ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลาลาลา

    ลำดับตอนที่ #9 : [มืดจัง - Sep 2014] - ท้องฟ้า

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 57


    Warning: จะปิดตาสองข้าง(?)ทำเหมือนไม่ยาโอยก็ได้ แต่สำหรับเรา มันเป็นยาโอยนะ

    แล้วก็ PG-13 นะคะ (คิดว่า)

     

    ท้องฟ้า

     

    เมื่อก่อน ตอนวายังเด็ก วามักจะออกมาที่ระเบียงบ้าน นอนแผ่ตรงพื้นระเบียง แล้วแหงนหน้าเหม่อมองท้องฟ้า

    ท้องฟ้าของจริงเป็นแผ่นพรมสีฟ้าครามที่มีสีขาวของก้อนเมฆกระจายอยู่ทั่ว แต่ท้องฟ้าในสายตาของวาไม่ได้มีแค่สองสี มันมีสีอื่นๆ ทาอยู่เต็มไปหมด คนส่วนใหญ่ไม่เห็นสีเหล่านั้น จึงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเฝ้ามองมัน

    ขณะที่ชื่นชมสีสัน วาก็เฝ้าฝัน ในจินตนาการอันไร้เดียงสาของเขา เขาได้ผจญภัยในดินแดนแสนประหลาด ได้ร่ำเรียนในโรงเรียนสอนเวทมนตร์เหมือนในหนังสือชุดดัง ได้ทำเรื่องมหัศจรรย์มากมายเกินกว่าจะบันทึกเอาไว้ได้หมด

    พ่อแม่ของวาไม่ชอบให้เขานอนราบลงกับพื้นสกปรก เขาจึงถูกต่อว่า วันต่อมาวาลากผ้าห่มมาปูรอง เขาก็ถูกต่อว่าอีก

    พ่อแม่ของวาไม่ชอบอะไรอีกเยอะแยะ ไม่ชอบความไร้ระเบียบ ไม่ชอบนิทานก่อนนอน ไม่ชอบกันและกัน ไม่ชอบตัววา กระทั่งไม่อนุญาตให้ลูกคนเดียวใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระ ไม่นานนักดวงตาทั้งสองข้างที่เขาใช้มองฟากฟ้าก็ต้องเปลี่ยนมามองตัวหนังสือจากแบบเรียน ทั้งของโรงเรียนและที่เรียนพิเศษชื่อดัง

    เวลาผันผ่านไป สีสันบนท้องฟ้าของวาก็จางหาย

    และไม่ว่าเวลาไหน เมื่อมองท้องฟ้า วาก็เห็นเพียงสีเทาอันหม่นหมอง

     

     

    เป็นครั้งแรกที่วาจะไม่เห็นพ่อแม่อยู่ในระยะสายตาทั้งสัปดาห์

    พอเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย วาก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในคณะที่พ่อแม่เป็นคนเลือกให้ เพราะอายุที่มากขึ้นทำให้พวกเขามารับส่งวาทุกวันเหมือนที่เคยทำมาตลอดไม่ไหว และตัดสินใจให้วาไปอยู่หอพัก

    วาไม่รู้สึกเศร้าใจกับการเปลี่ยนแปลงที่เหมือนเป็นสัญญาณบอกว่า พ่อแม่จะอยู่กับเขาได้อีกไม่นาน ตรงกันข้าม เขารู้สึกเหมือนโซ่ตรวนที่คล้องอยู่ตรงลำคอกำลังค่อยๆ เสื่อมความทนทานลง

    วันนี้เขาย้ายของเข้าหอ แล้วก็พบกับเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งซึ่งมาก่อนเขาสองสามวัน

    เพื่อนร่วมห้องคนนั้นท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ขณะทักเขาเสียงแผ่วๆ ว่า “หวัดดี”

    “หวัดดี” วาทักทายตอบ เสียงดัง ชัดเจน และเป็นมิตร

    เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเกร็งเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้าคนแรกในโลกที่พบไปทำไม พูดกันตามตรงแล้วคนที่ดูอ่อนแอไม่เอาไหนอย่างเพื่อนร่วมห้องคนนี้เป็นคนประเภทที่เขาไม่ถูกชะตาด้วยที่สุด

    วาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายอยู่ในใจ ก่อนจะคุยกับอีกฝ่าย แสร้งทำเหมือนว่านี่เป็นการพบกันที่เขาเฝ้ารอ และมันน่าสนใจเกินกว่าอะไรทั้งสิ้น “เราชื่อวานะ นายชื่ออะไรเหรอ”

    “เราชื่ออิมครับ” เสียงยังเบาอยู่เหมือนเดิม

    ความสุภาพระดับนั้นออกจะน่าหงุดหงิดอยู่สักหน่อย มันทำให้วาคิดถึงผู้ปกครองซึ่งเอาแต่พูดสุภาพตลอดเวลาเพื่อเป็นตัวอย่างให้เขาทำตาม แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ออกไปทางสีหน้า

    เขาพูดว่า “ยินดีที่ได้รู้จักนะ” แล้วจึงชวนอิมคุยพร้อมยิ้มหวานให้

     

     

    อิมแทบจะเกาะหลังวาตอนที่เดินออกจากหอ ทำเหมือนวาเป็นเกราะกำบัง หันซ้ายหันขวาระแวดระวังประหนึ่งว่าจะมีใครหยิบปืนมายิงตัวเองเวลาเผลอ พอทำตัวเองทำตัวประหลาดมากไปจนคนมองก็กลัวจนก้มหน้าหงุด

    ทั้งๆ ที่กลัวสายตาคนอื่นก็ยังมองคนเขาไปทั่ว อิมทำเหมือนเพิ่งเคยออกนอกบ้านครั้งแรก วาอยากกระชากคอเสื้อเพื่อนใหม่มาแล้วตะโกนใส่หน้าว่าเป็นบ้าอะไรจริงๆ

    มีอยู่บางครั้งที่วาจงใจเร่งฝีเท้าให้อีกฝ่ายเดินตามไม่ทัน เพราะเขาขายาวกว่า แต่อิมกลับหยุดเดินแล้ววิ่งตามมาแทน อิมตะโกนเรียกเขาด้วยเสียงที่แทบจะโดนเสียงรถกับเสียงฝีเท้าคนกลบได้ “วาครับ รอผมด้วย...” มีอาการหอบปนมาเล็กน้อย อิมทำเหมือนเส้นทางที่ใช้เดินตามเขามาเป็นลู่วิ่งหนึ่งกิโลเมตร

    วามักทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายวิ่งตามเขาทั้งอย่างนั้น เพราะเวลาที่อิมทำท่าแบบคนใกล้ร้องไห้เป็นเวลาเดียวที่วารู้สึกว่าอีกฝ่ายหน้าตาดูได้

    แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่วารำคาญจนทนไม่ไหว ยื่นมือไปให้จับ แล้วกระชากมาเดินข้างๆ ด้วยเช่นกัน

     

     

    ถึงจะโตแล้ว แต่อิมก็ชอบมองท้องฟ้า

    ที่หอพักมีระเบียง อิมยืนอยู่ตรงระเบียงแล้วเหม่อมองท้องฟ้าอย่างตั้งอกตั้งใจทุกวัน ยืนคู่กับพวกเสื้อผ้าที่ทั้งสองคนเอามาตาก  ปล่อยประตูระเบียงเปิดค้างไว้

    ส่วนวาก็มองอิมอย่างไม่สบอารมณ์ ดูทั้งผมอิมทั้งเสื้อผ้าพลิ้วไปตามลมที่พัดผ่าน กว่าพวกเขาจะเรียนเสร็จทำกิจกรรมเสร็จก็เป็นเวลาเย็นพอดี ท้องฟ้าจึงเป็นสีส้มหรือสีดำอย่างใดอย่างหนึ่ง

    วาเคยอดรนทนไม่ได้ เดินออกไป เลื่อนประตูระเบียงปิดสนิท แทรกผ่านพวกราวตากผ้าเข้าไปหาอิม แล้วถามว่า “มองอะไรอยู่ แล้วคิดอะไรอยู่เหรอ”

    ตอนนั้นอิมสะดุ้งตกใจ หันขวับมาหาเขา เบิกตากว้าง

    วาจ้องกลับพร้อมรอยยิ้ม

    “ตอนเด็กๆ เราชอบเล่นว่าวน่ะครับ มันทำให้รู้สึกเหมือนกับแตะท้องฟ้าได้” อิมเริ่มเล่า ท่าทางอายๆ “พอมองท้องฟ้าสวยๆ แบบนี้ทีไร ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า อยากสัมผัสมันเป็นบ้าเลย”

    “นั่นสิเนอะ” วายิ้มรับ หันไปมองท้องฟ้าที่อิมชื่นชม

    มันหม่นหมองจนเขาไม่เข้าใจว่าทำไมอิมถึงอยากสัมผัสมัน

     

     

    วันหนึ่งขณะที่นั่งทานข้าวกันอยู่ในห้อง อิมก็บอกวาว่า “นี่ วาครับ ถ้าเกลียดเราก็ไม่ต้องยิ้มให้ก็ได้นะครับ”

    ตอนแรกที่ได้ยิน วากำลังจะยิ้มตอบ แต่พอทวนประโยคไม่ต้องยิ้มให้ก็ได้ในใจจบ เขาก็ขมวดคิ้ว เปลี่ยนท่ามานั่งไขว่ห้างแทน ไม่คิดจะปิดบังอะไรอีก “รู้ตัวด้วยเหรอ”

    อิมดูจะอึดอัดมาก แต่พอเห็นเขาไม่ใส่ใจ ก็ทำทีเป็นไม่ใส่ใจตามไปด้วย

    “ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกครับ” อิมก้มหน้ามองจานข้าว “แต่พอสังเกตละเอียดๆ แล้วก็พอเดาได้น่ะ”

    “แล้วเราก็ยอมรับไปแล้วสินะ” วาถอนหายใจ “คนอื่นๆ คงยังไม่รู้ว่าเรานิสัยแบบนี้ แล้วก็ไม่ควรจะรู้เลยด้วย ถ้ายังไงก็ช่วยอย่าปากสว่างนักล่ะ”

    อีกฝ่ายตอบรับแค่ “ครับ” คำเดียวสั้นๆ

    สายตาของอิมที่มองมายังวาดูไม่เหมือนเดิม

     

     

    หลังจากเหตุการณ์นั้น อิมก็ดูจะกล้าขึ้นเยอะ

    ถามว่าดีไหม สำหรับวาแล้วก็ดีนะ ไม่มีคนมาคอยเกาะแกะให้รำคาญใจ ตอนเช้าอิมไม่ได้รอเขาก่อนออกจากห้องเหมือนอย่างเคย ตอนกลับไม่ได้นัดเจอกันก่อน ไม่ได้เดินตาม

    แต่พออิมหายไป วาก็เลยได้คิดเรื่องของอิมมากขึ้น

    การที่อิมชอบมองท้องฟ้าเหมือนที่วาเคยชอบทำให้อิมดูขัดหูขัดตา

    ท่าทาง สายตา เสียง นิสัย จริงๆ แล้วทุกอย่างของอิมก็ขัดตาไปหมด

    วายอมรับ เขาพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเกลียดอิม

    แต่พอเขาเริ่มนึกถึงอิมมากๆ เข้า วาก็เริ่มสงสัย ว่าความรู้สึกที่มีอยู่นี่มันคือความเกลียดอย่างเดียวแน่หรือ

     

    ตอนเย็นของวันหนึ่ง วาเดินออกไปยืนอยู่ตรงระเบียง เหม่อมองท้องฟ้าที่ดูจะแปรปรวนด้วยเมฆฝน

    ไม่นานนักเค้าเมฆดำเหล่านั้นก็กลั่นตัวลงมาเป็นหยดน้ำ เทลงมาเป็นสาย

    วามัวแต่เหม่อ รู้ตัวอีกทีเขาก็เปียกโชกทั้งตัวแล้ว เสื้อผ้าที่ตากไว้ก็คงเหมือนกัน แต่เขาก็เหนื่อยเกินกว่าจะมาหัวเสียกับเรื่องนี้

    วาหันไปด้านหลัง จะเดินเข้าห้อง แต่กลับเห็นอิมยืนจ้องอยู่ ตำแหน่งเดียวกับที่เขาใช้เพื่อจ้องมองอิม เสียงแผ่วเบาที่แทบจะถูกเสียงฝนกลบของอิมบอกเขาว่า “วาครับ เรามีเรื่องอยากคุยด้วย”

     

     

    “เราเป็นเกย์ครับ” อิมบอก เสียงดังกว่าครั้งไหนๆ

    วากะพริบตาปริบๆ แล้วถามว่า “แล้วเกี่ยวอะไรกับเราเหรอ”

    “วาไม่สงสัยหรือ ตอนที่เราบอกว่าพอสังเกตละเอียดๆ แล้วเลยเดาได้ว่าวาคิดยังไงกับเรา” อิมถามกลับ “เพื่อนที่ไหนเขาสังเกตเพื่อนกันอย่างละเอียดล่ะ”

    ความเงียบปกคลุมห้องอยู่พักหนึ่ง สายฝนที่เทกระหน่ำอยู่ด้านนอกเหมือนเป็นโลกอีกใบหนึ่ง

    “อ้อ...” วาร้องออกมาในที่สุด

    “ครับ” อิมพยักหน้ารับ “เราชอบ... ไม่สิ เรารักวา”

    “อืม” วาพยักหน้าเหมือนเข้าใจ “แต่เราเกลียดอิมนะ” พูดชัดเจน “เกลียดมากกว่าใครๆ ที่เคยเจอมาเลยล่ะ พอทำตัวอ่อนแอก็น่ารำคาญจนอยากตบให้เลือดกบปาก พอทำตัวกล้าจนยโสขึ้นมาแบบนี้แล้ว เราอยากเอาเก้าอี้ฟาดให้คอหักเลยล่ะ”

    “เรารู้แล้วครับ” อิมว่า “อยากทำอะไรก็ทำเถอะ”

    วาสบตากับอีกฝ่าย แต่อิมไม่ยอมหลบสายตา “ยิ่งทำเป็นรู้ดีอย่างนั้นเรายิ่งเกลียดแฮะ ถือดีว่ารู้จักเรามากกว่าใครๆ แล้วจะก้าวร้าวใส่ยังไงก็ได้เหรอ”

    อิมนิ่ง แต่สายตาที่มองตอบกลับมาทำให้วารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคาดหวังอะไร

    วาหัวเราะ “บางทีมีคนที่รู้จักเราดีอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่เลวหรอกนะ” จากนั้นก็ฉีกยิ้ม “นี่ ถ้าไม่รังเกียจความสัมพันธ์แบบฝ่ายนึงรักฝ่ายนึงเกลียดล่ะก็ จะคบกันก็ได้นะ”

    อีกฝ่ายตอบรับแค่ “ครับ” คำเดียวสั้นๆ

    สายตาของอิมที่มองมายังวาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

     

     

    ยิ่งวาใกล้ชิดอิมมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งคิด ว่าแค่ความตายของอิม มันคงไม่เพียงพอสำหรับเขา

    เขาเป็นคนโลภ โลภเกินกว่าจะพอใจกับอะไรเล็กน้อยอย่างนั้น

    เขาอยากเก็บอิมไว้ในกำมือ แกล้งอีกฝ่ายอย่างสนุกสนาน ทำให้อิมมีความสุขแล้วทุกข์ทรมานแทบเป็นแทบตาย ทำให้อิมสำลักทั้งความรักและความเกลียดชังไปพร้อมๆ กัน ทำให้ตนเองได้สัมผัสกับความรู้สึกของการเป็นผู้ควบคุมอย่างสมบูรณ์

    วาต้องการครอบครองทุกอย่างของอิม

    ครั้งหนึ่งในเวลาว่าง วาคิดขึ้นมาว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาดูคล้ายๆ สามภาพที่แตกต่างกันบนสล็อตแมชชีน เพราะสำหรับเจ้าเครื่องพนันนั่น โอกาสที่จะสุ่มเลือกได้ภาพที่เหมือนกันทั้งสามภาพมันน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่ต่อให้ภาพที่ออกมาแตกต่างกันทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ไม่อาจยอมรับได้

    คืนนั้น หลังจากที่ตกลงคบกัน พวกเขาสองคนรู้สึกทั้งสับสนทั้งมั่นใจ

    ฝนหยุดตก ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิด ผืนกำมะหยี่สีดำเหมือนนิ่งสงบ แต่เมฆหมอกที่แฝงตัวอยู่กลับดูยุ่งเหยิงกว่าทุกวัน

    ในห้องเองก็มืดมิดไม่ต่างจากด้านนอก หอพักไฟดับ และไม่มีทีท่าว่าแสงสว่างจะกลับมาเร็วๆ นี้

    เมื่อร่างกายของทั้งคู่แนบชิด อุณหภูมิถ่ายเทอยู่ระหว่างกัน วาก็อดนึกขึ้นไม่ได้ว่า ความมืดมิดซึ่งโอบล้อมเขาอยู่ขณะนี้ มันทำให้รู้สึกพึงพอใจได้อย่างน่าประหลาดเหลือเกิน

      

    [   มุมบ่น   ]

    [   มีประโยคหนึ่งที่พิมพ์ลงไปแล้วลบออก คือ “ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน ว่าวของอิมก็ไม่เคยสัมผัสท้องฟ้าสีหม่นของวาได้อย่างแท้จริงเลย” คือทำไมมันซีเรียสแก๊กมากกว่าดราม่าคะ ไม่เข้าใจ หรือยิ่งใกล้เดดไลน์เรายิ่งรั่วกันล่ะเนี่ย
    เขียนประโยคจบยังไงให้พีค? Orz

    สักวันจะรีไรท์ค่ะ ตอนอยู่ในหัวเราคู่นี้เป็นมหากาพย์ความสัมพันธ์ที่เราคลั่งมากๆ เลย สักวันหนึ่งต้องถ่ายทอดออกมาให้เหมือนในหัวให้ได้สิ แงงงงงงงง      ]
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×