ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพนิยายหลังฉาก

    ลำดับตอนที่ #1 : รัตติกาลแรกเริ่ม

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 56





         บนผืนท้องฟ้าราตรีอันกว้างใหญ่ นกฮูกสีขาวกางปีกคู่โตถลาลงไปตามทางของสายลม ขาทั้งสองข้างเกาะเกี่ยวห่อกระดาษสีน้ำตาลขนาดพอกันกับตัวมันไว้อย่างแน่นหนา ขาที่มีกงเล็บแหลมคมเกี่ยวเข้ากับเชือกที่ทำมาจากฝางสีน้ำตาลอ่อนของห่อกระดาษนั้น

         ดวงตาสีน้ำตาลทองคู่โตของมันกวาดลงมองเบื้องล่างใต้เงาปีกของมันที่ปรากฎแสงไฟที่แสดงถึงการมีตัวตนอยู่ของสิ่งมีชีวิที่เรียกว่า 'มนุษย์'

         ปีกแกร่งบัดเบี่ยงเอนไปทางด้านขวาซึ่งใต้ร่างนั้นมีดวงไฟประดับอยู่สวยงาม นกฮูกสีขาวลู่ปีกลงนาบกับลำตัวที่พุ่งลงสู่พื้นตามวิถี ก่อนจะกลางปีกอีกครั้งเมื่อดวงไฟลุกโชนปรากฎอยู่เบื้องหน้าสายตาพอดี

    ' Manearis '

         เจ้านกฮูกสีขาวตัวโตมองป้ายสลักหินอ่อนด้านหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบินผ่านซุ้มประตูเข้าไปด้านใน

         ไฟประดับที่เรียงกันอย่างสวยงามมากมายเมื่อมองจากด้านบนแท้จริงแล้วเป็นเพียงคบเพลิงที่ถูกจุดไว้เพื่อให้ทางในยามไร้ซึ่งแสงแห่งตะวัน นกฮูกสีขาวบินผ่านคบเพลิงมากมายไปยังหอคอยฝั่งตะวันตกของปราสาท ที่ดูเหมือนจะเป็นจุดเดียวที่ไฟนั้นลุกโชดช่วงมากที่สุด

          เบื้องหน้าหลังจากผ่านหน้าต่างหอคอยมาเป็นประตูไม้เเกะสลักสีน้ำตาล กลางประตูด้านบนมีหัวม้าคาบห่วงสีทอง นกฮูกสีขาวใช้จะงอยปากดึงห่วงนั้นให้พ้นจากประตูก่อนจะปล่อยลงจนกลายเป็นเสียงเคาะประตู มันวางห่อกระดาษสีน้ำตาลไว้หน้าประตูแกะสลักนั่นก่อนจะบินออกไปทางหน้าต่างของหอคอย โดยไม่แม้แต่จะเหลียวมองกลับมา

    " กรี๊ซซซซซ "






         แสงสีเหลืองนวลสาดส่องเข้ากระทบร่างที่อยู่ในวิถีของแสง ทั้งสองเป็นชายหนุ่มอายุรุ่นราคราวเดียวกัน ชายคนแรกทอดกายนอนลงบนเตียงสีขาวสะอาดตาพลางใช้มือขี้เปลือกตาขับไล่อาการง่วงออกไปก่อนจะเอ่ย

    " เจ้าจะรออะไรกันแน่ 'เนล' " ชายผู้นั้นลุกขึ้นมานั่งก่อนใช้ดวงตาสีอัมพันจ้องไปที่ร่างร่างหนึ่ง

         ไม่มีเสียงใดตอบกลับมานอกจากเสียงถอนหายใจเบาๆ ผู้ถูกถามเบือนดวงตาสีขี้เถ้ากลับมามองร่างที่นั่งอยู่บนเตียงนอนของตนด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหันกลับไปสนใจทิวทัศน์นอกหน้าต่างหอคอยแทน

         ชายผู้มีนัยน์ตาสีอัมพันเบือนหน้าไปอีกทางเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบคำถามของตนก่อนจะถอนหายใจทิ้งตัวลงแผ่หลาไปกับเตียงนอนของคนอื่น

    " 'อัล' ถ้าเจ้าทนไม่ไหวก็ไปนอนซะ และต้องไม่ใช่บนเตียงของข้า "

         ชายผู้ที่ถูกเรียกว่า 'อัล' ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจคนพูดของอีกฝ่ายจนคนที่อยู่ตรงหน้าต่างต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้งพร้อมเดินไปทางเตียงนอนของตน

    ปึ๊ก! 

         
    ยังไม่ทันจะถึงก็มีเสียงเคาะประตูออกมาจากด้านนอก 'เนล' หันไปยิ้มให้กับ 'อัล' ที่ผงกหัวขึ้นมาน้อยๆก่อนจะเดินไปเปิดประตู

         สายลมหนาวของยามราตรีพัดเข้าประดังกับร่างของชายหนุ่มที่ดูบอบบางจนเจ้าตัวเผลอห่อไหล่ด้วยความไม่ชอบใจเท่าไรนัก ด้านนอกประตูไม่มีสิ่งใดนอกจากแสงของคบเพลิง หน้าต่างบนหอคอยที่เปิดรับอากาศหนาวเหน็บและ 'ห่อกระดาษสีน้ำตาล'

         
    เนลหยิบห่อกระดาาสีน้ำตาลขึ้นมาจากพื้นด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มก่อนจะนำมันกลับเข้าห้องไปวางบนเตียงที่บัดนี้อัลเองก็ลุกขึ้นมามองดูด้วยความสนอกสนใจ

    " มันคืออะไร "

    " ของหายาก จากโลกฝั่งนู้น " เนลตอบ

         ข้อมือบางและหนาทั้งสี่เร่งกันช่วยแก้เชือกฝางสีน้ำตาลอ่อนที่พันรอบห่อกระดาษไว้ เมื่อเเกะออกได้ทั้งคู่รีบครี่กระดาษสีน้ำตาลอ่อนนั้นออกก่อนจะพบว่าสิ่งที่อยู่ด้านในนั้นเป็นหนังสือปกหนาเล่มโต ที่เขียนเอาไว้ว่า

    'Fairy Tale'

    " นี่เจ้าให้เรานั่งรอหนังสือกันถึงค่อนคืนน่ะเหรอเนล?! "

    " มันไม่ใช่หนังสือธรรมดานะ เจ้าไม่รู้อะไรอัล "

         อัลใช้ดวงตาสีอัมพันมองเพื่อนสนิทตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนต้องยกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองดังแปะ!แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของอีกคนอย่างแรงแต่มิวายหลุดคำบ่นออกมาประมาณว่าเชื่อเขาเลย ให้ตายสิ

         เนลพาร่างบอบบางของตนไปนั่งลงบนเตียงของอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือกเพราะเตียงตนดันถูกแย่งไปแล้ว มือบางเอื้อมไปคว้าเทียนเล่มเล็กมาไว้ข้างกายก่อนจะเริ่มเปิดหนังสือเล่มโตที่อยู่บนตักของตน กระดาษสีขาวถูกเปิดขึ้นและเปลี่ยนไปเรื่อยๆด้วยน้ำมือของร่างที่บอบบางจนหมดหน้าของคำนำเเละสารบัญอันยาวเหยียด เนลเห็นบทความที่อยู่ในหนังสือเล่มใหม่ของตนก็ยิ้มน้อยๆและเริ่มอ่านออกเสียงออกมา

    " กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนอันสงบสุขที่ห่างไกลจากความชั่วร้าย..."

    " ที่แบบนั้นมีจริงที่ไหนล่ะ " อัลขัดขึ้น

    " เจ้าอย่าพึ่งขัดสิอัล " เนลว่าพลางใช้หมอนปาไปที่หน้าของอีกฝ่ายเป็นการเตือนแบบกรายๆว่าถ้าขัดอีกไม่จบง่ายๆแน่ก่อนที่จะเริ่มอ่านใหม่อีกครั้ง " กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนอันสงบสุขที่ห่างไกลจากความชั่วร้ายทั้งปวง มีอาณาจักรอาณาจักรหนึ่งนามว่า 'เทฟแลนด์' ใจกลางอณาจักรคือปราสาทใหญ่โตของราชวงค์กษัตริย์ผู้ทรงธรรม
         ในวันคล้ายวันประสูติครบรอบหนึ่งพรรษาของพระราชธิดาเพียงองค์เดียวของอาณาจักรและองค์กษัตริย์ มีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นมาเพื่อเป็นการอวยพรให้กับพระธิดาองค์น้อย ทางสำนักราชวังได้มีการแจกจ่ายบัตรเชิญให้กับผู้คนมากมายทั้งภายในและภายนอกอาณาจักรไม่ว่าจะเป็นแม่มด นางฟ้า เทพอารักษ์ใดๆล้วนแต่ได้รับการเชิญชวนจากองค์กษัตริย์ทั้งสิ้ม เว้นแต่ 'โดเรีย' แม่มดสาวผู้งดงามกลับไม่ได้รับบัตรเชิญใดเลย นางจึงถูกถากถางจากเหล่านางฟ้าและแม่มดด้วยกันเองว่าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับคำเชิญจากองค์กษัตริย์ผู้ทรงธรรม จนถึงวันงานนางยังถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนแม่มดด้วยกันเอง บ้างก็มาถามใถ่ด้วยแกล้งทำเป็นเห็นใจ บ้างก็แต่งชุดสวยมาอวดและในที่สุดทุกคนก็เดินทางไปงานเลี้ยงโดยทิ้งโดเรียไว้เพียงคนเดียว
         แม่มดสาวในดินแดนแห่งความสุขปรากฎความมืดมิดในใจอย่างไม่เคยเป็น ทั้งความโกรธ ความเกลียดและ ความอิจฉาเพื่อนแม่มดด้วยกันเอง แต่ที่สุดแแล้วคือความโกรธเคืองที่มีต่อราชวงค์กษัตริย์ที่ไม่ยอมส่งจดหมายมาเชิญตนเพียงคนเดียวเป็นการหยามหน้ากัน โดเรียลุกขึ้นยืนจากความโกรธเกรี้ยวและแค้นเตืองของตน นางแม่มดก้าวเข้าสวมชุดสีดำสนิทที่ดูงดงามและน่าเกรงขามพร้อมทั้งย่างก้าวเข้าสู่พิธีเฉลิมฉลองพร้อมความคับคั่งในจิตใจ "

         เนลหยุดพักหายใจมองอัลที่บัดนี้ลุกขึ้นมานอนชันคางฟังตนอย่างสนใจก่อนจะเอ่ยต่อ

    " ท่ามกลางบรรยากาศงานเลี้ยงที่แสนสุขเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะมากมาย แม่มดสาวนามโดเรียปรากฎกายขึ้นท่ามกลางความตะลึงของทุกคนในงานสังสรรค์ นางแสยะยิ้มก่อนย่างก้าวเข้าไปใจกลางของงานด้วยความสง่างดงามและเยือกเย็น
         ผู้คนผู้ร่วมงานมากมายต่างหลีกทางให้นางผ่านไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เข้าเกาะกุมจิตใจทุกคนว่า 'ความมืดนั้นได้กลับมาแล้ว' ท่ามกลางความหวาดกลัวของทุกคนองค์ราชาปรากฎกายขึ้นก่อนจะทักทายและเอ่ยชวนแม่มดสาวเข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างเป็นกันเอง แต่โดเรียกลับปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ความโกรธเกลียดชิงชังมากมายที่สุมอยู่ภายในเกินกว่าจะหยุดลงได้แล้ว แต่นางก็ยังถามไถ่ว่าเหตุใดนางจึงเป็นผู้เดียวในอาณาจักรที่ไม่ได้รับการเชิญชวนให้เข้าร่วมงานทั้งที่เหล่าชาวนา คนใช้ สามัญชนมากมายได้รับเชิญทุกคนยกเว้นนาง องค์ราชาทรงบอกกับโดเรียว่าบัตรเชิญของนางได้ถูกส่งไปพร้อมกับบัตรเชิญอื่นๆ พร้อมทั้งให้การยืนยันอย่างหนักแน่นด้วยความมั่นใจเพราะแท้จริงแล้วบัตรเชิญสำหรับเหล่าแม่มด นางฟ้า เทพอารักษ์ ตนผู้เป็นราชานั้นได้จัดเตรียมด้วยมือตนเองทั้งยังตรวจทานอย่างละเอียดแล้วจึงได้ทำการส่งไป การที่นางไม่ได้รับบัตรเชิญอาจเป็นเพราะเกิดข้อผิดพลาดบางประการ องค์ราชาเอ่ยขออภัยแม่มดสาวต่อหน้าทุกคนด้วยใจจริง
         โดเรียที่ถูกความมืดเข้าเกาะกุมหัวใจกลับมองว่าการที่ราชาทำเช่นนี้เพราะต้องการป้ายความผิดมาให้ตนกลายเป็นตัวตลก นางจึงตอบกลับด้วยควมเกรี้ยวกราดพร้อมทั้งเอ่ยคำสาปทุกคนในอาณาจักรรวมถึงเจ้าหญิงน้อยที่ต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราทันทีที่ถูกเข็มปั่นฝ้ายตำเมื่ออายุครบสิบห้าปี างสาปเจ้าหญิงที่เป็นดังดวงใจขององค์ราชา โดยที่โดเรียนั่นไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าองค์หญิงน้อยมาก่อนเลย "

         อัลสบตาเนลที่หยุดพักหายใจและมองมาทางตนด้วยความตกตะลึงในการกระทำของแม่มดในหนังสือแถมอินจนว่ากล่าวแม่มดออกมา

    " ไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี เจ้าหญิงน้อยเกี่ยวอะไรด้วยแม่มดนั่นถึงมาสาปนางได้น่าตาเฉย สมควรแล้วที่ไม่ได้รับบัตรเชิญให้ไปร่วมงานด้วย "

         เนลหลุดหัวเราะออกมาน้อยกับท่าทีของเพื่อนที่แรกเริ่มนั้นดูไม่สนใจแต่ไปๆมาๆกับอินไปกับหนังสือถึงขั้นเป็นเดือดเป็นร้อนแทน ส่วนอัลที่ถูกหัวเราะก็มองมาทางเนลอย่างไม่พอใจนัก " หรือเจ้าว่าไม่ใช่เช่นนั้นเนล "

         คนถูกถามเอียงคอน้อยๆพลางคิดแต่มิวายหัวเราะท่าทีอีกฝ่ายออกมา

    " ข้าน่ะไม่ได้สนใจเรื่องแม่มดจะสาปเจ้าหญิงหรือไม่หรอก ที่อยากรู้จริงๆคือในเมื่อองค์ราชาผู้ขึ้นชื่อว่าทรงธรรมถึงกับเอ่ยออกมาอย่างแน่ใจว่าได้ส่งจดหมายให้แม่มดไป แล้วจดหมายฉบับนั้นล่ะหายไปไหน "

    " นั่นสิ " อัลเห็นด้วย

         แต่ไม่ว่าทั้งคู่จะคิดเช่นไรก็ไม่อาจจะเดาเค้าความจริงที่อยู่ภายในเนื้อเรื่องได้ เนลจึงได้แต่ถอนหายใจและเริ่มอ่านต่ออีกครั้ง " ทุกคนในงานตกตะลึงกับเรื่องไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นมาอย่างกระทันหันจนไม่มีใครตั้งตัวทันรับมือ แต่แล้วนางฟ้าที่เหลืออยู่จึงออกมาแก้สถานการณ์ชั่วคราวโดยการให้พรว่าจะมีเจ้าชายมาแก้คำสาปให้กับเจ้าหญิง ด้วยจุมพิตแห่งรักแท้ และเจ้าหญิงจะกลับฟื้นคืนอีกครั้ง "

    " ทำไมไม่ถอนคำสาปไปเลยล่ะ " อัลถาม

    " ข้าจะไปรู้มั้ย "

    " เจ้านี่เพิ่งไม่ได้เอาซะเลยเนล แต่ว่าแม่มดนี่ต้องหน้าตาน่าเกลียดไม่ใช่เหรอ "

    " คงไม่เสมอไปหรอก ข้าว่าแม่มดโดเรียนอกจากสวยแล้วต้องอึ๋มมากแน่ๆถึงได้โดยอิจฉาจนถูกขโมยจดหมายไป "

         เนลตอบด้วยสีหน้าจิงจังขัดกับประโยคที่พูดออกมาอย่างสิ้นเชิง และคราวนี้อัลได้มีโอกาสมองอีกฝ่ายอย่างเหนี่อยใจก่อนจะเอ่ย " หัวเจ้าวันๆคิดแต่เรื่องพวกนี้จริงๆเนล "

    " ข้าคิดก็จริง แต่ไม่ได้ทำทุกครั้งที่คิดเหมือนเจ้าที่ทำทุกครั้งแม้ไม่ได้คิดนะอัล " เนลกล่าวอย่างเหนือกว่า

         อีกคนเมื่อต่อไม่ได้ก็กะแทกเสียงใส่ว่า เหอะ! ออกมาก่อนจะเร่งให้อ่านต่อ

    " ข้าจะนอนแล้วอัล ถ้าอยากอ่านเจ้าก็ต้องอ่านเอง "

         เป็นอีกครั้งที่เนลยิ้มออกมาอย่างมีชัยเพราะอัลเพราะโรคแพ้หนังสืออย่างแรงเห็นตัวหนังสือที่ไรเป็นหลับทุกครั้ง ยิ่งกว่ายานอนหลับชั้นดีซะอีก เมื่อไร้ทางเลือกจริงๆอัลจึงทำได้เพียงทอดตัวลงนอนอย่างเหนื่อยใจก่อนปิดดวงตาสีอัมพันลงช้าๆ

    " จะว่าไปเหมือนข้าเคยได้ยินนะ อาณาจักรที่ชื่อ 'เทฟแลนด์' น่ะ " เนลว่านิ่งๆ

    " ทางตอนใต้ไม่ไกลจากมาเนียริสนี่ "

         เนลหันกลับไปเมื่อไม่มีเสียงตอบแต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อดวงตาสีอัมพันยังคงเปิดอยู่แถมกำลังมองมาด้วยสายตาครุ่นคิด

         อัลมองเนลที่หยุดและมองมาที่ตนเช่นกันก่อนยิ้มออกมาน้อยๆพร้อมกล่าวคำพูดที่ทำให้เนลรู้ได้ทันทีว่าปัญหาใหม่ได้ย่างก้าวเข้ามาแล้ว

    " งั้นเราคงต้องไปดูกันหน่อยซะแล้ว "


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×