีกองเอกสาร มีทุกอย่าง ยกเว้นเจ้าของห้อง

    รีไวล์นั่งลงบนเก้าอี้ที่เอลวินนั่งเป็นประจำ มือเล็กหยิบปากกาออกมาจากลิ้นชัก และเริ่มจัดเอกสารที่วางเกะกะให้เข้าที่ ให้ขณะเดียวกันก็ตวัดสายตาไปตามตัวอักษรบนนั้น

    เอกสารส่วนมากมักเกี่ยวข้องกับเงิน รีไวล์อาจจะไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่ก็พอจะเห็นตัวเลขรายจ่ายกับรายรับที่ไม่สมมูลกันอยู่ เอกสารชิ้นหลังๆ เริ่มจะบ่งบอกว่ารายรับของหน่วยสำรวจเริ่มจะมากขึ้น แต่รีไวล์ก็ยังเห็นโน้ตที่เจ้าตัวเขียนเอาไว้ท้ายกระดาษว่ายังไม่พออยู่ดี

    เอกสารอีกส่วนเป็นรายงานทหารที่ตายในการสำรวจแต่ละครั้ง จดหมายแสดงความเสียใจที่แข็งทื่อเสียจนรีไวล์นึกไม่ออกว่าคนเขียนเขียนด้วยอารมณ์แบบไหน เช่นกัน จดหมายชิ้นหลังๆ ดูจะมีถ้อยคำที่ดีขึ้น เอาจริงๆ คือมันดูสุดแสนเสียใจทีเดียว เอกสารส่วนที่เหลือเป็นเรื่องการวางแผนขบวนของหน่วยสำรวจที่เต็มไปด้วยรอยขีดฆ่า 

    เป็นครั้งแรกที่รีไวล์ให้ความสนใจกับตู้หนังสือของเอลวิน ชายหนุ่มหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาเปิดมันเป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจ แต่รีไวล์ก็อดตื่นเต้นกับภาพผืนน้ำไร้พรมแดน และแผ่นน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตาในนั้นเหมือนกัน

    รีไวล์เก็บหนังสือเข้าชั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขากระโดดลงบนเตียงของชายหนุ่มแล้วซุกหน้าลงกับหมอนสูดดมกลิ่นกายของร่สูงที่ติดอยู่บนนั้น รีไวล์พบว่าตัวเองหลงใหลกลิ่นกายของร่างสูง และพบว่าตัวเองคิดถึงเอลวินมากกว่าที่คิด 

     

    ...บางทีการกระทำมันก็ชัดเจนกว่าคำพูดนะลูกพี่...
    คำพูดของอิซาเบลแวบเข้ามาในหัว

    วันนั้นที่เขาปีนออกไปข้างนอกแล้วถูกมิเกะจับได้ เอลวินก็ไม่ว่าอะไร กลับกันเอลวินนั้นละที่เป็นคนทำแผลให้เขา เอลวินคนที่มือเบาที่สุดที่เขาเคยเจอ เอลวินคนที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้หน่วยสำรวจได้เงินทุน (ภาพอลิซาเบธแวบเข้ามาในหัว ซึ่งเจ้าตัวสลัดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว) เอลวินคนที่ดูร้ายน้อยลงเวลาหลับ เอลวินคนที่ยิ้มให้เขาตอนที่นั่งกินข้าวด้วยกัน เอลวินคนที่เอ่ยคำขู่.... แต่ว่าไม่ได้ทำแบบนั้นจริงๆ

    "นายรักฉันรึเปล่า"
    เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูราวกับเจ้าของเสียงอยู่ใกล้ๆ
     

    ...รักซิ... 

    ....รักจนยอมเป็นคนโง่อยู่แบบนี้ยังไงละ ไอ้บ้าหัวทองใส่วิก... ว่าแต่ว่าตกลงแกรักฉันบ้างรึเปล่า หรือรักงานซะจนรักใครไม่ได้อีกแล้ว

    ...ฉันพอจะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าที่นายดีกับฉัน กับเพื่อนฉัน... เป็นเพราะนายรักฉันเหมือนกัน
     

    สมองของรีไวล์คิดออกแต่เรื่องร้ายๆ เมื่อคืนเขาฝันเห็นภาพเอลวินที่แขนขาดไปข้างหนึ่ง เขาตื่นมาพร้อมกับดวงตาที่บวมช้ำและน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม รีไวล์อยากออกไปนอกกำแพงเหลือเกิน เขาอยากจะแน่ใจว่าภาพนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้น....

    แต่ความจริงก็คือ เขาอยู่ตรงนี้ในกำแพง และทำได้เพียงภาวนา...

     

    ...

     

    ทุกอย่างกำลังแย่... เอลวินคิด

    การทดสอบกระบวนรบทางไกลครั้งแรกล่มไม่เป็นท่าเพราะพายุฝนที่ซัดกระหน่ำลงมาจนทหารแตกกระเจิง จำต้องหลับหูหลับตาสู้กันไปแบบไม่มีทางเลือก ทั้งกองทัพถูกตัดขาดออกจากกันมีเพียงสัญชาตญานเท่านั้นที่ตัดสินความเป็นความตาย 

    ทุกสิ่งพังลงต่อหน้าต่อตาเขา เพราะฝนบ้าๆ นี่ ถึงแม้เอลวินจะทำใจได้นานแล้ว แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคาดหวังกับผลการทดสอบครั้งนี้ไว้เยอะ เอาเข้าจริง เขารู้สึกว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามา ไม่มีร่างทหารสักคนในบริเวณที่เขายืนอยู่ มีเพียงไททัน 5 ตนที่พร้อมใจกันดาหน้าเข้ามา ใบมีดที่เหลือเป็นชุดสุดท้ายกับแก๊สที่ใกล้จะหมดไปพร้อมๆ กับชีวิตของเขา น่าแปลกที่ภาพเดียวที่เขาเห็นกลับเป็นภาพใบหน้าที่สงบนิ่งยามหลับของรีไวล์ ไม่ใช่ภาพเรื่องราวชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมาของตัวเอง เขาคงไม่มีโอกาสได้พูดอะไรกับร่างเล็กอีกแล้ว เอลวินนึกสงสัยว่าชิ้นส่วนไหนของเขานะที่จะถูกนำกลับไป อย่างน้อยๆ ขอเป็นชิ้นส่วนที่ดูไม่เศร้าเกินไปนัก อย่างแขน หรือมือก็ยังดี เจ้ายักษ์คงไม่ใจร้ายถึงขนาดเหลือหัวเปล่าๆ หรอกมั้ง เอลวินหัวเราะกับความคิดอันแปลกประหลาดของตัวเอง ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเป็นครั้งสุดท้ายด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่มันจะถูกบดบังด้วยเงาร่างของไททัน

     

    ...ถ้ามีโอกาสอีกสักครั้ง...

     

    ...

     

    รีไวล์สะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาและเริ่มโหวกเหวกโวยวาย เขารู้ในทันทีว่าทีมสำรวจกลับมาแล้ว จึงไม่รีรอที่จะรีบวิ่งออกจากห้องไปยืนรวมกับคนอื่นๆ ที่พากันมารอคนที่รัก มันใช้เวลานานอยู่เหมือนกันกว่าเขาจะไปถึงประตูใหญ่ แต่ก็พอดีกับเวลาที่ประตูใหญ่เปิดออกพร้อมๆ กับขบวนทหารหน่วยสำรวจที่ทยอยเข้ามา ชิ้นส่วนที่เหลือของทหารผู้กล้าถูกส่งคืนให้กับหัวใจที่แตกสลายดวงแล้วดวงเล่า รีไวล์หาเอลวินไม่เจอ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน เขาก็หาร่างสูงไม่เจอ ดวงตาสีควันสบเข้ากับจำเลยเพียงหนึ่งเดียวที่ผ่านเข้ามาในสายตาอย่างมิเกะ ชายหนุ่มเพียงพินหน้าหนีตอกย้ำข่าวร้ายที่ตัวเขาเองไม่อยากจะยอมรับ

    รีไวล์วิ่งตามขบวนกลับไปที่ทีมสำรวจ ร่างเล็กเดินเข้าไปในห้องที่คุ้นเคย หยิบหมอนขึ้นมากอดไว้แนบอก ไม่มีน้ำตาบนใบหน้าเขา มีเพียงหัวใจที่แตกเป็นเสี่ยงๆ กับใบหน้าที่นิ่งเฉยราวกับไร้วิญญาณ

    =====================================================================================
    Talk.

    หายไปนานมาก เพราะสารพัดภารกิจในชีวิตที่พากันเข้ามาแบบไม่บอกไม่กล่าว จริงๆ แล้วเราเริ่มแต่งเรื่องนี้ตอนปิดเทอมที่แล้วเพื่อฆ่าเวลา แต่เพราะความกรี้ดมากบวกกับหาอ่านฟิคไม่ค่อยได้ เลยอยากแบ่งปันความบ้าบอนี้ให้กับคนอื่นบ้าง 

    เราไม่ได้คิดว่าจะไม่แต่งต่อหรอก แค่ยุ่งเกินไปเท่านั้นละ แหะๆๆๆ ต้องขอบคุณเวลาว่างทีเ่พิ่งได้กลับมา และตอนจบ spin off ที่ไม่โรแมนติกเอาซะเลยที่ฉุดเราออกจากเตียงที่มีพลังสูงมว๊ากมาเขียนต่อได้ 

    แต่เอาเข้าจริงแล้ว คนอย่างเอลวินก็คงไม่ใช่คนโรแมนติกเท่าไหร่หรอกมั้ง ยังจำการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมได้รึเปล่านะ ความโรแมนติกคงเป็นอีกหนึ่งด้านที่ร้ายกาจของพ่อคุณเท่านั้นละ 

     เราวางแผนว่าตอนนี้จะเป็นตอนจบ แต่เพราะเพิ่งได้กลับมาเขียนอีกทีหลังจากหายไปนาน เลยทำให้โดนรีไวล์กับป๋าฉุดไปอีกทางจนเสียหลักอยู่เหมือนกัน เพราะยังไม่สามารถคาดการณ์ความคิด ความรู้สึก และอื่นๆ ของทั้งคู่ได้ เราคงต้องขอติดค้างตอนจบเอาไว้ก่อน 

    ไม่สัญญาว่าจะไม่นาน แต่จะพยายามนะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×