ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { Fic attack on titan (Erwin x Levi) } A melting point

    ลำดับตอนที่ #2 : First of all

    • อัปเดตล่าสุด 2 ม.ค. 57


     

         วันแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว รีไวล์ออกไปฝึกทหารแต่เช้ามืด ตกดึกก็พาร่างพังๆ กลับไปนอนที่โรงนอนรวม เกือบอาทิตย์หนึงแล้ว ที่รีไวล์ไม่เห็นแม้แต่เงาเอลวิน ผู้บังคับหมู่ดูเหมือนจะเป็นที่โปรดปรานของหัวหน้าหน่วยสำรวจอยู่พอสมควร จะเห็นก็เพียงแต่ร่างสูงจนน่าหมั่นไส้ของมิเกะ วันละครั้งเวลาอาหารเย็นเท่านั้น อีกฝ่ายเป็นคนสนิทของเอลวิน ทั้งยังมีฝีมือพอตัว ไม่แปลกที่จะต้องถูกแยกไปฝึกต่างหาก


         วันก่อนเขาได้ยินครูฝึกคุยกัน ว่าคงต้องให้เขาย้ายกลุ่มไปอยู่กับพวกมิเกะ แต่ก็คงต้องถามเอลวินก่อน ฟังแล้วก็นึกสงสัยว่าตกลงหมอนั้นเป็นใครกันแน่ เหมือนจะไม่ใช่แค่ผู้บังคับหมู่ธรรมดา และนั้นยิ่งทำให้รีไวล์ไม่ไว้ใจยิ่งกว่าเดิม...
    ...ถ้าจะให้ไปนรกละก็ อย่างน้อยเขาก็ควรจะมีสิทธิรู้ไม่ใช่หรือ ว่ากำลังเดินตามหลังใคร...
    ป่านนี้ทั้งฟาลัน ทั้งอิซาเบลคงจัดแจงหายเข้าไปในกลีบเมฆเสียเรียบร้อย ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะมัวมาอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ ถึงเวลาที่เขาจะต้องไปเช่นกัน
    พลันคำพูดของเอลวิลในค่ำคืนนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวอย่างไร้ที่มา
    "นายจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษยชาติ"
    ...หมอนั้นคงทำงานจนประสาทไปแล้วซินะ

    ...

         "เขาเป็นยังไงบ้าง"
         มิเกะที่กำลังสัปหงกสะดุ้งตื่นเต็มตา เงยหน้าขึ้นมาก็เจอชายผมทองที่ยังไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร
         "ฉันได้ยินมาว่าพวกครูฝึกจะให้ย้ายกลุ่ม"
    มิเกะนิ่งคิด ก่อนจะพูดต่อว่า
         "เรื่องฝีมือน่ะเป็นที่หนึ่ง แต่เพราะเป็นแบบนั้น ก็เลยไม่มีใครตามเจ้านั้นทันเลยสักคนเดียว ส่วนเรื่องมนุษยสัมพันธ์..."
         "เรื่องนั้นฉันก็รู้ ช่วยบอกเรื่องที่ฉันไม่รู้ทีได้ไหม"
         เขาหยุดคิดและพูดเรื่องอื่น แต่เอลวินก็ดูเหมือนจะรู้แล้วไปซะทุกเรื่อง มิเกะเลิกคิ้วด้วยความฉงน ตั้งแต่วันที่พาตัวเจ้านั้นเข้ามา เขาไม่เคยเห็นชายผมทองเฉียดกรายเข้าใกล้รีไวล์เลยด้วยซ้ำ
         นี่มัน... สโตรคเกอร์ ชัดๆ

         "อ่า... ได้ข่าวว่าผู้บังคับหมู่เซริมสนใจหมอนั้น

         “ไม่ใช่เรื่องฝีมือหรอกนะ"

         มือที่กำลังเซ็นเอกสารของเอลวิลหยุดชะงักแวบหนึ่ง ก่อนจะเขียนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

         "ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไม แต่เหมือนหมอนั้นจะเล่นด้วย"
         มิเกะพูดต่อไปโดยไม่รู้สึกผิดสังเกต


    ...เซริม เป็นผู้บังคับหมู่ที่คอยดูแลเวรยามเฝ้าค่ายของทีมสำรวจ...
    อย่างนี้นี่เอง แผนสูงเหมือนกันนะรีไวล์
    แต่ฉันไม่ให้นายหนีไปง่ายๆ หรอก นายน่ะ เป็นคนสำคัญนี่นา
    เอลวิลเหยียดยิ้ม รอยยิ้มที่สัญชาตญาณสัตว์ป่าของมิเกะลั่นระฆังเตือนให้รีบถอยห่างจากชายตรงหน้า...

    ...

         มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหนีออกจากทีมสำรวจโดยไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิด
         ผู้บังคับหมู่เซริม... นอกจากจะเป็นคนดูแลเวรยามเฝ้าประตูแล้ว ยังหน้าตาเหมือนฟาลันอย่างกับแกะ ต่างกันก็ตรงที่... สายตา
         รีไวล์คุ้นเคยกับสายตาแบบนั้นเป็นอย่างดี ในวันที่หนาวเหน็บที่สุด เขาก็เคยคิดจะใช้ร่างกายแลกอาหารอยู่เหมือนกัน ภาพเด็กสาวตัวเล็กที่ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของฟาลันยังติดตา ถ้าเขาไม่ขาย อิซาเบลก็คงต้องขาย และแน่นอนว่าความเสี่ยงมันต่างกัน ก็เขาท้องไม่ได้นี่ มันจะเจ็บสักแค่ไหนกัน...


         แต่แล้วค่ำคืนนั้นก็จบลงด้วยประกาศิตจากผู้ชายที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่ม...

         "ถ้ามีใครจะต้องขายศักดิ์ศรีแลกกับเงินละก็ คนๆ นั้นควรจะเป็นฉัน"
         รีไวล์จำได้ว่าตัวเองหัวเราะหึใส่ท่าทางจริงจังของเพื่อน ดวงตาสีควันมองฟาลันตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วล้มเลิกความคิดนั้นไปโดยปริยาย

    ...

         "คิดอะไรอยู่"
         เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู รีไวล์เกือบจะซัดหมัดใส่หน้าคนที่เข้ามาใกล้โดยไม่บอกกล่าว แต่ก็ยั้งมือไว้ได้ทัน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือเซริม
    มือหยาบกร้านของอีกฝ่ายยกขึ้นไล่ใบหน้าเรียวคมอย่างอ้อยอิ่ง รีไวล์จ้องหน้าเขานิ่ง อยากปัดมือนั้นทิ้งใจจะขาด แต่ก็อดกลั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้ได้ทันก่อนที่ร่างกายจะทำตามที่สมองสั่ง
         "กำลังคิดถึงเพื่อนคนหนึงที่หน้าเหมือนคุณ"
         เขาแสร้งทำเป็นหลุบตาลง รีไวล์ชักจะละอายใจ ในขณะเดียวกันก็หวาดผวากับความสามารถใหม่ของตัวเองเช่นกัน

         "ฉัน..."
    นั้นละ... 

         "ถ้าพอจะมีอะไร..."
    พูดออกมาซิ พูดออกมา!

    ...

         "มีอะไรกันหรือ?"

         ชายผมทองก้าวขาออกมาจากมุมตึกในจังหวะที่ใช่แบบพอดิบพอดี รีไวล์ค่อนข้างแน่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!

         เซริมผละถอยจากร่างเขาไปอย่างอัตโนมัติ รีไวล์แอบกลอกตาเมื่อเจ้าตัวหันไปทักทายอาคันตุกะไม่คาดฝันอย่างเหน็บแนม แต่ยังมิวายวางมือไว้บนไหล่เขาอย่างเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
         "สวัสดียามบ่าย ผู้บังคับหมู่เอลวิน วันนี้ไม่ได้ออกไปทำธุระให้หัวหน้าหน่วยหรือ ถึงว่างมาเดินเล่นชายแดนหน่วยอย่างนี้ได้"
         เอลวินเลิกคิ้ว ถ้าเป็นแต่ก่อน เขาคงไม่รู้สึกสะกิดใจอะไรกับหน้าเซริม แต่ในยามนี้หน้าของเซริมกลับเตือนให้เขานึกถึงฟาลัน คนสนิทของรีไวล์
    ...อย่างนี้นี่เอง ไม่ใช่แค่เรื่องประตูซินะ

         "พอดีว่าฉันมีธุระกับ 'คนของฉัน' จะช่วยหลีกทางสักครั้งได้ไหม"


         มือใหญ่ปัดมือที่เกาะเกี่ยวอยู่บนไหล่เขาอย่างสุภาพ
    ...รอยยิ้มนั้นช่างไร้ที่ติ แต่รีไวล์ค่อนข้างแน่ใจว่ามันเป็นรอยยิ้มของปีศาจ

    ...Plan A: อ่อยนายประตู 
    FAIL


    ...

     

    ...Plan B: ถ้าออกทางประตูไม่ได้ ก็ปีนแม่ง!

         รีไวล์พบว่าตัวเองมายืนอยู่หน้าบานประตูที่คุ้นเคย
         แขนที่ถูกมัดไพล่หลังปวดระบมไปหมด ที่ศีรษะด้านขวามีรอยเลือดไหลเป็นทาง ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่รอยช้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะมิเกะละก็ ป่านนี้เขาคงข้ามกำแพงออกไปเดินอยู่ในเมืองเรียบร้อยแล้ว อุตส่าห์หลบทหารเวรได้ทั้งหน่วย แต่ดันซวยมาเจอมิเกะยืนฉี่อยู่ข้างกำแพง แค่แวบเดียวที่เผลอไผล วิต่อมารีไวล์ก็พบว่าตัวเองลงมากองกับพื้น หน้ากระแทกกับพื้นดินแข็งๆ แขนทั้งสองโดนบิดเสียแทบหัก ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนหาเรื่องเอง แต่ก็ไม่คิดว่าสารรูปจะเละเทะขนาดนี้ สมเป็นทีมสำรวจจริงๆ

     

    FAIL…


         เอลวินเปิดประตูออก มิเกะที่หิ้วคอเสื้อเขาอยู่เอียงคอมองเขาราวกับจะถามว่าควรทำอย่างไร เอลวินมองซ้ายมองขวา 2 ที ก่อนส่งสายตาให้ทั้งสองเข้ามาในห้อง

         เป็นอีกครั้งที่รีไวล์นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ฝั่งตรงข้ามคือชายหนุ่มที่เขาชิงชังเช่นเคย มิเกะยืนอยู่ข้างๆ เล่าเรื่องให้เอลวินฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

         รีไวล์มองหน้าเอลวินที่มองกลับมาอย่างไม่ละสายตา
         ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นดูจะมีร่องรอยของบางสิ่งบางอย่างนอกเหนือไปจากความเย็นชา รีไวล์คิดมาตลอดว่าเอลวินจะต้องโกรธ โกรธจนแทบจะขย้ำเขาให้ตายได้ แต่สิ่งที่รีไวล์เห็น มีเพียงความผิดหวัง ผิดหวังเสียจนความรู้สึกผิดเกาะกุมหัวใจคนถูกมอง

         "นี่นายรู้รึเปล่าว่าโทษของการหนีทหารคืออะไร" มิเกะหันมาถาม มือแกร่งนั้นกระชากเรือนผมสีกาดำขึ้น ทำให้ใบหน้าเรียวต้องเงยหน้ามองโดยอัตโนมัติ 

         "ถ้าไม่ใช่ฉันไปเจอจะทำยังไง นายจะทำให้เอลวินเดือดร้อน!"

         เอลวินอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ไม่พูด ร่างสูงเพียงส่งสัญญาณให้มิเกะออกไปจากห้อง

         หลังจากนายทหารกระฟัดกระเฟียดออกไป เขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันหลังไปรื้อเอากล่องปฐมพยาบาลออกมา ลากเอาเก้าอี้มานั่งฝั่งเดียวกับเขา แล้วลงมือจัดการกับบาดแผลบนตัวเขาโดยไม่พูดอะไร มือหนาเชยคางของเขาขึ้นแล้วเพ่งมองบาดแผลที่ศีรษะอย่างพินิจพิจารณา 
         นิ้วหยาบที่ไล่ไปตามรอยช้ำบนใบหน้าอย่างเบามือชวนให้รู้สึกแปลกประหลาด นานมาแล้วทีเดียว ที่รีไวล์เป็นฝ่ายถูกดูแล เขานึกแปลกใจตัวเองที่ยอมให้ชายหนุ่มเข้าใกล้ถึงเพียงนี้ มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลยสักนิด

         เมื่อรู้สึกตัว รีไวล์ปัดมือของร่างสูงออก แผ่นหลังขยับชิดพนักเก้าอี้ เว้นระยะห่างระหว่างเขากับชายตรงหน้าให้มากที่สุดโดยอัตโนมัติ 

         เอลวินยกมือทั้งสองขึ้นในท่ายอมแพ้ รอยยิ้มประหลาดๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทั้งห้องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเป็นคนทำลายความเงียบนั้นเสียเอง




         "ฟาลันคนนั้น... คงจะเป็นคนสำคัญซินะ"
         เอลวิลเอ่ยเสียงเรียบ 

         "..."

         "ฉันก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะ"

         ...

         "พรุ่งนี้นายต้องเข้าเมืองกับฉัน"

         จบคำเอลวินก็ลากเก้าอี้กลับไปที่เดิม แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
          รีไวล์ลุกขึ้นยืน ดวงตาสีควันเหลือบตามองร่างสูงกว่าอย่างอึดอัดใจ เมื่อร่างนั้นไม่มีวี่แววจะสนใจเขาอีก รีไวล์จึงหันหลังเดินออกจากห้องไป

         เอลวินถอนหายใจ
         เคยมีคนบอกเขาว่า แมวไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แมวเป็นแมว และมันคิดว่ามันเป็นเจ้าของมนุษย์ แรกเริ่มทีเดียวเอลวินเพียงหัวเราะราวกับเป็นเรื่องขบขัน แต่ตอนนี้เขาชักจะขำไม่ออกซะนี่


    ...


         เจ้าบ้าเอลวิน! ทำไมอยู่ๆ ถึงพูดถึงฟาลันขึ้นมาเฉยๆ ละ หมอนั้นคงไม่เข้าใจอะไรผิดๆ ไปหรอกนะ ว่าแต่ว่า แล้วเขาจะแคร์ไปทำไม หมอนั้นทำดีด้วย ก็เพราะเห็นว่าเขามีประโยชน์ไม่ใช่หรอ คนอย่างเอลวิน สมิธ ลงทุนต้องหวังผลกำไรก่อนเสมอนี่นา

          เหอะ

           รีไวล์สะบัดหัวไล่ภาพดวงตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังออกจากหัว ทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนทหารขนาดเล็ก ท่ามกลางเสียงกรนของเพื่อนทหารที่ดังสนั่นหวั่นไหว 



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×