ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { sehun x luhan } .ผู้จัดการของผม

    ลำดับตอนที่ #14 : [ SEHUN x LUHAN ] CHAPTER TWELVE

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 13.69K
      40
      23 ต.ค. 56

    [ SEHUN x LUHAN ] CHAPTER TWELVE 

     

     

     

     
     

     

                อา ผมรู้สึกหนักหัวจัง ง่วงนอนที่สุดเลย เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ดังขึ้นข้างๆหัวทำให้ผมเริ่มมีสติขึ้นมานิดๆ แปลกจัง วันนี้ผมยอมให้นาฬิกาปลุกผมได้ไง ปกติลู่หานต้องเป็นคนปลุกผมสิ

                หรือว่าวันนี้ผมไม่มีตารางงานตอนเช้าหว่า ???

                งั้นหลับต่อ . .

                แต่เห้ย . . ผมต้องเดินทางไปประเทศไทยนี่นา ชิบหาย!!!!

                ผมลุกขึ้นนั่งลงบนเตียง มองดูโทรศัพท์เห็นว่าเป็นเวลาบ่ายสองแล้ว และที่เสียงมันดังไม่ใช่เสียงนาฬิกาปลุก

                แต่เป็นสายเข้าของพี่แจซอก . . งานเข้าชนิดที่ว่าหาทางออกไม่ได้เด็ดขาด ไฟลต์ไปไทยผมรู้สึกว่ามันประมาณหกโมงเย็นนี่นา

                และกว่าจะไปถึงอินชอน!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

                ผมตัดสินใจไม่รับสายพี่แจซอก เพราะอีกเดี๋ยวเขาก็คงบุกมารับถึงห้องพักแน่ บอกเลยว่ากระเป๋าก็ยังไม่ได้จัด เพราะเมื่อคืนลู่หานกับผมพากันเรียนภาษาไทยกันแบบเร่งด่วนจนถึงเช้า เอ่อ อย่าเพิ่งคิดลึกนะครับ ไม่มีอะไรในกอไผ่ เพราะผมต้องพยายามพูดไทยให้ได้อย่างน้อยสองสามคำ เพื่อให้แฟนคลับชาวไทยชื่นใจ

                แต่ผมดันฟังเขาสอนไป ชวนคุยอย่างอื่นไปเนี่ยสิ มันเลยใช้เวลาจนถึงเช้า!!!!!

                ลู่หานยังไม่ตื่น ไม่อยากจะเชื่อ . . และตอนนี้ขอละเมิดกฎบุกเข้าไปในห้องเพื่อปลุกเขาหน่อยละกัน เพราะตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว

                ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องของลู่หานทันที สงสัยตอนเข้านอนเขาจะง่วงเกินไปจนลืมล็อคประตู นั่นทำให้ผมสามารถเข้าไปในห้องเขาอย่างง่ายดาย

                ลู่หานที่นอนอยู่บนเตียงนอนหลับได้เรียบร้อยผิดกับสิ่งที่ผมคาด ผมนึกว่าเขาจะเป็นคนนอนดิ้นซะอีก      “ลู่หาน” ผมเดินเข้าไปเขย่าตัวเขาเบาๆ “ลู่หาน ตื่นได้แล้ว วันนี้ต้องไปไทยนะ”

                “หือออ” เขาครางออกมาแบบนี้ น่ารักมาก นี่ถ้ามีเวลาผมอาจจะขโมยจุ๊บแก้มเขา แต่ผมไม่ทำหนึ่งคือไม่มีเวลา สองคือเสียนิสัยอย่างแรง

                “เร็วเข้า ตื่นได้แล้ว พี่แจซอกใกล้จะระเบิดแล้ว”

                “หืมมม” โหย หนักเลย
                “เป็นอะไรไปวันนี้ ทำไมขี้เซาจัง” ผมเอามือแตะแก้มเขาเบาๆ เห้ย ทำไมรู้สึกร้อน “ทำไมตัวร้อนอ่ะ
    !!!” ผมเผลอเอามือออกมาด้วยความตกใจราวกับโดนกระแสไฟฟ้าช็อต แต่ก็ไม่ถึงกับร้อนมาก แค่รุ่มๆเท่านั้น “อ่า นายไม่สบายเหรอเนี่ย”

                “หา อะไรเหรอ ไม่นี่ ฉัน . . สบายดี” เขาพูดเสียงงัวเงียและค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนเตียง ทั้งง่วงทั้งมีไข้นิดหน่อยทำให้ลู่หานดูเบลอๆและมึนงงกับสิ่งรอบข้าง “เดี๋ยว . . นี่นาย นั่งเตียงฉันเหรอ ลงไปเลย” เขาด่าอย่างไร้เรี่ยวแรง คนเราก็ยังมีเวลาหวงของได้ตลอดเวลาสิน่า

                “ไหวรึเปล่าน่ะ” ผมถามอย่างเป็นห่วง

                “ไหวสิ . . นี่กี่โมงแล้วเนี่ย”

                “บ่ายสอง”

                “บ่ายสอง!!” ลู่หานตกใจ “มัวรออะไรอยู่ล่ะ เซฮุน นายรีบๆไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย”

                “แต่นาย . .

                “ฉันทำไม”

                “นายไม่สบายนะ”

                “นิดหน่อยเองน่า เร็วๆเข้า เดี๋ยวจะไม่ทัน”

                ผมยืนลังเลอยู่ประมาณห้าวินาทีจึงตัดสินใจออกมาจากห้องของลู่หาน ลู่หานไม่สบายในเวลาที่เร่งด่วนแบบนี้ อา วันนี้มันวันซวยของผมชัดๆ

                ผมรีบอาบน้ำอาบท่า ใส่ชุดอะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้ที่สุดและด่วนที่สุดเพราะต้องจัดของอีก ขอโทษแฟนๆและสื่อที่คอยจับผิดแฟชั่นสนามบินวันนี้ด้วย ผมไม่มีเวลาจริงๆ ว่าแต่ลู่หานเขาจะเป็นยังไงบ้างแล้วนะ ผมเห็นเขาเดินมึนๆยัดของเข้ากระเป๋าเดินทางสองใบอย่างลวกๆ เขาอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จแล้ว

                ใบหน้าของเขาหน้าซีดมาก .  . ผมไม่อยากให้เขาทำงานในสภาพแบบนี้เลย

                “เซฮุน อยากเอาอะไรไปก็ . . โยนๆลงไปในใบนี้นะ เร็วๆเข้า” นี่ขนาดไม่สบายเขาก็ยังใส่ใจหน้าที่การงาน ผมนับถือเขามากเลย

                “อ่า อื้อ” และผมต้องเอาอะไรไปมั่งวะ งานที่ไทยหลักๆคือไปถ่ายโฆษณา ถ่ายรายการประมาณสองสามรายการ และก็สัมภาษณ์ลงคอลัมน์ในนิตยสาร 2 เล่ม ที่ร่ายๆยาวมาทั้งหมดนี่คือผมพยายามคิดอยู่ว่าผมต้องเตรียมอะไรไปที่มันเกี่ยวกับงานรึเปล่า

                เพราะถ้าไม่มี . .ผมจะโยนทุกอย่างลงไปในกระเป๋า . . แบบตอนนี้ไง

                เสื้อผ้าสี่ห้าชุด กางเกงยีนส์ตัวสองตัว รองเท้าสองสามคู่ และที่ขาดไม่ได้ . . หมวกที่ผมชอบเอามาเป็นพร็อบในการแต่งตัว วันนี้จะเอาใบไหนไปดี ???

                “เซฮุน เสร็จหรือยัง” ลู่หานร้องถาม

                “อ่า แป๊บนึง” ผมเลือกหมวกอยู่อ่ะ . .

                “พี่แจซอกมาจอดรถหน้าอพาร์ทเมนต์ละนะ!!!

                “โอเค ไปเดี๋ยวนี้” หมวกนี่จะเลือกลวกๆไม่ได้นะ ต้องให้เข้ากับชุดที่ผมยัดลงไปในกระเป๋าก่อนหน้านี้ด้วย ผมไม่อยากให้คนมีไข้นิดๆอย่างลู่หานต้องโมโหไปมากกว่านี้ ผมเลยหยิบหมวกใบที่ผมลังเลมากที่สุดออกไปสองใบและก็อีกใบหนึ่ง . .

                ผมสวมลงบนหัวให้ลู่หาน

                “อะไรอ่ะ” ลู่หานตกใจที่เขาโดนผมสวมหมวกให้

                “ให้ยืม”

                “ไม่เอา”

                “เห้ย บอกว่าให้ยืมก็ให้ยืมสิ อย่าโวยวายได้มั้ย ยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่”

                “อะไรของนาย”

                “ใส่ๆไปเหอะน่า”

                ผมช่วยลู่หานลากกระเป๋าหนึ่งใบออกไปจากห้อง ผมพกกระเป๋าไปใบหนึ่งกับกระเป๋าลากอีกใบ ส่วนลู่หานนั้นมีกระเป๋าลากและก็เป้ เขาคงไม่ค่อยมีแรงจะต่อสู้กับผมมั้งก็เลยยอมใส่หมวกเดินตามออกมา คงไม่อยากโวยวายให้มากความเดี๋ยวจะเสียเวลา

                ผมเลือกเก่งมาก หมวกเข้ากับชุดลู่หานในวันนี้มากๆเลย

                และแน่นอน . . เข้ากับชุดผมด้วย

                เพราะผมเลือกที่จะใส่หมวกคู่คล้ายๆกับเขาในวันนี้ . .


                ยิ้มกริ่มเดินออกจากอพาร์ทเมนต์

     


     

              รู้สึกเหมือนกำลังจะไปฮันนีมูน . .

     









                สนามบินอินชอน

                พี่แจซอกขับไปบ่นไปจนพามาถึงสนามบินอินชอนจนได้ ผมบิดขี้เกียจในรถให้เต็มที่เพราะถ้าลงไปต้องมีมาดดารานักแสดงดาวรุ่งจะรั่วมากไม่ได้ แต่คนข้างๆผมนี่สิ ผมเป็นห่วงเขาเหลือเกิน หน้าของเขาซีดมากและตอนอยู่ในระหว่างมาอินชอนเขาก็งีบหลับมาตลอดทาง

                “ลู่หาน” ผมเรียกเขาเสียงเบา “นายไหวมั้ย นาย . .” แม้จะไม่ใช่ความปรารถนาของผมนักก็ตามที ผมก็พูดออกไป “นายจะไม่ไปก็ได้นะ . .

                “ลงจากรถไปเลย” ลู่หานทำหน้าเหมือนแมวง่วงและก็ลงจากรถอีกฝั่ง ส่วนผมก็เลยต้องลงจากรถตามเขาไป ทันทีที่ผมลงจากรถ แสงแฟลชก็สาดเข้ามาที่ผมเป็นสิบๆ ไม่สิ เป็นร้อยๆ

                ผมจะเดินไปช่วยลู่หานยกกระเป๋าลงจากรถ แต่พี่แจซอกดึงแขนไว้

                “รักษามาดหน่อยเซฮุน นี่งานผู้จัดการ” พี่แจซอกพูด

                “แค่ไม่รั่วก็น่าจะพอแล้วมั้ง พี่แจซอก ลู่หานไม่สบายนะ”

                “เอาน่า เดี๋ยวฉันช่วยดูให้เอง นายยืนนิ่งๆให้เขาถ่ายรูปแป๊บนะ” พี่แจซอกกระซิบบอกผม “ต้องมีรูปดีๆหน่อย ช่วงหนึ่งนายมีภาพหลุดนี่นา พาสปอร์ตล่ะ?”

                “อยู่กับลู่หาน”

                “ตั๋วเครื่อง . .

                “มันควรจะมาอยู่ที่ผมหรือไง อยู่กับลู่หานสิ”

                “ฉันแค่เช็คดูน่ะ” พี่แจซอกกระซิบกระซาบได้น่าหมั่นไส้มาก เพราะมีสายตาหลายคู่มองมาเขาก็เลยประหม่า และยังไงต่อ จะให้ผมยืนนิ่งๆแบบนี้ต่อไปเหรอ

                อายว่ะ เขินๆเก้อๆยังไงชอบกล . . ผมเลยหยิบแว่นขึ้นมาใส่ . . นั่นไง วิถีเซเลปเขาต้องทำกันอย่างนี้

                ผมยืนนิ่งๆมองซ้ายมองขวา นักข่าวมากันเยอะและแฟนคลับก็มากันเยอะมากเหมือนกัน ผมเห็นกล้องเต็มไปหมดเลย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นมากเท่าคนป่วยที่กำลังยกกระเป๋าลงจากรถไปใส่ในรถเข็นตอนนี้หรอก ให้ตายสิ กระเป๋าเหมือนจะหล่นลงมาทับตัวทับเท้าของเขาเลย น่าสงสารมาก

                “อ่า รีบไปรวมกับสตาฟฟ์คนอื่นของบริษัทกันก่อน”

                พี่แจซอกบอก ผมก็เลยปล่อยให้เขาพาผมเดินนำผมเข้าไปในสนามบิน โดยมีลู่หานเข็นกระเป๋าตามมาอยู่ข้างๆผม . . “พี่แจซอก ผมอยากเข็นกระเป๋า”

                “อะไร ร้อยวันพันปีมีแต่ให้ฉันเข็น”

                “ผมอยากเข็นกระเป๋า”

                ผมส่งเสียงอ้อน พี่แจซอกเลยทำหน้ายอมแต่โดยดี “เอ้า อยากทำอะไรก็ทำ”

                ผมเลยหลุดออกมาจากการเกาะกุมพี่แจซอกและก็ไปช่วยลู่หานเข็นกระเป๋าทันที ลู่หานดูตกใจ “นี่งานฉัน”

                “เงียบไปเลย”

                ผมจึงเข็นกระเป๋าไปโดยถ่ายรูปไป ลู่หานเลยช่วยกันแฟนๆให้ เหมือนกับที่พี่แจซอกทำ จนในที่สุดก็เจอกับสตาฟฟ์ของบริษัท รถเข็นนั้นก็เลยไปอยู่กับพวกสตาฟฟ์แทน ไม่น่าเชื่อว่างานของผมที่ต่างประเทศจะมีคนตามไปเป็นพรวนเช่นนี้ ทั้งสไตล์ลิสต์ เมคอัพอาร์ทิสต์ และก็อื่นๆอีกมากมาย

                สงสัยเจ๊ใหญ่แกจะรับเละ . . เลยทุ่มซะขนาดนี้

                ผมเช็คอินเสร็จก็ว่าจะเข้าไปในเกทรอเครื่องขึ้นเลย เพราะถ้ายิ่งอยู่ข้างนอก ลู่หานก็จะยิ่งอาการไม่ดี เขายังไม่ได้กินข้าวเลย ยาก็ยังไม่ได้กิน . .

                เพราะฉะนั้นผมเลยบอกสตาฟฟ์ให้รีบเข้าไปในเกทรอขึ้นเครื่อง ผมไม่ลืมที่จะโบกมือลาแฟนๆก่อนเข้าไปด้วย

                “นายโอเคมั้ย ไปหาอะไรกินกันเถอะ เดี๋ยวฉันซื้อยาให้นะ”

                “ฉันโอเค ไม่ต้องลำบากหรอก”

                “ไม่ได้ลำบากอะไรเลย” ผมไม่ฟังเขาหรอก “ทานอะไรดีล่ะ อยากทานอะไร เดินเข้าร้านนั้นเลย เดี๋ยวตามไป ฉันแว้บไปซื้อยาให้ก่อน”

                ผมไม่ได้รอคำตอบของลู่หาน ผมเดินเข้าไปในร้านยาเลย เรียกได้ว่าสตาฟฟ์คนอื่นตามมาแทบจะไม่ทัน เพราะเวลาผมไปไหนผมต้องมีคนตามไปเพราะไม่อย่างนั้นล่ะก็ . .

                “เซฮุนอปป้า อปป้าสู้ๆนะ”

              “รบกวนรับของหน่อยนะคะน้องเซฮุน”

              “ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ย”

              . . จะมีไม่มีคนช่วยผมกันแฟนๆเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าแฟนๆนิสัยไม่ดี เขาดีกับผมมากๆ แต่มันเยอะเกินไป ผมคงแฟนเซอร์วิสไม่ไหว ขอโทษนะครับ TT

                “คุณไม่สบายเหรอ” สตาฟฟ์คนหนึ่งถามผม

                “เปล่าครับ ผู้จัดการผมน่ะ”

                ซื้อเสร็จก็เดินหาลู่หาน พบว่า . . เขายังอยู่ที่เดิมอยู่เลย ยืนหน้ามึนๆตาปรือๆอยู่คนเดียวท่ามกลางผู้โดยสารมากมายที่เดินไปเดินมา ผมรีบเดินไปหาเขา “ทำไมไม่ไปหาของกินอ่ะ”

                ลู่หานมองซ้ายมองขวา “ไม่รู้จะกินอะไร” ท่าทางเงอะๆงะๆนั่นน่ารักชะมัด ผมยกมือขึ้นขยี้ผมเขาอย่างเอ็นดู นั่นทำให้ลู่หานขมวดคิ้วมุ่น “ฉันเป็นเพื่อนเล่นนายรึไง”

                “หึ รีบไปหาไรกินเถอะ อีกเกือบชั่วโมงเครื่องจะออกละนะ”

                ผมเดินพาผู้จัดการของผมเข้าไปทานข้าว หาร้านสักร้านที่คนน้อยๆหน่อย พอผมเลือกร้านได้ สตาฟฟ์ของบริษัทก็ตามมาเป็นพรวน อำนาจอยู่ที่ผมคนเดียวเหรอเนี่ย ???

                ผมสั่งอาหารให้ลู่หาน ในขณะที่ลู่หานเอาหน้าซุกเป้ของตัวเอง นี่ผมมองเขาทุกๆสิบวินาทีเลยนะเนี่ย ผมเพิ่งเห็นลู่หานไม่สบายและไม่นึกเลยว่าเขาจะน่าทะนุถนอมแบบนี้ อาจเป็นเพราะหน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวขาวๆเนียนๆ แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ผมไม่ชอบเห็นเขาป่วยเลย ชอบเห็นเวลาที่เขามีแรงด่าผมมากกว่า

                “ได้แล้วค่ะ”

                เป็นอาหารเกาหลีธรรมดาๆทานง่ายๆและมีซุป ผมยกมาให้ลู่หานที่ยังคงเอาหน้าซุกเป้เหมือนเดิม

                “ทานอะไรก่อนนะ”

                เขายังคงไม่เงยหน้า . .

                “ลู่หาน”

                “อือออออ” เขาส่งเสียงตอบกลับมา . . ให้ตาย หัวใจจะร่วง นี่ยังต้องอยู่บนเครื่องตั้งสี่ห้าชั่วโมงนะ เขาจะไหวมั้ย

                “ทานอะไรก่อนนะ จะได้ดีขึ้น” ถ้าลู่หานตั้งใจฟังสักนิด เขาจะได้รู้ว่าน้ำเสียงของผมนั้นอ่อนโยนมากขนาดไหน ผมเอื้อมมือไปแตะแก้มที่รุ่มๆของเขา แตะอยู่นานให้เขารู้ว่าผมห่วง ถ้าเป็นเวลาปกติลู่หานคงเงยขึ้นและปัดมือผมทิ้งไปแล้วมั้ง แต่ตอนนี้เขากลับซุกหน้าอยู่อย่างนั้น

                ไม่นานนักเขาก็เงยหน้า ตาปรือๆและหน้าซีดๆของเขาทำให้ผมนึกถึงแมวง่วง ลู่หานหยิบช้อนกับตะเกียบที่ผมส่งให้และก็ค่อยๆลงมือทานข้าว

                เขามองผม “นายไม่ทานเหรอ”

                จริงๆผมก็ยังไม่ได้ทานอะไรมา (ถ้าปกตินี่คือเรื่องฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย) แต่วันนี้ผมกลับมีบางสิ่งที่ต้องห่วงมากกว่า เลยไม่รู้สึกหิวอะไรเลย “ไม่เป็นไร นายทานเถอะ”

                “ทานด้วยกัน”

                “ฉันจะทานตอนที่นายทานยาแล้ว”

                ลู่หานเบะปากนิดๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อท่าทางเขาจะเพลียมาก ผมมองเขาอยู่อย่างนั้น ทุกคำที่เขาทาน ทุกกิริยาที่เขาแสดง อยู่ในสายตาของผมทั้งหมด

                “จะจ้องอะไรขนาดนี้นะ” ลู่หานบ่นออกมานิดหน่อย “ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า”

                “รู้ว่าห่วงก็ดี” น้ำเสียงของผมติดจะอ้อน

                หูของลู่หานเริ่มแดงนิดๆตอนที่เขาหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม . . แบมือขอยาจากผม “ยาฉันอ่ะ”

                ผมหยิบยาให้ลู่หาน “ค่อยๆทานนะ”

                “นายก็  . . ไปหาข้าวมาทานด้วย”

                อดยิ้มไม่ได้แฮะ นี่เขาเป็นห่วงผมเหรอ . . “ห่วงฉันเหรอ” ยังจะมีน่าไปแซวคนป่วยอีกนะ

                “ก็ . . เป็นผู้จัดการก็ต้องห่วงดาราของตัวเองสิ”

                แม้จะไม่ใช่น้ำเสียงที่รุ่นแรงอะไรมากมาย แต่ปักเข้ากลางใจเต็มๆ

                ยิ้มเก้อเลย . . “รีบทานยาเลย เร็วๆเข้า” นึกว่าห่วงในฐานะอื่น T_T

                ผมมองลู่หานจนลู่หานดื่มน้ำเสร็จ . . “ขอบคุณนะ” ลู่หานเอ่ยออกมา

                “ไม่เป็นไร”

                “หมดนี่นายหักจากเงินเดือนฉันก็ได้นะ” ลู่หานซุกหน้าลงไปบนเป้อีกครั้ง . .

                เอาหัวใจมาให้ได้มั้ยล่ะ ??? “ฉันไม่คิดเงิน”

                ผมหยิบถาดอาหารของลู่หานส่งให้สตาฟฟ์คนอื่นเพื่อที่จะให้เขาเอาไปเก็บ ไม่กล้าลุกไปสั่งอาหารเลยต้องนั่งนิ่งๆมองลู่หานอยู่อย่างนั้น . .

                ผม่ไม่กล้าลุกไปไหนเลยจริงๆนะ . .

                “เซฮุน . .” ลู่หานเรียกผม

                เสียงแบบนั้น . . ทำผมใจสั่น เหมือนเขาอ้อนผมเลย “หืม อะไรเหรอ”

                ลู่หานเงียบไป . . เขายังคงซุกหน้าอยู่นะครับ

                “อะไรเหรอลู่หาน” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เพราะเขาพูดเบามาก

     

              “ขอมือหน่อย . .

               

                ฉันไม่ใช่หมานะ . . “หา”

     

                “ขอมือหน่อยสิ แบบเมื่อกี้ . .

               

                ยังไง ที่ผมแอบแตะหน้าเขาน่ะเหรอ . . ผมเลยยื่นมือไปแตะหน้าเขาเบาๆ ลู่หานตัวร้อนจริงๆ ร้อนกว่าตอนตื่นอีก . .

     

                “มือนายเย็นดี . . ฉันชอบ . .

     

                และแทนที่เขาจะซุกหน้าลงบนเป้ เขาก็ซุกหน้าลงบนมือผมแทน . .

     

     






     

                บนเครื่องบิน . . ลู่หานหลับปุ๋ยไปเลย

                แอบเซ็งที่บริษัทจัดที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสให้ และก็ทีมงานส่วนใหญ่ได้นั่งชั้นธุรกิจกับชั้นประหยัดกัน ผมมีคนมานั่งด้วยได้หนึ่งคน(เจ๊ใหญ่กลัวผมเหงาหรือไงไม่รู้) ผมเลยให้ลู่หานมานั่งที่เฟิร์สคลาสนี้ด้วย (ไม่รู้ว่าชั้นที่นั่งมีผลกับความสบายตอนเครื่องบินขึ้นลงหรือเปล่า) โดยให้พี่แจซอกแลกที่นั่งกับลู่หานในชั้นธุรกิจ ซึ่งจะชั้นไหนก็ช่างมันเหอะเพราะว่าผมกับลู่หานนั่งห่างกันเชี่ยๆ(สบถเพราะอารมณ์เสีย) จะให้เขานอนซบก็ไม่ได้ เพราะนั่งคนละที่ ห่างไกลกันเหลือเกิน แต่ระหว่างที่อยู่บนเครื่องผมก็คอยมองเขา และก็เอื้อมมือไปสะกิดได้นิดหน่อย แต่ก็ต้องเอื้อมสุดแขนจริงๆนะ

                เฮ้อ . . เมื่อไหร่เขาจะหาย

                อยู่บนเครื่องระหว่างที่ลู่หานหลับผมก็ต้องฝึกพูดภาษาไทยเช่น สวัสดีครับอันนี้ค่อนข้างคล่องเพราะฝึกกับลู่หานเป็นร้อยๆรอบ ผมรักคุณครับอันนี้ก็คล่องมากเหมือนกัน และได้รับคำชมจากลู่หานเป็นพิเศษว่าเหมือนคนไทยที่พูดไม่ชัดมาพูดเลย ว่าแต่นั่นคำชมใช่มั้ย . .

                อยากให้เขาหายมาฟังผมพูดจัง . .

                นั่งฟังเพลง ดูหนัง อ่านหนังสือ กิน และก็งีบ จนกระทั่งได้ยินเสียงกัปตันบอกว่าเครื่องกำลังจะลงแล้ว ผมเลยจะเอื้อมมือไปสะกิดลู่หานให้เขาตื่นมาเตรียมตัว แย่งซีนแอร์โฮสเตสเสื้อม่วง นี่พูดเลย . .

                “ลู่หาน”

                “

                “ตื่นได้แล้วนะ จะถึงไทยแล้ว”

                ลู่หานลืมตาตื่นขึ้นมาทีละนิด สีหน้าเขาดูดีขึ้นมานิดหน่อยเมื่อได้นอนพัก แม้จะนอนบนเครื่องบินก็ตามทีเถอะ . . สงสัยยาที่ผมซื้อมาจะดี . .

                “ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย”

                เขาไม่ตอบอะไรผม ปรับที่นั่งให้อยู่ในท่านั่ง หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมา และก็ยื่นกระจกให้ผมทั้งๆที่ไม่พูดอะไรซักคำ

                หน้าที่ผู้จัดการ???          

                ผมรับมา ท่าทางเขาจะอยากให้ผมเช็คหน้าตาตัวเอง เขายื่นแว่นกันแดดมาให้ผมใส่ ชี้ไปที่ผมของผมและก็ทำท่าว่าให้ผมข้างหน้าปรกลงมาก็ดี

                น่ารักดีแฮะ . . ภาษามือของลู่หานเนี่ย

                ผมทำตามที่เขาบอกทุกอย่างแม้จะขำ เขารับกระจกคืนทำหน้าง่วงๆ . . และก็หันมาทำหน้าดุใส่ผม

                “อะไรเหรอ”

                เขามองต่ำ . .

                “เฮ้ย มองไร!” ผมนี่แทบจะยกขาขึ้นมาปิดเขตหวงห้าม . .

                แอร์โฮสเตสชุดม่วงสงสัยเธอจะมองอยู่นาน เธอเดินเข้ามาหาผมใกล้ๆและกระซิบบอกผมว่า “เขาคงจะหมายถึง . . คุณลืมคาดเข็มขัดนิรภัยน่ะค่ะ”

                ตอนเครื่องลงทุกคนต้องคาดเข็มขัด ผมก็เลยต้องคาด . . มองไปที่ลู่หานที่กระพริบตาปริบๆมองอย่างอื่น “เป็นห่วงก็บอก”

                นั่นทำให้เขาส่งสายตาพิฆาตมาทางผมทันที . .

                “ไม่พูดแสดงว่าใช่นะ” ได้ทีโอเซฮุนก็เอาใหญ่

    ” ลู่หานยังคงส่งสายตาโหดๆมาทางผม

    “ชอบก็บอก”

    ตายโหง นี่ผมพูดอะไรออกไป . .

    สงสัยลู่หานจะคิดว่าผมล้อเล่นมั้ง . . เขาโยนถุงเก็บอ้วกมาใส่ผมใหญ่เลย

     

     

     

     

    ตอนลงจากเครื่อง . . ลู่หานก็เริ่มที่จะเดินเหินได้สะดวกดี(ขาเขาไม่ได้หักมั้งเอ็ง) ผมถูกสตาฟฟ์มารุมล้อมรอบตัวไปหมด และก็มีซีเคียวริตี้ของประเทศไทยในชุดดำที่หน้าตาค่อนข้างโหดมาล้อมด้วยเหมือนกัน อ้อ ตอนนี้ผมถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้วครับ ทันทีที่ลงจากเครื่องมาขึ้นรถขนส่งผู้โดยสารไปสนามบิน(แน่นอนว่ารถที่มารับนั้นสุดๆ) ในช่วงเวลาสั้นๆนั้นผมก็สัมผัสได้เลยว่าอากาศเมืองไทยนี่ . . ร้อนมากจริงๆ

    และคนป่วยจะเป็นยังไงมั่งเนี่ย . .

    “เฮ้ ถ้าร้อนก็ . . ทนหน่อยนะ” ผมกระซิบบอกกับเขาตอนที่เรากำลังจะออกจากเกท

    ลู่หานพยักหน้า . . ดึงเสื้อข้างหลังให้ผมด้วย สงสัยอยากให้ผมดูดีมั้ง . .

    และทันทีที่เดินออกไป เสียงกรี๊ดจากแฟนๆชาวไทยก็ดังขึ้นระงมชนิดที่ว่าสนามบินแทบแตก แม่เจ้า คนมารอผมกันเยอะมากๆ . . ผมอ้าปากค้างและก็เงยหน้าขึ้นไปมองแฟนๆข้างบน เห็นป้ายแบนเนอร์ห้อยเรียงกันอ่านได้หลายอย่าง

    ผมยิ้มออกทันที . .

     

               

     

    เซฮุนอปป้า ซารางเฮ . .

    เซฮุนนี่ ทานเยอะๆนะ!!!!!

    สมาคมคนรักเซฮุนแห่งประเทศไทย : )

    รับสมัครเขยไทย . .

     

    และอีกมากมาย จนกระทั่ง . .

     

    ผู้จัดการลู่หานน่ารักจัง . .

     

    เดี๋ยวนะ ผมกระพริบตาปริบๆสองทีและเพ่งอ่านป้ายนั้นดีๆระหว่างโบกมือให้แฟนๆ . . มีป้ายแบนเนอร์ลู่หานจริงๆด้วย ฮ่าๆๆๆ

    ผมเลยชี้ให้เขาดูป้ายนั้น และเขาก็ยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่แจ่มใสมาก

    “โบกมือให้แฟนๆสิ”

    “บ้าเหรอ”

    “โบกเหอะน่า”

    ลู่หานเลยโบกให้สองสามทีและก็เอามือลงอย่างขัดเขิน ส่วนผมก็ได้ยินว่าสตาฟฟ์บอกให้ผมไหว้แฟนคลับ ผมก็เลยไหว้ในแบบที่ถูกสอนมาเป็นอย่างดี ซึ่งนั่นก็ทำให้เสียงกรี๊ดยิ่งดังขึ้นไปอีก . .

    ดึกมากแล้วก็ยังมารับกันอีก T__________________T

    ขอบคุณทุกคนที่มารับผมที่สนามบินนะครับ . .

    ผมขึ้นรถตู้ได้อย่างปลอดภัย ลู่หานตามมาติดๆและก็มีพี่แจซอกตามมาทีหลัง จากนั้นพวกเขาก็ขับรถพาผมไปส่งโรงแรม

    “ลู่หาน นายดีขึ้นบ้างแล้วใช่มั้ย”

    “ครับ” ลู่หานตอบพี่แจซอก

    “เซฮุน ไม่สบายอะไรรึเปล่า”

    “เปล่า” ผมตอบเขา

    “รักษาสุขภาพหน่อยนะ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย” พี่แจซอกพูดเหมือนในโฆษณาอะไรสักอย่าง “ว่าแต่ . . ลู่หาน นายจะนอนกับใครในคืนนี้ เขาให้ห้องเซฮุนกับผู้จัดการสองห้องน่ะ”

    บอกเลยว่าพี่แจซอกไม่ฉลาดเลย ทำไมไม่บังคับล่ะ ไปถามเขาทำไม!!!!! ให้เขานอนกับผมสิ T_T

    “กับพี่แจซอกครับ” ลู่หานตอบทันที . . เขามองผมด้วยแววตาหวาดๆ

    ผมกลายเป็นพวกลักหลับในสายตาของลู่หานไปแล้ว . .

    ก็ตอนเมาอยากน่ารักเองทำไมวะ T_T

    ผมกำลังส่งพลังทางสายตาให้พี่แจซอก ข่มขู่ว่าจะไม่ยอมปล่อยให้ไปเที่ยวสีลมคืนนี้ถ้าเขาไม่ทำตามที่สายตาผมบอก . . (คุยกันไว้นานแล้วน่ะ) . . พี่แจซอกพยักเพยิดกับผม “อ่า คือ ฉันมีไปเที่ยวต่อน่ะลู่หาน นัดกับเพื่อนคนไทยไว้น่ะ มันจะไม่สะดวกนายเปล่าๆ” มีเพื่อนคนไทยด้วยเหรอ??? ชื่อสรยุทธป่ะวะ???

    “ไม่สะดวกยังไงเหรอครับ”

    “ก็เอ่อ . .” พี่แจซอกอับจนหนทางในการแถ “ไปนอนกับเซฮุนเถอะ”

    “ไม่เอา”

    “พี่ชอบนอนคนเดียว”

    “คืนสองคืนเอง”

    “พี่นอนกรน”

    “ผมเคยได้ยิน”

    “โธ่ลู่หาน”

    “ถ้านายนอนกับฉัน ฉันจะเลี้ยงทุกๆอย่างที่นายอยากกินอยากซื้อ” ผมพูดออกมา ทำลายเสียงสนทนาของพี่แจซอกกับลู่หาน ลู่หานหันขวับมาหาผมทันที

    มาต่างประเทศมันต้องเที่ยว และในการเที่ยวมันต้องใช้เงิน . . ผมโชว์ความเสี่ยให้ลู่หานได้เห็น ดูซิว่าเขาจะหวั่นไหวรึเปล่า

    อย่าได้มองว่าผมเอาเงินฟาดหัวเชียว . .

    “ทุกอย่าง . . แน่นะ”

    “ทุกอย่างดิ” เรื่องเงินสำหรับผมไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว

    สงสัยลู่หานจะอยากเที่ยวอยากกินมากกว่าอะไรทั้งหมด ผมเห็นเขาลังเลอยู่นานสองนาน เขาสนใจในเมืองไทย เขาอยากทานอาหารไทย ตอนที่ช่วยผมฝึกภาษาไทยผมก็มองออกแล้วว่าเขาสนใจเมืองไทยแค่ไหน

    “ก็ได้ ..

    เยสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส

    “แต่ถ้าทำอะไรพิเรนทร์ . . นายต้องใส่แต่บ๊อกเซอร์ไปสนามบิน”

    เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด . . เสียงความฟินถูกเบรก

    บ๊อกเซอร์ . . แค่บ๊อกเซอร์เนี่ยนะ ?????

    มันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมสั่งสมมาเลยน่ะสิ . .



    “ตกลง”




    พูดไปงั้น แต่ไม่รู้ว่าจะห้ามใจตัวเองได้หรือเปล่า . .

     

     

     

    เอ๊ะ หรือผมต้องมอมเขาให้เขาเมาอีกสักรอบ ?????

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    chiffon_cake say hi : กว่าจะเต็ม 5555555555555555555
    สวัสดีตอนนี้ตีสองแห่งวันที่ยี่ิสิบสามตุลา และก็ . . 
    เวลคัมทูไทยแลนด์น้าาา เซฮุนกับลู่หาน >////<


















    :) Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×