ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fool [[ Fic. SNSD :: Yuri ]]

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2 :: Intimate (Complete)

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 53


     

     

    Chapter 2 :: Intimate

      

     

    เธอคงไม่เคยรับรู้เลยสินะ

    ว่าคนที่ใกล้ตัวแต่ไกลหัวใจของเธอคนนี้

    ...ได้แต่เฝ้ามองดูเธอจากที่ไกลๆ มานานแค่ไหนแล้ว...

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                   

                    Paris, France

                   

                    “มาแล้วหรอ... นั่งลงก่อนสิ” ซีมองเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มลึก ขณะเชื้อเชิญให้แขกตัวเล็กผู้ช่วยคนสำคัญเข้ามาในห้อง เขาปล่อยให้เธอเดินเข้าไปก่อนเพื่อรอปิดประตูให้อย่างแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ ทว่ามีหรือที่แทยอนจะสนใจในการกระทำนั้นมากไปกว่าเหตุผลที่เขาเรียกเธอมาคุยธุระช่วงบ่ายของวันนี้ ทั้งที่เธอยังเดาไม่ถูกเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะพูดเรื่องอะไรกับเธอ

                   

                    ...หวังว่าคงไม่ได้จะชวนไปกินข้าวเย็นอะไรอย่างนั้นหรอกนะ!...

                   

                    “มีธุระอะไรหรอคะ” ร่างเล็กพูดตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมด้วยสำเนียงฝรั่งเศษอันชัดแจ๋ว เธอทิ้งตัวลงบนเก้าอี้รับรองภายในห้อง ขณะที่มือยกขึ้นเท้าคางกับโต๊ะทำงานอันกว้างขวางเพื่อจ้องมองใบหน้าของเขาชัดๆ อย่างเค้นหาความจริง แต่คงไม่รู้ว่าอีกคนกำลังคิดไกลไปถึงไหนแล้ว

                   

                    “เอ่อ....คือ” ซีมองเกิดอาการพูดไม่ออกจะกระทันหัน เพราะถ้อยคำที่เสียดแทงใจอย่าง มีธุระอะไรหรอคะของแทยอนนั่นแหละ มันทำให้ความมั่นใจที่เคยมีถึงขั้นติดลบ ปกติแล้วเขาจะไปหาผู้หญิงคนไหน ไม่จำเป็นต้องมีธุระอะไรด้วยซ้ำ หากนี่... ตรงกันข้ามสิ้นดี.....

                   

                    “คะ?” แทยอนเอียงหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงถาม ความจริงก็คือเธออยากเร่งให้เขาพูดเรื่องง่ายเร็วๆ มากกว่าจะมานั่งจ้องหน้ากันนานสองนานเช่นนี้ เนื่องจากเธอกำลังเป็นห่วงใครอีกคนที่ติดซ้อมเดินแบบอยู่ยังตึกข้างๆ ซึ่งถึงแม้ตัวจะนั่งอยู่นี่ แต่หัวใจมันลอยไปหาทิฟฟานี่ไกลแล้ว

                   

                    “จำเรื่องที่ผมเคยเสนอไปได้มั้ยว่าจะมีคนที่เกาหลีจากนิตยสาร Girls’ Generation มาฝึกงาน”

                   

                    “ค่ะ... ที่ว่าชื่อควอน ยูริอะไรนั่นใช่มั้ยคะ” คนตัวเล็กพยักหน้าตอบรับ พลางนึกไปถึงรูปถ่าบภาพในนิตยสารที่ซีมองเคยเอามาให้เธอดูอยู่บ่อยครั้ง จนอดยอมรับไม่ได้ว่าช่างภาพคนนี้มีฝีมือจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นแสงและเงา หรือการจัดองค์ประกอบอันไร้ที่ติ ที่ถึงแม้ดูเผินๆ อาจเป็นภาพธรรมดา หากเมื่อมองลึกลงไปแล้วก็จะพบว่ายูริมีลูกเล่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแฝงอยู่ในทุกๆ ผลงาน

                   

                    “อื้ม... ใช่เลย ทีนี้ฉันก็เลยอยากมอบหมายให้เธอเป็นตัวแทนฉันไปดูผลงานของเขาให้หน่อยนะ เพราะเห็นจากนิตยสารไม่กี่รูปอย่างนี้มันคงไม่พอ” ซีมองพยายามปัดเรื่องส่วนตัวออกจากหัว เหลือเพียงแค่เรื่องงานกับสาวน้อยหน้าหวานตรงหน้าเท่านั้น ความจริงเขาก็อยากไปดูงานเองอยู่ แต่ฝรั่งเศสกับเกาหลีใช่ว่าจะใกล้กันเสียแต่เมื่อไหร่ อีกอย่างช่วงนี้เขาก็งานยุ่งๆ จนเกินกว่าจะปลีกเวลาอันเล็กน้อยไปได้

                   

                    “มันก็ได้อยู่นะคะ แต่ฉันคิดว่าส่งทีมงานไปดูผลงานมันไม่น่าจะพอ น่าจะเอาผลงานของควอน ยูริมาลงในนิตยสาร Elle ให้คนที่ฝรั่งเศสได้ดูด้วย เพื่อจะได้ดูกระแสตอบรับมากยิ่งขึ้นค่ะ” แทยอนเสนอความคิดเพิ่มเติมลงไป เนื่องจากถ้าผลงานของยูริเคยลงในนิตยสารชื่อดังของประเทศ กับสไตล์การถ่ายรูปที่แปลกออกไปจากคนอื่นอย่างหาตัวจับได้ยากเช่นนั้น คงเป็นที่จับตามองของประชาชนไม่น้อย

                   

                    “เยี่ยม... เยี่ยมมาก!! สมกับเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของผม” หนุ่มตาน้ำข้าวเอ่ยปากชมอย่างตรงไปตรงมา ความจริงเขาเองก็ลืมมองตรงจุดนี้ไปเสียสนิท จึงอดชื่นชมในความสามารถของคิม แทยอนไม่ได้ แล้วมันก็ยิ่งทำให้เขาสนใจในตัวของแทยอนมากยิ่งขึ้น

                   

                    “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ... ว่าแต่หัวข้อเรื่องปกหน้าเป็นเรื่อง Korea Import เลยดีมั้ยล่ะคะ”

                   

                    “หืม... เอางั้นเลยหรอ”

                   

                    “ค่ะ... ปกหน้าหัวข้อพิเศษก็เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศเกาหลีไปเลย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วทางยุโรปยังไม่รู้จักเอเชียดีพอ ฉันว่าถ้านำเสนอในจุดนี้ มันก็จะยิ่งทำให้นิตยสารปกหน้าน่าสนใจมากขึ้นไปอีกนะคะ” แทยอนเริ่มทำการชักแม่น้ำเต็มที่ เพราะเธอตาโตตั้งแต่ได้ยินคำว่าเธอต้องไปดูงานที่เกาหลีแล้ว...

                   

                    “ผมเห็นด้วยนะ งั้นเริ่มเตรียมดำเนินงานกันเลยดีกว่า เพราะอาทิตย์หน้าก็จะต้องไปดูงานแล้ว”

                   

                    “ฉันขอเสนอให้ทางเรานำนางแบบไปเองด้วยจะดีกว่าค่ะ เนื่องจากถ้าใช้นางแบบเกาหลีที่นู่นคนจะไม่คุ้นตา”

                   

                    “แล้วจะเป็นใครล่ะ ถ้านางแบบของทางเรา แต่ละคนไม่ใกล้เคียงกับคนเอเชียเลยทั้งนั้น ผมกลัวมันจะไม่เข้าคอนเซปต์น่ะสิ”

                   

                    “ทิฟฟานี่เป็นไงล่ะคะ... ลูกครึ่งอเมริกัน-เกาหลี แถมตอนนี้กำลังดังสุดๆ ไปเลยด้วย เชื่อฉันเถอะว่าถ้าเป็นทิฟฟานี่ นิตยสารเล่มหน้าเกลี้ยงแผงแน่ๆ” และแล้วจุดประสงค์ของแทยอนก็หลุดออกจากปากไปในที่สุด หลังทำการหว่านล้อมมาเนิ่นนาน เนื่องจากที่เธอต้องการ ไม่มีเหตุผลใดแอบแฝงนอกเหนือจากบทสนทนาของเธอและทิฟฟานี่ในร้านอาหารเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

               

     

                ฟานี่อยากไปเกาหลีหรอ

               

                อื้ม... ฉันเกิดที่เกาหลี แต่โตที่เมกา แล้วมาทำงานที่ฝรั่งเศส ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าประเทศที่ฉันเกิดเป็นไงบ้าง ถ้ามีโอกาสก็เลยอยากไปซักครั้งน่ะ...

               

                ฉันก็แค่คิดเฉยๆ แหละ ว่าถ้าได้ไปเกาหลีจริงๆ มันจะมีความสุขแค่ไหนกันนะ

               

     

                    ก็ในเมื่ออีกคนทำท่าทางอยากไปซะขนาดนั้นนี่หน่า คนใกล้ตัวที่ไม่เคยอยู่ในสายตาอย่างเธอ ก็ได้แต่เก็บมาครุ่นคิดในใจว่ายังไงก็ต้องพาทิฟฟานี่ไปเกาหลีให้ได้ ต่อให้จะแค่ซักครั้งหนึ่งก็ยังดี หากอยู่ๆ จะให้เธอชวนอีกคนไปเที่ยวก็ใช่ที่ ร่างบางเป็นถึงนางแบบชื่อดัง ส่วนเธอก็เป็นเพียงแค่ผู้จัดการธรรมดาๆ คนนึงเท่านั้น มันคงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่

                   

                    ทว่านี่เป็นโอกาสอันดี ที่ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อย แต่แทยอนก็ดีใจว่าเธอได้ทำเพื่อคนที่เธอรัก...

               

                ถ้าเธอรู้ว่าเธอจะได้ไปฝรั่งเศส เธอจะทำหน้ายังไงนะ ...ฟานี่...คนแอบรักทำได้แค่คิดเบาๆ กับตนเองอยู่ในใจเท่านั้น เธอช้อนตาเป็นประกายมองเจ้านายสุดหล่อด้วยความหวังให้เขาเห็นด้วยกับความคิดของเธอเสียที

                   

                    “โอเคเลย! ไม่มีอะไรเหมาะสมไปมากกว่านี้แล้ว เอาเป็นว่า... ผมตกลง!!

     

                   

     

     

     

     

                Seoul, South Korea

               

                    “อันยองค่ะ... คุณยูริ นี่เป็นนางแบบที่ทางบริษัทเราคัดสรรมาเป็นอย่างดีชื่อทิฟฟานี่ ส่วนฉันเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอชื่อแทยอน แล้วก็ต้องขอโทษแทนคุณซีมองด้วยนะคะ ที่วันนี้คุณซีมองติดธุระไม่สามารถมาดูงานด้วยตนเองได้” แทยอนแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ เธอยื่นมือไปจับมือกับยูริช่างภาพผู้ที่ในวงการกำลังให้ความสนใจ ดวงตาลอบมองคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทั้งที่รู้ว่ามันอาจไม่เหมาะสม ทว่าเสียงเรียกร้องภายในหัวใจ มันกำลังตะโกนสั่งมาให้เธอทำเช่นนั้น

                   

     

                    ตัวสูงๆ ผิวออกน้ำผึ้งหน่อยๆ ขี้อาย...แต่ก็ดูดี เทคแคร์และเอาใจเก่ง... เท่แต่เซ็กซี่ได้ในคนๆ เดียวกัน

               

                   

                    ตัวสูง... ใช่สิ! แค่ยืนด้วยกัน แทยอนรู้สึกว่าตนเองเหมือนกลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ ไปโดยปริยาย ไหนจะสีผิวที่ออกน้ำผึ้งเนียนละเอียดอย่างคนมีสุขภาพดี มันช่างตัดกับผิวขาวซีดราวกระดาษชุบสีชมพูเรื่อๆ ของเธอเหลือเกิน ขี้อายหรอ... รอยยิ้มเก้อเขินในตอนนี้คงให้คำตอบนั้นได้ หากถึงกระนั้นเขาก็ยังดูเรียบง่ายและมีสไตล์ในตัวเองจนดูน่าหลงใหล แม้กางเกงยีนขาเดฟตามสมัยนิยม กับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนๆ จะทำให้ยูริดูเท่ห์จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นผู้หญิง หากเอวบางๆ นั้นมันกลับทำให้ร่างสูงดูเซ็กซี่ไปได้ในคนๆ เดียวกัน

                   

                    แทยอนอยากจะรู้จังเลยว่าถ้าเธอล้มเลิกความคิดที่จะพาทิฟฟานี่มาเกาหลีคงจะดีกว่ารึเปล่า ในเมื่อช่างภาพคนเก่งที่ถูกกล่าวถึงเรื่องฝีมือตรงหน้าเธอ... เป็นสเป็กของทิฟฟานี่ชัดๆ

                   

                    ...ต่างจากเธอที่ทำให้ตายก็ไม่เข้าข่ายเลยซักข้อ...

                   

                    “คุณยูริเท่ห์จังเลยนะคะ... ท่าทางหน่วยก้านดี ฟานี่แทบอดใจดูฝืมือคุณไม่ไหวซะแล้วค่ะ” ทิฟฟานี่กล่าวด้วยอาการเคลิ้มฝัน สายตาชื่นชมถูกส่งออกมาอย่างไม่ปิดบัง นั่นไม่ใช่เพราะเธอเห็นว่าอีกฝ่ายตรงสเป็กของเธอแต่อย่างใด เพราะคนที่ถูกสเป็ก ทิฟฟานี่เห็นมาก็เยอะอยู่ หากเธอกำลังชื่นชมในฝีมือ และท่าทางคล่องแคล่วไม่ถือตัวของยูรินั่นต่างหาก ร่างบางจึงแทรกเข้าไปตรงกลางระหว่างเธอและผู้จัดการตัวเล็ก คนที่ไม่เคยเฉียดใกล้สเป็กเธอแม้แต่ข้อเดียว แต่เขากลับกุมหัวใจของเธอเอาไว้ทั้งดวง...

                   

                    ยื่นมือไปจับกับยูริบ้างตามมารยาท หากทำให้แทยอนต้องถึงกับยกมือขึ้นทาบลงบนหัวใจของตนเองเบาๆ อย่างไม่ให้ใครสังเกตได้ เธออยากจะบีบมันให้แหลกคามือเหลือเกิน จะได้รู้ว่ามันจะเจ็บปวดไปมากกว่าภาพตรงหน้ารึเปล่า ไหนจะท่าทางดีใจเกินเหตุของทิฟฟานี่ ซึ่งเป็นเพราะเจ้าตัวดีใจเมื่อได้เหยียบประเทศบ้านเกิด แต่คนที่คิดในแง่ร้ายอย่างแทยอนกลับนึกไปว่ามันเป็นเพราะทิฟฟานี่ได้เจอกับยูริ...

                   

                   

                    ...คนเคียงข้างเธอตลอดมา ไม่เคยจะเอื้อมถึงหัวใจเธอ...

                   

                    ...หากเขากลับได้กุมมือคู่นั้นของเธอ... ต่อหน้าต่อตาฉัน...

                   

     

                    “เอาล่ะ... เริ่มถ่ายเลยเถอะยูล ต้องถ่ายหลายเซ็ทนะ เดี๋ยวเสร็จดึก” คำพูดจากฮโยยอนทำเอายูริสะดุ้ง ตอนแรกเธอนึกว่าถ่ายเล็กๆ น้อยๆ ที่ไหนได้ พอมองรายละเอียดของคอนเซปต์ในวันนี้ถึงกับปวดเฮด เมื่อมันช่างเยอะมากมายจนไม่อาจจัดการเสร็จสิ้นได้โดยเร็วๆ แน่ๆ เธอจึงรีบไปตั้งกล้องอย่างรวดเร็ว

                   

                    เมื่อละจากยูริได้แล้ว ทิฟฟานี่ก็เตรียมจะเข้าไปเปลี่ยนชุดตามหน้าที่ของตนเอง ทว่าก็ต้องแปลกใจเมื่อรู้สึกได้ถึงมือคู่หนึ่งที่เข้ามากอบกุมข้อมือของเธอเอาไว้ แม้ไม่ต้องหันกลับไป หากมีหรือที่เธอจะจดจำผู้ที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงแม้เดินเฉียดกันไม่ได้

                   

                    “สนใจรึไงอ่ะ...” แทยอนกระซิบถามทิฟฟานี่ ดวงตาเศร้าหมองลงซึ่งเธอคิดว่านางแบบสาวก็คงไม่สังเกต แล้วเธอก็ไม่เคยวอนขอให้ทิฟฟานี่ต้องมาสนใจในอาการที่เปลี่ยนไปของเธอเลย เนื่องจากเธอรู้ดีว่าสิทธิ์ของเธอก็เป็นได้เพียงแค่เงาอันเลือนรางเท่านั้น

                   

                   

                    ...เงาที่ทำได้เพียงอยู่เคียงข้าง แต่ไม่เคยรวมเป็นคนเดียวกัน...

                   

                    ...เงาที่อยู่ข้างเคียง โดยไม่เคยมีค่าในสายตาใคร...

                   

     

                    “ก็น่ารักดี...” ทิฟฟานี่ตอบโดยไม่ลังเลเลยซักนิด เธอแอบลอบมองอาการของคนข้างกายว่าเขาจะมีท่าทีอะไรเปลี่ยนไปมั้ย แต่ก็ช่างว่างเปล่า เมื่อแทยอนยังคงทำเหมือนว่าไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย นั่นคงให้คำตอบได้ว่าต่อให้เธอจะไปยืนเคียงข้างใครหรือสนใจใคร เขาก็คงไม่คิดจะใส่ใจเธอ

                   

                   

                    ...แกล้งชมยูริ หวังว่าแทยอนจะหึงบ้าง...

                   

                    ...ทว่าสุดท้ายมันก็เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ของเธอ...

                   

     

                    ความจริงแทยอนไม่ได้ใจแข็งอะไรขนาดนั้น เธอเองก็เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว แต่เพราะฝึกใจให้ทนรับความเจ็บปวดมาจนชิน จึงไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกไปนอกจากน้ำเสียงที่นิ่งสนิทไร้ซึ่งอารมณ์ ทั้งที่จริงเธอก็แทบไม่อาจฝืนกายให้ทนอยู่ไว้...

                   

                    ถ้าแทยอนพูดออกมาตรงๆ ว่าเธอไม่ชอบที่เห็นว่าทิฟฟานี่คอยชื่นชมใครต่อใครให้เธอฟัง บางทีเรื่องทุกอย่างมันคงจะลงเอยได้ง่ายดายกว่านี้...

                   

                    ทิฟฟานี่สะบัดมือของเขาออก เพราะไม่อยากให้ใครอีกคนเห็นถึงอาการหวั่นไหวของตนเอง เธอเดินจากไปทันที จึงไม่มีโอกาสสังเกตเห็นว่าคล้อยหลังกันนั้น ใครบางคนต้องแอบซับน้ำตาอยู่เพียงลำพัง

                   

                    ...อยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่ทำไมหัวใจของเธอมันไกลเกินกว่าฉันจะเอื้อมถึง...

     

                   

     

     

     

     

                แทยอน... เธอหายไปไหนนะ... ทิฟฟานี่คิดเศร้าๆ อยู่ในใจ เธอปรายตามองไปรอบๆ สตูดิโอ หากก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่เธอต้องการจะพบเจอ ไม่รู้ว่าเขาจะทำตัวเย็นชากับเธอไปถึงเมื่อไหร่ เธอรู้ว่าเขาไม่ได้รักเธอ ทุกการกระทำของเขาไม่เคยมีความหมายอื่นใด นอกเหนือไปจากคำว่าผู้จัดการกับนางแบบเท่านั้น หากขอเพียงแค่สายตาอบอุ่น แล้วก็การเทคแคร์เอาใจใส่ได้มั้ย ไม่ใช่ทิ้งให้เธอต้องวังเวงอยู่เช่นนี้

                   

                    หยาดเหงื่อพราวทั่วใบหน้าสวย เนื่องด้วยอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้ทิฟฟานี่ต้องยกหลังมือขึ้นปาดหยาดน้ำใสเชื่องช้าอย่างระแวดระวังว่าเครื่องสำอางที่ฉาบเอาไว้บ้างๆ นั้นจะเลือนหาย เธอยังคงมองไปรอบด้านด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น อย่างนี้เธอจะมีกะจิตกะใจไปถ่ายแบบชุดที่สองต่อหรอ ในเมื่อกำลังใจของเธอหายไปไหนก็ไม่รู้

                   

                   

                    ...ไม่ต้องอยู่ข้างฉันตลอดเวลาก็ได้...

                   

                    ...ขอเพียงได้เห็นหน้าเธอซักครั้งก็ยังดี...

                   

                   

                    “อุ๊ย...” ทิฟฟานี่ร้องด้วยความตกใจ เมื่อรู้สึกถึงไอเย็นๆ กับผ้าผืนนุ่มที่ทาบทับลงมาบนแก้มใส เธอจึงรีบหันกลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะต้องหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ เมื่อเห็นช่างภาพสุดเท่ห์ที่ตรงสเป็กเธอทุกอย่างเข้ามายืนใกล้ๆ กันอย่างไม่ทันรู้ตัว ทั้งการดูแลเอาใจใส่ทำเอาเธออดยิ้มออกมาบางๆ ไม่ได้ ในใจพลางคิดไปถึงว่าคนที่เคยทำหน้าที่นี้ให้เธอหายไปไหนกันแน่ เพราะถึงแม้ยูริจะเป็นคนในฝันที่ตรงตา หากเธอก็ไม่คิดจะเอาคนอื่นมาแทนที่แทยอนที่ตรงใจหรอกนะ

                   

                    “ขอโทษที่ทำให้ตกใจค่ะ... ยูลเห็นคุณทิฟฟานี่เหงื่อออกเยอะน่ะ” ร่างสูงรีบแก้ตัวเพราะกลัวว่าเธอจะตกใจ ขณะที่นางแบบสาวกลับสายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อนเชิงไม่ถือสา

                   

                    “ขอบคุณนะคะยูล... ว่าแต่เรียกฟานี่เฉยๆ ก็พอค่ะ”

                   

                    “ได้สิ... ฟานี่เป็นไงบ้างอ่ะ ร่วมงานกับช่างภาพมือใหม่แบบยูล ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะคะ” ยูริพูดด้วยความถ่อมตัว ทำให้ทิฟฟานี่ถึงกับหน้าแดงเรื่อ ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะเสน่ห์แรงไปไหน ทั้งท่าทางเขินอายแบบดูดี หรือทุกอย่างที่รวมเป็นควอน ยูริ ช่างตรงกับคนในฝันที่เธอเคยตามหาเสียเหลือเกิน จนเธออดคิดเล่นๆ ในใจไม่ได้ว่าถ้าเธอเจอยูริก่อนแทยอน เธอจะรักใครกันแน่

                   

     

                    ...คิดแล้วก็ไม่อยากจะยอมรับความรู้สึกของตนเอง...

                   

                    ...เพราะเสียงหัวใจมันดังตอกย้ำอย่างชัดเจนว่ามันเลือกใคร...

                   

     

                    “เอ่อ... ฟานี่ก็ต้องฝากตัวด้วยเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวฟานี่ไปเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่านะคะ” ว่าแล้วทิฟฟานี่ก็ตัดบทวิ่งหายลับเข้าไปทางห้องแต่งตัวทันที เนื่องจากไม่อยากเห็นยูริซ้อนทับเงาของใครในใจอยู่เช่นนี้ ถึงจึงไม่ได้สังเกตเลยว่าเบื้องหลังเสาต้นใหญ่ มีใครกำลังแอบมองอยู่...

                   

                    ที่ตรงนั้น... เมื่อก่อนมันเคยเป็นของแทยอน... คนที่ได้แต่แอบมองเธออยู่มุมไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะไม่อยากพาหัวใจเข้าไปไหวหวั่น พอออกห่างก็ต้องมานั่งทนทรมานกับความรู้สึกของตัวเอง ที่ต้องมาเห็นว่ายูริดูแลทิฟฟานี่ได้ดีเพียงใด เผลอๆ คนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่ชั่วโมง ยังเทคแคร์ร่างบางได้ดีกว่าเธอที่รู้จักกันหลายนานหลายปีก็ได้ล่ะมั้ง

                   

     

                    ...ฉันควรปล่อยเธอไปหาเขารึเปล่า เมื่อเขาเป็นคนในฝันที่ตรงใจเธอขนาดนั้น...

                   

                    ...อยู่กับเขา เธอดูจะมีความสุขมากกว่าอยู่กับฉันสินะ...

     

                   

     

     

     

     

                    หลังจากถ่ายแบบเสร็จ ทิฟฟานี่ก็มานั่งพักเหนื่อยอยู่ยังโซฟาข้างๆ กอง เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ดวงตาเผลอจ้องมองใบหน้าอันคมเข้มของยูริอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งมองก็ยิ่งหลง ไม่ใช่เพราะเขาตรงใจเธอหรืออะไร เพียงแต่การกระทำอันแสนอบอุ่นของเขามันหลอมละลายหัวใจของเธอได้อย่างไม่ยากเย็น ให้เธอเผลอคิดไปว่าเมื่อก่อนแทยอนก็เคยดูแลเธอแบบนั้น ไม่ใช่เหินห่างและเหมือนไม่รู้จักกันเหมือนในทุกวันนี้

                   

                    “มองจนเขาจะพรุนแล้วมั้งนั่น สเป็กเธอเลยสินะ...” น้ำเสียงประชดที่เธอไม่เคยปรารถนาดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง ก่อนที่คนตัวเล็กจะมานั่งเคียงข้างกันให้ทิฟฟานี่หันกลับไปมองค้อนๆ เล็กน้อย ก่อนจะสะบัดหน้าหนีอย่างไม่สนใจ ทำให้แทยอนถึงกับอึ้ง

                   

                    เธอก็แค่เห็นว่าทิฟฟานี่เอาแต่มองยูริปานจะกลืนกินอยู่อย่างนั้น เลยแค่หมั่นไส้ถึงขนาดพูดประชดไป แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเมินเธอได้ขนาดนี้

                   

                    ...เธอมีเขาแล้วนี่ ฉันจะไปมีความหมายอะไร...

                   

                    “อืม... ก็สเป็กนะ” ทิฟฟานี่ตอบรับตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม ซึ่งการกระทำนั้นไม่ต่างจากถือมีดทิ่มแทงเข้ากลางใจคนฟังเลยแม้แต่น้อย

                   

                    “หลงเขาแล้วอ่ะดิ...” ปากไม่ตรงกับใจ คือคำนิยามที่จะบอกตัวตนของแทยอนได้ดีที่สุด ในเมื่อทั้งที่รู้ว่าเจ็บ หากทำไมถึงชอบพูดประชดค่อนขอดทิฟฟานี่อยู่เช่นนี้ หรืออาจเป็นเพราะเธออยากจะทำใจยอมรับความจริงที่ว่า ร่างบางไม่มีวันรักเธอ ให้ได้เสียที

                   

                    “ก็หลงพอสมควรนะ... คนเพอร์เฟ็คต์แบบนี้หายากจะตาย”

                   

                    “แล้วไม่คิดจะทำความรู้จักหรอ... เดี๋ยวเสร็จงานเราก็ต้องกลับเลยนะ กว่ายูริจะไปฝรั่งเศสแล้วได้เจอกันอีกตั้งเกือบปี เธอรอไหวหรอ...”

                   

                    “...” ทิฟฟานี่ไม่ตอบ เธอทำเพียงแค่หันหน้าหนี เหมือนไม่แยแส แต่ความจริงก็แค่อยากบดบังดวงตาคู่สวยซึ่งกำลังคลอเอ่อไปด้วยหยาดน้ำตาต่างหาก มันเจ็บแค่ไหน... ที่ต้องมาฟังคนที่ตัวเองแอบรัก ยุให้เธอรักคนนู้นคนนี้

                   

                   

                    ...ฉันรู้ว่าเธอไม่เคยสนใจฉันเลย...

                   

                    ...แต่ถ้าไม่รักกัน อย่าผลักไสฉันไปให้คนอื่นอย่างนี้สิ...

                   

     

                    “คนแบบนี้หายากนะฟานี่...” เพราะคิดว่าอาย แทยอนเลยยิ่งพูดกระตุ้น เนื่องจากเธอไม่อยากเห็นคนที่ตัวเองรักต้องมาเสียใจกับโอกาสที่เสียไป ในเมื่อเธอเองก็ต้องตกอยู่ในสภาพนั้นมาแล้วนักต่อนัก กับความรู้สึกที่ไม่กล้าเปิดเผยความใจใจ เธอก็แค่อยากให้ทิฟฟานี่มีความสุขกับคนดีๆ ไม่ต้องเจ็บเหมือนเธอก็แค่นั้นเอง...

                   

                   

                    ...เจ็บที่เห็นว่าเธอรักใคร...

                   

                    ...ดีกว่าต้องเจ็บที่เห็นว่าเธอเสียใจเพราะเขา...

                   

     

                    “ถ้าเธอต้องการอย่างนั้น... ก็ได้” คนฟังเกลียดประโยคที่ตนได้ยินเสียเหลือเกิน มันเหมือนกับว่าเขาคอยผลักไสเธอไปหาใครต่อใครตลอดเวลา ราวกับเธอไม่เคยมีค่าในสายตาของเขา สุดท้ายอารมณ์น้อยใจ มันผลักดันให้เธอทำอะไรบ้าๆ ออกไปอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน!

     

                   

     

     

     

     

                    “กินน้ำหน่อยนะคะ” ทิฟฟานี่บอกเสียงหวานโดยที่เธอแทบไม่เชื่อว่านี่คือตัวของเธอ มือเรียวยื่นแก้วน้ำที่มีไอน้ำเกาะอยู่ด้วยความเย็นเฉียบไปแนบแก้มที่ชื้นเหงื่อของช่างภาพตัวสูงทำเอาอีกคนสะดุ้ง ก่อนจะหันกลับมามองเธอด้วยสายตางุนงง หากยูริก็ยอมรับน้ำแก้วนั้นไปดื่มจนหมดอย่างรวดเร็วด้วยความเหนื่อยอ่อน รอยยิ้มขอบคุณผุดขึ้นบนใบหน้าคมเข้ม แต่ทิฟฟานี่คงไม่อาจสังเกตเห็น เพราะเธอเอาแต่มองเลยไปยังแทยอนซึ่งกำลังนั่งอยู่ด้านหลังของยูริพอดี

                   

     

                    ...ฉันทำตามที่เธอต้องการแล้วนะ...

                   

                    ...เธอยังจะเอาอะไรกับฉันอีก...

                   

     

                    ฝ่ายแทยอนเองเมื่อเห็นภาพบาดตาก็ถึงกับเจ็บแปลบในหัวใจอย่างไม่เคยเป็น เธอยิ้มมุมปากด้วยความสมเพชตนเอง ที่เอาแต่ยุให้ทิฟฟานี่รักคนนู้นคนนี้ แต่พอมาเห็นภาพต่อหน้าต่อตา กับความเจ็บปวดเล็กน้อย ทำไมมันถึงทรมานได้เพียงนี้ก็ไม่รู้

                   

                    แทยอนคงไม่อาจได้ยินบทสนทนาของทั้งสองได้ หากแค่เห็นว่าเขาและเธอยิ้มให้กัน หัวใจของร่างเล็กก็แทบแหลกเป็นผุยผงแล้ว เธอจึงต้องแสร้งหันหน้าหนีไปทางอื่นแทน เมื่อหัวใจมันอ่อนแอเกินกว่าจะทนดูได้ ทว่าเสียงซุบซิบจากทางทีมงานก็ลอยเข้ามาในโสตประสาท

                   

                    “แก...ดูสิ... นางแบบฝรั่งน่าไม่อาย เอาน้ำมาให้คุณยูริเฉยเลย...”

                   

                    “ใช่ๆ... อ่อยกันเห็นๆ อ่ะ...”

                   

                    แทยอนเมื่อได้ฟังเช่นนั้นถึงกับเลือดขึ้นหน้า ยามมีคนต่อว่าทิฟฟานี่เสียๆ หายๆ ถึงแม้ในฐานะผู้จัดการส่วนตัว ก็ต้องดูแลอีกฝ่ายอยู่แล้ว หากนี่เป็นถึงคนที่เธอแอบรักและรู้สึกดีๆ ด้วย จะให้เธอทนยืนฟังอยู่เฉยๆ มันก็เกินไปล่ะ... ร่างเล็กจึงรีบเดินไปหาคนกลุ่มนั้นทันที ด้วยหวังว่าเธอจะโชว์แมน พร้อมแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยๆ เธอก็สามารถปกป้องทิฟฟานี่ได้ แต่เธอกลับช้าไปเพียงเสี้ยวนาที...

                   

                    “ขอโทษคุณฟานี่เดี๋ยวนี้!” ยูริพูดขึ้นด้วยแววตาเคร่งเครียด ไม่เหลือร่องรอยอาการขี้เล่นเหมือนที่เคยเป็นเลยแม้แต่น้อย ทำเอาคนทั้งสองถึงกับสะดุ้ง ที่บทสนทนาของพวกตนมันดังเกินเหตุไปหน่อย ทำให้คู่กรณีถึงกับมายืนมาดนิ่งอยู่ตรงนี้ แถมดวงตาคู่นั้นมันก็น่ากลัวเสียจนไม่กล้ามอง

                   

                    แทยอนบีบมือแน่นอย่างไม่กล้าเดินเข้าไปขัดจังหวะ... เธอผิดมากรึเปล่า ที่อยู่ไกลจากทิฟฟานี่มากกว่ายูริ ทำให้ช้าไปเสี้ยววินาที... วินาทีที่จะได้ปกป้องทิฟฟานี่ ให้สมกับที่อีกฝ่ายเป็นคนสำคัญ วินาทีที่เธอจะได้กอดปลอบประโลมใครคนนั้น แล้วพูดซ้ำๆ ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงก็อย่าไปแคร์

                   

                    ...แต่สุดท้าย... ผู้แพ้ก็ลงสนามแข่ง ช้าไปเพียงก้าวเดียวจริงๆ...

                   

                    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะยูล... ฟานี่ก็ต้องขอโทษที่ถือวิสาสะอย่างนั้น...” ทิฟฟานี่กล่าวเสียงเศร้าเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเธอกำลังเสแสร้งหรืออะไร หากแต่เธอกำลังรู้สึกแย่ กับที่แค่เธอเอาน้ำไปให้ยูริ เพราะเห็นว่าร่างสูงต้องเหนื่อยมาเพราะเธอทั้งวัน แถมประกอบกับแรงยุของผู้จัดการตัวเล็ก ทว่าเธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะถือเรื่องนี้กันขนาดนั้น

                   

                    “ถ้าไม่อยากให้คุณฮโยยอนต้องลำบากใจทีหลัง ก็ขอโทษคุณทิฟฟานี่ซะ” ชื่อที่ถูกยกมากล่าวอ้างจากร่างสูง พาให้ทั้งสองถึงกับก้มหัวขอโทษทิฟฟานี่อย่างจนใจ ขณะที่ร่างบางกลับยิ้มร่าด้วยความไม่ถือสา

                   

                    “ไม่เป็นไรค่ะ ฟานี่เองก็วางตัวไม่ดี ขอโทษเหมือนกันนะคะ”

                   

                    “คราวหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะ คนอื่นเขาจะเสียหายเอา” ยูริเตือนด้วยเสียงที่นุ่มลงกว่าเดิม ทำให้เหล่าทีมงานที่เป็นแฟนคลับตนเองอยู่แล้วถึงกับแทบละลาย พวกเธอทั้งคู่หันมามองตากัน เมื่อร่างสูงเดินจากไปพร้อมนางแบบกับผู้จัดการส่วนตัว

                   

                    “อ๊าย... คุณยูริแมนมาก ปกป้องนางแบบด้วยล่ะเธอ...”

                   

                    “คนอะไร ทั้งเทคแคร์เก่ง อบอุ่น อ่อนโยน แถมยังเท่ห์อีกต่างหาก... ดูนางแบบคนนั้นสิ มองคุณยูริตาเป็นมันเลยอ่ะ ฉันล่ะเคืองแทนคุณเจสสิก้าจริงๆ”

                   

                    แทยอนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย... เธอถึงกับแน่นิ่งอย่างคิดไม่ตก หากชื่อที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวนั้น ความรู้สึกของเธอมันร่ำร้องว่าอีกไม่นานเรื่องวุ่นวายจะต้องเกิดขึ้นเป็นแน่

                   

                    เจสสิก้า... ใครกันนะ...

     

                   

     

     

     

     

                    “เดี๋ยวฟานี่กับคุณแทยอนจะกลับยังไงหรอคะ” ยูริเดินตามมาส่งทีมงานจากทางฝรั่งเศสทั้งสองยังหน้าตึกที่ใช้ถ่ายแบบในวันนี้ ความอบอุ่นเช่นนั้นทำเอาทิฟฟานี่ยิ่งชื่นชมในตัวยูริมากขึ้นไปอีก แม้จะไม่ใช่ในรูปแบบของคนรัก หากในฐานะนางแบบคนนึง ที่คิดว่าช่างภาพคนนี้ช่างเป็นคนที่นอกจากจะมีฝีมือดีแล้ว ยังเทคแคร์เอาใจผู้อื่นเก่งอีกต่างหาก ซึ่งคนอย่างนี้นั้นหาได้ง่ายๆ เสียแต่เมื่อไหร่ล่ะ

                   

                    ฝ่ายผู้จัดการที่เดินออกมาทีหลัง จึงทำเพียงยิ้มแห้งๆ เพื่อกลบเกลื่อนรอยคราบน้ำตาที่กำลังคลอเอ่อขึ้นสูงเนื่องจากบาดแผลในใจที่โดนสะกิดไม่หยุดหย่อน

                   

                    “คงต้องนั่งแท๊กซี่กลับโรงแรมน่ะค่ะ พอดีว่าเราไม่มีรถ” แทยอนตอบตามความเป็นจริง ด้วยเสียงสั่นนิดๆ อย่างข่มก้อนสะอื้น เธอคงได้แต่หวังว่าทั้งสองคงไม่สังเกตเห็นถึงมัน...

                   

                    “หืม?... ลำบากแย่เลยค่ะ เดี๋ยวฉันนั่งไปเป็นเพื่อนดีกว่ามั้ยคะ” ร่างสูงเสนอตัวอย่างใจดี แต่นั่นมันทำให้แทยอนอึดอัดมากเข้าไปใหญ่ คำพูดที่เตรียมไว้ถูกกลืนลงลำคอไปอย่างรวดเร็ว

                   

                    “จะดีหรอคะ เกรงใจยูลจัง” คนข้างกายเป็นคนตอบแทน ทิฟฟานี่เรียกยูริว่า ยูลเต็มปากเต็มคำ บ่งบอกถึงความสนิทในระดับหนึ่งได้เป็นอย่างดี ทำเอาแทยอนหันกลับมามอง เหมือนเธอกำลังเป็นส่วนเกินระหว่างคนสองคนชอบกล ยูริกับทิฟฟานี่ก็เอาแต่ยิ้มให้กัน คุยกันอยู่สองคนเหมือนพวกเขามีโลกส่วนตัว ทำให้คนที่โดนผลักออกมาจากโลกใบนั้นเจ็บจนแทบหายใจไม่ออก ทั้งสองจะรับรู้บ้างมั้ย...

                   

                    “ไม่เป็นไรค่ะ... ยูลเต็มใจ” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อเขินอย่างน่ารัก... อีกมือกำสายกระเป๋าเป้ตนเองแน่น “เดี๋ยวยูลไปส่งฟานี่กับคุณแทยอนดีกว่านะคะ” คำสรรพนามเรียกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จนผู้จัดการสาวได้แต่เก็บอาการไม่พอใจเอาไว้ ทีกับเธอเรียกคุณแทยอนอย่างเป็นทางการ หากทำไมคนที่เธอแอบรักมานานนับหลายปี ยูริกลับมีโอกาสเรียกว่า ฟานี่ได้อย่างสนิทใจอย่างนั้นล่ะ!

                   

                    “ไม่รบกวนแน่นะคะ” กล่าวเหมือนเป็นมารยาท แต่ความจริงแล้วเธอก็แค่ไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์อันอึดอัดมากไปกว่านี้ ทว่าแน่นอนที่คนเก็บอาการเก่งอย่างเธอ นอกจากจะไม่มีใครมองความรู้สึกเธอออกแล้ว ยังไม่เคยเข้าใจคนแอบรักเช่นเธอเลยซักนิด

                   

                    “แน่สิคะ... ไปกันเถอะ” ว่าแล้วมือเรียวก็โบกมือเรียกรถแท๊กซี่ที่กำลังขับผ่านมาทางนี้พอดี ยูริเปิดประตูออกกว้าง หากด้วยความเคยชิน ทำให้เธอพาตนเองเข้าไปนั่งยังเบาะหลังตามนิสัยของคนที่มักนั่งแท๊กซี่คนเดียว ทิฟฟานี่เห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปนั่งข้างๆ ทันที เนื่องจากมันคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ หากเธอจะนั่งหน้า ส่งผลให้คนที่เป็นส่วนเกิน ต้องพาร่างและหัวใจอันบอบช้ำของตนเองไปนั่งเบาะหน้าข้างคนขับแทน... เพราะไม่อยากเข้าไปอยู่ใกล้ยูริกับทิฟฟานี่ให้ต้องทรมานไปมากกว่านี้

                   

                    ...ระหว่างทาง บทสนทนาของคนทางด้านหลังรถก็มีขึ้นไม่ขาดสาย ยกตัวอย่างเช่น...

                   

                    “ฟานี่ชอบสีชมพูหรอคะ” ยูริอดถามไม่ได้ เมื่อเห็นว่าตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีสิ่งใดเลยที่ทิฟฟานี่จะใช้สีอื่น นอกจากสีหวานๆ อย่างสีชมพู

                   

                    “ใช่ค่ะ ฟานี่ว่ามันหวานดี”

                   

                    “งี้ถ้ามีแฟน... แฟนฟานี่ไม่ต้องใส่สีชมพูทั้งตัวเลยหรอคะ” ร่างสูงเอ่ยแซวเล่นฆ่าเวลา เรียกเสียงหัวเราะจากร่างบางได้เป็นอย่างดี ในขณะที่แทยอนทำเพียงแต่มองภาพคนสองคนหยอกล้อกันผ่านทางกระจกมองหลังก็เท่านั้น... มองไปก็ไม่รู้ว่าได้อะไรคืนมานอกจากอัตราการบีบตัวที่อัดแน่นจนปวดแปลบของหัวใจ...

                   

     

                    ...ถ้าฉันใส่สีชมพูทั้งตัวให้เธอได้ ฉันก็อยากจะทำเหมือนกันนะ...

                   

     

                    “ยูลว่าอาหารเกาหลีอะไรอร่อยที่สุดหรอ... ฟานี่ไม่ค่อยได้กินเลยอ่ะ”

                   

                    “ต๊อกโบกีค่ะ อร่อยสุดๆ ไปเลยแหละ”

                   

                    “ฟานี่อยากทำอาหารเกาหลีเป็นบ้างจัง แต่อย่าว่าแต่เกาหลีเลยค่ะ ฟานี่ทอดไข่ยังไหม้เลย ฮ่าๆ” เพราะความที่ยูริเป็นคนคุยสนุกไม่น่าเบื่อ ทิฟฟานี่จึงหาเรื่องมาชวนคุยได้ไม่หยุดหย่อน เหมือนว่าเธอกำลังจะได้เพื่อนใหม่มาอีกคน

                   

                    “อาหารเกาหลีทำไม่ยากหรอกค่ะ ไว้โอกาสหน้ายูลสอนก็ได้ ยูลทำอาหารเก่งนะ”

                   

                    “เอาสิคะ... ยูลสัญญาแล้วด้วยน้า...”

                   

                    แทยอนก้มหน้าลง มองฝ่ามือที่กุมกันแน่นบนตักของตนเองด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่ไหลเวียนอยู่ภายใน เธอกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไม่ให้หยาดน้ำซึ่งกำลังคลอเอ่ออยู่ภายในนั้นไหลออกมา

                   

     

                    ...ฉันก็ทำอาหารเก่งนะ... เป็นฉันไม่ได้หรอ...ที่จะสอนเธอ...

                   

     

                    “ชื่อยูริ ภาษาญี่ปุ่นแปลว่าดอกลิลลี่รึเปล่าคะ”

                   

                    “ใช่ค่ะ... เป็นดอกไม้ที่แทนความรักอันอ่อนหวานและบริสุทธิ์ด้วยนะ”

                   

                    “งั้นเดี๋ยวถ้ายูลไปฝรั่งเศส ฟานี่จะซื้อดอกลิลลี่มาต้อนรับดีกว่าค่ะ เอาเป็นสีชมพูเลยดีมั้ย สวยดี อิอิ” ทิฟฟานี่ยังคงกล่าวอย่างไม่คิดอะไรต่อไป ฝ่ายยูริเองนานๆ ทีจะมีคนเข้ามาทำความรู้จักซักครั้ง เธอเลยไม่คิดจะวางมาดหรือเว้นระยะห่างอันเหมาะสมอะไรเท่าไหร่นัก กลายเป็นทั้งคู่จึงยิ่งสนิทกันมากขึ้นไปอีก

                   

                    “แหม... ขาดไม่ได้เลยนะคะ สีชมพูเนี่ย...”

                   

                    สองคนหลังที่มีโลกสองตัวอันแสนสดใสสีชมพู ฝ่ายเจ้าของโลกหม่นๆ ที่ถูกฉาบด้วยสีเทาจนเกือบจะดำมืดได้แต่สะอื้นอยู่ในใจอย่างอดกลั้น เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภาพขาวดำที่ไม่มีใครสังเกตเห็น อยู่ในมุมเล็กๆ อันไร้ค่า จึงได้แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยหยาดน้ำตาที่เกินกักเก็บได้ไหลรินออกมาเชื่องช้า

                   

     

                    ...ดอกลิลลี่สีชมพู ที่เธอพูดมานั้น เธอรู้รึเปล่าว่าความหมายของมันคือ ที่สุดของหัวใจที่ฉันตามหา

                   

                    ...เธอเองก็เป็นเส้นปลายทางของหัวใจฉันเหมือนกันนะ... ที่รัก...

                   

     

                    ...ต่อให้ใจเธอจะไม่เคยมีฉันเลยก็ตามที...

                   

     

                    เข็มนาฬิกายังคงเดินวนเวียนไปเรื่อยๆ ตามหน้าที่ของมัน และแล้วในที่สุดช่วงเวลาแห่งความสุขของคนสองคน แต่เป็นความทรมานของร่างเล็กก็ถึงจุดสิ้นสุด เมื่อแท๊กซี่จอดนิ่งสนิทยังริมฟุตบาทหน้าโรงแรม

                   

                    “ช่วยจอดรอก่อนนะคะ เดี๋ยวจะไปต่อน่ะค่ะ” ยูลชะโงกหน้าไปบอกคนขับให้รับทราบ แทยอนจึงยื่นธนบัติจำนวนหนึ่งให้เพื่อเป็นค่ารถแท๊กซี่หากยูริก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับเงิน ร่างเล็กจึงยอมเสียมารยาทรีบเปิดประตูรถลงไปทันที เพราะเห็นว่าร่างสูงกับทิฟฟานี่ยังคงมองตาหวานซึ้งเป็นเชิงบอกลากันอยู่อย่างนั้น แล้วจะให้เธอที่มีน้ำตาเปื้อนใบหน้าเช่นนี้ ทนมองดูต่อไปก็ใช่ที่ นอกจากจะเป็นการประจานความอ่อนแอของเธอให้คนอื่นเห็นแล้ว มันยังเป็นการทำร้ายหัวใจดวงเล็กๆ ของเธอไปอีกด้วย

                   

                    ...แทยอนก็แค่คนธรรมดา ถึงความอดทนจะสูงกว่าคนอื่น มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอ เจ็บไม่เป็น...

                   

                    “ขอบคุณยูลมากเลยนะคะที่อุตส่าห์มาส่ง” ทิฟฟานี่โค้งขอบคุณ ยามยูริอุตส่าห์ลงทุนเดินมาส่งถึงภายในโรงแรม เพราะเห็นว่าภายนอกดูไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่นักสำหรับนางแบบสาว

                   

                    “ยูลไปก่อนนะคะ หวังว่าโอกาสหน้าเราคงได้ร่วมงานกันอีก” ยูริกล่าวลาอีกสองสามคำเล็กน้อย ก่อนจะเดินขึ้นรถแท๊กซี่ไป ทิ้งให้ทิฟฟานี่มองตามด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มในตัวเขามากยิ่งขึ้น

                   

                    “ยูลเป็นคนดีจังเลย... สเป๊กฉันสุดๆ” ทิฟฟานี่พูดแล้วก็ต้องหัวเราะกับตนเอง ขณะเดินไปยังห้องพักภายในโรงแรมที่บริษัทจัดเตรียมไว้ให้ โดยลืมเรื่องที่หวังจะประชดคิม แทยอนไปเสียสนิท...

     

                   

     

     

     

     

                บนเครื่องบิน

               

                    ความเงียบเข้าปกคลุมสองสาวเมื่อนกเหล็กเริ่มพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เงียบเสียจนทิฟฟานี่ทนความอึดอัดไหวไม่ไหว ความจริงคือตั้งแต่เมื่อวานแล้วแหละที่แทยอนไม่ยอมพูดกับเธอแม้แต่ประโยคเดียว เหมือนเป็นคนแปลกหน้าที่ต้องนอนโรงแรมเดียวกัน ห้องเดียวกัน และบังเอิญที่นั่งบนเครื่องบินติดกันก็เท่านั้น

                   

                    “แท... เป็นอะไรไป” ประโยคแรกของวันดังขึ้น ฉุดคนที่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างหันกลับมาหาทิฟฟานี่ ร่างเล็กส่ายหน้าเชิงปฏิเสธ ซึ่งต่างจากใบหน้าที่เริ่มเศร้าหมองเหลือเกิน

                   

                    “เปล่า...”

                   

                    “อืม... งั้นหรอ”

                   

                    ...เงียบ...

                   

                    ต่างคนต่างเงียบ ต่างอยู่ในภวังค์ของตนเอง ทั้งที่มีคำพูดนับร้อยพันอยากจะบอกให้คนข้างกายได้รับรู้ หากที่ได้ยินคงมีเพียงเสียงลมหายใจอันเบาบาง เกินกว่าจะแปลความเป็นอื่นใดได้

                   

                    “ฟานี่ชอบยูลรึเปล่า...” เรื่องทำร้ายหัวใจตนเอง ดูท่าทางคงไม่มีใครเกินคิม แทยอน ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเจ็บแค่ไหน แต่คนดื้อดึงก็ยังอุตส่าห์เอาแต่ถามประชดหัวใจอันไม่รักดีอยู่อย่างนั้น เธอสบสายตาของทิฟฟานี่อย่างค้นหาความเป็นจริง ทว่าก็ไม่เห็นอะไรนอกเสียจากเงาของตนเองสะท้อนอยู่ในนั้น

                   

     

                    ...เงาสะท้อนในแววตาเธอมันเป็นฉัน...

                   

                    ...แต่สายตาเธอนั้น มีไว้เพื่อมองใคร...

                   

     

                    “...” ทิฟฟานี่ไม่ตอบ เนื่องจากเธอไม่สามารถหลอกตัวเองได้ว่าเธอรักหรือชอบใครที่ไม่ใช่แทยอน หญิงสาวหันหน้าหนีเพื่อกลั้นความรู้สึกทรมานที่แล่นไปทั่วร่าง เมื่อแทยอนไม่เคยคิด หรือไม่เคยรับรู้เลยว่าเธอรักเขามากแค่ไหน ทั้งที่อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ ทว่าทำไมเขากลับคิดไปได้ว่าเธอจะชอบคนที่เพิ่งเจอกันแค่วันเดียว

                   

     

                    ...ตลอดหลายปีระหว่างเรามันยังไม่มีความหมาย...

                   

                    ...วันเดียวระหว่างฉันกับเขามันจะเหลืออะไร...

                   

     

                    “ฟานี่... ถามจริงๆ นะ เธอชอบยูลรึเปล่า”

                   

                    ตอกย้ำ... ซ้ำเติม... ผลักไส... ทิฟฟานี่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าสิ่งที่แทยอนกำลังทำอยู่นี้มันหมายความว่ายังไง เธอจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกลั้นใจตอบไป ในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกอันแท้จริง

                   

     

                    ...ถ้าเธออยากให้ฉันรักเขา...

                   

                    ...ฉันก็จะรักเขาเพื่อเธอ!...

                   

     

                    “ถ้าใช่แล้วจะทำไมล่ะ... มันเกี่ยวอะไรกับเธอ”

                   

                    “เปล่าหรอก... ถามดูเฉยๆ...” แทยอนปฏิเสธเสียงเรียบ ขณะหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินเช่นเดิม ความคิดในใจ สลักลึกลงในห้วงความรู้สึกซ้ำไปซ้ำมา โดยที่ไม่อาจเปิดเผยให้ใครได้รับรู้...

                   

                    ...ฉันก็แค่ถามดูเท่านั้นแหละ ว่าความหวังอันเลือนลางของฉัน มันกำลังลดลงไปเป็นศูนย์แล้วอย่างนั้นใช่มั้ย ฉันก็แค่อยากรู้ว่าตอนแรกที่เธอยังไม่เจอเขา เธอเคยหวั่นไหวกับฉัน มีฉันอยู่ในหัวใจซักวินาทีหรือเปล่า แล้วตอนนี้... ฉันก็แค่อยากรู้ว่าคนที่โดนใจเธอ เป็นเขา... ไม่ใช่ฉัน...

                   

                   

                    ...ก็แค่อยากประชดความรักพังๆ ของตนเอง...

                   

                    ...หัวใจมันจะได้เจ็บจนตัดขาดจากเธอเสียที...

                   

     

                    ความเงียบปกคลุมสองสาวอีกครั้ง คราวนี้ทั้งคู่ต่างพอใจที่จะอยู่ท่ามกลางเสียงลมหายใจของกันและกัน มากกว่าพูดคุยต่อไป ให้มีแต่เรื่องเจ็บช้ำแทงหัวใจหลุดออกมาจากปากไม่หยุดหย่อน

                   

                    ทิฟฟานี่หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เธอหันมองร่างเล็กเพียงชั่วครู่ด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ใครคนนั้นไม่เคยต้องการให้เธออยู่เคียงข้างเขาเลยใช่มั้ย ถึงได้เอาแต่ผลักไสกันตลอดเวลา เมื่อไหร่แทยอนจะรู้ซักที ว่าเธออยากอยู่ใกล้ๆ อยากเรียกเขาว่า คนที่รักได้เต็มปากเต็มคำกว่านี้

                   

                    คิดแล้วอารมณ์น้อยใจก็ตีตื้นขึ้นมา ทำให้เธอพาตนเองเอนไปด้านข้าง ศีรษะกลมมนซึ่งปกคลุมด้วยเส้นผมอ่อนนุ่มวางลงบนไหล่ของแทยอนเชิงอ้อนเอาใจ ซึ่งนั่นคงเป็นทางเดียว ที่เธอจะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของเธอให้เขาได้รู้บ้าง ถึงแม้มันอาจจะเป็นการกระทำที่ดูไร้ค่าก็ตามที

                   

                    คนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อยกับสัมผัสนั้น เธอไม่กล้าหันมาสบตากับทิฟฟานี่ เพราะลมหายใจอุ่นๆ ของอีกคนที่รินรดอยู่ยังต้นคอ มันทำให้หัวใจเธอเริ่มสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้งอย่างควบคุมไม่อยู่

                   

                   

                    ...ทั้งที่รู้ว่าเธอรักใคร...

                   

                    ...แล้วทำไมฉันถึงยังรักเธอ...

     

     

     



    [Free talk]

     

    Ma-Bung: (ปล. ขอเอาแพล่มบุงขึ้นก่อนนะคะ เดี๋ยวรีดเดอร์จะตกใจ = =”)

    บทนี้อาจเห็นว่าคล้ายส่วนของอิมเมจบ้าง

    แต่มันจะเหมือนแค่บทสนทนาค่ะ บทบรรยายบุงลบทิ้ง พิมพ์ใหม่หมดเลย

    เปลี่ยนจากความรู้สึกของยูลในอิมเมจมาเป็นแทนี่แทน

    แล้วก็จะมีฉากเพิ่มมาอย่างตอนก่อนยื่นน้ำ แล้วก็บนแท๊กซี่อ่ะค่ะ (ปลื้มฉากนี้มากที่สุด ฮ่าๆ)

    ไม่อยากให้มองว่าเหมือนฉายหนังซ้ำอะไร เพียงแต่แค่เปลี่ยนความรู้สึกตัวละคร

    เพื่อให้เนื้อเรื่องแสดงเนื้อหาที่แตกต่างกันออกไป ยังไงก็หวังว่ารีดเดอร์จะชอบมันนะคะ ^^

     

    บุงเหนื่อยขั้นรุนแรงและจริงจัง ปิดเทอมแล้วแต่เรียนพิเศษทุกวัน

    แถมต้องตื่นเช้ากว่าไปโรงเรียนจริงๆ อีก เฮ้อ... เวลาพักหายไปไหนหนอ TT

     

    เอาเป็นว่าแล้วเจอกันโอกาสหน้านะคะ

    บุงยังเหลือคิวฟิคยาวเป็นหางว่าวเลยล่ะ แต่ถ้ายังมีรีดเดอร์อ่านและเมนต์

    ไรท์เตอร์คนนี้ก็อยากจะแต่งและอัพเหมือนกันค่ะ ^^

     

     

    MRchick3n: ทำไมชีวิตมันวุ่นวายอย่างนี้นะ ..

    ความสุขส่วนตัวที่ได้อ่านฟิค .. ได้แต่งฟิค มันหายไปไหนหมด??

    อยากได้ชีวิตเก่าๆ กลับมาจัง!!!

    ดี มันก็ดีนะ .. ได้ทำงาน แต่ .. มันชักจะเยอะเกินไปแล้ว!!!

    ได้ทำ .. แล้วผ่านการสนใจจะไม่ว่า .. แต่นี่!!! เอาความคิดไปเฉย!

    เฮ้อออ ..

    ขอโทษนะคะ .. มาบ่นเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้

    ส่วนฟิคของพี่เองที่ค้างๆ ถ้าว่างแล้ว จะกลับมาแต่งให้ค่ะ

    ถ้ามันหนักขนาดนี้ต่อไป สักเดือน..

    พี่จะเลิกแต่งฟิคแล้ว!

    งานก็ต้องทำ .. ฟิคก็อยากแต่ง ไม่อยากให้ใครมานั่งรอ

    ความรู้สึกผิด มันมีนะคะ .. แต่อย่าทำให้พี่รู้สึกผิดกว่าเดิมได้มั้ยคะ?

    ขอโทษ ที่พูดแบบนี้นะคะ รีดเดอร์บางคน ..

    แต่ .. พี่เองก็เหนื่อยมากจริงๆ ไม่ใช่ว่าทิ้งขว้างฟิคนะคะ

    แต่พี่ไม่มีเวลาจริงๆ

    คำถามต่างๆ .. คำพูดต่างๆ บางที รีดเดอร์อาจจะไม่รู้สึกอะไร

    ถามเพราะอยากอ่านฟิคแล้ว ..

    แต่ .. คำพูดพวกนั้น .. มันทำให้ไรท์เตอร์อย่างพี่ รู้สึกผิด ..

    ขอโทษจริงๆ ค่ะที่ให้รอ ..

    แต่อีกไม่นานก็ไม่ต้องรอแล้ว ..

    ถ้าไม่มีเวลาแบบนี้ .. ก็จะเลิกแต่งเหมือนกันค่ะ

     

    [Special Talk: N’ to P’] (น้องถึงพี่)

    จำได้มั้ยคะ ที่บุงเคยบอกพี่ชิคว่าบุงอยากจะเลิกแต่งฟิค...

    แล้วกลับไปทำตามความฝันของตัวเองแทน

    แต่มาวันนี้บุงก็หยุดแต่งฟิคไม่ได้จริงๆ

    อย่างที่พี่เคยบอกว่า... ฟิคกับไรท์เตอร์ เหมือนสามีภรรยา ที่หย่ากันยังไงก็ไม่ขาด ^^

     

    ถ้าเครียดก็พักบ้างพี่ ร่างกายคนไม่ใช่เครื่องจักร ฝืนไปก็ไม่ได้อะไร

    พี่เองก็ทำงานมีงานของพี่เหมือนกัน ไม่ใช่เป็นไรท์เตอร์กินค่าฟิค

    อย่าลืมค่ะว่า “ไรท์เตอร์” คืองานอดิเรก อย่าไปเครียดกับมันมากนะคะพี่

     

    บุงก็ไม่รู้จะพูดยังไงนะ เอาเป็นว่ารีดเดอร์หลายๆ คนยังรอพี่อยู่

    แล้วก็ “ตั้งใจรอ” พร้อมกับ “รออย่างเข้าใจ” ด้วย ^^v

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×